www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

- ครูคีธติ้งของข้าพเจ้า -

... วันนี้จู่ๆตอนขับรถ ก็นึกถึง ครูคีธติ้ง กับ มัสเซ่อร์สมนึก (ขอเติม ร์ เพราะถ้าไม่มีอ่าน เซ่อ ผ่านๆเดี๋ยวจะเข้าใจผิด) มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย



ครูคีธติ้ง เป็น ตัวละครที่รับบทโดย โรบิน วิลเลี่ยมส์ ในหนัง Dead Poets Society และเข้าใจว่า ที่จู่ๆมันแว่บเข้ามาในหัวก็เพราะอ่าน Bioscope เล่มล่าสุดเป็นฉบับ Dead Poets Societyชมรมกวีไร้ชีพ ซึ่งเป็นหนัง ครู-นักเรียน ที่มีผลกระทบต่อคนดูจำนวนมาก (แปลกตรงที่ว่า อ่านไปสองสามอาทิตย์ก่อน จู่ๆมันก็ดันปิ๊งแว่บมาวันนี้)

ส่วนตัวเองแล้ว ก็ชอบหนังเรื่องนี้อยู่ประมาณหนึ่ง แต่ตัวหนังไม่ได้มี impact ต่อตัวเองมากเท่าหลายๆคนที่ชอบหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นหนังที่อยู่ในกลุ่มที่มีอิทธิพลชีวิตอันดับต้นๆ

แต่ถ้าให้นึกว่า มี ครูคนไหนบ้างในวัยเรียนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตในปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะการมอบวิชาความรู้

ชื่อแรกที่ปรากฎขึ้นมาทันทีคือ มัสเซ่อร์ สมนึก ผู้เปรียบเสมือน ครูคีธติ้งของตัวเอง




... มัสเซ่อร์ สมนึก ในตอนที่ผมอยู่ม.4 เป็นคุณครูรูปร่างท้วมเตี้ยอายุอานามน่าจะสี่สิบห้าสิบ ไม่ใจดีมากมาย แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นตบหัวเด็กป้าบเวลาคุยเหมือนมัสเซ่อร์อีกคนที่ทำนักเรียนอกสั่นขวันแขวน แกออกแนวฮาๆ ชอบเล่นบาสเกตบอล สอนวิชาเลขชั้นมัธยม มีความสุขกับสุรา ไม่หวั่นวิตกกับภาวะตับแข็ง และ เปิดหอพักนักเรียนตัวเอง

โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนประจำ แต่ผมเองเป็นเด็กไปกลับเพราะบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน

สมัยนั้น การติวกวดวิชาในกรุงเทพ เป็นอะไรที่ใครๆก็ทำกัน ถ้าทำได้ และ โรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่ที่ดังๆก็จะมีคนนั่งกันเกือบร้อย สอนด้วย โทรทัศน์ (ถ้าโชคดี อาจารย์ตัวจริงอาจมาสอนวันนั้น) และ ส่วนใหญ่ที่สอนๆก็คือ เทคนิกแบบทางลัดคิดเร็ว

เข้าเรียนกรุงเทพบ่อยๆก็เริ่มเหนื่อย และ บางหนก็โดดเรียนอีกต่างหาก เพราะ สยามฯ มันยั่วชวนให้นอกลู่นอกเรียนเสียเหลือเกิน หลังจากนั้นก็เริ่มมาเรียนกับครูในโรงเรียนแทน ซึ่งครูส่วนใหญ่ก็เปิดสอนกัน


... มัสเซ่อร์ สมนึก เป็นครูที่สอนหนังสือสนุก มีมุกฮาๆ และข้อดีคือไม่อีโก้จัด ไม่ใช้อารมณ์ เอาจริงเอาจังกับการปั้นเด็กให้เป็นเดอะสตาร์(ทางการเรียน) แกเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่วาดฝันให้มีเด็กนักเรียนที่โรงเรียนนี้สามารถเอ็นติดหมอ ติดวิศวะ บ้าง

เพราะที่ผ่านๆมา นโยบายของโรงเรียนดูเหมือนไม่ค่อยให้ความสำคัญด้านนี้ แต่แต่เน้นกีฬา และ เด็กที่จบๆไปส่วนใหญ่ก็เดินตามรูปแบบรุ่นพี่เส้นทางเดิมๆ คือ จบไปเข้าเอแบค หรือ ไม่ก็ต่อเมืองนอก

เรื่องเรียนพิเศษ แกก็ ไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอนแบบใช้ทีวีหรือจำทางลัด ถึงแกจะสอนพิเศษเหมือนกันประมาณว่ามี conflict of interest แต่คำพูดของแกก็ไม่ใช่โปรโมทชักชวน เพราะ แกก็บอกเสมอว่า มาเรียนกับแกต้องคิดเอง ไม่มีทางลัดให้

แกย้ำเสมอว่า อยากให้นักเรียนคิดเอง ไม่อยากให้ท่องจำ

ดังนั้น ถ้ามีใครไปถามแล้วเอาวิธีลัดไปถาม แกจะบอกให้คิดเองหาทางใหม่ๆ แกจะคอยกระตุ้นให้สนุกกับการเรียนรู้ เอาโจทย์เก่าๆสุ่มมาหนึ่งข้อ แล้วให้แข่งกันทำ ใครเสร็จก่อนให้ยกมือ แล้วอธิบายให้คนอื่นฟัง

แล้วถ้าใครมีวิธีใหม่ๆก็ให้นำเสนอ แกจะบอกว่าตัวเองรู้ไม่เยอะ ดังนั้น หน้าที่ของนักเรียน(พวกเรา)คือต้องช่วยกันคิด หาคำตอบไปพร้อมๆกัน ถ้ารู้ก่อนแก ก็คือ เก่งกว่าแก

บ้านของแกเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ตรงหัวโค้งในซอยเล็กๆ และก็เป็นหอพักนักเรียนด้วย ดังนั้น ช่วงเตรียมสอบผมกับเพื่อนอีกสองสามคน ก็จะไปอยู่อ่านหนังสือบ้านแก เพราะสภาพแวดล้อมจะตัดขาดจากความบันเทิง ซึ่งแกก็ยินดีให้มาพักแล้วก็ยินดีจะช่วยสอนให้ ถ้าว่าง (ซึ่งแกก็ว่างบ่อยมากๆ และ ยินดีสอนทุกอย่างตั้งแต่ คณิตศาสตร์ , เคมี ยัน ภาษาอังกฤษ)

จำได้ว่า ตอนถามถึงค่าที่พักกับค่าสอน แกจะบอกว่าไม่เอา มีที่อยู่ให้ เราคอยหาที่กินเอง ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือก็ซื้อเหล้า ซื้อไก่ไปฝากกันเป็นครั้งคราว

แกพยายามให้เราไม่ยึดติดกับ กรอบ มากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็น การท่องตำรา , การคิดโจทย์เลข หรือ กระทั่งการใช้ชีวิต



... ช่วงเวลาของการสอบเป็นช่วงเวลากดดันมาก และเมื่อกังวลตอนเริ่มอ่านหนังสือไม่ทันตอนกระชั้นกับการสอบ แกแนะนำสั้นๆว่า

“ทำงานใหญ่ ใจต้องนิ่ง” เราก็หัวเราะกันเพราะมันฟังดูเท่ ผสมกับความรู้สึกประมาณ อะไรวะ

มันคล้ายๆปรัชญาเซนผสมพิชัยสงครามซุนวูอะไรประมาณนั้น ไม่รู้แกแฝงความลึกซึ้งอย่างไร หรือ กะแค่เอาฮา แต่ทุกวันนี้ มันใช้ได้ผลจริงๆนะ คำพูดนี้

คติพจน์อันหนึ่งที่พอจำได้ ตอนที่ผมไปสอบเข้าบัญชีภาคอินเตอร์ที่ธรรมศาสตร์ แล้วรู้สึกเครียดกังวลกับคนสมัครแต่ละคนระดับพระกาฬ แถมตัวเองก็ยังไม่จบม.6 ใช้วุฒิสอบเทียบเอา คือ

“เดินหน้า ฆ่าลูกเดียว” แกพูดแค่นั้นเอาฮาเช่นเคย

ผมตีความเข้าใจว่านั่นคือ ไม่ต้องไปสนใจ คู่แข่งรอบข้าง หน้าที่ของเราคืออ่านแล้วทำข้อสอบไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดใหญ่คิดไกล เหมือน ศึกสงคราม เวลาอยู่ในสนามรบ ที่ต้องทำก็คือ เดินหน้า ฆ่าทีละคน ก็พอ

ผมปรึกษาแกว่า วันสมัครเห็นเด็กหลายคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษกันทั้งนั้น น้ำเสียงผมคงแสดงออกถึงความหวั่นวิตก

คำแนะนำสั้นๆของแกคือ ให้ผมซื้อไปอ่านบ้าง แต่ให้ถือหนังสือพิมพ์กลับหัว
คนมาเป็นเห็นถ้าไม่ทึ่ง ก็คงคิดว่า บ้า เป็นการกดดันทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิกลับ


... หลังจากสอบเอนทรานซ์ติด

สมัยผมเป็นเฟรชชี่ ปีแรกๆ ผมพบปัญหาในการปรับตัว เพราะ รูปแบบชีวิตของคนรอบตัวที่อ่านหนังสือแบบที่มีศัพท์ว่าเข้าตู้ อ่านกันดึกๆดื่นๆหามรุ่งหามค่ำตีสามตีสี่ ซึ่งผิดวิสัยตัวเองที่อ่านแล้วพัก อ่านไปเล่นไป มาตลอด แต่ก็กลัวจะตกมีนตามคนอื่นไม่ทัน เราเป็นเด็กต่างจังหวัดอาจสู้เด็กกรุงเทพไม่ได้ ก็เลยโหมอ่านหามรุ่งหามค่ำ

สิ่งที่ตามมาคือ ผลการเรียนก็ตกลงเรื่อยๆ ทั้งที่ อ่านเยอะคะแนนควรจะดี แต่นี่ยิ่งอ่านคะแนนยิ่งน้อย ความมั่นใจค่อยๆหดหาย

ผมมีโอกาสไปเยี่ยมแก ก็เลยบ่นๆถึงปัญหาที่พบ แกตอบผมสั้นๆว่า
เอ็งก็อ่านเหมือนเดิมซิ จะทำตามชาวบ้านเค้าไปทำไม เราถนัดอะไรก็ทำแบบนั้น แล้วแกก็พูดอะไรต่อประมาณให้มั่นใจในความเป็นตัวเอง ไม่ต้องทำตามคนอื่นตลอดๆ

ฟังง่ายๆแต่มันได้สติขึ้นมามาก และผมก็ค่อยๆปรับรูปแบบการอ่านให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง


.... คงยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นเรื่องของแก แต่มันก็ลืมๆไปเยอะแล้ว แต่อย่างน้อยสิ่งที่หลงเหลือไม่จางหายคือ แนวคิดทั้งการเรียนกับการใช้ชีวิตของแก มีผลต่อผมเสมอมา

ทุกครั้งที่ลนลาน คำสอนที่ว่า “ทำงานใหญ่ ใจต้องนิ่ง” ช่วยปลอบใจได้เสมอ

ทุกครั้งที่กลัวอุปสรรค เสียงบอกเล่าที่ว่า เดินหน้าฆ่าทีละคน ยังได้ยินอยู่เรื่อย

คำสอนให้ทำความรู้จักตัวเองให้มากๆ สอนให้คิดเป็นมากกว่าท่องๆจำๆ สอนให้ไม่ต้องเดินตามกรอบค่านิยมซ้ำๆเหมือนคนอื่นๆ ฯลฯ หล่อหลอมกลายเป็นตัวเองเช่นทุกวันนี้


... ที่เขียน blog นี้ เพราะ ตั้งใจไว้ว่าจะใช้เป็น blog เตือนใจตัวเอง

คิดถึงมัสเซ่อร์สมนึกทีไร ก็จะรู้สึกผิดทุกที เพราะสองสามปีนี้ ผมหายหน้าไม่ได้ไปเยี่ยมแกเลย จากงานที่มากขึ้น และ การทำโน่นทำนี่ ทำให้เวลาคิดไปเยี่ยมแต่ละทีก็ผัดวันประกันพรุ่ง ถึงจะเขียนชื่อแกไว้ในคำนำของหนังสือองศาที่361 ก็ยังไม่มีโอกาสไปส่งมอบให้แกเสียด้วยซ้ำ

คือจริงๆแล้ว เวลาไม่ใช่ปัญหาหรอก

สองสามปีที่ผ่านมา ใช้เวลาไปดูหนัง , ไปหาเพื่อน ,ไปกับแฟน , ไปรับจ๊อบ , ไปเขียนบล็อก , ไปเขียนหนังสือ ฯลฯ ก็ยังทำได้ มันเพราะตัวเราให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นๆมากกว่าเท่านั้นเอง

ตั้งเป้าไว้แล้วว่า วันหยุดยาวเดือนก.ค.ปีนี้ต้องหาไปเยี่ยมแกอีกครั้งให้ได้

กลัวอยู่เหมือนกันว่า ถ้ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งต่อไป จะไม่มีโอกาสได้ทำนอกจากเขียนบล็อกนี้

ของเยี่ยมคงไม่ใช่เหล้าเหมือนแต่ก่อน ว่าจะเป็นผลไม้หรืออาหารบำรุง แต่หนึ่งในนั้นที่มีแน่ๆคือจะเอาหนังสือที่เขียนไปมอบให้ เพราะความภูมิใจแบบเป็นชิ้นเป็นอันชิ้นนี้ เกิดจาก แกที่เคยมีส่วนร่วมมาล่วงหน้าหลายปีโดยที่ทั้งแกและผมไม่รู้ตัวมาก่อน



Carpe diem
Seize the day






 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552
5 comments
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 0:54:55 น.
Counter : 1673 Pageviews.

 

ผมดูครั้งแรกร้องไห้เลยครับคุณหมอ ช่วงนั้นเฮิร์ทอกหักด้วย 55 โฮเลยตอนจบ

 

โดย: I will see U in the next life. IP: 10.100.1.4, 202.47.230.38 26 พฤษภาคม 2552 11:27:56 น.  

 

ฉวยวันเวลาเอาไว้เนาะ ^O^

 

โดย: ม่วนน้อย IP: 125.24.190.167 26 พฤษภาคม 2552 13:55:55 น.  

 

อยากได้เกบไว้ซักคน

 

โดย: Ghoeby 26 พฤษภาคม 2552 17:53:31 น.  

 

อยากดูมากๆครับเรื่องนี้
หลังจากอ่าน BIOSCOPE เล่มล่าสุด
กำลังหาซื้อมาดูอยู่ครับ
หวังว่าจะเพิ่มแรงบันดาลใจให้เหมือนกัน

SEIZE THE DAY ครับ

 

โดย: Teeraratsakul 28 พฤษภาคม 2552 13:42:37 น.  

 

นี่เราดูหนังมา ๒๐ ปีแล้วหรือนี่

 

โดย: คนขับช้า 3 มิถุนายน 2552 21:30:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
26 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.