www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

จาก 300 สู่กรณี 'มีนมมีเบลอ'+ ตลกหยาบคายและความรุนแรง + เด็กๆในโรงหนัง...ควรหรือยังกับการจัดเรตหนัง

บทความนี้เขียนไว้ที่พันทิปครับ คิดได้ว่า เอามาลงเก็บไว้ที่ Blog ไว้ด้วยดีกว่า ลองไปอ่านความเห็นอื่นๆได้ที่นี่เลยครับ --> //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5241346/A5241346.html




โธ่เอ๊ย กระทู้โวยวายเรื่องเซ็นเซ่อร์นมในหนัง 300 ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่คนกลุ่มน้อยในอินเตอร์เน็ตที่หื่นกามอยากจะดู นม ก็เท่านั้น


...ผมกลัวเหลือเกินว่า กองเซนเซอร์หรือใครๆจะคิดเช่นนั้น ดังนั้นจึงต้องรีบออกตัวก่อนว่า ผมดูนมจากโรงดิจิตอลไปเรียบร้อยแล้วนะครับ

ผมเชื่อว่า นอกจาก ผีมือถือ ที่คุยกันไม่รู้จักเวลาไม่เกรงใจชาวบ้านในโรงหนัง , ผีเตะเบาะ ที่สร้างความรำคาญให้คนนั่งข้างหน้า , ผีเม้าท์ ที่คุยกันราวกับว่าไม่เคยเรียนมารยาทในที่สาธารณะมาก่อน ฯลฯ ในโรงหนังยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้คอหนังหลายคนหงุดหงิดใจเมื่อต้องประสบกับ” ผียาหม่อง”

เสียเงินเข้าไปดูหนังดีๆ ดูกำลังเพลิน อยู่ๆหนังก็สะดุด อยู่ๆหนังก็เบลอ ไม่ใช่แค่นั้น เดี๋ยวนี้ ผียาหม่อง ก็เฮี้ยนลามไปถึงหนังแผ่น DVD ที่เราๆก็เข้าใจว่า ไม่น่าจะเจอก็ต้องมาพบกับ การเบลอ การตัด จนทำให้เสียอารมณ์ และ ไม่ใช่แค่ นม ที่คนเขาโวยวายกันมานาน ยังมีอีกมากมาย ที่ฉากนั้นในหนังแทบจะดูไม่รู้เรื่องหรือลดคุณค่าลง เพราะคนดู เห็นแต่ ยาหม่องที่ป้ายให้เบลอ

300 เป็นกรณีตัวอย่างที่ดี และ ไม่ใช่เป็นกรณีแรก ลองหยิบตัวอย่างจาก Pulp เล่มล่าสุด(เล่มสุดท้าย)มาดู จะเห็นหลายๆตัวอย่างที่ มาตรฐานการเบลอ ชวนให้คนดูต้องงงงวยว่า เบลอไปทำไม


....จากหนังเรื่อง 300 หลายคนบอกว่า “อย่าคิดมากเลย แค่ เบลอนมก็ดีแล้ว ดีกว่า ไปเบลอหนังทั้งเรื่อง”

ผมไม่คิดเช่นนั้น

ผมไม่คิดว่า แค่เบลอนม หรือ เบลอเลือด แล้วก็ปลอดภัย เด็กๆดูได้สบายแฮ

เพราะ

ผมคิดว่า 300 ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับเยาวชนตั้งแต่แรกแล้ว ไม่สมควรที่พ่อแม่จะหอบหิ้วเด็กๆเล็กๆหรือแม้แต่เด็กประถมเข้าไปดูเพราะคิดว่าเป็นหนังแอคชั่นมันส์ๆ หรือ เลือกเช่าแผ่น Sin City ให้ลูกวันหยุดเพราะคิดว่าเป็นหนังการ์ตูนต่อสู้ หรือ อุ้มลูกเข้าไปฝึกรับมือกับผีและเสียงดังๆฉากโหดๆในหนังผีอย่าง โคตรผีดุ เพราะอยากให้ลูกไม่กลัวผี หรือ ชวนให้เด็กเล็กๆดูฉากหักกระดูกกร้อบแกร้บใน ต้มยำกุ้ง เพราะเป็นคนไทยควรสนับสนุนหนังไทยกินลำไยช่วยชาติอะไรเทือกนั้น


...ผมจำได้ว่าปีก่อนผมเคยตั้งกระทู้ทำนองนี้ เกี่ยวกับ การเลือกหนังให้เหมาะกับวัย และเคยมีบางความเห็นมองว่า เข้าไปยุ่งเรื่องพ่อแม่กับครอบครัวคนอื่นมากเกินไป เป็นเรื่องของเขา พ่อแม่เขาก็คิดเองเป็น

แต่ ผมไม่เห็นด้วย เพราะ หลายครั้งพ่อแม่ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับลูก แต่ เป็นผลตามมาจากความ ‘ไม่รู้’ ถึงผลกระทบของ ความรุนแรงของสื่อ ที่มีต่อ เยาวชน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้เรื่องจิตวิทยาว่าวัยไหนจึงจะควรดูหนังแบบไหนได้ + ความ’ไม่รู้’ว่าหนังเรื่องนั้น ตัวหนังจริงๆเป็นอย่างไร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเชี่ยวชาญหนังว่าหนังเรื่องนี้แท้จริงเป็นอย่างไร คนส่วนใหญ่ก็อาศัยเลือกเอาจากการโฆษณา

ดังนั้นการมีหน่วยงานรัฐก้าวเข้ามาช่วยเหลือจัดการสื่อเป็นเรื่องที่ดี

อย่างเมืองนอกเมืองนา ที่ใช้วิธีการจัดเรตติ้งว่า หนังแต่ละเรื่องก็มีความเหมาะสมและให้คนดูตีตั๋วเข้าไปดูได้ก็ต่อเมื่อถึงวัยอันควร

(หลายคนอาจแย้งว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งต้องออกตัวก่อนเลยว่า มันคนละเรื่อง เพราะถ้าคิดว่า คนเราคิดได้เองทุกเรื่อง ต่อไป เราคงยอมให้เด็ก 11 ขวบสอบใบขับขี่ได้ ยอมให้เด็กอายุ 13 เข้าผับได้ เพราะ เด็กเหล่านั้นคิดเองเป็น)

...หากความตั้งใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ การจัดสื่อให้เหมาะสมกับประชาชน เหมาะกับช่วงวัย สิ่งที่ควรมี คือ การจัดเรต หรือ อย่างน้อยให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปว่า หนังเรื่องไหน เหมาะ กับ ไม่เหมาะ คนดูในวัยไหน

...แต่เมื่อไม่มีการจัดเรต กองเซ็นเซอร์ก็หันมาเลือกใช้บริการ ยาหม่อง

ปัญหาที่ตามมาของยาหม่องที่เห็นได้ชัดคือ

...มาตรฐานอยู่ตรงไหน นมไหนควรป้าย นมไหนควรปล่อย นมไหนคือนมศิลปะ นมไหนคือกามารมณ์ เพราะเมื่อไม่มีมาตรฐาน เราจึงเห็นการเบลอในหนังที่ไม่สมควรเบลอ เบลอในฉากที่ไม่ควรเบลอราวกับ ใช้เกณฑ์ ‘มีนมมีเบลอ’

ไม่แค่เรื่องนม แต่ ยังรวมถึงความรุนแรงเช่น บางเรื่อง เบลอปืนในมือมาแต่ไกล คำถามคือ ปืนในหนังกระบอกไหนรุนแรง ปืนในหนังกระบอกไหนดูได้



....ตัวอย่างที่ดีจากกรณีหนัง 300 ที่ตัดสินใจทำเบลอในหนังสองฉาก ถามว่า การตัดสินใจเบลอนั้นทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไรเพื่ออะไร

หากมองว่าเป็นฉากไม่เหมาะสมกับเยาวชน ออกแนวลามกอนาจารจึงจำเป็นต้องเบลอ ถ้าคิดว่า ต้อง ”มีนมมีเบลอ” แล้ว ถ้าเช่นนั้น แปลว่า เมื่อเบลอแล้ว 300 สามารถปล่อยให้เยาวชนดูได้อย่างนั้นหรือ ?

หรือ ถ้ามองว่า ฉากนั้นเป็นฉากยั่วยุกามารมณ์ไม่เหมาะกับคนดูผู้ใหญ่ คำถามถัดมา คือ ‘นม’ ในหนัง 300 ทำให้คนหรือสังคมเสื่อมโทรมได้อย่างไร ?


....ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะเสนอว่า ควรจะปล่อย นมให้เรี่ยราดกันซะทุกเรื่อง เพราะ นมหลายเรื่องก็เข้าข่ายยั่วยุทางเพศ ที่เด็กหรือคนชราเข้ามาดูก็อาจส่งผลในทางลบได้ แต่ ประการสำคัญที่อยากจะพูดถึงคือ

เจตนาดีที่ตั้งใจทำขึ้นมานั้น มันแก้ไม่ได้ตรงจุดประสงค์ มันเกาไม่ถูกที่คัน มันขาดมาตรฐาน และ มันสะท้อนกรอบความคิดของผู้เกี่ยวข้องที่ไม่เข้าใจตัวงานศิลปะ


...มาตรฐานกองเซ็นเซ่อร์ หากคิด ป้ายยาหม่อง เพราะ ความยั่วยุทางเพศ หรือ ความรุนแรง คงต้องกลับมาตั้งมาตรฐานให้ตรงแล้วว่า

1.หนังที่มี นมยืนเฉยๆ กับ ไม่เห็นนมแต่ตัวละครกอดจูบนัวเนียพัวพันจนลิ้นแทบจะทะลุหูซ้ายออกหูขวา อันไหน มันกระตุ้นเร้าทางเพศหรือยั่วยุกามารมณ์มากกว่ากัน

2.หนังที่มี เลือด กับ หนังไม่มีเลือดแต่หอกทิ่มหัวพลั่วทุบหลัง หรือ หักกระดูกกันกร๊วบกราบ หรือ ด่ากันหยาบๆคายๆในหนังตลก ฯลฯ อันไหนที่จะส่งต่อให้คนดูซึบซับความรุนแรงมากกว่ากัน


... ไม่ใช่แค่ว่า เห็น นม แล้ว ต้องรีบเอายาหม่อง ป้าย เห็นปืนแล้วรีบเบลอ เห็นบุหรี่อยู่ในมือรีบทำมัว โดยไม่ทัน ตั้งอกตั้งใจดูว่า ฉากนั้น หนังสื่อสารอะไร


...ผลพวงของการที่สื่อไร้สำนึกรับผิดชอบต่อคนดูหรือขาดหน่วยงานที่จะช่วยรับผิดชอบจริงจัง หรือ หน่วยงานนั้นไม่เข้าใจปัญหาและผลกระทบที่แท้จริง

เราจึงยังคงเห็น

1.พ่อแม่อุ้มลูกเข้าไปดูหนังตลก เพราะคิดว่าเด็กดูได้ หรือ เข้าไปดูหนังการ์ตูนแล้วเจอตัวอย่างหนังตลก แล้วบังเอิญหนังตลกเรื่องนั้น อุดมไปด้วยคำหยาบ

ปัญหาคำหยาบในหนังตลกหรือหนังแอคชั่นไทย บางคนอาจมองว่า คนคัดค้านนั้นเป็นพวกกระแดะที่รับไม่ได้ สังคมไทยทั่วไปที่ไหนก็พูดกัน ไอ้เอี้ย ไอ้อาด ฯลฯ

ผมเห็นด้วยว่าสังคมไทยหลายแห่งก็พูดกัน และ เวลาผมดูในหนังตลกบางทีผมก็ขำ และ ผมไม่ได้เห็นชอบว่า ต่อไปหนังตลกต้องเลิกพูดคำหยาบ คนดูผู้ใหญ่อย่างผมกับอีกหลายๆคนที่โตกันแล้วนั้น ย่อมไม่มีปัญหากับการซึมซับเรื่องพวกนี้ คงไม่ใช่ว่า จากเคยเรียบร้อยแต่ดูหนังจบจะออกมารุนแรงหรือหยาบคาย

แต่ ปัญหาคือในหนังกำลังสร้างภาพของ

คำหยาบ = เรื่องขบขัน = คนชอบ

ดังนั้นเมื่อเด็กเข้าไปดู เด็กก็จะย่อมเข้าใจว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องตลกและผู้ใหญ่ชอบใจ พวกเขา ก็จะค่อยๆซึมซับทำตาม

ดังนั้น ถ้าเป็นตัวผมดูหนังเองผมไม่คัดค้านเพราะผมขำ แต่ ผมคงไม่ขำหากผมมีลูกหรือพาหลานเข้าไปดู

2.พ่อแม่อุ้มลูกไปดูหนังแอคชั่น เพราะคิดว่าสนุกว่ามันส์ เพราะพ่อแม่ไม่รู้จะฝากลูกไว้ที่ใคร แต่เด็กเล็กๆที่ระบบความคิด(cognitive development)ยังไม่พัฒนา สิ่งที่เด็กซึมซับ จากหนังแอคชั่นหรือหนังผี ก็มีเพียงเสียงดังและความรุนแรง มีหลายครอบครัวที่เด็กเล็กๆอยู่โรงเรียนสมาธิสั้นและก้าวร้าว เมื่อซักประวัติไปย้อนหลังเราก็จะพบว่าเด็กจำนวนหนึ่งนั้นถูกเลี้ยงด้วยทีวี คือ พ่อแม่ซื้อหนังแผ่นมาให้แล้วทิ้งให้ลูกดูจนตาแฉะ หนังแผ่นเหล่านั้นเต็มไปด้วย หนังการ์ตูนต่อสู้ หนังฝรั่งแอคชั่น ฯลฯ เด็กกลุ่มนี้นั้นจะค่อยๆซึมซับความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว และจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาชีวิตด้วยความรุนแรง เช่นกัน

ฯลฯ


แต่เมื่อในมือกองเซ็นเซ่อร์ มีเพียง ยาหม่องและกรรไกร สิ่งที่ตามมาคือ

1.คนดูนั่งข้างๆบ้างก็รำคาญที่เด็กร้องไห้ บ้างก็รำคาญที่เด็กคอยถามกวนในโรงหนัง ทั้งที่พ่อแม่เองควรสอนแต่แรกแล้วว่านี่คือการอยู่ร่วมกันในที่สาธารณะ ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่บางคนก็ด่าลูกทั้งที่ลูกก็ไม่ได้ผิด เพราะเขาดูไม่รู้เรื่องแต่พ่อแม่ลากเข้ามาเอง เด็กเหล่านี้ไม่ใช่คนผิดเลย แต่พวกเขาต้องซึมซับความรุนแรง ความกลัวจากเสียงดัง และ เสียงบ่นจากคนดูร่วมโรง


2.แล้วก็จะตามมาด้วยการเบลอ การตัดสิ่งที่กองเซ็นเซ่อร์เห็นว่าไม่สมควร เพราะ กลัวว่าเด็กจะซึมซับสิ่งเหล่านั้นไป แต่ คนดูผู้ใหญ่คนอื่นๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็พลอยซวยไปด้วย

เช่น ... เช่าหนังมาอยากดูหนังโหดๆมันๆก็ดันถูกเซ็นเซอร์หั่นไปจนดูไม่รู้เรื่อง เช่น หวังตื่นเต้นกับ Hostel สุดท้ายโดนหั่นจนกลายเป็นสารคดีท่องเที่ยวยุโรป หรือ ตีตั๋วไปดูหนังดราม่าซึ่งบังเอิญมีฉากเลิฟซีนที่ไม่ได้เจตนายั่วยุทางเพศแต่เพื่อสื่อสารเนื้อหาบางอย่างในหนังก็ถูกเบลอจนมองไม่เห็นอะไรเลย

... งานศิลปะที่ต้องการนำเสนอถูกลดทอนคุณค่าลง เพราะ แทนที่คนดูจะได้เสพงานศิลปะที่หนังเป็นสื่อนำเสนอ กลับต้องมานั่งจ้องว่า อะไรอยู่ข้างหลังยาหม่อง


สุดท้ายแล้ว อิสรภาพของคนทำหนังต้องถูกลิดรอนในการนำเสนอ และ อิสรภาพในการดูหนังของคนดูต้องถูกลิดรอนในการรับสื่อ ก็เพราะระบบจัดการที่ไร้มาตรฐานนี่เอง



.....เคยมีคนบอกผมว่า การจัดเรตนั้นเป็นสิ่งที่ห่างไกลความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทย จะมีปัญหาของรายได้ของหนัง ปัญหาของทางโรง ปัญหา xxx และ ปัญหา yyy ปัญหา zzz. ฯลฯ ปัญหาทั้งหลายแหล่นั้น ไม่ใช่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนคนดูแม้แต่น้อย ผมเองจึงคิดว่า การไม่สามารถมีเรตในเมืองไทย ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ เป็นเพราะ ระบบการคิด ไม่ได้มี ประชาชนหรือเยาวชน เป็น จุดเริ่มต้นของโจทย์ แต่ อาศัย ผู้ประกอบการเป็นจุดตั้งต้นในการคิดว่า จะทำ หรือ ไม่ทำ



ควรหรือยังที่ระบบการจัดเรตควรเกิดขึ้นในเมืองไทย ?






ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไป หาไม่เจอถามจากพนักงานขายได้เลยจ้า)






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 21 มีนาคม 2550
Last Update : 21 มีนาคม 2550 0:17:05 น. 16 comments
Counter : 1120 Pageviews.

 
อ่าาาาาาาา เพิ่งหลงเข้ามาครั้งแรก
ยังงงๆ อยู่ค่ะ
แต่คอมเม้นท์ไว้ก่อนละกัน
คงต้องค่อยๆ ดูไป
ท่าทางบล๊อกนี้จะมีอะไรน่าสนใจมากมาย
เห็นชื่อ จขบ มานานแล้ว
เพิ่งได้เข้ามาก็วันนี้แหล่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักค่าาา


โดย: someone like me วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:1:22:50 น.  

 
เห็นด้วยกับการที่จะต้องมีระบบเรตติ้งภาพยนต์ครับ


โดย: พีทคุง (redistuO ) วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:2:54:52 น.  

 
ในจอแก้วมีแล้ว..หนังใหญ่ก็ควรจะมีด้วยเหมือนกันครับ..

ว่าแต่ใครที่ทำหน้าที่เขาจะแยกแยะกันหนักขึ้นล่ะสินะ...


โดย: granun วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:3:06:56 น.  

 
เห็นด้วยเรื่องควรจัดเรทหนังมากกว่าตัดและเบลอจนเสียอารมณ์ของเรื่อง


โดย: ~:พุดน้ำบุศย์:~ วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:9:05:52 น.  

 
+ รากเหง้าของปัญหานี้ ผมคิดว่ามันมาจากสาเหตุใหญ่ๆ ก็คือ ...
1. รัฐไม่มีนโยบายที่ชัดเจน ชอบทำอะไรแบบสุกเอาเผากิน หรือวัวหายล้อมคอก :
... เช่น เกิดปัญหารุมโทรมข่มขืนจนเต็มบ้านเต็มเมือง กระทรวงวัฒนธรรมถึงเพิ่งจะตื่น ลุกขึ้นมารณรงค์เรื่องการแต่งกายที่ถูกที่ควร (ในขณะที่วัยรุ่นซึมซับเอาวัฒธรรมไม่ดีไป จนกลายเป็นเทรนด์การแต่งตัวของยุคนี้ไปเรียบร้อยแล้ว) / แผ่นผีโป๊ กระตุ้นอารมณ์เพศ ก็ไม่มีการปราบปรามอย่างจริงจัง (เพราะยัดเงินตำรวจอยู่) ... เลยเป็นเหตุให้พวกจอมหื่นทั้งหลายได้ดู แล้วก็กระตุ้นอารมณ์จนทำให้ไปก่อเหตุกับหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ... เหล่านี้เป็นต้น

2. สังคมไทย สนใจแต่เรื่องเสรีภาพ โดยไม่ค่อยรู้เรื่องสิทธิและหน้าที่ :
... เอะอะอะไรก็อ้างแต่การริดลอนเสรีภาพบ้างล่ะ จำกัดสิทธิ์บ้างล่ะ (แต่เป็นสิทธิ์ของตัวเอง โดยไม่เคยมองถึงสิทธิ์ของผู้อื่น ว่าจะทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่) ... จริงๆ แล้ว กฎหมายที่บัญญัติขึ้น ก็เป็นเพียงแต่กรอบข้อห้ามกว้างๆ ว่าอะไรที่ไม่ควรทำ ... แต่พลเมืองทุกคน สมควรรู้ว่าสิทธิ์ของตัวเองมีแค่ไหน และควรมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ตัวเองเป็นสมาชิกอยู่ ... สามัญสำนึกพื้นฐานในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ... ความรับผิดชอบต่อสังคม ว่าอะไรที่ทำให้สังคมโดยรวมเสียสมดุลย์หรือเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสื่อมเสียบ้าง ... สิ่งเหล่านี้ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เล็กๆ ในโรงเรียนครับ พอกลับบ้าน พ่อแม่ก็ต้องช่วยกันอบรมลูกอีกต่อนึงด้วย ... อะไรที่ไม่ดีก็ควรสกรีนไม่ให้ดูก่อน จนกว่าจะถึงวัย ... ฯลฯ

3. กองเซ็นเซอร์ และ กท.วัฒนธรรม ... มีแนวคิดที่โบฯ และ out ตกขอบ :
... ก็เห็นเป็นมาตั้งนานแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมเดินตามให้ทันโลกและผู้คนยุคนี้ซะที ... ทั้งๆ ที่รู้ว่า แค่เปิดเน็ตคลิกเดียว ภาพอล่างฉ่างขนาดไหนก็ดูได้ ... มานั่งใส่หมอก ใส่ยาหม่องให้เสียเวลาทำไมก็ไม่รู้ สู้หามาตรการใหม่ๆ (อย่างเช่น จัดเรตติ้งหนังที่คุณ จขบ. ว่าไว้ก็น่าหนับหนุน ... ช่วงแรกๆ อาจไม่ชิน แต่สักพักก็คงชินไปเอง) มาจัดระเบียบสังคมและวัฒนธรรมไทย ให้สังคมมันดีขึ้นและน่าอยู่กว่านี้มากกว่า


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:10:51:15 น.  

 
เห็นด้วยอย่างแรงกับเรื่องของการจัดเรตให้หนัง

กับผู้ปกครองควรพิจารณาด้วยตัวเองอีกว่า

เรื่องไหนควรจูงเด็กในสังกัดตัวเองไปดู

เคยเจอเหมือนกัน พาเด็กเข้าไปดูหนังเขย่าขวัญ

เลือดท่วมจอ ปรากฏว่าเด็กร้องโยเยทั้งเรื่อง

แถมผู้เป็นแม่ยังต้องคอยปลอบลูกอีก

(เพิ่มมาอีก 1 เสียงที่รบกวนเรา)

ถ้าลูกไม่หยุดร้อง บางครั้งหล่อนก็ต้องลุกจากที่นั่ง

พาลูกออกไปเดินเล่นสงบสติอารมณ์

พอลูกหลับหล่อนเดินกลับเข้ามานั่งใหม่

พอหนังเสียงดังลูกร้องอีก หล่อนก็เดินออกไปอีก

เข้าๆ ออกๆ ไมได้เกรงใจคนอื่นเลย


เซ็งชะมัด และประทานโทษเถอะ

เด็กแบเบาะอ่ะ ไม่ต้องเอาเข้ามาในโรงหนังหรอก

เจอมาหลายที กลัวลูกรับรู้ช้าหรือไงไม่รู้


โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:10:57:57 น.  

 
อ่านแล้วอยากแสดงความเห็นที่สุด

ประเด็น จัดเรต …”อิสรภาพของผู้ผลิตงานศิลปะ(ผู้สร้าง) อิสรภาพและวุฒิภาวะของเสพงาน(ผู้ชม)" เป็นสิ่งที่ควรส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดเป็นรูปธรรม (ในชาตินี้) เป็นยิ่งนัก...

ความเบื่อหน่ายเรื่องนี้ เป็นเหตุผล(ส่วนตัว) ที่เลือก shop หนังแผ่นโดยเฉพาะแผ่นที่บอกว่า "ไม่เซ็นต์เซ่อๆ" มามอมเมาตัวเองที่บ้าน ...หรือบางครั้งยอมตัดใจไม่ดูทั้งเรื่องทั้งที่เสียดาย เพียงเพราะไม่ชอบบางฉาก ขี้เกียจไปนั่ง อู๊ยยย… ว๊ายยย… ยีสต์สสส… ให้คนรอบข้างรำคาญ!

และเป็นเหตุผล(ส่วนตัวอีกแหละ) ที่ยอมจ่ายเพื่อชื่นชมศิลปะแขนงต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์จากหลายแหล่งผลิต ที่"ผู้ใหญ่" มีวุฒิภาวะสมวัย!

หลายคนบอกเรื่องนี้เกิดไม่ได้ในเมืองไทย...
ทำไมอ่ะ? ...คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ก็ไม่ได้มีสมองไว้เพียงคั่นหู...
...แต่ถ้าปิดหูปิดตา …ถนอมไข่ไว้ในหิน …เลี้ยงเด็กให้เป็นลูกแหง่
…ไม่ส่งเสริมให้มีภูมิต้านทานที่ควรได้รับจากครอบครัว หรือสังคม
…ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้(ชีวิต) เพื่อเติบโต ฯลฯลฯ

…อย่างนี้ไปเรื่อยๆ…อย่างนี้ไปตลอด…
ก็ไม่แน่ใจว่าเด็กรุ่นหลังเราจะเป็นอย่างไร


เรื่องดีๆ ที่สมควรเกิดขึ้นในสังคม
ควรช่วยกันดิ้นรน สนับสนุน ส่งเสริม ให้เกิดขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ...
บ่นๆๆๆ บ่นดังๆ หรือตั้งประเด็นช่วยกันแสดงความเห็น นั่นก็เพราะใส่ใจสังคมในรูปแบบต่างๆ กันไป ...นับถือและยินดีให้ความร่วมมือเท่าที่สามารถทำได้

ดีกว่าไม่สนใจ ...ไม่ใส่ใจ ...หันหลังให้ …เพราะเซ็งและปลง! (อย่างที่เราเคยทำ เช่น เลิกดูทีวี ฟังรายการวิทยุ ที่โคตะระมอมเมาไปนานแล้ว) …

ช่วยกันทำสังคมของเราให้น่าอยู่ ไม่ว่าในจอหรือนอกจอคอมฯ …เพราะทุกคนต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข …และสุดท้ายเราก็ต้องอยู่ (อย่างมีความสุขตามวิถีของแต่ละคน) ในสังคมเดียวกันนี่แหละค่ะไม่ว่าในจอ/นอกจอ

เอ้า ... Big Vote!
อ้าว! ไม่มีให้โหวต เหรอเนี่ย ... อิอิ

ขออภัยที่เขียนยืดยาวสุดๆ ตั้งแต่เข้าวงการ (blog)


โดย: bua ja วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:16:53:41 น.  

 
เห็นด้วยกับการจัดเรตภาพยนตร์

ให้ 1 โหวต ... ถ้ามี

กรณี "มีนม มีเบลอ" เหมือนกับ "สักแต่ว่าเซนเซอร์" ไปตามหน้าที่ ไม่ได้ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองว่าสมควรแก่เหตุหรือไม่ ฉากนั้นๆ มีเหตุ มีผล ต่อเรื่องราวหรือไม่ หรือเป็นฉากแค่เพื่อขาย
..
แต่เข้าใจว่าที่ไม่จัดเรตภาพยนตร์ เพราะ .. ยุ่งยาก ต้องใช้ระเบียบการคิดที่ค่อนข้าซับซ้อนในการจำแนกประเภท .. การ "มีนม มีเบลอ" จึงปฏิบัติง่ายกว่า...
..


โดย: NooNok [MiChiYo] วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:17:09:29 น.  

 
^
^
... มีที่ให้โหวตครับ คือ ตามไปโหวตในพันทิปได้เลยคร้าบ ตามลิงค์ด้านบน

ขอบคุณทุกๆความเห็นที่เข้ามา เบื่อหน่าย ระบบนี้ในบ้านเราครับ


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:17:26:58 น.  

 
ในวีซีดีก็เบลอไปหมดเหมือนกัน
ทั้งๆที่ ที่บ้านเราไม่มีเด็ก มีแต่คนชรา


โดย: amderndog (amoderndog ) วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:19:13:20 น.  

 
อยากด่าไอ้กระทรวงนี่
แต่กลัวบล๊อกนี้จะโดนแบน

ยิ่งตอนหลังยังมานั่งเซนเซอร์ชิซุกะอีก...
ผมว่าไอ้คนที่ทำหน้าที่ตรงนี้นี่มันงี่เง่าและโง่ที่สุด - -*


โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:21:01:04 น.  

 
เซ็งค่ะ หนังดี ภาพสวย แต่ดันมาบัง เซ็งสุดๆ


โดย: +<Micho-lovers>+ (Cecile_FCB ) วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:21:26:03 น.  

 
ผู้ใหญ่บ้านเรามีเเนวคิดอยู่อย่างเดียวคือ ป้องกัน เเต่ไม่สร้างภูมิคุ้มกัน

เราจึงต้องทนเห็นการเซนเซอร์เหล้า บุหรี่ นม ปืน อยู่ตลอดไปครับ

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่เน้นสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก เยาวชน หรือว่าเป็นเพราะมันง่ายกว่าที่จะเซนเซอร์นมไม่ให้คนดูเห็น


โดย: bigwores วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:22:24:50 น.  

 
ผ่านมาเจอบล็อกนี้พอดีน่ะค่ะ
เพิ่งไปดูมาเหมือนกัน
หงุดหงิด เคืองตากับเซนเซอร์สุดๆ
เรื่องอื่นมากกว่านี้ก็ไม่เห็นจะโดนบัง


โดย: เพนกวิน IP: 203.153.175.205 วันที่: 23 มีนาคม 2550 เวลา:23:50:52 น.  

 
บ่นกันมา..บ่นกันไป..
สงสัยบ่นผิดที่..เหอะๆ...
น่าจะจัดให้มีตัวแทนเข้าไปเจรจาเป็นเรื่องเป็นราว
ก็เห็นจัดเรตทีวีแล้วนี่...หนังก็ไม่น่าจะยาก..

ตกลงกระทรวงวัฒนธรรมเป็นคนรับผิดชอบเหรอ? ถ้างั้นคงต้องรอไปชาติหน้าตอนค่ำๆ กระมัง

บ้านเรา ..ภาครัฐมองหนังเหมือนผลิตภัณฑ์เต้นกินรำกินทั่วไป ไม่ได้เห็นหรอกว่าอิทธิพลของมันเปลี่ยนชีวิตคนได้ขนาดไหน หนังบ้านเราถึงไม่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นอุตสาหกรรมได้เลยสักรัฐบาล

ฉะนั้น อะไรที่จะเกิดขึ้นกับวัฒนธรรมภาพยนตร์ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ภาครัฐจะสนใจ ..ต้องรอนักการเมืองรสนิยมอุบาทว์ตายยกล็อตซะก่อนคงจะทันได้เห็น


โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 25 มีนาคม 2550 เวลา:12:42:48 น.  

 
เคืองสุดฤทธิ์ไปดูมาจะเซ็นทำไมเนี่ย เห็นด้วยกับการจัดเรตนะ ดีกว่ามาทำเบลอทำมัว สงสัยกองเซ็นท์เซอร์เค้าจะเบลอก็เลยทำเบลอๆ


โดย: LiTtLeAnGeL IP: 203.113.0.192 วันที่: 5 เมษายน 2550 เวลา:13:37:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
21 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.