www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

จากกระทู้ "ถ้าวันนั้นผมไม่เลือกเรียนหมอ ชีวิตคงจะมีความสุขกว่านี้ "

คนตั้งโพสต์มาจากที่อื่นที่เขาโพสต์ไว้ว่า

ตอนนี้ทำงานในโรงพยาบาลของรัฐครับ

ผมยังจำได้ในวันแรกที่สอบได้ ญาติๆและคนรู้จักต่างมาแสดงความยินดี.... แต่มีญาติสนิทคนนึงที่เป็นหมอ ท่านเดินเข้ามาท่ามกลางวงที่แสดงความยินดี และจับไหล่ผมก่อนจะบอกว่า เสียจด้วย ที่ห้ามไม่ให้เรียนหมอไม่ได้
ท่านบอกว่าผมจะต้องทนทรมานไปอีกนานเพราะชีวิตที่ยากลำบาก ซึ่งตอนนั้นผมตอบไปว่า ผมทนเหนื่อยได้แน่นอน..... แต่ผมไม่รู้เลยว่า มันไม่ได้แค่ความเหนื่อยเท่านั้น หากแต่มีความหนักใจและความน้อยใจต่างหาก

วันแรกที่ไปสัมภาษณ์ คำถามที่อาจารย์แพทย์ถามคือ ทำไมอยากเป็นหมอ ผมตอบไปว่า เพราะเป็นอาชีพที่น่าจะมั่นคงและได้ทำงานไปพร้อมๆกันกับช่วยเหลือคนอื่น อาจารย์ถามต่ออีกว่าแล้วคิดว่าจะไปทำงานในชนบทหรือเปล่า ผมก็ตอบว่า ก็ต้องไป เพราะเป็นทั้งหน้าที่และสิ่งที่น่าทำอยู่แล้ว............. ปีนั้น ผมรู้มาทีหลังว่าเพื่อนๆหลายคนคิดอย่างนั้น มีน้อยคนที่ตอบไปว่าอยากเป็ฯเพราะอยากช่วยเหลือผู้คน ซึ่งเป็นคำตอบโหลๆในอดีต
ด้วยอุดมการณ์ที่สูงเต็มที่ตอนปี1-2-3 ผมว่าผมก็ตั้งใจเรียน ในขณะเดียวกันก็พยายามรู้จักข่าวสารบ้านเมืองอย่างที่คนที่จะเป็นหมอควรรู้ โดยละเอาเวลาที่จะไปเที่ยวเล่นหรือเที่ยวสถานที่อโคจรออกไป กิจกรรมที่เห็นว่าทำไปเพื่อความสนุกสนานเช่นดูหนังดูละครไปเที่ยวห้างโยนโบลล์อย่างที่เคยทำตอนมัธยม เลิกหมด...... มาทำงานในหอผู้ป่วย พยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจในทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ว่าคนป่วยและญาติก็เป็นคนๆนึง
ผมเชื่อว่านศพ.ในปัจจุบัน ตระหนัก และไม่คิดว่าคนไข้เป็นแค่"เคส" แต่มองคนไข้เป็นคนๆนึง

ระหว่างเรียนในปี5-6 พวกผมต้องเรียนและทำงานบางอย่างเพื่อเพิ่มประสบการณ์ และทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระงานในโรงพยาบาล หลายครั้งที่ต้องอดหลับอดนอนจนป่วย (นอนวันละ1-2ชั่วโมงโดยไม่ได้แอบไปงีบพักตอนกลางวัน) หลายครั้งกินข้าววันละมื้อ
ตอนตีสามตีสี่ ต้องมานั่งเย็บแผลให้คนเมาที่ทะเลาะกัน บางครั้งเย็บไปโดนด่าไปด้วยคำพูดที่หยาบคาย ร้ายไปกว่านั้นบางครั้งโดนร้องเรียนกล่าวหาว่าไปแกล้งเย็บแรงๆหรือไปแกล้งเย็บโดยไม่ฉีดยาชา (บ้าเหรอ แค่ฉีดยาชาก็ร้องแหกปากหาแม่แล้ว)
ช่วงที่เรียนอยู่ ในเวลาร่วมๆสามเดือนที่อยู่ห้องฉุกเฉิน ผมโดนคนไข้ที่เมาทำร้ายร่างกายไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเตะ
ช่วงที่ต้องรักษาคนไข้เอดส์ ถูกคนไข้ทำเข็มเปื้อนเลือดแทงเข้าที่มือ โดยญาติคนไข้บอกว่า "ก็หมอบอกว่าไม่รังเกียจ แล้วจะบ่นไปทำไม" และเกือบโดนร้องว่าทำกริยาไม่เหมาะสมดูถูกคนไข้ ด้วยการรีบไปล้างมือ
คนไข้โรคหัวใจน้ำท่วมปอดแล้ว สั่งห้ามกินอาหารเค็มและจำกัดน้ำ แต่ญาติๆช่วยกันหาอาหารทั้งเค็มๆ(แกกินเค็มกว่าผมอีก)และน้ำมาให้ ผลคือคนไข้ทรมานด้วยอาการหายใจไม่ออก ซึ่งญาติก็ก่นด่าหมอทุกวันและหาว่าดูถูกว่าจนเลยไม่รักษา
แม่เด็กเป็นไข้เลือดออก พอไข้ลงก็ได้อธิบายว่าต้องอยู่ต่อ เพราะเป็นไข้เลือดออกแล้วจังหวะไข้ลงคือช่วงที่อันตรายที่สุด แม่เด็กไม่เชื่อและไม่ยอมจะเอาลูกกลับให้ได้และด่าว่าหมอว่าจะเอาไว้ให้เสียเงินใช่ไหม ในระหว่างที่เถียงเด็กก็ชัก.....ขณะที่หมอพยาบาลกำลังช่วยเด็ก ญาติๆก็มาถึง เมื่อหมอออกมาก็พบกับแม่เด็ก ที่กำลังเล่าให้ญาติของตนและชาวบ้านที่มาเยี่ยมคนที่ป่วยว่า หมอเห็นว่าตนไม่มีเงินเลยจะไล่ลูกแกที่เป็นไข้เลือดออกให้กลับบ้านโดยที่แกไม่ยอม,,,,,,,,,, เป็นคำโกหกที่ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งนึงของคนไข้ที่เราพยายามช่วยในทั้งการรักษาโรคและทางสังคมจิตใจ

ผมจบมาด้วยความรู้สึกว่า สังคมไทยมันก็แย่พอสมควร คนไทยก็เชื่อข่าวง่ายๆ
บางข่าวเชื่อข่าวฝ่ายเดียวที่คนไข้เอามาเสนอ พอความจริงปรากฎ สื่อก็เงียบ ไม่มีแม้แต่จะขอโทษ
บางข่าวซึ่งเป็นส่วนใหญ่ทีเดียว สื่ออธิบายวิชาการทางการแพทย์คลาดเคลื่อนแล้วบวกกับคำพูดฝ่ายเดียวของคนไข้ เพื่อทำให้หมอเป็นคนที่ดูผิด
ในที่สุด ผมก็จบมาโดยหวังว่า เมื่อมาทำงานให้ประชาชนในพื้นที่ๆขาดหมอ คงเจอคนดีๆมากกว่า ส่วนเรื่องเงินเดือนผมบอกตรงๆว่าไม่ได้คิดเลย เพราะการเรียนแพทย์ที่ผมเจอมา ทำให้ผมไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปทำอะไรได้อีก รวมไปถึงครอบครัวที่พอจะมีกินบ้าง
เพื่อนที่จบวิศวะรุ่นเดียวกันหลายๆคน รายได้รวมของแต่ละคน มากกว่ารายได้รวมของผมทั้งหมดทุกด้านเอามารวมกันซะอีก (ใครว่าหมอเงินเดือนเยอะฟะ) แต่ทำงานเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์ ผมทำงานมากกว่า วันละประมาณ8-9ชั่วโมง(สัปดาห์ละ64ชั่วโมง)

ที่จริงทนมาได้นานแล้วนะ แต่ว่าช่วงนี้มีข่าวหมอบ่อยและมีเรื่องกระทบจิตใจพอสมควร
เรื่องแรก คนไข้ปวดท้องมา10กว่าวัน ดูยังไงก็ไส้ติ่งที่แตกไปแล้ว พอมาก็งดน้ำงดอาหารให้ครบ6ชั่วโมงเพื่อจะดมยาให้อย่างปลอดภัย ผ่าเสร็จก็มาดูบ่อยๆเพราะว่าอาการไม่ได้ดีมาก
นี่แว่วๆมาว่า มีคนเชื่อว่าเรื่องงดน้ำอาหารเป็นเรื่องโกหกและผมไปดูเพราะรู้สึกผิด
อีกเรื่อง มีเพื่อนเย็บแผลห้ามเลือดที่ทวารหนัก แล้วเอาไปผ่าต่อภายหลัง ญาติคนไข้หาว่าไปเย็บผิดต้องไปผ่าเสริม

เบื่อไปหมด ยิ่งช่วงนี้มีกระแสมั่วว่าเรียนหมอใช้เงินหลวงเยอะทั้งที่จริงเมื่อเอามาดูจริงๆ รายเงินที่สนับสนุนมาที่ตัวคนเรียนจริงๆ หมอก็ยังไม่ได้มากที่สุดด้วยซ้ำ
แต่หมอกลับต้องมาใช้ทุนในลักษณะทาสการเงิน โดยถูกมองว่าหมอไม่อยากมาอยู่หรอก(ทั้งที่ส่วนใหญ่แม้ไม่ต้องจ่าย ทุกคนก็อยากมา ปีนี้ลาออกน้อยมากๆด้วย)

เบื่อเมืองไทย ที่เป็นแบบนี้ ถ้าต่อไปคนจ้องหาเรื่องมากกว่านี้ อุดมการณ์ผมคงกระเจิงแน่ๆ


...เฮ้อ อ่านแล้วก็เกิดอารมณ์ร่วมมาทันที ก็อปความเห็นตัวเองที่ตอบมาใส่ไว้ด้วยดีกว่า เผื่อมีกระทู้แบบนี้จะได้ไม่ต้องเขียนให้เมื่อยมืออีก

....รูปแบบสังคมและความสัมพันธ์หมอกับคนไข้กำลังจะเปลี่ยนไปจากอดีต ที่หมอทำอะไรชาวบ้านไม่เคยรู้หมอถูกทุกอย่างแต่ปัจจุบันกำลังจะเป็นคนละขั้วคือรักษาไม่หายเกิดภาวะแทรกซ้อนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผิดไม่ผิดไม่รู้ลองฟ้องดูก่อน ลองออกข่าวดูให้สื่อช่วย

....เรื่องที่คนโพสต์มาก็เป็นเรื่องจริงที่หมอแทบทุกคนก็ต้องเคยเจอ แต่จะเอามาเล่าก็คงต้องเจอความเห็นคล้ายๆความเห็น9 เพราะภาพของคนที่มองหมอ หมอไม่ควรเรียกร้องไม่ควรโอดครวญ คุณกินเงินหลวง ใครขอให้คุณเรียน ถ้าไม่พร้อมก็ออกไป

....หมอเลวๆก็มีอยู่จริง หมอขาดความรับผิดชอบก็มีอยู่จริง ซึ่งพวกนี้แหละที่ทำให้สังคมหมอถูกมองและคาดหวังต่างออกไป พูดจาที่เอกชนดีพูดจาที่รพ.รัฐพูดอีกอย่าง/เอาเวลาหลวงไปทำคลินิค ฯลฯ สิ่งที่ตามมาคือภาพเหล่านี้เริ่มเกิดเป็นลักษณะgeneralizationคือกลายเป็นภาพรวมที่คนเริ่มมักคิดถึงหมอทั่วๆไปแล้ว

.....เอ แล้วผมมาพิมพ์อะไรอยู่เนี่ย สุดท้ายก็คงได้แต่คิดว่า หมอทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด คิดถึงคนไข้เป็นหลักไม่ใช่เงิน การสื่อสารที่มักเป็นปัญหาก็ทำให้มากขึ้น ระบบและเงินจากเรื่อง30บาทอย่าให้มันมาครอบการทำงานจนเกินไป(ถ้าจะพังก็พังไปด้วยกันทั้งหมอและรพ.และคนสร้างระบบ แต่ไม่ใช่ห่วงแต่งบให้พอรพ.จนตัดโน่นตัดนี่แล้วชาวบ้านไม่พอใจ) ถ้าไม่ไหวจริงๆก็รวมตัวกันบอกทางรัฐ(ซึ่งมักไม่ฟังเลย เพราะรู้อยู่ว่าไม่จำเป็นต้องเข้าข้างหมอ เมือไหร่ที่หมอเรียกร้องเมื่อนั้นก็จะเป็นภาพทางลบอยู่แล้ว) ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ออกไปทำส่วนตัวเสียหากผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ช่วยจริงๆ

....ส่วนคนไข้ก็ช่วยกันสอดส่องดูแลกำจัดหมอเลวๆออกไป ในขณะเดียวกันก็อยากให้เข้าใจว่าการรักษาของหมอไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มันก็ต้องมีไม่หาย มีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ฯลฯ ถ้าเกิดขึ้นอยากให้ลองคุยกับหมอคนนั้น หา2nd opinion ก่อนที่จะฟ้องสื่ออยากให้ไปฟ้องแพทยสภา(ผมยังยืนยันและเชื่อถือในแพทยสภาถ้ามาอยู่จริงๆจะรู้ว่าเค้าไม่ได้ปกป้องแบบหน้ามืดตามัว)

.....สื่อมวลชน เลิกที่จะสนุกกับข่าวชนิดพาดหัวด่าไปก่อนได้แล้ว คุณทำลายหมอมากี่คนแล้วที่เขาไม่ผิดจริงแต่คุณพาดหัวว่า หมอมั่ว หมอพลาด ฯลฯ แล้วเมื่อเขาถูกมีใครตามแก้ข่าวให้เขามั้ย ชื่อที่เสียจากคนอ่านหนังสือพิมพ์วันนั้นวันเดียวมันแก้ได้มั้ย และมันทำให้หมอเริ่มกลัวการฟ้องทุกทีเพราะสื่อเล่นกันมันส์แบบนี้(เออ ถ้าผิดจริงแล้วตีข่าวจะไม่ว่าสักคำ)จนนำไปสู่การตรวจเกินความจำเป็นมากมาย ไม่ได้ทำเพื่อคนไข้แต่เพื่อป้องกันตัวเอง

....หวังว่าหมอจะอยากอยู่ช่วยเหลือผู้คนมากขึ้น คนไข้และญาติจะเข้าใจหมอมากขึ้น และความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้จะไม่สุดขั้วเหมือนที่เขียนข้างต้น


...ใครหลงเข้ามาในหมวดนี้อยากอ่านรายละเอียดความเห็นอื่นก็เข้าไปได้ที่ //www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3459492/A3459492.html






 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2548
9 comments
Last Update : 6 มิถุนายน 2549 0:36:23 น.
Counter : 638 Pageviews.

 

แต่สำหรับผม
จะมีความสุขยิ่งกว่านี้ถ้าได้เรียนหมอ

 

โดย: panumas05 6 พฤษภาคม 2548 22:50:04 น.  

 

อืมมมม....เข้าใจหมอนะคะ...

เป็นกำลังใจให้กับหมอ ที่มีอุดมการณ์ และจรรยาบรรณ ทุกท่าน นะคะ...

 

โดย: GUERILLA 6 พฤษภาคม 2548 22:52:20 น.  

 

คนในอยากออก .. คนนอกอยากเข้า

ล.ป. เข้าใจหมอคนนั้นนะ ..
เพราะมีคนใกล้ชิดเปนหมอ ..
จรรยาบรรณมันค้ำคอ..
อีกอย่าง .. ต้องทำงานอยู่กับชีวิตคน ..

^^

 

โดย: เสือดาว 6 พฤษภาคม 2548 23:23:04 น.  

 

นั่งอ่านเงียบๆๆ ม่ายกล้าออกความคิดเห็นอะ..

เพราะคนทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ ก้ขอเป็น

กำลังจัยให้กับหมอดีๆๆทุกๆๆคนนะจ้า

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 6 พฤษภาคม 2548 23:25:14 น.  

 

ตอนเรียนหมอ

กับตอนเป็นหมอ

ความรู้สึกมันคงต่างกันน่ะค่ะ

 

โดย: PADAPA--DOO (PADAPA--DOO ) 6 พฤษภาคม 2548 23:25:30 น.  

 

Sugar and Spice (Sugar and spice )

 

โดย: 6 พฤษภาคม 2548 IP: 23:47:30 202.5.88.130 น.  

 

เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 5 ค่ะ

 

โดย: Sugar and spice 6 พฤษภาคม 2548 23:49:19 น.  

 

มาเป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ อุดมการณ์เป็นสิ่งที่ดีค่ะ อย่าท้อเลยนะคะ




เราเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน คงต้องรอดูต่อไป...

 

โดย: Korean_Girl 14 พฤษภาคม 2548 18:28:54 น.  

 

เจ็บปวดแทนจริงๆค่ะ
อยากให้ทุกคนเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากกว่านี้

 

โดย: oporr (fakeplasticgirl ) 3 กรกฎาคม 2548 20:44:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2548
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.