การเลือก ป.ป.ช. มีปัญหาอีกแล้ว!

บทความ โดย สิริอัญญา
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

       การประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ที่ลงมติเลือกคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ทำท่าว่าจะมีปัญหาอีกแล้ว!

       แต่ทว่าท่าทีของประธานวุฒิสภาประจักษ์ชัดว่า โน้มไปในทางมติของเสียงข้างมาก ที่จะถวายคำแนะนำแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ที่ได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.

       ในขณะที่เสียงข้างน้อยวุฒิสภาได้ทักท้วงอย่างหนักแน่นว่าการเลือกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพราะคัดเลือกจากบัญชีสรรหาเพียง 17 คน ไม่ครบจำนวน 18 คน ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ

       และมีสมาชิกวุฒิสภากลุ่มหนึ่ง ได้แสดงท่าทีว่าจะเสนอเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่าการเลือกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

       เรื่องจึงทำท่าว่าจะเป็นปัญหาขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งแล้ว เพราะขณะนี้ปัญหาเรื่องผู้ว่าฯสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็ยังดันทุรังยื้อให้คาราคาซังกันอยู่ ปัญหาเรื่องคณะกรรมการ กสช. ซึ่งดูแลรับผิดชอบคลื่นความถี่และการสื่อสาร ก็มีปัญหาคาราคาซังอยู่ แล้วยังเกิดเรื่องคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซ้ำเติมเข้ามาอีก

       กลายเป็นว่าองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของชาติ องค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินและการปฏิบัติราชการแผ่นดิน และองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพากันเดี้ยงหมด ปฏิบัติหน้าที่อะไรไม่ได้

       ทำให้ผลประโยชน์ของชาติถูกปู้ยี้ปู้ยำตามใจชอบ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินและการใช้จ่ายเงินแผ่นดินไร้การตรวจสอบตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ และทำให้การฉ้อราษฎร์บังหลวงครึกโครมเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมืองโดยที่ไม่มีใครทำอะไร

       เหล่านี้หากจะกล่าวโดยภาพรวมก็ต้องกล่าวว่าเป็นอาเพศเหตุร้ายที่ปรากฏในบ้านเมือง และเป็นเรื่องที่ผู้คนอดสูในจิตใจ ขุ่นเคืองเคียดแค้นในจิตใจเป็นอันมาก

       ปัญหาทั้งสามเรื่องนี้ถูกพุ่งเป้าไปที่การครอบงำจากฝ่ายการเมือง หรือถูกฝ่ายการเมืองบงการ หรือไม่ก็มีการกล่าวหาว่าเป็นการวางสมัครพรรคพวกของฝ่ายการเมืองเข้าไปควบคุมหน่วยงานอิสระเหล่านี้ ซึ่งล้วนเป็นข้อกล่าวหาที่เป็นอัปมงคลทั้งสิ้น

       ปัญหาเรื่องผู้ว่า สตง. ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นไปตามที่คนทั้งปวงคาดการณ์กันไว้ คือจะถ่วงรั้งกันไว้จนผู้ว่า สตง. ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้และต้องพ้นตำแหน่งไปตามวาระโดยปริยาย

       ทั้งเป็นเรื่องที่ท้าทายพระราชอำนาจอย่างชัดแจ้ง! แต่ก็ไม่มีการแก้ไขอะไรให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องหรือดีขึ้น

       ปัญหาคณะกรรมการ กสช. เป็นปัญหาที่ถูกกล่าวหาว่าการสรรหาไม่ชอบ และเป็นปัญหาที่ถูกกล่าวหาว่ามีการวางคนของฝ่ายการเมือง เข้าไปควบคุมครอบงำเพื่อประโยชน์ของฝ่ายการเมืองก็ยังคาราคาซังอยู่ว่า ได้เสนอเรื่องขึ้นไปเพื่อกราบบังคมทูลแล้วหรือไม่

       ความสับสนว่าอะไรจริง อะไรเท็จ จึงครอบงำบรรยากาศบ้านเมืองของเราในทุกวันนี้

       มาคราวนี้ก็เกิดกรณีปัญหาการคัดเลือกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซ้ำขึ้นมาอีก กรณีมีข้อกล่าวหาสองประการ คือ เป็นการคัดเลือกตามโผที่ฝ่ายการเมืองกำหนด และยังชี้ชัดลงไปอีกว่ามีการกำหนดตัวประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. จากฝ่ายการเมืองชัดเจนว่าเป็นใคร ทำให้เกิดการจับตามองแล้วเกิดความเสียหายขึ้นแก่ผู้ถูกระบุนามนั้น

       ข้อกล่าวหาประการที่สองก็คือการเลือกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ซึ่งข้อกล่าวหานี้จะมีผลทางกฎหมายและเป็นเรื่องที่จะทำให้การแต่งตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยืดเยื้อเรื้อรังต่อไปอีก

       แต่ละฝ่ายต่างก็โต้ต่างก็เถียงกันไปบนจุดยืนผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งต่างก็มีเหตุผลน่าฟังอยู่ทั้งสิ้น แต่สำหรับชาวบ้านอย่างเราท่านจะฟังการประการใด ก็ควรจะได้รู้ข้อมูลเป็นเบื้องต้นว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร บทกฎหมายในเรื่องนี้ว่าอย่างไร จะได้ไม่ถูกเขาหลอกเอาง่าย ๆ

       ดังนั้น สิริอัญญาผู้มีปัญญาอันน้อยจึงถือเอาเป็นภาระหน้าที่ของตน ในการทำความเข้าใจให้ชาวบ้านอย่างเราท่านได้เข้าใจเรื่องนี้โดยทั่วกัน

       อันกระบวนการได้มาซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้นพอจะสรุปได้ว่ามีอยู่ 4 กระบวนการ หรือ 4 ขั้นตอนคือ

       ขั้นตอนแรก เมื่อตำแหน่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่างลงคือไม่ว่าจะว่างลงทั้งคณะจำนวน 9 คน หรือว่าจะว่างลงบางตำแหน่งก็ตาม ก็ต้องตั้งคณะกรรมการสรรหาขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ

       ขั้นตอนที่สอง เป็นขั้นตอนการสรรหาที่คณะกรรมการสรรหา จะต้องสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติให้ได้จำนวน 2 เท่า ของจำนวนตำแหน่งที่ว่างลง

       นั่นคือถ้าตำแหน่งว่างทั้งคณะคือจำนวน 9 คน ก็ต้องสรรหาให้ได้จำนวน 2 เท่าคือ 18 คน หรือถ้าตำแหน่งว่างลงเพียงคนเดียวก็ต้องสรรหาให้ได้จำนวน 2 เท่าคือจำนวน 2 คน เมื่อสรรหาได้แล้วและเป็นไปตามเงื่อนไขในการสรรหาแล้ว คณะกรรมการสรรหาก็จะส่งบัญชีรายชื่อไปยังวุฒิสภา

       จากนั้นวุฒิสภาก็จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคล ที่ได้รับการเสนอชื่ออีกครั้งหนึ่งว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติหรือไม่

       ขั้นตอนที่สาม เป็นขั้นตอนการเสนอบัญชีรายชื่อให้วุฒิสภาพิจารณาคัดเลือก ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการ ป.ป.ช. โดยจะเป็นการคัดเลือกให้เหลือครึ่งหนึ่งคือเท่ากับจำนวนตำแหน่งที่ว่าง และผู้ได้รับเลือกจะต้องประชุมกันเองเพื่อเลือกคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. แล้วแจ้งให้ประธานวุฒิสภาทราบ ยกเว้นกรณีเป็นเรื่องตำแหน่งว่างเพียงตำแหน่งเดียวหรือไม่ได้ว่างหมดทั้งคณะ

       ขั้นตอนที่สี่ เมื่อวุฒิสภาคัดเลือกแล้ว ประธานวุฒิสภาก็จะนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและกรรมการ ป.ป.ช. โดยประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

       กรณีที่มาเกิดปัญหาขึ้นนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง ได้มีคำพิพากษาว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดก่อนกระทำผิดกฎหมาย และต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้มีการสรรหาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่กำลังเป็นปัญหากันอยู่นี้

       เรื่องราวได้ผ่านกระบวนการขั้นที่หนึ่งคือขั้นตอนตั้งคณะกรรมการสรรหา และผ่านกระบวนการขั้นที่สองคือการสรรหามาแล้ว แต่พอมาถึงกระบวนการขั้นที่สามก็เกิดปัญหาขึ้น

       นั่นคือเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2548 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกคณะกรรมการสรรหาได้เสนอชื่อเป็น 1 ใน 18 คน ได้ขอถอนตัว

       ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ที่จะกระทำได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับเหมือนกับการสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่สมัครแล้วจะถอนตัวไม่ได้ ดังนั้นเมื่อพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ถอนตัวจึงทำให้บัญชีรายชื่อที่เสนอต่อวุฒิสภาเพื่อดำเนินการคัดเลือกจึงเหลืออยู่เพียง 17 คน เป็นอันว่าไม่ครบ 18 คนตามที่กฎหมายกำหนด

       นั่นคือบัญชีรายชื่อที่เสนอให้วุฒิสภาคัดเลือกมีจำนวนไม่ครบ 2 เท่าของจำนวนตำแหน่งที่ว่างคือจำนวน 18 คน เพราะบัญชีนั้นเหลือรายชื่ออยู่เพียง 17 คนเท่านั้น

       ถ้าจะทำให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายก็จะต้องให้คณะกรรมการสรรหาไปดำเนินการสรรหาเพิ่มเติม หรือแก้ไขตามวิถีทางที่กฎหมายบัญญัติเพื่อให้บัญชีผู้ถูกสรรหาครบจำนวน 2 เท่าของตำแหน่งที่ว่างคือ 18 คน

       แต่กระบวนการดำเนินไปด้วยความใจร้อนด่วนได้ ใช้เสียงข้างมากลงมติคัดเลือกกรรมการ ป.ป.ช. 9 คน จากจำนวน 17 คน ทั้ง ๆ ที่กฎหมายบัญญัติชัดแจ้งว่าบัญชีรายชื่อนั้นต้องมีจำนวน 2 เท่า ของตำแหน่งที่ว่างคือ 18 คน นี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา

       การที่บางคนแย้งว่าถึงแม้ไม่ครบ 18 คนก็เลือกได้นั้น พูดน่ะพูดได้ มีอำนาจจะพูดอะไรก็ได้ แต่หลักกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นอย่างไรก็ควรได้ให้ความเคารพกันบ้าง มิฉะนั้นกรณีก็จะกลายเป็นเรื่องตีความกฎหมายและ บังคับใช้กฎหมายตามอำเภอใจ หลักนิติรัฐของบ้านเมืองจะเหลือหลออะไรให้ผู้คนพึ่งพายึดถือได้อีก

       ลองนึกดูก็ได้ว่า หากกรณีมีอันเป็นไม่ว่าด้วยการถอนตัว หรือด้วยเหตุประการอื่นก็ตามทำให้บัญชีรายชื่อเหลืออยู่เพียง 9 คน แล้ววุฒิสภาจะคัดเลือกให้เหลือครึ่งหนึ่งได้อย่างไร เพราะจำนวนตามบัญชีรายชื่อมีจำนวนไม่ถึง 2 เท่าของตำแหน่งที่ว่างตามที่กฎหมายบัญญัติเสียแต่ต้นแล้ว หรือในกรณีที่ตำแหน่งว่างลง 1 ตำแหน่ง แล้วเสนอบัญชีรายชื่อที่เหลือจากการถอนตัวหรือเหตุอื่นมาเพียงรายชื่อเดียว ดังนี้วุฒิสภาจะคัดเลือกอะไรได้อีก

       กรณีก็จะกลายเป็นเรื่องตัดสิทธิ์อำนาจของวุฒิสภาในการคัดเลือกจากจำนวน 2 เท่าให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ เป็นการล้มบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้โดยตรง

       แต่ทว่าเมื่อเสียงข้างมากลากไปได้อย่างนี้ กรณีก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ยังคงหวังความถูกต้องได้จากกระบวนการที่เหลือและกระบวนการอื่นตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ

       นั่นคือการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการคัดเลือกคราวนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมายหรือไม่

       และพระราชอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้มีพระราชอำนาจและพระราชเอกสิทธิ์ในการแต่งตั้งหรือไม่ทรงแต่งตั้งตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติก็ได้

       เพราะการแต่งตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้นเป็นพระราชอำนาจโดยตรง วุฒิสภาเป็นเพียงแค่ผู้ถวายคำแนะนำเท่านั้น การแต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยสิทธิ์ขาด ผู้ใดจะละเมิดหรือฟ้องร้องมิได้ และนี่ก็คือหลัก The King Can Do No Wrong ไม่ใช่เป็นดังที่กำลังบิดเบือนกันอยู่ให้เป็นว่า The King Can Do Nothing

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2548		6 comments
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2548 7:24:14 น.
Counter : 533 Pageviews.
Share Tweet