Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
8 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
อากงกับโคมไฟ

บทความ โดย คำนูณ สิทธิสมาน
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

       ศูนย์กลางของสถานการณ์การเมือง ณ นาทีนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าคือการต่อสู้ระหว่างนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล มิหนำซ้ำยังเป็นสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นทุกวัน อย่างน้อยที่สุดก็มีเสียงระเบิดให้ได้ยินแล้ว 2 ครั้ง และวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2548 ที่จะถึงจะเป็นครั้งแรกที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 8 จัดขึ้นกลางแจ้ง ณ เวทีกลางแจ้งในสวน สวนลุมพินี

       โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้เรียกร้องให้ผู้คนมาสำแดงพลังบริสุทธิ์กันให้ได้ถึง 50,000 คน

       แม้คุณสนธิ ลิ้มทองกุลจะพูดเสมอมาว่าท่านเป็นเพียง “ยาม” ที่ทำหน้าที่ “เฝ้ายามแผ่นดิน” เมื่อพบเห็นการปล้นแผ่นดิน ก็ต้องตะโกนร้องบอกเจ้าของบ้านให้ออกมาปกป้องพิทักษ์ทรัพย์สิน

       แม้คุณสนธิ ลิ้มทองกุลจะเฝ้าบอกว่าเป็น “การทำงานตามปกติ” ใน “บ้านเมืองที่ไม่ปกติ” เท่านั้น

       แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว้าส่งผลสะเทือนทางการเมืองต่อนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรโดยตรง!

       ผลสะเทือนครั้งนี้ นักวิเคราะห์การเมืองหลายคนเริ่มจับตาว่าเป็นอีกมิติหนึ่งของการนำไปสู่การเปลี่ยนทางสังคม และอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในอนาคตอันไม่ไกลนัก

       ความเห็นต่อการทำหน้าที่ยามตามปกติของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ดูจะส่งผลให้สังคมมองเป็น 2 ทาง

       ทางหนึ่ง แน่นอนว่าก่อให้เกิดความตื่นตัวคึกคักในการเข้ามารับรู้ปัญหาบ้านเมืองในวงกว้าง

       อีกทางหนึ่ง หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจปัญหาว่าเหตุใดทำให้คนคนหนึ่งต้องออกมาทำหน้าที่อย่าง “ถึงลูกถึงคน” (ของจริง) ถึงขนาดนี้

       เป็นการมองต่างมุม!

       ผมเองแม้อยากจะเล่าความเป็นมาของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทั้งหมด ในฐานะที่เข้าไปมีส่วนอยู่เล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ต้น ทว่ายังไม่ใช่เวลานี้

       วันที่เขียนต้นฉบับนี้-เผอิญผมได้รับ e-mail ในลักษณะ forward เข้ามาฉบับหนึ่ง

       ขอถ่ายทอดสู่กัน

       .....

       กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

       มีอากงแก่ๆ อยู่คนหนึ่ง อยากจะสอนข้อคิดอะไรบางอย่างให้หลานๆ ตามปะสาคนแก่ จึงชักชวนหลาน 4 คนมานั่งล้อมวงแล้วบอกว่า

       “เอาล่ะหลานๆ ตอนนี้หลับตานะ...หลับตา”

       พอหลานๆ หลับตา อากงก็เดินเข้าไปห้องเก็บของแล้วหยิบโคมไฟเก่าๆ มาโคมหนึ่ง เปิดฝาครอบ จุดไฟ แล้วปิดฝาครอบไว้เหมือนเดิม

       แล้วอากงก็บอกหลานทั้งสี่ว่า

       “ลืมตาขึ้น แล้วบอกอากงซิว่าโคมไฟสีอะไร”

       เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้นตอบไล่ๆ กัน แต่ตอบไม่เหมือนกัน และเริ่มทะเลาะกัน...

       คนที่นั่งด้านหนึ่งบอกว่าสีแดง อีกด้านนึ่งบอกว่าเขียว สีเหลือง และน้ำเงิน ตามลำดับ...

       ทั้งสี่ทะเลาะกันพักหนึ่งก็มีเด็กคนนึ่งถามอากงว่า

       “อากง ทำไมของอย่างเดียวกันมีตั้งหลายสี”

       อากงก็เลยบอกว่า

       “เดี๋ยวนะ อากงจะทำอะไรให้ดู”

       ว่าแล้ว อากงเดินมาที่โต๊ะหยิบฝาครอบแล้วหมุนให้ดู ปรากฏว่าฝาครอบ 4 ด้านมี 4 สี คือ สีแดง สี เหลือง สีเขียว และสีน้ำเงิน...

       หลังจากนั้น อากงก็บอกว่า

       “เอ๊า ตอนนี้บอกอากงซิโคมไฟสีอะไร...”

       หลานๆ ตอบเหมือนกันคือ

       “สีของเปลวไฟ”

       อากงเลยบอกว่า

       “เอาละ หลานๆ อากงถามอะไรชัก 2 ข้อนะ ข้อที่ 1 เมื่อสักครู่นี้...ครั้งแรกใครผิด”

       หลานตอบว่า

       “ไม่รู้ครับ”

       อากงบอกว่า

       “อากงผิด”

       อากงอรรถาธิบายขยายความอีกว่า...

       “ฟังนะ เจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน....มองของอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย ทำไม...ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ.... ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมองของตัวเอง เห็นในสิ่งที่ตัวเองเห็น แต่..ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็นอย่างที่เขาเห็น เจ้าก็เดินไปมองที่มุมของเขา แล้วเราก็จะเห็นอย่างที่เขาเห็น....

       “แต่ถ้าลองนึกภาพนะ เจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ที่เดียวกัน มองของอย่างเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย ในอนาคต....เวลาที่อยู่ในสังคม เป็นไปได้มั้ยว่าคนเราก็มองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน....

       “เพราะฉะนั้นเวลาที่คนอื่นคิดไม่เหมือนเรา...ใครผิด...

       “ในอนาคตนะ เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่น อย่าไปโกรธว่าเขาผิด ในขณะเดียวกันก็อย่าไปกลัวว่าตัวเองผิด....

       “เพราะคนแต่ละคนก็เห็นสิ่งต่างๆ จากขอบข่ายประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมของตนเอง....

       “ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น เจ้าก็เดินไปมุมของเขา และเมื่อเจ้ายอมเข้าใจคนอื่น อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมาและเข้าใจเจ้า”

       อากงพักดื่มน้ำชาครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งคำถามที่ 2 แก่หลานทั้งสี่ต่อไป

       “คำถามที่ 2 อากงขอถามว่าที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลังเป็นของอย่างเดียวกันมั้ย”

       หลานทั้งสี่มองตากัน แล้วบอกว่า

       “อย่างเดียวกันครับ”

       อากงไล่ถามต่อไปว่า

       “แล้วเห็นเหมือนกันมั้ย ครั้งแรกเห็นอะไร”

       หลานตอบว่า

       “ครั้งแรกเห็นฝาครอบ และครั้งหลังเห็นเปลวไฟ”

       อากงเลยบอกว่า

       “หลานๆ เอ๊ย ในอนาคตถ้าเลือกได้นะ อย่ามองสิ่งต่างๆ เพียงแค่ที่เห็น แต่จงเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็น”

       ........

       บางครั้งถ้าเราสวมวิญญาณเป็นหลานๆ ของอากงมามองปัญหาของประเทศยามนี้บ้าง

       เราอาจจะ “เข้าใจ” ได้มากขึ้น!




Create Date : 08 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2548 6:26:23 น. 2 comments
Counter : 425 Pageviews.

 


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 8 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:04:10 น.  

 


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 8 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:04:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.