Group Blog |
lสมมุติ วิมุติ สมมุติ วิมุติ ถ้าเราหลุดจากสมมุติ ก็เป็นวิมุติ แต่ความจริงในทางความรู้สึกของเราที่เป็นอยู่มันกลับกัน มันจึงทำให้เราเกิดความสับสน ดังนั้นถ้าเราต้องการให้เกิดวิมุติ เราต้องนึกว่ามันเป็นสมมุติอยู่เสมอ เพราะความรู้สึกของเรามีสัญชาตญาณในการยึดมั่นนั่นเอง มันจึงเห็นอาการสมมุติทางธรรมชาติว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และมันก็มีจริงตามการเห็นได้ทางตา มันจึงเข้าไปยึดมั่นในสิ่งที่เห็น และมีปฏิกิริยาทางความรู้สึกเกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องป้อนความรู้สึกให้มันเห็นว่าเป็นการสมมุติอยู่เสมอ มันจึงจะคลายจากการยึดมั่น การคลายการยึดมั่นคือสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้น. การแก้ไขความเป็นธรรมชาติของตัวเรา สิ่งที่ยากคือการไม่เข้าใจการใช้อุบายให้เกิดผลทางความรู้สึกให้คลายออกจากการยึดมั่น เพราะปกติจิตกับกายมันปรุงแต่งกันอยู่มันจึงรู้สึกว่ามีตัวเราและไปทำปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆ เกิดเป็นทุกข์เป็นสุขหรือไม่ทุกข์ไม่สุขเกิดอยู่. แต่ถ้าเราให้มันเห็นว่าทุกสิ่งเป็นการสมมุติอยู่เท่านั้น คือมันเป็นการสมมุติขึ้นมาในความรู้สึกของเรานั่นเอง มันจะเข้าไปเตือนให้เรารู้มันตามจริง ไม่หลงไปกับสิ่งที่สัมผัส(ทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ)เพราะมันเป็นสิ่งที่สมมุติอยู่ โดยเราต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายที่จะให้ความรู้สึกไม่เข้าไปยึดมั่นนั่นเอง เราจึงต้องเห็นทุกสิ่งว่าเป็นการสมมุติอยู่เท่านั้น แต่แท้จริงสิ่งที่เห็นและรู้สึกอยู่นั้นก็มีอยู่จริง คือการมีอยู่จริงตามธรรมชาติของมัน คือมันเป็นการปรุงแต่งกันขึ้นมาของธรรมชาตินั่นเอง ถ้าเราเห็นมันว่าเป็นการสมมุติทางความรู้สึกเราๆจะเห็นมันตามจริง คือมันก็เป็นของมันอยู่เช่นนั้นเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา สรุปว่า ให้เราเห็นจักรวาลใบนี้ มีอยู่แต่ เป็นสิ่งที่สมมุติอยู่ ไม่มีอะไรจริง และตัวเราก็มีอยู่แต่ก็เป็นเพียงการสมมุตินั่นเอง แต่สิ่งที่เราต้องสังเกตคืออาการของความรู้สึกที่เกิดขึ้น คืออาการไม่เกิดการยึดมั่นปรุงแต่งในความรู้สึกนั่นเอง การมีอยู่ของทุกสิ่งจึงไม่ควรยึดมั่นแต่ให้เห็นมันตามจริงเท่านั้น คือความจริงมันก็เหมือนสิ่งที่สมมุติอยู่จริงๆคือการรวมตัวกันอยู่ของธาตุ๔ แต่ในการปฏิบัติให้สรุปลงว่าทุกสิ่งเป็นเพียงสิ่งที่สมมุติอยู่เท่านั้นเพื่อให้เกิดการรวบรัด เพื่อการส่งผลทางความรู้สึก และจำอาการนั้นไว้. .......สติ ความรู้สึกตัว ปัจจุบันขณะ การตื่นอยู่เสมอ ความว่าง คือสิ่งเดียวกัน ทำให้มากการยึดมั่นจะหลุดออกไป.......... โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:4:50:02 น.
ดูตัวอย่างชายคนนี้. //www.youtube.com/watch?v=eck4KNy5wyg โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:4:55:40 น.
....การปฏิบัติธรรม เราควรจะศึกษา เบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย ให้เข้าใจ เพราะการข้ามขั้นตอนจะนำไปสู่ความไม่เข้าใจได้ การรู้ขั้นตอนจะทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในระดับใด และจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อการเลื่อนระดับตนเอง แนะนำหนังสือ ทางวิเวก:ทางหลุดพ้นจากวังวนความทุกข์ทั้งมวล........ การสั่งซื้อเข้าไปดูรายละเอียดในหัวข้อ "การปฏิบัติธรรม" การขายก็เพื่อเป็นค่าจัดพิมพ์และค่าส่งเท่านั้น โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 25 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:47:20 น.
***ผู้ปฏิบัติธรรมที่เห็นทุกข์มากแล้ว ควรหยุดการวนเวียน และอยู่ในวิหารแห่งความว่าง
ส่วนผู้เริ่มต้นยังเห็นทุกข์น้อย ก็ให้ฝึกการมีสติ การรู้สึกตัวให้มาก... ..........จุดหมายคือการมีเพียง ความรู้สึกรู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ คือการเป็นผู้รู้เท่านั้น ไม่เป็นผู้กระทำ คือการเกิดเป็น ตัวตนหรือ อัตตา ............................................................................................................................ ***ธรรมะกำมือเดียว*** คือวิธีปฏิบัติในการแก้ไขอาการยึดมั่นในความเป็นตัวตนซึ่งมีอยู่ไม่มากนั่นเอง ปัจจุบันขณะ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=amarasin สติคือแสงสว่าง https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=4 ตัวเราอยู่ตรงไหน https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=11&group=4&gblog=6 รู้สึกตัวอยู่เสมอ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=3 จิตเห็นอาการของจิต https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=28&group=3&gblog=4 ***การพิจารณาให้เห็นความจริงของตนเองนำไปสู่การคลายการยึดมั่น การปฏิบัติเพื่อเข้าไปแทรกแทรงอาการปรุงแต่งของกายนั่นเอง การรู้จุดมุ่งหมายของการกระทำจะทำให้เห็นความเป็นเหตุผลได้ เราจะรู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ในรายละเอียดได้อธิบายในหนังสือ "ทางวิเวกฯ" มันมีเรื่องที่ต้องท้าวความกันมากพอสมควรจึงได้เขียนเป็นหนังสือ*** โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:13:58 น.
.....ปกติการที่เราบอกว่าเราเห็นธรรมหรือเข้าใจธรรมนั้น อาการทางธรรมชาติคือความรู้สึกของเราเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลของจิตและกาย ความรู้สึกนั้นก็จะหายไป เพราะมันเป็นอาการที่เกิดทางกาย ที่มีผลทางความรู้สึก ถ้าเราจะเข้าถึงสภาวะนั้นได้ต้องฝึกเท่านั้น
เริ่มต้น ต้องฝึกการมีสติ และความรู้สึกตัว เมื่อมีมากพอมันจึงจะเปลี่ยนไปเป็นอาการตื่น และเป็นความว่าง ปกติเราสามารถที่จะทำความรู้สึกของเราให้ตื่น หรือว่างได้ แต่มันจะเกิดได้ชั่วคราว การฝึกอยู่เสมอมันจึงจะเกิดขึ้นได้จริงถาวร จะเห็นว่าเราไม่เข้าใจลำดับขั้นของความรู้สึก เราจึงล้มลุกคลุกคลานอยู่ ผู้ที่นำมาสอนส่วนใหญ่เอาผลบั้นปลายมาแนะนำกัน แต่ไม่ได้แนะนำเบื้องต้น คือปัญหาที่ตนเคยพบมาก่อน พอเกิดผลได้ก็บอกว่ามันมีอยู่แล้วในตัวเรา ความจริงมันก็มีอยู่แล้ว แต่มันมีไม่มากพอที่จะนำมาใช้งาน การทำให้มันมากพอนั่นเองคือสิ่งที่เราจะต้องใช้ความพยายามให้มันเกิดขึ้นได้ คือต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดพละอินทรีย์ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มันต้องออกแรงนั่นเอง เราต้องขัดเกลาอาการยึดมั่นในตน ปกติเรามักจะบอกว่ามันเป็นความหลง แต่ที่ถูกต้องเรียกว่าการยึดมั่น เราจึงต้องขัดเกลามัน ขูดมัน ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการเข้าใจเท่านั้นแต่ต้องออกแรงด้วย.......... โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:30:35 น.
|
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |
สติคือแสงสว่าง
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=4
ปัจจุบัจขณะ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=1