Group Blog |
จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการของจิต ความทุกข์เกิดจากการยึดมั่นทางความรู้สึก ถ้าเราวิเคราะห์หาสาเหตุของความทุกข์อยู่เสมอ มันก็จะมีคำตอบเกิดขึ้นว่าความทุกข์เกิดจากอาการของจิตนั่นเอง จิตเข้าไปยึดมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งจึงทำให้เกิดเป็นอาการ ปกติเพราะเราเผลอจึงเข้าไปยึดมั่นมันจึงขยายตัวแล้วเกิดเป็นอาการ ดังนั้นถ้าความรู้สึกของเราผิดปกติให้ถอนตัวจากอารมณ์ที่กำลังเกิด เพราะมันแปรปรวนนั่นเอง หรือไม่ก็วางเฉยให้รู้เท่าทันอาการที่เกิดขึ้น ธรรมชาติของจิตมีการแปรปรวน แต่มันเกิดเป็นอาการทางความรู้สึกของเรานั่นคือความเป็นธรรมชาติของมัน ในบางขณะเราจึงต้องวางเฉยต่ออาการที่เกิดอยู่
.......... แต่ถ้าเราสังเกตมันอยู่เสมอ จะเห็นขั้นตอนของมัน เมื่อมีสิ่งมากระทบมันจะเกิดรู้สึกว่ามีสิ่งมากระทบ พิจารณาสิ่งนั้น แล้วเข้าไปยึดมั่น การเข้าไปยึดมั่นจึงเกิดเป็นอาการ เกิดเป็นความรู้สึกของเรา เกิดเป็นตัวเราเมื่อมันอ่อนตัวลง ดับไป แล้วจึงเกิดเป็นทุกข์แต่ขณะที่เกิดเราไม่รู้สึกเป็นทุกข์ เรารู้แต่ว่ามันคือ ตัวเรา ดังนั้นเราจึงต้องสังเกตอาการของมันอยู่เสมอให้เห็นว่ามันไม่ใช่ ตัวเราเพื่อไม่ให้มันเข้าไปยึดนั่นเอง.......ดังนี้.
พิจารณาเห็นอาการของจิต จิตมีราคะ จิตมีโมหะ จิตมีโทสะ จิตมีกุศลมูล จิตมีอกุศลมูล จิตขัดข้อง หรือหลุดพ้นจากอาสวะต่างๆ จิตมีความแจ่มใสหรือขุ่นมัว พิจารณาให้รู้ชัดในอาการต่างที่เกิดอยู่ว่าเป็นอาการอย่างใด
........พิจารณาให้เห็นเหตุที่ทำให้เกิดเป็นอาการต่างๆเหล่านั้นอยู่เสมอ คือจิตเห็นอาการของจิตนั่นเองและให้เห็นในความไม่ใช่ตัวเรา เพราะความรู้สึกที่เป็น "ตัวเรา" เป็นอาการยึดมั่น แต่ให้ว่างอยู่หรือให้เห็นว่ามันเป็นเพียงพลังงานของกายเท่านั้นอย่าเห็นว่ามันเป็นตัวเราหรือของเราเพื่อให้มันปล่อยวาง........
.....การฝึกทั้งหมดเพื่อปล่อยวางอาการยึดมั่นทางความรู้สึกนั่นเอง .............. อาจจะสรุปรวบยอด คือการอยู่เฉยๆก็ได้ ปกติจิตเรามีอาการดิ้นรน จึงบังคับให้มันอยู่เฉยๆให้เป็นปกตินั่นเอง....แต่การอยู่เฉยๆที่ว่านี้ ต้องอยู่แบบผู้เจนจบในอารมณ์ทุกข์ จึงวางเฉย โดย: ไพรสณฑ์ IP: 182.53.57.48 วันที่: 28 พฤษภาคม 2555 เวลา:12:00:55 น.
กำลังฝึก เริ่มจากความคิด เอาสติมาพิจารณา พยายามปลดที่ละอย่าง อย่างช้าๆพร้อมให้กำลังใจตัวเอง จิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก แต่จะพยายาม ขอบคุนที่นำสิ่งดีๆมาให้อ่าน
โดย: บ้านเล็กในเมืองเล็ก วันที่: 28 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:03:06 น.
ให้ฝึก สติ ร่วมกับ ความรู้สึกตัว นะครับ มันต่างกันนิดหนึ่ง สติ จะเน้นไปที่อาการของความรุ้สึก แต่ความรู้สึกตัวจะเน้นไปที่อาการของกาย คือมีสติในกาย. ...ให้ฝึกร่วมกับการทำงาน ให้มันมีสองความรู้สึกควบคู่กันไป เหมือนกับเราโยนลูกบอลสองลูกโดยใช้มือเดียวนั่นเองโดยไม่ให้มันหล่น คล้ายๆกับเล่นกายกรรม .....ให้ฝึกเล่นๆอย่าจริงจัง จะเห็นอาการที่เป็นธรรมชาติของมัน ฝึกให้มากพอที่จะทำให้เกิดการรุ้เท่าทันอารมณ์ของตนเองได้จึงจะใช้งานได้ แต่ถ้ามันเริ่มเฝือให้หยุดถ้าไปฝืนมันจะเกิดอาการเครียด โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.16.127 วันที่: 28 พฤษภาคม 2555 เวลา:18:23:21 น.
ปรมัตถธรรมธาตุ๔ คือจิต รูป เจตสิก นิพพาน ปรมัตถธรรมธาตุ หมายถึงธาตุธรรมชาติ จิต คือธาตุรู้ รูป คือวัตถุ หรือสิ่งที่จิตเข้าไปรู้ เจตสิก คืออาการที่จิตเข้าไปรู้รูป ความรู้สึกของเรา คือ เจตสิก คืออาการที่จิตเข้าไปรู้รูป จึงเกิดเป็นความรู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา" จะเห็นว่าแท้จริง ความรู้สึกที่เป็น ตัวเรา หรือวิญญาณ หรือความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นเพียงอาการของธาตุธรรมชาติปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้น แล้วทำไมเราจึงไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเราหรือของเรา เพราะมันเป็นการทำงานของธาตุธรรมชาติเท่านั้น มันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเหมือนภาพมายาที่เกิดจากการปรุงแต่งนั่นเอง ถ้ามันไม่ปรุงแต่งกันมันก็เป็นเพียงธาตุธรรมชาติเท่านั้น ..........มองในภาพรวมจะเห็นได้ว่าเราหลงการปรุงแต่งของธรรมชาตินั่นเอง ควรเข้าใจมันตามจริง การเข้าใจได้จึงเห็นว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น......เพราะมันเกิดแล้วดับอยู่นั่นเอง โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.16.127 วันที่: 28 พฤษภาคม 2555 เวลา:21:01:05 น.
การอธิบายความเป็นธรรมชาติของตัวเรา ในทางฟิสิกส์
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของ อัลเบริต ไอน์ไสตน์ จากสูตร E= mcc E = พลังงาน m = มวลสาร C C= ความเร็วแสงยกกำลังสอง( C x C) เป็นสูตรแสดงความสัมพันระหว่างพลังงานกับมวลสาร คือมวลสารเกิดจากการรวมตัวกันของพลังงาน หรือธาตุทั้งสี่นั่นเอง มวลสารในระดับเล็กสุดคืออนุภาค หรือปรมณู .....การทำงานของพลังงาน คือการเกิดปฏิกิริยาต่างๆ หรือการรวมตัวกันในระดับต่างๆ ทำให้เกิดมิติที่ซับซ้อน เหมือนธรรมชาติกำลังเล่นดนตรี คือการเกิดการสัมพัทธกันอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตย์ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เข้าใจได้ทั้งหมด ซึ่งทั้งหมดมันคือการเกิดปฏิกิริยาของธาตุทั้งสี่นั่นเอง ไม่ยกเว้นแม้ตัวเรา. ......ดังนั้นการทำงานของตัวเราก็คือการทำงานของธรรมชาตินั่นเอง ที่เราคิดว่าเป็นตัวเรา การหลงในความเป็นตัวเรา จึงเป็นการหลงในความเป็นธรรมชาตินั่นเอง เปรียบเหมือนคนหลงทิศ ที่ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่คนหลงทิศก็ยังรู้ว่าตนเองหลง แต่การหลงในความเป็นธรรมชาติเราไม่รู้ว่าเราหลง เพราะเราคิดว่ามันเป็นตัวเรานั่นเอง.............ในความเป็นเหตุผลเราจึงต้องรู้มันตามจริง และในความเป็นเหตุผลนี้เราจึงจะเข้าใจความจริงของมันได้. โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2555 เวลา:4:51:11 น.
***ผู้ปฏิบัติธรรมที่เห็นทุกข์มากแล้ว ควรหยุดการวนเวียน และอยู่ในวิหารแห่งความว่าง
ส่วนผู้เริ่มต้นยังเห็นทุกข์น้อย ก็ให้ฝึกการมีสติ การรู้สึกตัวให้มาก... ..........จุดหมายคือการมีเพียง ความรู้สึกรู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ คือการเป็นผู้รู้เท่านั้น ไม่เป็นผู้กระทำ คือการเกิดเป็น ตัวตนหรือ อัตตา ............................................................................................................................ ***ธรรมะกำมือเดียว*** คือวิธีปฏิบัติในการแก้ไขอาการยึดมั่นในความเป็นตัวตนซึ่งมีอยู่ไม่มากนั่นเอง ปัจจุบันขณะ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=amarasin สติคือแสงสว่าง https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=4 ตัวเราอยู่ตรงไหน https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=11&group=4&gblog=6 รู้สึกตัวอยู่เสมอ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=3 จิตเห็นอาการของจิต https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=28&group=3&gblog=4 ***การพิจารณาให้เห็นความจริงของตนเองนำไปสู่การคลายการยึดมั่น การปฏิบัติเพื่อเข้าไปแทรกแทรงอาการปรุงแต่งของกายนั่นเอง การรู้จุดมุ่งหมายของการกระทำจะทำให้เห็นความเป็นเหตุผลได้ เราจะรู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ในรายละเอียดได้อธิบายในหนังสือ "ทางวิเวกฯ" มันมีเรื่องที่ต้องท้าวความกันมากพอสมควรจึงได้เขียนเป็นหนังสือ*** โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:09:48 น.
.....ปกติการที่เราบอกว่าเราเห็นธรรมหรือเข้าใจธรรมนั้น อาการทางธรรมชาติคือความรู้สึกของเราเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลของจิตและกาย ความรู้สึกนั้นก็จะหายไป เพราะมันเป็นอาการที่เกิดทางกาย ที่มีผลทางความรู้สึก ถ้าเราจะเข้าถึงสภาวะนั้นได้ต้องฝึกเท่านั้น
เริ่มต้น ต้องฝึกการมีสติ และความรู้สึกตัว เมื่อมีมากพอมันจึงจะเปลี่ยนไปเป็นอาการตื่น และเป็นความว่าง ปกติเราสามารถที่จะทำความรู้สึกของเราให้ตื่น หรือว่างได้ แต่มันจะเกิดได้ชั่วคราว การฝึกอยู่เสมอมันจึงจะเกิดขึ้นได้จริงถาวร จะเห็นว่าเราไม่เข้าใจลำดับขั้นของความรู้สึก เราจึงล้มลุกคลุกคลานอยู่ ผู้ที่นำมาสอนส่วนใหญ่เอาผลบั้นปลายมาแนะนำกัน แต่ไม่ได้แนะนำเบื้องต้น คือปัญหาที่ตนเคยพบมาก่อน พอเกิดผลได้ก็บอกว่ามันมีอยู่แล้วในตัวเรา ความจริงมันก็มีอยู่แล้ว แต่มันมีไม่มากพอที่จะนำมาใช้งาน การทำให้มันมากพอนั่นเองคือสิ่งที่เราจะต้องใช้ความพยายามให้มันเกิดขึ้นได้ คือต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดพละอินทรีย์ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มันต้องออกแรงนั่นเอง เราต้องขัดเกลาอาการยึดมั่นในตน ปกติเรามักจะบอกว่ามันเป็นความหลง แต่ที่ถูกต้องเรียกว่าการยึดมั่น เราจึงต้องขัดเกลามัน ขูดมัน ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการเข้าใจเท่านั้นแต่ต้องออกแรงด้วย.......... โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:27:45 น.
จากปรมัตถธรรมธาตุ๔ เขียนเป็นสมการได้ดังนี้... เจตสิก = จิต + รูป คือจิต เข้าไปรู้รูป จึงเกิดการปรุงแต่งเป็นอาการเกิดขึ้น คืออารมณ์ของเรานั่นเอง เมื่อธาตุรู้เข้าไปรู้สิ่งต่างๆจึงเกิดเป็นอาการ คือความรู้สึกเป็นทุกข์ เป็นสุข พอใจ ไม่พอใจนั่นเอง การปรุงแต่งของจิตกับรูป ลองสังเกตุอาการทางความรู้สึกของตนเองก็ได้ ว่าจิตหรือความรู้สึกของเราปกติมันเคลิ้มอยู่ อาการเคลิ้มนั่นเองคือการเข้าไปปรุงแต่ง หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามันเพลินอยู่ ลองไขว้สมการ.. จิต = เจตสิก - รูป อาการรู้,หรือ ธาตุรู้ คือการไม่ปรุงแต่ง คือไม่เคลิ้มอยู่ หรือไม่เพลินอยู่นั่นเอง และอีกสมการ. รูป = เจตสิก - จิต คือมีแต่กาย จิตหายไป คือว่าง ถ้าว่างจริงๆก็คือไม่เคลิ้มอยู่ หรือไม่เพลินอยู่นั่นเอง ***การมีความรู้สึกตัวอยู่ มันจะไม่เคลิ้ม ไม่เพลิน แต่เห็นอาการของจิต ของกายได้อยู่ จิตเห็นอาการของจิตก็คืออย่าให้มันเคลิ้มอยู่นั่นเอง*** จบ. ทางทฤษฎี ที่เหลือคือการปฏิบัติให้เป็นไปตามทฤษฎี โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.18.50 วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:10:23:45 น.
จะเห็นได้ว่าการเกิดผลได้ ไม่ต้องอาศัยตรรกะอะไรเลย แต่ต้องปฏิบัติ ให้ตรงเหตุ ตรงผล ของมันเท่านั้น การค้นหามันจึงไม่พบ เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติของมันนั่นเอง คือต้องแก้ที่เหตุ ผลจึงจะเกิดขึ้นได้ โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.18.50 วันที่: 31 พฤษภาคม 2555 เวลา:10:28:14 น.
..........ว่าง สงบ คือบทสรุปของการแสวงหา การดิ้นรนอยู่จึงเป็นทุกข์................. โดย: พอใจสิ่งที่มีอยู่ IP: 125.25.28.195 วันที่: 6 กรกฎาคม 2555 เวลา:6:11:55 น.
..........ว่าง สงบ คือบทสรุปของการแสวงหา การดิ้นรนอยู่จึงเป็นทุกข์................. โดย: พอใจสิ่งที่มีอยู่ IP: 125.25.28.195 วันที่: 6 กรกฎาคม 2555 เวลา:6:11:55 น.
|
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |
ส่วนผู้เริ่มต้นยังเห็นทุกข์น้อย ก็ให้ฝึกการมีสติ การรู้สึกตัวให้มาก...
..........จุดหมายคือการมีเพียง ความรู้สึกรู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ คือการเป็นผู้รู้เท่านั้น ไม่เป็นผู้กระทำ คือการเกิดเป็น ตัวตนหรือ อัตตา
............................................................................................................................
***ธรรมะกำมือเดียว***
ปัจจุบันขณะ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=amarasin
สติคือแสงสว่าง
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=4
ตัวเราอยู่ตรงไหน
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=11&group=4&gblog=6
รู้สึกตัวอยู่เสมอ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=3