|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Enlightenment without an (Ultimate) Enlightened Age เมื่อการ(กล้า)ก้าวเดินสำคัญกว่าจุดหมาย
" หากจะถามว่า ในปัจจุบันนี้เราอยู่ในยุคที่เรียกว่า ยุคแห่งการรู้แจ้งแล้ว (Enlightened Age) หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ หากแต่เราอยู่ในยุคที่เรียกว่า ยุคแห่งการตื่นรู้ ( An Age of Enlightenment) กล่าวคือ เมื่อพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เรายังคงต้องเดินทางไปอีกไกล กว่าที่มนุษย์ทั้งมวลจะอยู่ในสถานะที่ (หรือถูกทำให้อยู่ในสถานะที่) จะใช้ความเข้าใจของตนเองได้อย่างมั่นใจ และใช้ได้เป็นอย่างดีในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนา โดยไม่ต้องได้รับคำแนะนำจากภายนอก แต่เราก็มีสิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า เส้นทางที่จะไปนั้น ได้ถูกทำให้โปร่งโล่งเพื่อที่มนุษย์จะเดินไปได้ และอุปสรรคที่ขัดขวางการตื่นรู้สากล (universal enlightenment) หรือการหลุดพ้นจากความอ่อนเขลาที่เกิดขึ้นจากตัวมนุษย์เองนั้น ก็มีน้อยลงเรื่อย ๆ ด้วยเหตุดังที่กล่าวมานี้ ยุคของเราจึงเรียกได้ว่า เป็นยุคแห่งการตื่นรู้ เป็นศตวรรษแห่งพระเจ้าเฟรเดอริค
จากข้อความข้างต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทความเรื่อง An Answer to the Question : What is Enlightenment? ของ Immanuel Kant และเป็นส่วนเดียวที่มีการกล่าวถึง ยุคแห่งการรู้แจ้งแล้ว (Enlightened Age) จะเห็นได้ว่า Kant ได้บอกอย่างชัดเจนว่า ยุคปัจจุบันในสมัยของ Kant กล่าวคือ สังคมเยอรมันในสมัยศตวรรษที่ 18 ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเฟรเดอริคนั้น ไม่ใช่ ยุคแห่งการรู้แจ้งแล้ว และการที่มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง จะเข้าสู่ยุคที่ ..... จะใช้ความเข้าใจของตนเองได้อย่างมั่นใจ และใช้ได้เป็นอย่างดีในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนา โดยไม่ต้องได้รับคำแนะนำจากภายนอก... นั้น น่าจะต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรทีเดียว
คำถามที่น่าสนใจจากข้อความดังกล่าว ซึ่งข้าพเจ้าจะได้นำมาอภิปรายต่อไปนี้ ก็คือ ยุคแห่งการรู้แจ้ง นั้น คืออะไร ? กล่าวคือ ใช่ยุคที่มนุษย์ ที่ ..... จะใช้ความเข้าใจของตนเองได้อย่างมั่นใจ... หรือไม่? และ กระบวนการที่ Kant เรียกว่าการตื่นรู้ (Enlightenment) และ ยุคแห่งการตื่นรู้ (Age of Enlightenment) นั้นคืออะไร และนำไปสู่อะไรหรือไม่? ซึ่งน่าจะนำไปสู่การตอบคำถามที่ว่า Kant เชื่อว่ามนุษย์จะสามารถไปถึงยุคแห่งการรู้แจ้งได้หรือไม่? ในที่สุด
ยุคแห่งการรู้แจ้ง (Enlightened Age) : ปลายทางที่(อาจจะ)ไม่มีอยู่จริง ?
ประเด็นสำคัญที่ข้าพเจ้าอยากจะชี้ให้เห็นเป็นประเด็นแรก เนื่องจากจะเป็นประเด็นหลักที่จะใช้ในการพัฒนาความคิดต่อไปในบทความนี้ ก็คือ การที่ Kant บอกว่า ยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ ยุคแห่งการรู้แจ้ง นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องหมายความว่า Kant เชื่อว่า ยุคแห่งความรู้แจ้งนั้นมีอยู่จริง เฉกเช่นเดียวกับการที่ผู้ใหญ่บอกเด็กว่า แสงสว่างที่มักจะปรากฏอยู่หลังโอ่งตอนกลางคืนนั้นเป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดจากกลุ่มก๊าซ ไม่ใช่ผีกระสือ ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ใหญ่คนดังกล่าวจะต้องเชื่อว่าผีกระสือนั้นมีอยู่จริงเสมอไป ดังนั้น ยุคแห่งความรู้แจ้งตามความคิดของ Kant จึงเป็นสิ่งที่อาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ ซึ่ง Kant ก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจที่จะหาคำตอบ (อย่างน้อยก็ในบทความเรื่องนี้) เนื่องจากไม่มีการกล่าวถึงคำๆ นี้ในส่วนอื่น ๆ ของบทความอีกเลย
สำหรับคำจำกัดความที่ตามมา ( .... เรายังต้องเดินทางไปอีกไกล ...จะใช้ความเข้าใจของตนเองได้อย่างมั่นใจ....) ซึ่งอาจจะทำให้ผู้อ่านที่ไม่ระมัดระวัง หรือเลือกอ่านเฉพาะบางส่วนของบทความเข้าใจไปได้ว่า เป็นการให้คำจำกัดความของยุคแห่งความรู้แจ้งนั้น เมื่อพิจารณาให้ดี ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่าน่าจะเป็นความหมายของ ยุคแห่งการตื่นรู้ ( Age of Enlightenment) มากกว่า โดยเราอาจเทียบเคียงกับการให้คำจำกัดความ และการอธิบายคำว่า Enlightenment ของ Kant ในตอนต้นของบทความ ดังนี้ :
การตื่นรู้ (Enlightenment) คือการที่มนุษย์โผล่พ้นขึ้นจากความอ่อนเขลาที่ตนเองเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น โดยที่ความอ่อนเขลา (Immaturity) นั้น หมายถึงการไม่สามารถใช้ความเข้าใจของตนเองโดยปราศจากการชี้แนะของผู้อื่นได้ ความอ่อนเขลานี้เป็นสิ่งที่ตัวของมนุษย์ทำให้เกิดขึ้นเอง (self-incurred) ถ้าสาเหตุของมันไม่ใช่การขาดความเข้าใจ แต่เป็นการขาดความเด็ดเดี่ยว และความกล้าที่จะใช้ความเข้าใจของตนเองโดยปราศจากการชี้แนะของผู้อื่น ดังนั้น คติของยุคแห่งการตื่นรู้ จึงได้แก่คำกล่าวที่ว่า Sapere qude ! จงกล้าที่จะใช้ความเข้าใจของตัวเอง !
การตื่นรู้ (Enlightenment) : ปรากฏการณ์ กระบวนการ หรือพันธกิจของมนุษย์ ?
ไม่ว่ายุคแห่งการรู้แจ้งแล้วจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ Kant เชื่ออย่างแน่นอนว่ามีอยู่จริง และได้รับการเน้นย้ำความสำคัญอยู่เกือบจะตลอดเวลาในบทความของ Kant ก็คือ การตื่นรู้ (Enlightenment) และ ยุคแห่งการตื่นรู้ (Age of Enlightenment) อย่างไรก็ดี ในสายตาของผู้อ่านและทำความเข้าใจบทความเรื่องนี้ การให้คำจำกัดความว่า Enlightenment คืออะไรของ Kant กล่าวคือ เป็นกระบวนการ ปรากฏการณ์ หรือภารกิจที่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดในแง่ของระยะเวลาที่ชัดเจนหรือไม่ อย่างไร ตลอดจนเป็นเรื่องของบุคคล หรือของมวลชน นั้น นับว่ามีความคลุมเครืออยู่ไม่น้อย ซึ่งนักคิดคนสำคัญคนหนึ่งที่ได้พยายามทำความเข้าใจความคิดในส่วนนี้ของ Kant ในอีกประมาณ 200 ปีถัดมา คือ Michel Foucault ในบทความเรื่อง What is Enlightenment?
ในบทความดังกล่าว Foucault ได้อธิบายความหมายของคำว่า Aufklarung (Enlightenment) ซึ่งเป็นคำในภาษาเยอรมันที่ Kant ใช้จริง ๆ ในการเขียนบทความว่า มีที่มาจากคำว่าAusgang ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า ทางออก ( exit หรือ way out) และกล่าวว่า Aufklarung นั้น เป็น กระบวนการ (process) ในการปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความอ่อนเขลา ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นทั้งปรากฏการณ์ (phenomenon) กระบวนการที่ดำเนินอยู่ (ongoing process) ตลอดจนเป็นภารกิจ (task) หรือพันธกิจ (obligation) ที่มนุษย์จะต้องดำเนินการ เพราะสภาวะที่อ่อนเขลาของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ตัวมนุษย์เองทำให้เกิดขึ้น จึงมีแต่ตัวของมนุษย์เองเท่านั้น ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง อันจะนำมนุษย์ไปสู่การหลุดพ้นความอ่อนเขลาได้
คำถามที่ตามมาจากคำอธิบายนี้ก็คือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มนุษย์ทุกคน จำเป็น ที่จะต้องตื่นรู้ (enlightened) หรือ เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตื่นรู้หรือไม่ ? นอกจากนี้ คำถามที่สำคัญอีกข้อหนึ่งซึ่งอาจจะเกิดขึ้นตามมาจากการอธิบายความคิดของ Kant ของ Foucault ในความตอนนี้ ก็คือ การตื่นรู้ หรือกระบวนการตื่นรู้นั้น นับเป็นพันธกิจของมนุษย์ / มวลมนุษยชาติหรือไม่ ?
สำหรับคำถามข้อนี้ Kant ได้ให้คำตอบไว้อย่างชัดเจนในบทความว่า การตื่นรู้ หรือการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตื่นรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องทำ การดำเนินการใด ๆ โดยสถาบันทางสังคมใด ๆ ก็ตาม แม้ว่าจะเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับสูง เช่น สถาบันศาสนา หรือเป็นการดำเนินการที่ทุกคนให้ความเห็นชอบร่วมกัน เช่น การทำสัญญา (contract) หากเป็นการขัดขวางการตื่นรู้ กล่าวคือ ไม่เปิดโอกาสให้คนได้ใช้เหตุผลของตนเองในการตั้งคำถามต่อหลักการ หรือการดำเนินการนั้น ๆ แล้ว จะต้องถือว่าเป็นการดำเนินการที่เป็นโมฆะทันทีแม้ว่าจะได้รับการรับรองโดยอำนาจสูงสุดใด ๆ เนื่องจาก Kant เห็นว่า ... ไม่มียุค / สมัยใด ที่จะสามารถกระทำการให้สัตย์สาบานใด ๆ (น่าจะหมายถึงการดำเนินการใด ๆ ที่เป็นพันธะผูกพัน เช่น สนธิสัญญาต่าง ๆ ) ที่จะทำให้ยุค / สมัยต่อ ๆ ไปอยู่ในสภาวะที่เป็นไปไม่ได้ที่จะขยายความ และแก้ไขความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่สำคัญๆ หรือการสร้างความก้าวหน้าใด ๆ ก็ตามในการตื่นรู้ การกระทำเช่นนี้ นับว่าเป็นอาชญากรรมต่อธรรมชาติของมนุษย์ (crime against human nature) ที่มีชะตากรรมอยู่ในความก้าวหน้าดังกล่าวนั้น .......................อาจจะเป็นไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่มีการกำหนดชัดเจนเพื่อการรักษาระเบียบบางอย่าง จนกว่าจะมีทางออก / วิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า พลเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบวช จะต้องได้รับอิสรภาพเฉกเช่นนักวิชาการในการแสดงความคิดเห็นโดยข้อเขียนว่า สถาบันที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นมีข้อจำกัดอย่างไร
.
นอกจากนี้ Kant ยังเห็นว่า การเลือกที่จะไม่ตื่นรู้ หรือผัดผ่อนการตื่นรู้ในเรื่องที่ตนจะต้องรู้ออกไป แม้ว่าจะเป็นการเลือกโดยตัวมนุษย์เอง ไม่ว่าจะด้วยความเกียจคร้าน หรือขลาดเขลาก็ตาม จะทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ทั้งนี้ Kant มองว่า การที่มนุษย์ปฏิเสธการตื่นรู้โดยสิ้นเชิง (to renounce such enlightenment completely) กล่าวคือ ปฏิเสธที่จะตั้งคำถามอย่างเปิดเผย และเป็นสาธารณะ ต่อการดำเนินการ หลักการ หรือสถาบันใด ๆ ที่มีอิทธิพลต่อตนเองอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนรุ่นหลังนั้น ถือว่าเป็น .... การล่วงละเมิด และการกระทืบสิทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ของมวลมนุษยชาติไว้ใต้ฝ่าเท้า
จากข้อความเกี่ยวกับความสำคัญ และความจำเป็นของการตื่นรู้ตามความคิดของ Kant ที่ได้ยกมาในทั้ง 2 ย่อหน้าข้างต้น รวมทั้งคำอธิบายเกี่ยวกับความหมายของการตื่นรู้ของ Kant ที่ผ่านมา ทำให้เราอาจสามารถทำความเข้าใจได้ว่า แม้ว่า Kant มองว่า การตื่นรู้นั้นเป็นกระบวนการที่มีจุดเริ่มต้นค่อนข้างชัดเจน (คือเริ่มจากการมีความกล้าที่จะใช้ความเข้าใจของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การที่กล้าจะแสดงความคิดเห็น และตั้งคำถาม) แต่ไม่มีข้อความในตอนใด ๆ เลยที่จะแสดงให้เห็นว่า Kant มองว่ากระบวนการที่เรียกว่า การตื่นรู้ นั้น จะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ตรงกันข้าม ดูเหมือนว่า Kant จะพยายามสื่อให้เราเห็นว่า การตื่นรู้ เป็นธรรมชาติ หรือเป็นสิทธิ(อันศักดิ์สิทธิ์) ของความเป็นมนุษย์ ที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว และควรจะต้องได้นำออกมาใช้ เพื่อแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่แท้ การดำเนินการสถาบันทางสังคมใด ๆ ตลอดจนอำนาจ หรือข้อตกลงสัญญาใด ๆ หรือแม้แต่เจตจำนงของตัวมนุษย์ผู้นั้นเองก็ตาม ที่จะเป็นการขัดขวางไม่ให้กระบวนการตื่นรู้นี้ดำเนินไป จึงถือว่าเป็นการล่วงละเมิดสิทธิ์ และเป็นอาชญากรรมต่อธรรมชาติของความเป็นมนุษย์
จากความคิดที่ว่า ความตื่นรู้ น่าจะเป็นความสามารถ และสิทธิตามธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์เอง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดโดยสังคม กฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขของยุคสมัย หรือกาลเวลา ดังนั้น ยุคแห่งการตื่นรู้ (Age of Enlightenment) ตามความคิดของ Kant จึงไม่น่าจะหมายถึงยุคใดยุคหนึ่งโดยเฉพาะ หากแต่น่าจะหมายถึง ยุคใด ๆ ก็ตามที่มนุษย์ทุกคนในสังคมมีการเริ่มต้น หรือมีความกล้าที่จะ เริ่มต้น และสามารถใช้เหตุผลซึ่งเกิดจากความเข้าใจของตนเอง ในการแสดงความคิดเห็น ตลอดจนตั้งคำถามต่อความคิด ความเชื่อ การดำเนินการ หลักการ ตลอดจนสถาบันต่าง ๆ ทางสังคมได้ โดยปราศจากปัจจัยที่เป็นอุปสรรคขัดขวางใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเกียจคร้านหรือขลาดเขลาของตัวมนุษย์เอง หรือการกำหนดบังคับจากสถาบันทางสังคมต่าง ๆ ซึ่งการตั้งคำถามของมนุษย์ และความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาข้อกำหนด ปัจจัย กฎเกณฑ์ หลักการ และสถาบันทางสังคมของมนุษย์ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นไป ตลอดจน
ความคิด จิตใจ และความต้องการของคนในยุคนั้น ๆ ในแง่นี้เราอาจกล่าวได้ว่า การตื่นรู้ เป็นกระบวนการที่นำไปสู่ความก้าวหน้า (progress) ของมวลมนุษยชาติ และเช่นเดียวกับความก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจ และการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ในสังคมยุโรปขณะนั้น ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และดูเหมือนจะดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด การตื่นรู้ หรือกระบวนการตื่นรู้ที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว ก็น่าจะต้องดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ยุคใดยุคหนึ่งเช่นกัน'
สู่ยุคแห่งความรู้แจ้ง ? : คำตอบอยู่ที่ ปัจจุบัน
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งในการทำความเข้าใจความคิดของ Kant เกี่ยวกับยุคแห่งการตื่นรู้ ซึ่งอาจจะเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่จำนำไปสู่การตอบคำถามว่า Kant เชื่อว่ามนุษย์เรากำลังเดินทางไปสู่ยุคแห่งความรู้แจ้งหรือไม่ ก็คือ มโนคติ (concept) ของปัจจุบัน (present ) ตามความคิดของ Kant ที่ Foucault เห็นว่ามีความแตกต่างจากข้อเขียนทั่ว ๆ ไปของนักคิดคนอื่น ๆ ซึ่งมักจะนำเสนอว่ายุคปัจจุบันนั้น เป็นช่วงเวลาที่อยู่ในยุคสมัยใดสมัยหนึ่งของโลก (belonging to a certain era of the world) ที่อาจแยกออกจากยุคอื่น ๆ ได้ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง เป็นสัญญาณที่สื่อถึงเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อระหว่างโลกเก่าที่กำลังจะจบสิ้นลงและโลกใหม่ หรือแม้แต่งานอื่น ๆ ของ Kant เองที่เป็นงานเชิงประวัติศาสตร์ ที่มีการกล่าวถึงยุคสมัยต่าง ๆ อย่างชัดเจน ตรงกันข้าม ในการตอบคำถาม What is Enlightenment ? Kant ได้กล่าวถึงยุคปัจจุบันว่าเป็นยุคแห่งการตื่นรู้ โดยไม่ได้บอกว่าเป็นยุคที่อยู่ในยุคสมัยใดสมัยหนึ่งของโลก ไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ใด ๆ ที่เป็นสัญญาณสื่อถึงความเป็นอยู่ของยุคนี้ หรือความสำเร็จใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น หากแต่กล่าวถึงสภาพความเป็นจริงที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน (contemporary reality) ในขณะนั้นล้วน ๆ ยุคปัจจุบัน ตามที่อธิบายในบทความเรื่องนี้ของ Kant จึงไม่ใช่ช่วงเวลาที่เป็นส่วนหนึ่งของความสัมบูรณ์ (totality) ใด ๆ และไม่ใช่ช่วงเวลา หรือปรากฏการณ์ที่จะสื่อไปถึงความสำเร็จในอนาคตได้ Kant เพียงแต่อธิบายถึงความต่าง (difference) ที่เกิดขึ้น ว่า วันนี้ (หรือยุคสมัยนี้) มีอะไรเกิดขึ้นที่ทำให้แตกต่างไปจากเมื่อวาน (หรือยุคอื่น ๆ ก่อนหน้านี้) บ้าง เท่านั้น
ดังนั้น จากข้อเสนอของ Foucault เราจึงสามารถเข้าใจได้ว่า Age of Enlightenment ตามความคิดของ Kant ไม่น่าจะเป็นแค่เพียงยุคสมัยหนึ่งบนระนาบของเวลาที่อยู่ก่อน Enlightened age โดยที่ทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัยที่เรียกว่า Era of Enlightenment รวมทั้งไม่ใช่ยุคสมัยที่เป็นสาเหตุ หรือทำให้เกิดยุคใด ๆ เกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นยุคแห่งการรู้แจ้งแล้ว หรือยุคอื่นใดก็ตาม
What Becomes of the (Age of) Enlightenment? : ยุคแห่งการตื่นรู้ จะ(พาเรา) ไปไหน ?
เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ อาจจะมีผู้สงสัยว่า เมื่อดูเหมือนว่า Kant จะไม่ได้คิดว่ายุคแห่งการตื่นรู้ จะนำไปสู่ หรือตามมาด้วยยุคแห่งความรู้แจ้งแล้ว แล้วตกลงยุคแห่งการตื่นรู้จะพาเรา (หรือผู้อ่านในสังคมเยอรมันสมัยศตวรรษที่ 18 ของ Kant) ไปไหน? เพราะดูเหมือนว่ามันจะเป็นกระบวนการที่ไม่ได้ให้ทางออก หรือจุดจบเอาไว้เลย ?
ข้าพเจ้าคงจะตอบคำถามนี้ไม่ได้ในตอนนี้ เพราะทั้ง Kant และ Foucault ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนไว้ โดยเฉพาะ Foucault เองถึงกับบอกว่า ปรัชญาสมัยใหม่ คือปรัชญาที่พยายามที่จะตอบคำถามที่มีคนทะลึ่งตั้งขึ้นมาเมื่อ 2 ศตวรรษที่แล้วว่า ความตื่นรู้คืออะไร ซึ่งก็หมายความว่า แม้ในปัจจุบัน นักคิดทั้งหลายก็ยังคงหาคำตอบที่น่าพอใจ ซึ่งจะเป็นคำตอบสุดท้าย (ultimate answer) สำหรับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม Foucault ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น หรือถ้าจะพูดให้ถูก น่าจะบอกว่า ไม่เคยเกิดขึ้นซ้ำอีกในประวัติศาสตร์หลังจากยุคของ Kant เพราะ Foucault บอกว่า การพยายามทำความเข้าใจยุคปัจจุบัน หรือยุคที่ตนใช้ชีวิตอยู่ในตอนนั้น ด้วยในรูปแบบที่ Kant ทำ เป็นครั้งแรกที่นักคิด ....ทำความเข้าใจความสำคัญของงานของตน อย่างใกล้ชิด และจากภายใน โดยเชื่อมโยงกับความรู้ และภาพสะท้อนของประวัติศาสตร์ และการวิเคราะห์โดยเจาะจงช่วงเวลาที่เขาเขียนงานชิ้นนั้น และที่เกิดขึ้นเพราะข้อเขียนชิ้นนั้นของเขา มันเป็นภาพสะท้อนของ วันนี้ ในฐานะที่มีความแตกต่างจากวันอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นที่มาของแรงบันดาลใจของงานคิดทางปรัชญา อันเป็นความใหม่ (novelty) ที่มีอยู่ในผลงานชิ้นนั้นๆ"
เมื่อมองจากมุมนี้ การที่ Kant เรียกยุคสมัยของเขาว่า ยุคแห่งการตื่นรู้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องหมายถึงช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง ที่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์จริง ๆ หากแต่การตื่นรู้นั้นเป็นทัศนคติ (attitude) ที่มีอยู่ในสังคมในตอนนั้น ๆ ซึ่ง Kant ได้นำมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนงานชิ้นนี้ และเมื่อเป็นทัศนคติ ไม่ใช่ช่วงเวลา จึงไม่อาจบอกได้ว่าจะจบตรงไหน และน่าจะเป็นสาเหตุที่ Kant ไม่อาจตอบได้อย่างชัดเจนว่าจะนำไปสู่อะไร เนื่องจากคนเรามักจะฉลาดหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วอยู่เสมอ ใน 200 ปีให้หลัง Foucault จึงได้มองเห็นปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนว่า อาจจะ เป็นทางออก และจุดหมายปลายทางที่ยุคแห่งการตื่นรู้ หรือทัศนคติของการตื่นรู้นำเรามาถึง นั่นก็คือ เค้าร่างของสิ่งที่เราเรียกว่า ทัศนคติของความเป็นสมัยใหม่ (modernity) ที่เรามักจะเรียกและเข้าใจกันว่าเป็น ยุคสมัย (age/epoch) เหมือนกับ Enlightenment นั่นเอง
อ้างอิง :
1. Kant, I. An Answer to the Question : What is Enlightenment? in Kant Political Writing. Edited by Hans Reiss. Cambridge: Cambridge University Press, 1991.
2. Foucault, Michel. (1991) What is Enlightenment? in The Foucault Reader. Edited by Paul Rabinow. London: Penguin Books, 1991
Create Date : 02 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 2 ธันวาคม 2550 9:23:40 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2408 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|