เอ๋ไปภูเก็ตครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนั้นเน้นการเดินเล่นตัวเมืองเป็นหลักจนได้แผนที่ระบุจุดดังข้างล่างมา และเมื่อกลับไปอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2013พบว่าตัวเมืองเก่าของภูเก็ตมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างมีคาเฟ่เก๋ๆ เปิดตัวมากมาย รวมถึงเกสต์เฮาส์ใหม่ๆ ที่ดัดแปลงจากชอปเฮาส์สวยๆ แบบไม่กี่ห้อง คราวนี้มีโอกาสคุยกันเจ้าของร้านและอีกหลายๆ คน พบว่าแม้เมืองเก่าภูเก็ตจะเปลี่ยนแปลง คนต่างเมืองเข้าไปอยู่มากขึ้นแต่คนภูเก็ตก็ยังน่ารัก น่าใคร่ และมีน้ำใจเหมือนเดิม
ส่วนของร้านใหม่ๆ เอ๋ขออัพเดตแบบเติมร้านลงไปเลยนะคะแต่จะระบุถนนด้วย เพราะคราวนี้ไปเดินแค่ไม่กี่ถนน มีเวลาแค่วันเดียวเอง
พร้อมยางงงง....ถ้าพร้อมแล้วก้ะเริ่มออกเดินกันเล้ยยย Phuket...Tailor Made by aenie the Boo ขอบคุณแผนที่ : //www.phuketport.com / เอ๋น้อยเอามาจากบล็อกเค้าตามลิงก์นี้ค่ะ //www.phuketport.com/phuket-blog เป็นเว็บที่ให้ข้อมูลเรื่องภูเก็ต จากคนภูเก็ตที่เอ๋น้อยอ่านก่อนไป ขอบคุณมา ณ ที่นี่ค่ะ จุด 1 : ร้านหนังสือเส้งโห เริ่มกันจากใกล้ที่พักก่อนเลย เพราะ "ร้านหนังสือเส้งโห" อยู่ตรงข้าม SINO HOUSE ที่เอ๋น้อยพักนั่นเอง ร้านนี้เปิดมาตั้งกะปี 1925 (พศ.2468 แน่ะ)"เส้ง" แปลว่าชัยชนะ"โห" คือความสามัคคี รวมกันแล้วเค้าบอกว่าเป็นตำนานร้านหนังสือของภูเก็ตที่อยากแนะนำเพราะในร้านมีหนังสือแยะมากๆ อารมณ์ว่ามากกว่าแพร่พิทยาก็ว่าได้ ลูกเด็กเล็กแดงก็แยะเชียว เอ๋น้อยเลยซื้อกลับบ้านเป็นที่ระทึกกับเค้าด้วยเล่มนึง เจ้าบูก็ซื้ออีกเล่มนึง...ระทึกกันใหญ่
สิ่งที่สังเกตได้ตั้งแต่เปิดประตูเข้าไป ก็คือ "กลิ่นหนังสือ" ซึ่งจะโชยเข้าจมูกเลยไม่รู้ทำไมร้านหนังสือสมัยนี้ไม่มีกลิ่น? www.sengho.com จุด 2 : พิพิธภัณฑ์ไปรษณียากรภูเก็ต พิพิธภัณฑ์นี้พี่ภูเก็ตเค้าสร้างมาตั้งกะปี 2475 เป็นตึกชั้นเดียวของราชการที่ยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน ด้านในก็จะมีนิทรรศการเล็กๆ บอกถึงที่มาของไปรษณีย์ไทย มีชุดบุรุษไปรษณีย์สมัยก่อน มีแสตมป์ชุดแรกๆที่จำหน่ายมีอุปกรณ์ อุปเกินไปรษณีย์เก่าๆวางโชว์ประดับกันเป็นห้องมีแม่บ้านนั่งเมาซี่กันอยู่ห้องนึงด้วยนอกนั้นก็เป็นที่จำหน่ายของที่ระลึกไปรษณีย์ โปสการ์ด(น้อยมาก)แต่อย่าหวังอะไรมากมายนะคะ เพราะเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆตั้งอยู่ข้างอาคารไปรษณีย์ทันสมัย ใครอยากแวะมาซื้อโปสการ์ดแล้วไปส่งต่อก็ได้เลยโลด... ระหว่างจุด 2 กะ 3 ออกจะห่างไกลกันหน่อย แต่ไม่ไกลเกินเอื้อมนะมันเดินได้สบายๆเลยล่ะ ในวันที่อากาศไม่ร้อนรุมเป็นไฟสุมทรวงแต่เมืองภูเก็ตเค้าจัดระเบียบระบบไว้ดีมากทางเดินเท้าเป็นกิจจะลักษณะ (น่าเสียดายที่ตึกชิโน-โปรตุเกสที่มีร่มเงายื่นออกมาพวกนั้น คนพากันต่อเติมเพิ่มขยายจับจองเป็นหน้าบ้านตัวเองกันหมดแล้ว เสียดายของแท้ๆ)สองข้างทางก็จะมีตึกสวยๆ สีสันสดใสน่ารักน่าชังน่าถ่ายรูปเพลิดเพลินไปตลอดเส้นทางเรียกว่าไม่มีเบื่อเลย สามสีตัดกันฉัวะฉะ ทางเดินแห่งรัก เอ้ย...ทางเดินชมเมือง มีอะไรน่าสนใจให้ดูตลอด นี่พอดีถ่ายวันฝนตก ฟ้าครึ้มเชีย...
จุด 3 : หมี่ฮกเกี้ยนต้นโพธิ์ เดินเหนื่อยกันแล้วชิม้า มาพักกินกลางวันกันดีก่า"ร้านหมี่ต้นโพธิ์" เปรียบเสมือนจตุจักรน่ะ มาแล้วต้องกินที่ร้านชื่อนี้เพราะตั้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์จริงๆนะเดินหาก็ไม่ยาก ดูจากแผนที่โลดเลย 555 เห็นวงเวียนปุ๊บ ก็จะเห็นร้านตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของวงเวียนหอนาฬิกานั่นแหละจ้ะ วันไปถึงตอนบ่ายโมง คนรอเต็มร้านรออาหารเกือบ 20 นาทีแน่ะ พอดีได้นั่งโต๊ะเดียวกับพี่สาวและแฟนหนุ่มฝรั่งมังค่า เลยชวนกันคุยไป พอลืมๆเวลาที่ต้องรออาหารได้ เรียกน้ำย่อยด้วยห่อหมกใบยอ ของขึ้นชื่อภูเก็ตเค้าล่ะอร่อยดีเหมือนกัน ชิ้นเล็กๆ กินไม่กี่คำก็หมดตามด้วยหมูสะเต๊ะ ที่ร้อนแรงเครื่องเทศเป็นพิเศษเอ๋น้อยกินลงไปแค่ไม้เดียว...กลิ่นเครื่องเทศทะลุสมองเลย มาแย้วว หมี่ฮกเกี้ยนเรา...เจ้าบูสั่งหมี่ฮกเกี้ยนทะเลแห้งใส่ไข่ (จัดเป็นอาหารทะเลได้ป่าวนิ)อร่อยเหมือนกันนะ รสติดไปทางเค็มๆหน่อย เสียดายเค้าคงรีบ เพราะไข่แตกแย้ว ไม่เหมือนในรูปที่เคยเห็นน่ะ เอ๋น้อยสั่งหมี่ต้มยำแห้ง...แต่ดันได้เป็นแบบนี้มา ฮ่วย...รสเค้าจะออกหวานหน่อยๆ สรุปว่ากินไม่หมดน่ะปกติหมี่ฮกเกี้ยนจะกินคู่กับแคปหมู และ หอมแดงแต่ขอผ่านทั้งสองอย่างจ้า สรุปรวมคือ รสชาติเฉยๆนะ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนชอบบะหมี่แห้งอยู่แล้วก็เลยรู้สึกชอบ เพราะเป็นอีกเวอร์ชั่นของบะหมี่ที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากหมี่ ห่อหมก หมูสะเต๊ะแล้วเค้ายังมีข้าวแกงขายด้วย ราคาไม่แพงมาก ที่เห็นทั้งหมดจ่ายไปประมาณ 200 บาทค่ะ จุด 4 : ราดหน้าเจ้าแรกในภูเก็ต ร้านนี้เอ๋น้อยไม่ได้เข้าไปกินค่ะท้องจะระเบิดแย้ว เลยเก็บไว้เป็นข้อมูลเผื่อใครสนใจเพราะท่าทางดีใช้ได้เลยล่ะ มีคนเข้าออกตลอด จุด 5 : On On Hotel แวะถ่ายรูปกะโรงแรมเก่าแก่(แตไม่ที่สุด)ของภูเก็ตกันก่อนดีกว่าแบบว่าเก่าได้ใจมากๆ โรงแรมเก่าแก่ที่สุดคือโรงแรม Thavorn Hotel ที่ภายในโรงแรมจะมีข้าวของและภาพถ่ายมากมายเก็บไว้ให้ศึกษา จุด 6 : Siamindigo / "Job" and Things ถึงจุดชอปปิ้งแล้วจ้าสาวๆ อาคารสีขาว(หม่น)กรอบหน้าต่างสีน้ำเงินเข้มด้านในเป็นร้านเสื้อผ้า ที่เราคิดว่าน่าจะหรูนะ มีแบรนด์ด้วยมีของ only sugar ไปขายด้วย เราเห็นแล้วก็มะค่อยอยากเข้าเพราะมันก็เหมือนกรุงเทพฯ แต่เค้าเลือกเสื้อผ้าได้เก๋ไก๋ไม่น้อยเชียวล่ะ ขวัญใจเอ๋น้อยคือร้านนี้ต่างหาก "Job" and things เป็นร้านขายงานฝีมือ กระเป๋าผ้าปัก โปสการ์ด ของจุกจิกรองเท้าผ้าอะไรทำนองนี้ เป็นของที่ส่วนใหญ่นทท.ซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกแต่ของเค้าจะดีกว่า ไม่ไก่กาอย่างแน่นอน เอ๋น้อยเห็นแล้วยังน้ำลายหกแถมเจ้าของร้านน่ารักมาก เอ๋น้อยลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ร้าน เค้าก็พยายามหาทางโทรฯมาบอกว่าลืมกระเป๋าไว้ ทั้งๆที่ไม่ได้ทิ้งเบอร์ไว้ในกระเป๋าเลยสักอย่างเดียวนับถือความพยายามมากๆ เอาบราวนี่พอยน์ในใจเอ๋น้อยไปเลย 10 ก้อนJob and Things : ถนนพังงา จุด 7 : ร้าน Lilac ร้านเหมือนเพิ่งเปิดอย่างแรง เพราะไม่มีทั้งป้ายชื่อร้านแถมยังเหงาๆไม่เชื้อเชิญคนเข้า ทั้งที่เปิดมา 3 ปีกว่าแล้วมีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างสร้างความวุ่นวายด้านหน้าอีกตะหาก แต่เข้าไปแล้วสาวๆอาจจะชอบ เพราะเค้าเลือกเสื้อผ้าได้สวยเก๋เชียวล่ะที่สำคัญคือมีหมอนนุ่มนิ่มดีไซเนอร์ชื่อดังที่อยู่เวียดนาม "SONG" มาวางขายในร้านนี้ด้วย ราคาก็ใกล้เคียงกับช็อปในโฮจิมินห์ เอ๋น้อยไปลูบคลำหมอนที่เคยหมายตาไว้นานมากแต่สุดท้ายก็ต้องตัดใจค่ะ แบบว่าคนเรามีทุกอย่างในโลกไม่ได้จริงๆเพราะหมอนใบกะจึ๋งราคา 1500 บาทนี่ก็ตัดใจยากเอาการอยู่ถึงจะนิ่มแค่ไหนก็เหอะ จุด 8 : พิพิธภัณฑ์ไทยหัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามาภูเก็ตแล้วควรจะมาที่พิพิธภัณฑ์นี้เป็นอย่างยิ่งเพราะมันจะทำให้เรารู้จักภูเก็ตได้ภายในเวลาแค่พริบตาเดียว(จิงๆนะ)สมกับที่เขาตั้งสโลแกนไว้ว่า One day in my beloved Phuket ปกติเราไม่ใช่คนชอบเข้าพิพิธภัณฑ์นะ แต่ชอบที่นี่มากบรรยากาศสงบตั้งแต่ตอนเข้ามา ตัวอาคารดัดแปลงมาจากโรงเรียนภาษาจีนสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1911 (พศ.2454) จนล่าสุดเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านในจะเริ่มจัดแสดงภาพถ่ายตั้งแต่สมัยที่คนแห่กันเข้ามาขุดและทำเหมืองแร่ที่ภูเก็ต เรื่อยไปจนถึงวิวัฒนาการ บ้านเมือง แฟชั่น อาหารการกินและวัฒนธรรมอื่นๆอีกมากมาย ที่สะใจคือเค้ามีเก้าอี้ให้นั่งดูรูปได้สบายๆ จะนานเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีใครมาไล่ แถมยังเข้าชมฟรีอีกตะหาก...สมควรจะพลาดเหรอคะพี่น้อง!!!
กลับไปอีกที ที่นี่เก็บค่าถ่ายรูปด้านในพิพิทธภัณพ์คนละ 100 บาทเสียแล้ว ในห้องแสดงภาพอาหารภูเก็ต เค้าจะมีร้านอาหารอร่อยๆแนะนำไว้ด้วยเราก็รีบจดยิกเลยค่ะ 555 เรื่องของกินนี่ไม่เคยละเว้นกันอยู่แล้วด้านข้างพิพิธภัณฑ์เปิดคาเฟ่แห่งใหม่ในบรรยากาศห้องแอร์ ชื่อ 'Cafe In' (คาเฟอีน?) ซึ่งมีทั้งอิน และ เอาท์ดอร์ ด้านเอาท์ดอร์ทาสีผนังสดใส เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกกะจะพรวดทีเดียวเลย 14 จุดแต่ข้าวต้มหมดแรงแล้วเอ๋น้อยขอไปนอนก่อนล่ะ ขอให้เที่ยวภูเก็ตครึ่งเมืองให้สนุกกันไปก่อนนะคะ อีกสองสามวัน ได้เวลาพาเจ๊แม่ไปตะลอนทัวร์อาจจะหายหน้าหายตาไปบ้าง เพราะอินเตอร์เนตเข้าไม่ถึง เหอๆๆกลับมาจะแวะไปทักเด้อค่ะเด้อ
แม่เอ๋น้อย ชลี กะ คุณลุง ได้รับ โป๊ะ ซะ ก๊าด ละเด้อ งามแต๊ๆ คุณลุงบอกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตทีมีคนส่ง โป๊ะ ซะ ก๊าด มาให้ อ่าว กะรน + กะตะ เคยไปตอน เป็นเด็กสาวปิ๊งๆ ขึ้นไปถ่ายรูปข้างถนนที่เป็นภูเขาแล้วมองเห็นหาดอยู่ข้างหลัง อยากไปอีกอ่ะ รับบริจาคค่าเครื่องมีใครใจบุญจาบริจาคมั่งคะ