เมรุปราสาทพญานกหัสดีลิงค์ : วัดศรีคำชมภู สารภี เชียงใหม่
16 กุมภาพันธ์ 2554 : เมรุปราสาทพญานกหัสดีลิงค์ : วัดศรีคำชมภู สารภี เชียงใหม่
จากที่ได้ข้อมูลมาของวันที่ 14 ก.พ. (ที่ผ่านมา) มีการอาราธนาศพของพระครูสิทธิวรญาณ หรือ หลวงปู่ครูบาอ้าย สุรินฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีคำชมภู ขึ้นสู่เมรุปราสาทนกหัสดีลิงค์ ที่วัดศรีคำชมภู ต.ป่าบง อ.สารภี จ.เชียงใหม่
ได้ข้อมูลมาแบบนี้ เป็นอะไรที่ไม่ได้อยู่ในกำหนดการ แต่ก็ตั้งเป้าไว้หลังจากที่เคยถ่ายภาพนกหัสดีลิงค์มาจาก 2 วัดแล้ว คือ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เชียงใหม่ ชมได้จาก link นี้ และอีก 1 วัด คือ วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ชมได้จาก link นี้
ได้บอกกับตัวเองว่าหากทราบกำหนดการที่จะมีการจัดสร้างนกหัสดีลิงค์อีกครั้ง ตั้งใจจะตามไปบันทึกภาพมาให้ชมกัน
ครั้งนี้มาทราบเอาวันที่เกือบจะสุดท้ายของงานแล้ว เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) พอว่างๆ ช่วงพักเที่ยงเลยตะลุยวิ่งหาวัด ซึ่งน่าจะอยู่แถวสารภี หากันจนเจอ และโชคดีที่เส้นทางเข้าไปภายในวัด เคยได้ไปมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นเข้าไปได้ครึ่งทาง ครึ่งทางที่เหลือ เลยได้ถามชาวบ้านแถวนั้นอีก 2 ครั้ง
นำภาพมาให้ชมกันนิดหนึ่งก่อนครับ พอดีไป survey หาทางไปวัด แล้วก็ได้แค่ติดกล้องคอมแพคไป เลยถ่ายภาพมาแบบดูแนวทางไว้ก่อน และคงจะกลับไปถ่ายภาพช่วงเย็นๆ - หัวค่ำ กันอีกครั้งหนึ่ง
มาชมกันครับ กับเมรุปราสาทนกหัสดีลิงค์
เมื่อพระสงฆ์มรณภาพ โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์มีเชื้อสายรามัญ หรือมอญ รวมทั้งพระเกจิอาจารย์ทางภาคเหนือ จะจัดศพอย่างสมเกียรติ คือทำ ปราสาท ใส่โลงศพ วางบนบุษบก ทำเป็นเรือนยอด และตั้งบนหลัง นกหัสดีลิงค์ ทำแม่เรือวางปราสาทสำหรับลากไปสู่สุสาน
ในวันทำศพ จะมีผู้คนมาร่วมงานกันมากมาย เพราะถือว่า เป็นบุญกุศลอย่างสำคัญ
โครงสร้างของนกหัสดีลิงค์ทั้งหมด ยึดถือตามแบบโบราณ นับตั้งแต่สะพานเชื่อมไปยังปราสาท เพื่อใช้เคลื่อนย้ายโลงแก้ว ที่บรรจุสารีระ ทำด้วยไม้ไผ่แบบโบราณ โดยใช้วิธีการขัดสานเป็นรูปร่าง
ส่วนโครงสร้างทั้งหมด ทำจากโครงไม้ ตกแต่งด้วยกระดาษสี ทำลวดลายเป็นเกล็ด บริเวณส่วนหัวสามารถขยับเคลื่อนไหวไปมา ตากะพริบได้ บรรจุข้าวตอกไว้โปรย ในการทำพิธีเผาศพ เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของชาวล้านนา
นอกจากนั้น บริเวณงวงยังยืดหดได้ ส่วนตาทั้ง ๒ ข้างมีลักษณะกลม สีแดง ขนตายาว งอน และกะพริบได้ตลอดเวลา
ส่วนปีกขยับขึ้นลง เหมือนจังหวะการบินของนก บริเวณส่วนหางมีลักษณะเหมือนหางหงส์ ให้ความรู้สึกอ่อนช้อยสวยงาม เมื่อได้พบเห็น
บริเวณส่วนยอดของปราสาท จะมียอดปราสาท ฉัตร ๙ ชั้น ซึ่งถือเป็นเครื่องประดับ ตามสมณศักดิ์ของพระเถระที่มรณภาพรูปนั้นๆ โดยเป็นไปตามความเชื่อโบราณของชาวล้านนา
โดย ๓ ชั้นแรก หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชั้นที่ ๕ หมายถึง พระเจ้า ๕ พระองค์ ได้แก่ พระกะกุสันโธ โกนาคะมะโน กัสสะโป โคตะโม อริยเมตเตยโย
ส่วนชั้นที่ ๗ หมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สังวิทา ปุกะยะปะ และ ชั้นที่ ๙ หมายถึง พระนวโลกุตรธรรม เจ้าเก้าประการ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ และ นิพพาน ๑
ทั้งนี้รอบปราสาททั้ง ๔ ทิศ จะมีเพดานที่ทำจากเสาไม้ไผ่สูง และขึงด้วยผ้าสังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) ของครูบาผัด เปรียบแทนศีลของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า "จตุปริสุทธศีล"
โดยเสาทั้ง ๔ ต้น เปรียบเป็นศีล ๔ ข้อ ได้แก่ ๑.ปาติโมกข์สังวร ๒.อินทรียสังวร ๓.อาชีวะปริสุทธศีล และ ๔.ปัจจัยสัจนิจศีล
สำหรับฟืนที่จะใช้ในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพนั้น เลือกไม้มงคล ๗ ชนิด มาประกอบพิธี ตามหลักอภิธรรม ได้แก่ ๑.ไม้ดอกแก้ว ๒.ไม้ขนุน ๓.ไม้จำปา ๔.ไม้จำปี ๕.ไม้ตุ้มคำ (ไม้มงคลท้องถิ่น) ๖.ไม้จันทน์ และ ๗.ไม้กฤษณา ซึ่งไม้บางชนิดหายาก ในวันงานพิธีพระราชทานเพลิงศพ มีประชาชนเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากชาวล้านนาเชื่อว่า การร่วมงานศพพระสงฆ์เป็นสิริมงคล จะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ทั้งกายและใจ
การจัดพิธีศพ ถือเป็นการแสงความกตัญญูต่อบุพการีที่อยู่ในฐานะครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เป็นครั้งสุดท้าย จึงต้องการทำพิธีทุกอย่างให้ดีที่สุด ตามที่ลูกศิษย์จะสามารถดำเนินการให้ได้"
ตำนานล้านนา นกหัสดีลิงค์ เป็นนกใหญ่ตัวโตเท่าช้าง เรียกชื่อตามเจ้าของภาษาว่า หัตถิลิงคะสะกุโณ เรียกตามภาษาของเราว่า นกหัสดีลิงค์
ตามประวัติศาสตร์ล้านนา ที่เล่าขานต่อกันมาว่า นกหัสดีลิงค์ เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความพิเศษ คือ มีเพศเพียงดั่งช้าง เป็นนกที่มีหัวเป็นช้าง มีหางเป็นหงส์ มีพละกำลังดั่งช้างเอราวัณ ๓-๕ เชือกรวมกัน ซึ่งเป็นสัตว์คู่บารมีของกษัตรา เจ้าเมืองผู้มีอำนาจบารมีสูง
ความเชื่อของชาวล้านนา แต่อดีตกาล นิยมสร้าง ปราสาทนกหัสดีลิงค์ เพื่อบรรจุศพของกษัตริย์เจ้านายฝ่ายเหนือ รวมถึงพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มรณภาพ เพื่อให้พิธีศพสง่างาม สมฐานะบารมี และเป็นการส่งดวงวิญญาณไปสู่ชาติสรวงสวรรค์ชั้นพรหมโลก เทวโลก
แต่ในปัจจุบัน ปราสาทนกหัสดีลิงค์ นิยมใช้ในพิธีศพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น โดยรูปลักษณะของตัวนกหัสดีลิงค์นั้น มีรูปร่างโครงสร้างส่วนหัวและลำตัวทำจากโครงไม้ ตัดแต่งกระดาษเป็นลวดลาย ทำเป็นเกล็ด ส่วนหัวช้าง มีความพิเศษของการเคลื่อนไหวไปมาได้ โดยชิ้นส่วนคอและหัว ต้องเคลื่อนไหวหมุนไปมา ใบหูสามารถพับกระพือได้ ส่วนงวงทำจากผ้าเย็บเป็นทรงกระบอก เลียนแบบงวงช้าง มีเชือกร้อยอยู่ด้านในสำหรับดึง เคลื่อนไหวได้ ดวงตาต้องมีลักษณะกลมมน ขนตายาวสวย กะพริบได้ เหมือนมีชีวิตจริงๆ
ในอดีต เมื่อเจ้านายฝ่ายเหนือสิ้นชีพตักษัย การจัดประเพณีศพของเจ้านายสมัยนั้น จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และสมเกียรติ ด้วยการสร้างบุษบก สวมทับพระโกศ ตั้งบนหลังนกหัสดีลิงค์ ฉุดลากด้วยช้าง และให้ชาวบ้านชาวเมืองเดินตามขบวนแห่ไปยังสุสาน ปัจจุบันพิธีศพนี้ นำมาใช้กับพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วย
ทั้งนี้ มีพงศาวดารโยนก ตอนหนึ่ง จุลศักราช ๙๔๐ ปีขาล สัมฤทธิศก เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ความว่า "นางพระญาวิสุทธิเทวี ต๋นนั่งเมืองนครพิงค์ ถึงสวรรคต พระญาแสนหลวงจึงแต่งการพระศพ ทำเป๋นวิมานบุษบกตั้งอยู่บนหลังนกหัสดินทร์ตั๋วใหญ่ แล้วฉุดลากไปด้วยแฮงจ๊างคชสาร จาวบ้าน จาวเมืองเดินตวยก้น เจาะก๋ำแปงเมืองออกไปตางต่งวัดโลกโมฬี และทำก๋าร ถวายพระเพลิง ณ ตี้นั้น เผาตึงฮูปนกหัสฯ และวิมานบุษบกนั้นตวย"
คัดลอกข้อความจากครั้งที่เคยลงให้ชมกันไปแล้วใน blog และเป็นข้อมูลจาก //www.tumsrivichai.com
อย่างที่เกริ่นไว้ก่อนตอนต้น รีบไป survey และถ่ายภาพมาด้วยกล้อง Compat ไว้ก่อน ยังตั้งใจจะไปถ่ายภาพ เก็บภาพที่ควรค่าแห่งการจัดเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชมกันต่อๆ ไปด้วยครับ
สำหรับเส้นทางไปวัดศรีคำชมภู วันนี้ใช้เส้นทางซุปเปอร์ เชียงใหม่-ลำปาง วิ่งมาถึงสี่แยกเสน่ห์ชายน้ำ ให้เลี้ยวซ้าย ตรงไปประมาณ 2 กม.นิดๆ จะมีวัดเทพาราม อยู่ด้านซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้าย และตรงไปอีกกิโลเมตรกว่าจะพบวัดป่าบงหลวง บริเวณด้านวัดป่าบงหลวงจะมีวงเวียนเล็กๆ ให้เลือกไปทางซ้าย เหมือนจะมีป้ายบอกเส้นทางไปสารภี สังเกตจากตุงที่ปัก 2 ข้างทางจากบริเวณถนนเส้นทางตรงนี้ก็ได้ครับ ตรงไปอีกประมาณ 800 เมตร จะเห็นโรงเรียนศรีคำชมภูอยู่ซ้ายมือ ถัดจากโรงเรียนก็จะเป็นวัดศรีคำชมภูแล้วครับ
เขียนบอกเส้นทางไว้ เผื่อว่าเพื่อนๆ หรือท่านที่สนใจจะไปร่วมงานบุญในครั้งนี้ จะตามไปร่วมถ่ายภาพกันครับ
สำหรับงานพระราชทานเพลิงศพของพระครูสิทธิวรญาณ หรือ หลวงปู่ครูบาอ้าย สุรินฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีคำชมภู มีกำหนดไว้ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 15.00 น. ครับ
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่แวะมาชมภาพถ่ายที่ blog ด้วยครับ
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2554 |
|
25 comments |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2554 15:30:45 น. |
Counter : 6649 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณสำหรับภาพสวยๆนะคะ...