|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เมรุปราสาทนกหัสดีลิงค์ : วัดพระธาตุศรีสามรักษ์
27 มีนาคม 2554 : เมรุปราสาทพญานกหัสดีลิงค์ : วัดพระธาตุศรีสามรักษ์
ช่วงที่ไปสัมนาที่เชียงดาว มีโอกาสได้ผ่านวัดพระธาตุศรีสามรักษ์ (ห้วยตีนตั่ง) ตำบลทุ่งข้าวพวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
ช่วงที่รถวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยังพอทันไห้เห็นนกหัสลิิงค์ที่อยู่กลางสนามฟุตบอล ตั้งใจไว้เลยว่า ช่วงขากลับ ต้องรอถ่ายภาพนกหัสดีลิงค์ ในช่วงขณะที่รถวิ่งผ่านให้ได้ และก็ไม่ผิดหวัง พอจำทางได้ว่าใกล้ถึงวัดพระธาตุศรีสามรักษ์ ก็เลยรัวๆ กดถ่ายภาพมา
สรุปว่าได้กดชัตเตอร์รัวๆ แบบแว๊บเดียวช่วงรถวิ่งผ่าน สามารถถ่ายภาพมาได้ถึง 12 ภาพ พอได้ดู้ภาพแล้ว รู้สึกว่าสวยถูกใจเลยทีเดียว
มาลองชมกัน 2 ภาพกันก่อนครับ ภาพที่เหลือมีส่วนที่ติดส่ายไฟฟ้า ต้นไม้ข้างทาง และดูเอียงๆ ไปอยู่บ้าง
พอกลับมาดูภาพแล้ว เลยชวนกับเพื่อนกลับไปถ่ายภาพใหม่ เพราะยังพอดูว่าไม่อยู่ไกลกันไปกับที่พักมากนัก
งานฌาปณกิจศพ หลวงปู่บัณฑิต ( พระอธิการบัณฑิต จิณณปุญโญ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีสามรักษ์ ) กำหนดงานพิธีเปิดศพเริ่มตั้งแต่วันที่ 24-26 มีนาคม 2554 และในวันที่ 27 มีนาคม 2554 เป็นวันฌาปานกิจ ในช่วงบ่าย
ตัวนกหัสดีลิงค์หันหน้าไปทางวัดพระธาตุศรีสามรักษ์
ได้มีโอกาสเดินไปยังวัดพระธาตุศรีสามรักษ์ และได้ถ่ายภาพกลับลงมาที่บริเวณกลางสนามฟุตบอล ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งนกหัสดีลิงค์เมรุหลวงปู่บัณฑิต
พระธาตุศรีสามรักษ์
พอได้ร่วมถ่ายภาพและร่วมงานบุญสมทบเป็นทุนในการสร้างนกหัสดีลิงค์ด้วย ได้ทราบข่าวจากภายในงานการสร้างนกหัสดีลิงค์มูลค่ากว่า 1 แสนบาท
สองภาพนี้จะเห็นนกหัสดีลิงค์ มีการเคลื่อนส่วนของหัวไปทางซ้ายและทางขวา แล้วครับ
มีการปล่อยโคมไฟ (โคมลอย) ด้วย
ที่จริงได้ถ่ายภาพแบบติดต่อกันมาถึง 12 shot แต่เลือกมาให้ชมกัน 3 ภาพนี้ครับ
มาปิดท้ายไวักับ 2 ภาพนี้ครับ
ท้ายกันนี้ขอร่วมส่งดวงวิญญาณหลวงปู่บัณฑิตสู่ชั้นสวรรค์ภพด้วยครับ
ขอบคุณเจ้าหน้าที่ของงาน ท่ี่เอื้อเฟื้อสถานที่ให้ถ่ายภาพด้วยครับ
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่แวะมาชมภาพถ่ายที่ blog ด้วยครับ
*** นำเนื้อความเกี่ยวกับนกหัสดีลิงค์มาให้อ่านกันท้าย blog ด้วยครับ เคยได้คัดลอกมาแปะไว้ที่ blog เรื่องนกหัสดีลิงค์ไว้แล้วเช่นกันครับ
เมื่อพระสงฆ์มรณภาพ โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์มีเชื้อสายรามัญ หรือมอญ รวมทั้งพระเกจิอาจารย์ทางภาคเหนือ จะจัดศพอย่างสมเกียรติ คือทำ ปราสาท ใส่โลงศพ วางบนบุษบก ทำเป็นเรือนยอด และตั้งบนหลัง นกหัสดีลิงค์ ทำแม่เรือวางปราสาทสำหรับลากไปสู่สุสาน
ในวันทำศพ จะมีผู้คนมาร่วมงานกันมากมาย เพราะถือว่า เป็นบุญกุศลอย่างสำคัญ เช่น พิธีพระราชทานเพลิงศพ ครูบาผัด ผุสสิตธมโม หรือ พระครูพิศิษฏ์สังฆการ อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีดอนมูล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๑
พระครูสิริศีลสังวร หรือ ครูบาน้อย เตชปญฺโญ รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีดอนมูล บอกว่า คณะกรรมการวัดจัดสร้างเมรุพิเศษชั่วคราว ในลักษณะของปราสาท นกหัสดีลิงค์ ความสูงกว่า ๓๐ เมตร
โครงสร้างของนกหัสดีลิงค์ทั้งหมด ยึดถือตามแบบโบราณ นับตั้งแต่สะพานเชื่อมไปยังปราสาท เพื่อใช้เคลื่อนย้ายโลงแก้ว ที่บรรจุสารีระ ทำด้วยไม้ไผ่แบบโบราณ โดยใช้วิธีการขัดสานเป็นรูปร่าง
ส่วนโครงสร้างทั้งหมด ทำจากโครงไม้ ตกแต่งด้วยกระดาษสี ทำลวดลายเป็นเกล็ด บริเวณส่วนหัวสามารถขยับเคลื่อนไหวไปมา ตากะพริบได้ บรรจุข้าวตอกไว้โปรย ในการทำพิธีเผาศพ เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของชาวล้านนา
นอกจากนั้น บริเวณงวงยังยืดหดได้ ส่วนตาทั้ง ๒ ข้างมีลักษณะกลม สีแดง ขนตายาว งอน และกะพริบได้ตลอดเวลา
ส่วนปีกขยับขึ้นลง เหมือนจังหวะการบินของนก บริเวณส่วนหางมีลักษณะเหมือนหางหงส์ ให้ความรู้สึกอ่อนช้อยสวยงาม เมื่อได้พบเห็น
บริเวณส่วนยอดของปราสาท จะมียอดปราสาท ฉัตร ๙ ชั้น ซึ่งถือเป็นเครื่องประดับ ตามสมณศักดิ์ของพระเถระที่มรณภาพรูปนั้นๆ โดยเป็นไปตามความเชื่อโบราณของชาวล้านนา
โดย ๓ ชั้นแรก หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชั้นที่ ๕ หมายถึง พระเจ้า ๕ พระองค์ ได้แก่ พระกะกุสันโธ โกนาคะมะโน กัสสะโป โคตะโม อริยเมตเตยโย
ส่วนชั้นที่ ๗ หมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สังวิทา ปุกะยะปะ และ ชั้นที่ ๙ หมายถึง พระนวโลกุตรธรรม เจ้าเก้าประการ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ และ นิพพาน ๑
ทั้งนี้รอบปราสาททั้ง ๔ ทิศ จะมีเพดานที่ทำจากเสาไม้ไผ่สูง และขึงด้วยผ้าสังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) ของครูบาผัด เปรียบแทนศีลของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า "จตุปริสุทธศีล"
โดยเสาทั้ง ๔ ต้น เปรียบเป็นศีล ๔ ข้อ ได้แก่ ๑.ปาติโมกข์สังวร ๒.อินทรียสังวร ๓.อาชีวะปริสุทธศีล และ ๔.ปัจจัยสัจนิจศีล
สำหรับฟืนที่จะใช้ในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพนั้น เลือกไม้มงคล ๗ ชนิด มาประกอบพิธี ตามหลักอภิธรรม ได้แก่ ๑.ไม้ดอกแก้ว ๒.ไม้ขนุน ๓.ไม้จำปา ๔.ไม้จำปี ๕.ไม้ตุ้มคำ (ไม้มงคลท้องถิ่น) ๖.ไม้จันทน์ และ ๗.ไม้กฤษณา ซึ่งไม้บางชนิดหายาก ในวันงานพิธีพระราชทานเพลิงศพ มีประชาชนเดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากชาวล้านนาเชื่อว่า การร่วมงานศพพระสงฆ์เป็นสิริมงคล จะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง ทั้งกายและใจ
การจัดพิธีศพ ถือเป็นการแสงความกตัญญูต่อบุพการีที่อยู่ในฐานะครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เป็นครั้งสุดท้าย จึงต้องการทำพิธีทุกอย่างให้ดีที่สุด ตามที่ลูกศิษย์จะสามารถดำเนินการให้ได้ การก่อสร้างปราสาทนกหัสดีลิงค์ครั้งนี้ อาตมาร่วมกับลูกศิษย์ และคณะกรรมการวัด มอบให้ช่างรุ่ง จันตาบุญ สล่า (ช่างฝีมือ) มือหนึ่งของชาวล้านนา ที่เคยฝากผลงานหอคำหลวงในงานมหกรรมพืชสวนโลก ให้นักท่องเที่ยวชื่นชมความงาม เป็นผู้บรรจงสร้างสรรค์ขึ้น ใช้เวลาดำเนินการกว่า ๓ เดือน ใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า ๙ แสนบาท ครูบาน้อย กล่าว
ตำนานล้านนา
นกหัสดีลิงค์ เป็นนกใหญ่ตัวโตเท่าช้าง เรียกชื่อตามเจ้าของภาษาว่า หัตถิลิงคะสะกุโณ เรียกตามภาษาของเราว่า นกหัสดีลิงค์
ตามประวัติศาสตร์ล้านนา ที่เล่าขานต่อกันมาว่า นกหัสดีลิงค์ เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความพิเศษ คือ มีเพศเพียงดั่งช้าง เป็นนกที่มีหัวเป็นช้าง มีหางเป็นหงส์ มีพละกำลังดั่งช้างเอราวัณ ๓-๕ เชือกรวมกัน ซึ่งเป็นสัตว์คู่บารมีของกษัตรา เจ้าเมืองผู้มีอำนาจบารมีสูง
ความเชื่อของชาวล้านนา แต่อดีตกาล นิยมสร้าง ปราสาทนกหัสดีลิงค์ เพื่อบรรจุศพของกษัตริย์เจ้านายฝ่ายเหนือ รวมถึงพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มรณภาพ เพื่อให้พิธีศพสง่างาม สมฐานะบารมี และเป็นการส่งดวงวิญญาณไปสู่ชาติสรวงสวรรค์ชั้นพรหมโลก เทวโลก
แต่ในปัจจุบัน ปราสาทนกหัสดีลิงค์ นิยมใช้ในพิธีศพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น โดยรูปลักษณะของตัวนกหัสดีลิงค์นั้น มีรูปร่างโครงสร้างส่วนหัวและลำตัวทำจากโครงไม้ ตัดแต่งกระดาษเป็นลวดลาย ทำเป็นเกล็ด ส่วนหัวช้าง มีความพิเศษของการเคลื่อนไหวไปมาได้ โดยชิ้นส่วนคอและหัว ต้องเคลื่อนไหวหมุนไปมา ใบหูสามารถพับกระพือได้ ส่วนงวงทำจากผ้าเย็บเป็นทรงกระบอก เลียนแบบงวงช้าง มีเชือกร้อยอยู่ด้านในสำหรับดึง เคลื่อนไหวได้ ดวงตาต้องมีลักษณะกลมมน ขนตายาวสวย กะพริบได้ เหมือนมีชีวิตจริงๆ
ในอดีต เมื่อเจ้านายฝ่ายเหนือสิ้นชีพตักษัย การจัดประเพณีศพของเจ้านายสมัยนั้น จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ และสมเกียรติ ด้วยการสร้างบุษบก สวมทับพระโกศ ตั้งบนหลังนกหัสดีลิงค์ ฉุดลากด้วยช้าง และให้ชาวบ้านชาวเมืองเดินตามขบวนแห่ไปยังสุสาน ปัจจุบันพิธีศพนี้ นำมาใช้กับพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วย
ทั้งนี้ มีพงศาวดารโยนก ตอนหนึ่ง จุลศักราช ๙๔๐ ปีขาล สัมฤทธิศก เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ความว่า "นางพระญาวิสุทธิเทวี ต๋นนั่งเมืองนครพิงค์ ถึงสวรรคต พระญาแสนหลวงจึงแต่งการพระศพ ทำเป๋นวิมานบุษบกตั้งอยู่บนหลังนกหัสดินทร์ตั๋วใหญ่ แล้วฉุดลากไปด้วยแฮงจ๊างคชสาร จาวบ้าน จาวเมืองเดินตวยก้น เจาะก๋ำแปงเมืองออกไปตางต่งวัดโลกโมฬี และทำก๋าร ถวายพระเพลิง ณ ตี้นั้น เผาตึงฮูปนกหัสฯ และวิมานบุษบกนั้นตวย"
คัดลอกจาก //www.tumsrivichai.com
Create Date : 27 มีนาคม 2554 |
Last Update : 28 มีนาคม 2554 2:40:31 น. |
|
5 comments
|
Counter : 6963 Pageviews. |
|
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 27 มีนาคม 2554 เวลา:17:17:28 น. |
|
|
|
โดย: KeRiDa วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:6:06:52 น. |
|
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:8:26:11 น. |
|
|
|
โดย: jamaica วันที่: 28 มีนาคม 2554 เวลา:10:58:31 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ช่วงเวลาสั้นๆ กับภาพประทับใจ
สุดยอดเลยค่ะ