Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
28 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ความรักเพียรละ - หลวงพ่อชา




กาโมฆะ โอฆะ คือ "กาม"
จมอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ
มันจมอยู่ คือ มันดูแต่ข้างนอก ไม่ดูข้างใน ไม่ดูตัวเรานี้ ?
แต่...เราชอบดูคนอื่น คนอื่นเห็นหมดแล้ว
แต่...ตัวเราไม่ชอบดูกัน มันจึงไม่เห็น
มันไม่ใช่ของยากลำบากอะไร
แต่เราไม่พยายามที่สุดในตรงนี้ !!!

ยกตัวอย่าง
มองดูสีกาสวย ๆ เป็นอย่างไรล่ะ ?
พอมองเห็นหน้ามันมองเห็นหมดทุกอย่าง เห็นไหม ?
ดูในใจนี้ก้อได้..
เห็นสภาพของผู้หญิงเป็นอย่างไร ?
เห็นแล้วพอมองตานอกมองเห็นตาใน
เ็ห็นหมดทุกแห่ง ทำไมมันเร็วอย่างนั้น ?

คือมันจมอยู่ในน้ำ มันจมอยู่
มันวินิจฉัยอยู่ มันวิจัยอยู่ มันติดอยู่ในนั้น
เพราะว่าเราเป็นทาสมัน
เหมือนเราเป็นทาสของคนหนึ่ง คนนั้นมีอำนาจมากกว่าเรา
ชี้ให้วิ่งก้อต้องวิ่ง !!
ให้นั่งก้อต้องนั่ง ให้เดินก้อต้องเดิน เพราะอะไร ?

เราฝืนไม่ได้ เพราะเราเป็นทาสเขา
เราเป็นทาสของกามนี้ ก้อเช่นกัน
จะเขี่ยอย่างไร มันก้อไม่ออก
ยิ่งให้คนอื่นเขี่ยก้อยิ่งร้าย
เราต้องเขี่ยของเราเอง !!!!!

ดังนั้นการปฏิบัติธรรมะนี้
เรื่องที่มันจะพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านจึงมอบให้เรานี้เอง
พูดง่าย ๆ อย่างพระนิพพานี้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แจ้ง
ทำไมไม่อธิบายธรรมะให้ละเอียดแยบคาย เกี่ยวกับเรื่องนิพพาน ?

ท่านบอกแต่ว่า ให้ปฏิับัติ รู้เฉพาะตัวเท่านั้นแหละ
ทำไมถึงบอกอย่างนั้น ?

ก้อควรจะชี้ว่ามันเป็นอย่างนั้น มิใช่หรือ ?

พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติมาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า หลายอสงไขย
ก็เพื่อท่านจะได้โปรดสัตว์นั่นเอง
ทำไมท่านไม่ชี้พระนิพพานให้รู้จักกัน
ให้มันไปกัน ?????

บางคนคิดอย่างนั้น
"ถ้าพระพุทธเจ้ารู้จริง ก็บอกจริง ๆ ซิ"
จะปกปิด อำพรางไว้ทำไม ?

ไอ้ความเป็นจริง คิดเช่นนี้มันผิด
คือ เราจะเห็นอย่างนั้นไม่ได้
มันจะเห็นเพราะการประพฤติ เพราะการปฏิบัติ
ท่านเพียงแต่ จะแนะแนวทางพอให้เกิดปัญญาเท่านั้น
บอกแต่ว่า ให้ปฏิบัิตเองให้กระทำเอง ผู้บรรลุก็เห็นเอง

แต่ว่า.. แนวทางที่ท่านแนะให้ไป มันก็ขัดใจเราอยู่แล้ว
ให้มักน้อย ให้สันโดษ ให้อย่างนั้นอย่างนี้
เราก็ยังไม่ชอบอยู่แล้ว เลยบอกไปว่าให้ท่านชี้นิพพาน
ชี้ทางไปนิพพาน ให้คนที่งอมืองอเท้าไปก้อได้

อย่างตัวปัญญาก้อเหมือนกัน
ท่านจะเอาตัวปัญญานี้ชี้กันให้เกิดปัญญา
เอาปัญญาให้กันไม่ได้หรอก

แต่..ท่านแนะแนวทางที่จะให้เกิดปัญญานี้ได้
แต่..จะเกิดปัญญามากหรือน้อยนั้น แล้วแต่กรณี

พูดถึง บุญวาสนา บารมี ความรู้ ความเห็นมันต่างกัน
เช่น พูดถึงวัตถุหนึ่ง อย่างรูปสิงห์ อยู่หน้าโบสถ์
เรานี้ ต่างคนต่างดู ดูตัวเดียวกัน ก็ไม่เหมือนกัน
คนนี้ว่า "แหม สวย" คนนั้นว่า "ไม่สวย"
ก็ตัวเดียวกันนั่นล่ะ สวยไม่สวย
เท่านี้เราก้อรู้จักว่ามันเป็นอย่างไร ?

ฉะนั้นผู้บรรลุธรรมะ ช้ากว่ากัน เร็วกว่ากัน มันมีอยู่
พระพุทธองค์ และสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน

ที่ท่านประพฤติปฎิบัติมานั้น
ความเป็นจริง ท่านทำด้วยตนเอง
แต่ว่า.. ทำด้วยตนเองนั้น
ก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ บอกอุบายให้เกิดปัญญา +++

ท่านไม่สามารถเอาปัญญาให้กันได้หรอก
ท่านสามารถแต่จะให้ ความรู้เป็นบ่อเกิดของปัญญา เท่านั้น

ทีนี้เมื่อเราจะฟังธรรม ฟังมันจนหมดความสงสัย
มันก็ไม่หมดหรอก
" ความสงสัย มันไม่หมดด้วยการฟัง หรือการคิด "

เราต้องเอาไปฟอกใหม่ ฟอกใหม่คือ ปฏิบัติใหม่
ถึงแม้ท่านจะพูดความจริง มาสักเท่าไหร่ก้อตามเถอะ
เราก็ไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริงนั้น
ถ้า.. รู้ก็สักแต่ว่า คาดคะเน
หรือประมาณเอาเท่านั้น
แต่.. ถึงไม่บรรลุธรรมในขณะที่ฟังอยู่นั้น
.....ตัวจิต มันสร้างตัวมันขึ้นได้ ++++

มีเหมือนกันในครั้งพุทธกาล นั่งฟังธรรมะ
บรรลุธรรมะ ถึงขั้นที่สุด ในขณะที่นั่งฟังอยู่ก็มี
แต่ว่าเมื่อฟังอยู่มันรู้อุบายเร็วคล้าย ๆ กับลูกโป่ง

ลูกโป่งนั้น เขาสูบลมเข้ามันพองตัว
ไอ้ลมที่มันอยู่ในลูกโป่งนั้น มันมีพลังที่จะดันออกมา
มันพยายามที่จะออก แต่มันไม่มีรู

พอเอาเข็มหมุดไปแทงสักนิดเดียวเท่านั้น
ลมก้อ...ฟี้ ออกไปเลย
อันนี้ก้อฉันนั้น

วิสัยของสาวกที่ฟังธรรมะ
บรรลุธรรมะ ในอาสนะที่นั่งนั้น ก็เหมือนกัน
ไม่มีอะไรสัมผัส มันดันอยู่เหมือนลูกโป่ง ที่มันทึบอยู่

คือ.. มันมีอะไรบังอยู่นิดเดียว มันไม่ออก
พอได้ฟังธรรมะ ถูกจริตเข้าเท่านั้น
ก็เกิดปัญญาปุ๊บขึ้นมาทันที
ล่วงรู้ในเวลานั้น ปล่อยวางในเวลานั้น
ท่านก็บรรลุธรรมอย่างแท้จริงได้

อันนี้เป็นของทำเอาเอง
พระพุทธเจ้าให้อุบายที่จะทำให้เกิดปัญญา
ครูบาอาจารย์เราทุกวันนี้ เหมือนกันฉันนั้น
ท่านเทศน์ให้เราฟัง เอาความจริงพูดให้ฟังกัน
แต่.. เราเอาความจริงนั้นไปไม่ได้ เพราะอะไร ???

มันมีเยื่ออะไรมาปิดบังอยู่นะ
นี่จะหมายความว่า มันจมก็ได้ มันจมอยู่ในน้ำ
กาโมฆะ โอฆะ คือ กาม ภโวฆะ

โอฆะ คือ ภพ
ภพที่เกิด กามทั้งหลาย
ก็อยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส โผฏฐัพพะ ในธรรมารมณ์
ว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา
ยึดมั่น ถือมั่น ในกามแน่น ..

ดังนั้น ผู้ปฏิับัติบางทีก้อเบื่อ เือือมระอา
เบื่อในการปฏิบัติ ขี้เกียจ
ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอก
อย่างเราฟังธรรมะกัน ไม่ค่อยจะจำอยู่ในใจกัน

แต่ว่าถูกคนอื่นเขาด่า ด่าอย่างจริงจัง
โน้นนน... ด่าแต่วันเข้าพรรษาโน้น
ถิงวันจะออกพรรษา มันก็ยังไม่ลืม
มันเข้าถึงใจจริง ๆ

แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ให้มักน้อยปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ทำไม...ไม่อยากจะเอาเข้าไปในใจนั้น ???
ทำไม..มันถึงลืมกันมาตั้งนมนาน

ถ้าเราพูดถึงเกิดมาทำไมมนุษย์นี้ ???
มันก็คงตอบปัญหาได้ยาก
เพราะมันยังไม่เห็นนั่นเอง
มันตกอยู่ในกาม ตกอยู่ในภพ คือ ที่เกิด
มันเป็นที่เกิดของเรา

พูดกันง่าย ๆ ที่เกิดของสัตว์ทุกวันนี้ คือ อะไร ??
ภพนั้น สำหรับก่อ ชาติ
มันจะไปเกิดในภพนั้นนะ ที่ไหนก้อช่าง มันเป็นภพ

วัฏฏะนี้ มันเกิดโดยวิธีอันนี้
คือ มันติดภพอันนั้นอยู่ มันอาศัยภพนั้นอยู่
มันจะพลอยไปดีใจในที่นั้น นี้คือ "ความเกิด"
มันจะพลอยไปเสียใจในที่นั้น นี่คือ "ความเกิด"
นี่มันยังวางไม่ได้ มันเป็นตัววัฏฏะ ทั้งนั้นแหละ

สังสาระทุกขัง ทุกข์ในสงสาร มันก็เป็นไปตามวัฎฎะ
อันนี้ให้ไปคิด ให้ไปพิจารณาดู
อะไรที่เรายึดมั่นว่านั่นเรา นั่นของเรา นั่นแหละเป็นภพทั้งนั้น

เห็นง่าย ๆ ภพนั้นมีไว้เพื่อที่จะเกิด
อุปาทาน มีไว้เพื่อจะิเกิด นั่นแหล่ะ

พระพุทธเจ้าท่านว่ามีอะไร ก็อย่าให้มันมี
ใ้ห้มันมี แต่อย่าให้มันมี
ให้รู้จักว่า มีหรือไม่ ก็ไม่มีนั้นเป็นอย่างไร ?
ให้รู้เรื่องตามความจริงของมัน อย่าให้มันเกิดทุกข์

บางคนเมื่อเทศน์อย่างนี้ก็ว่า
"ถ้าอย่างนั้น ก็บวชกันหมดละซี จะไม่มีโลกกันหรือ ?"
โลกเราจะอยู่ได้อย่างไร ?

ไม่มีใครบวชหมดหร๊อกกก..
โลกนี้มันก็อยู่ได้เพราะคนหลงอย่างนี้
เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เท่าไหร่หรอก
ผมก็บวชมา เข้าวัดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ
พยายามมันอยู่อย่างนี้
แต่มันไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรอกสมัยก่อน

มารู้ก้อเมื่อเป็นพระนั่นแหล่ะ พอบวชมาแล้วโอ้โฮ
มันกลัวทั้งนั้นแหล่ะ
มันคล้าย ๆ ว่า เห็นกามเขาอยู่นะ ไม่เห็นความสนุกกับเขา

แต่เห็นความทุกข์มากกว่า
มันคล้าย ๆ กับกล้วยน้ำว้าใบหนึ่ง เราไปทานมัน
มันก็หวานดีอยู่ มันมีรสหวานก็รู้อยู่
แต่.. เวลานี้รู้อยู่ว่าเขาเอายาพิษไปฝังไว้ในกล้วยใบนั้น
แม้จะรู้อยู่ว่าหวานเท่าไรก้อช่าง
ถ้ากินไปแล้วมันจะตายใช่ไหม ?
ความเห็นมันเป็นเช่นนั้นทุกที
ว่าจะกินก็เห็นยาพิษฝังอยู่ในนั้นทุกทีนั่นแหล่ะ
มันก็เลยถอนออกมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งมีอายุพรรษามากขนาดนี้แล้ว
ถ้าเรามามองเห็นแล้ว มันไม่น่ากินเลยนะ

..............................


Create Date : 28 กันยายน 2551
Last Update : 28 กันยายน 2551 19:42:27 น. 0 comments
Counter : 822 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ลาเต้ออนเดอะร็อค
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วิธีที่เราคิด..
คือ ชีวิตที่เราเลืือก..
Friends' blogs
[Add ลาเต้ออนเดอะร็อค's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.