Group Blog
 
All Blogs
 

ดูหนังเรื่อง ALWAYS ทำให้นึกไปถึงว่า คนรุ่นๆเดียวกับผมเนี่ย เติบโตมากับความเป็นญี่ปุ่น

คนรุ่นที่เกิดช่วงปี 2510 ถึง 2530 น่าจะเป็นยุคที่วิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นเข้ามาซึมซับกับวิถีชีวิตในวัยเด็กพอสมควรนะ

วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่ถูกเสนอผ่านการ์ตูนญี่ปุ่น โดยเฉพาะโดราเอมอนนี่ละครับ ที่ผมมองว่าคนรุ่นๆผมเนี่ย เติบโตมาด้วยกันกับการ์ตูนเรื่องนี้
ได้ไปดูหนังเรื่อง always ทำให้ภาพในอดีตสมัยกำลังเรียนชั้นประถมอยู่ลอยมาเข้ามาในหัวเลยครับ สมัยที่ การ์ตูนโดราเอม่อนที่ขายลดราคาตามต่างจังหวัดเล่มละ 1-5 บาท ซึ่งคนขาย มักจะมาขายช่วงงานวัด หรือ ตามตลาดนัด ผมก็ตามไปซื้อมาเก็บไว้เยอแยะช่วงนั้น

ทำไมผมถึงว่า คนรุ่นผมเติบโตมากับรูปแบบความเป็นญี่ปุ่น
ทศวรรษ 2520 การ์ตูนที่ดังมากที่สุดในตอนนั้น ก็คือโดราเอม่อนนี่เอง ซึ่งตัวละครแต่ละตัว วิถีชีวิตของแต่ละคน เป็นเหมือนโมเดลที่เราๆทั้งหลายใฝ่ฝันว่าอยากจะได้พบเจอ
โมเดลแบบนี้ที่เหมือนกับห่างหายจากชีวิตไปนาน ก็ได้กลับมาให้ได้เห็นอีกครั้งในหนังเรือ่ง always นี่ละครับ

รู้สึกเหมือนเจ้าของร้านซ่อมรถ เหมือนใจแอนท์ นักประพันธ์ใส่แว่น เหมือนโนบิตะ เลยครับ

ตอนเด็กๆ ผมมักจะมีมุมมองตามแบบการ์ตูนโดราเอม่อนเลยครับ ว่าพวกเพื่อนๆกันเนี่ย จะมีคนที่อ่อนแอแต่เป็นคนดี กับคนที่เป็นหัวโจก ต่อยตีกับเพื่อนอยู่เสมอ และจะมีครูหรือหมอผู้โหดร้าย ที่เด็กๆมักจะเกลียดกลัวแบบไร้เหตุผล

แม้ฉากหลังของโดราเอม่อน จะเป็นช่วงหลังจากหนังเรื่อง always ซักสิบปีได้ แต่ก็ไม่ถือว่าต่างกันมากนะ เพราะพ่อของโนบิตะ สมัยเด็ก ก็อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเช่นเดียวกัน

always เป็นหนังที่ผมมองว่า มีความเป็นญี่ปุ่นสุดๆ เช่นเดียวกับที่เคยอ่านมาตลอดในโดราเอม่อนเลยครับ

ผู้ชายญี่ปุ่น มักจะมีความก้าวร้าว ใจสู้ และมีพลังอันมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จอยู่เสมอ สังเกตได้จากตอนที่นักประพันธ์แว่นวิ่งเข้าไปตบเด็ก ตอนที่กลับมาบ้าน หรือ ตอนที่เจ้าของอู่อารมณ์โกรธจัด ที่เด็กสาวบ้านนอกซ่อมรถไม่เป็น

ผู้ชายญี่ปุ่น มักจะกลับบ้านดึกๆดื่นๆ ดื่มเหล้ากันเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับที่เคยอ่านในโดราเอม่อน ที่เห็นพ่อโนบิตะกลับดึกดื่นๆ เมาแอ๋มาทุกทีเลยครับ
ภาพที่จำได้คือ พ่อมักจะมีของมาฝากลูก ของฝากเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นอะไรมักจะห่อใส่กล่องสี่เหลี่ยมมา แล้วมีกระดาษห่ออย่างดีอีกทอดนึง หรือ มีผ้าห่อด้วยเสมอ เหมือนเช่นฉากในความฝันของคุณหมอที่ห่อไก่ย่างไปฝากลูก
ผู้หญิง ก็มักจะเป็นแม่บ้านที่ดี เป็นช้างเท้าหลังของสามี ก่อนลูกจะไปโรงเรียน ก็จะเดินมาส่งลูกหน้าบ้าน

ตอนเด็กๆผมเคยคิดนะ ว่าทำไมแม่ผมไม่เคยมาส่งผมหน้าบ้านเหมือนแม่โนบิตะเลย ทำไมพ่อไม่ซื้อขนมมาฝาก แล้วห่อใส่กล่องสี่เหลี่ยมสวยๆบ้างเลย ผมเคยคิดว่า ชีวิตแบบในโดราเอม่อน น่าจะเป็นชีวิตที่คล้ายๆกับคนกรุงเทพฯ ซึ่งต่างกันกับคนต่างจังหวัดอย่างผม

อีกอย่างนะ ถ้าอ่านโอราเอม่อนบ่อยๆ คงจำได้ว่า คนขายบุหรี่ จะเป็นหญิงแก่ใส่แว่น หน้าดุ นั่งเฝ้าบูทขายบุหรี่อยู่เสมอ เหมือนกับใน always เดี๊ยะเลยครับ

ผมว่า always เป็นการนำเสนอ historic japanese model ในการพัฒนาประเทศได้ชัดเจนผ่านสัญลักษณ์หลายๆอย่างนะ

ผมว่านะ เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คนมีความเป็นชาตินิยม เป็นประเทศที่มีคนเชื้อสายเดียวกันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นประเทศที่ไม่มีชายแดนติดกับประเทศอะไรเลย ทำให้คนญี่ปุ่นมีความสามัคคีกัน และร่วมใจกันพาประเทศไปสู่เป้าหมายด้วยกัน โดยไม่ทะเลาะกันเอง

เสียดาย ที่ประเทศไทย เป็นอย่างเค้าไม่ได้ แม้จะได้อิทธิพลจากการ์ตูนญี่ปุ่นมาพอสมควรในสมัยเด็ก แต่พอโตขึ้น มันก็เลือนหายไปครับ ผมก็ยังหวังว่าประเทศไทยเราก็จะเป็นเหมือนเค้าได้นะ

อย่างน้อยผมว่าสนามบินสุวรรณภูมิ ที่กำลังจะเสร็จเนี่ย ก็เหมือนกับเป็นสัญลักษณ์แห่งการก้าวเดินไปข้างหน้าของไทย เหมือนหอโตเกียวในญี่ปุ่นนั่นละครับ




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2549 23:38:25 น.
Counter : 772 Pageviews.  

transamerica แม้จะเป็นหนังเกย์ แต่ของมันดีจริงก็ต้องได้รับคำชม

ถ้าใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็ปิดกระทู้นี้ได้เลยนะครับ เดี๋ยวมาหาว่าผมสปอยสเปยอะไรนั่นอีก
หนังเกย์เนี่ย ผมว่าถ้าทำให้ออกมาดี มีเหตุผลรองรับ ไม่หมิ่นเหม่อารมณ์ใฝ่ต่ำของคน มันก็ควรจะได้รับคำชมเชยครับ
ดูให้ดีซิครับ แฟนๆหนังเรื่องนี้มีใครไปด่าทอ หรือ บ่นกระปอดกระแปดบ้างว่าทำไมหนังเรื่องนี้ไม่ได้รางวัลอะไรเลย
ก็หนังมันดี แต่แฟนๆที่ชอบเรื่องเกย์เรืองนี้มากกว่าเข้าใจไงครับ ว่า ต่างคนต่างความคิด ของดีจริง ได้รับคำชมหลังจากคนดูเดินออกจากโรง ก็โอเคแล้วนะผมว่า
คุณดูซิครับหนังเสนอให้เห็นว่านางเอก(หรือพระเอกก็ได้)ทำตามความต้องการของตัวเอง ในระดับที่มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่ใช่คิดอยากจะเฉาะก็เฉาะเลยโดยไม่สนใจความถูกผิดและพอรู้ว่ามีลูกชายอยู่ นางเอกก็ยังคำนึงถึงตรงนี้
ยังอุตส่าห์ดั้นด้นไปหาลูกชายถึงอีกฝั่งนึงของประเทศ แถมขับรถพาข้ามประเทศอีกต่างหาก
รู้สึกได้ถึงความรักความอบอุ่นระหว่างบุพการีและลูกชายคนนี้เลยครับ ยิ่งตอนที่พ่อแม่และน้องสาวของนางเอกรู้ว่าหนุ่มหน้าหล่อคนนี้คือหลานชาย จากฟ้าที่กำลังมืดมันดูสว่างขึ้นมาเลยครับ แบบนี้ไงถึงจะเรียกว่ารักบริสุทธิ์ ไม่ใช่รักแบบใคร่ๆเอาความต้องการทางเพศเป็นตัวกำหนด
จริงๆแล้วเนี่ย ผมก็ไม่รู้ว่ามันผิดรึถูกอะนะ ที่ทฤษฎีของซิกมัน ฟรอยด์ ที่ท่านว่าความต้องการทางเพศเป็นตัวกำหนดการกระทำของมนุษย์ ระดับอัจฉริยะแบบนี้ว่าไว้ แสดงว่ามันก็ต้องเป็นจริงกับมนุษย์ส่วนใหญ่
ก็เพราะอย่างงี้หนังที่สนองอารมณ์ส่วนนี้ของคนได้ถึงได้มีคนคลั่งไคล้นักหนาไงครับ ในขณะที่หนังที่คุณภาพระดับเดียวกันอย่าง transamerica ซึ่งผมว่าออกจะดีกว่านิดๆด้วยซ้ำกลับไม่ได้มีการกล่าวขวัญมากเท่า และแฟนๆหนังเรื่องนี้ก้อไม่ได้หาว่านางเอกโดนปล้นรางวัลออสการ์ด้วยนะครับ
เอาละ ถึงแม้จะมีฉากที่ลูกนางเอกไปเชิดฉิ่งกับโชเฟอร์สิบล้อ แต่ก็อย่างว่าอะนะ เพราะความที่เป็นห่วงพ่อกลัวว่าจะกลับไปเฉาะไม่ทันนี่ละครับ ความรักระหว่างลูกกับพ่อเนี่ยมันยิ่งใหญ่จริงๆ
อีกอย่างนะ ผมชอบจริงๆครับ ที่หนังโชว์ภูมิประเทศจากตะวันออกไปตะวันตกของอเมริกาให้เราเห็นตลอดโรดทริปเที่ยวนี้
หนังเกย์เรื่องนี้ดีจริงๆนะครับ ถ้าพลาดคงเสียดายตาย แม้จะพลาดรางวัลไปก็ไม่รู้สึกเสียดายแทนหนังเลยครับ เพราะของดีๆมันก็ดีอยู่วันยังค่ำนั่นละครับ




 

Create Date : 13 มีนาคม 2549    
Last Update : 13 มีนาคม 2549 14:34:01 น.
Counter : 1152 Pageviews.  

ผู้กำกับเด็กหอ กำกับหนังได้อ่อนเชิงกว่าผู้กำกับเพื่อนสนิทเยอะเลยครับ

เนื้อเรื่องไม่ปะติดปะต่อเลยครับ เดี๋ยวไปตรงนั้น เดี๋ยวไปตรงนี้ บทหนังก็ไม่ค่อยสมจริง
พระเอกกลัวผีขนาดฉี่แตกรดที่นอน แต่วันต่อมา ก็ยังอุตส่าห์ลุกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนอีก คุณลองคิดดูซิว่าคนธรรมดาทั่วไปเนี่ย ถ้ากลัวผี แล้วก็เจอมากับตัวเอง จนทำให้ฉี่ราด จะกล้าไปที่เดิมคนเดียวอีกมั้ย... ก็ไม่
แรกๆเหมือนพระเอกกลัวผีมาก แต่เอาไปเอามา ก็ไม่รู้ว่าเลิกกลัวตอนไหน เอาผีมาเป็นเพื่อนเล่นซะเลย
ความกลัวผีเนี่ย มันเป็นอาการทางจิตฝังในนะครับ ใครมันจะหายกลัวได้ภายในวันสองวัน
ตอนที่ผีเด็กคนนั้นจมน้ำตายเนี่ย เพื่อนๆที่อยู่ในสระก่อนตาย ก็น่าจะรู้ว่าไม่ได้ฆ่าตัวตายแน่ เพราะเห็นๆกันอยู่ว่าจมลงไป แต่นึกว่าเป็นการล้อเล่น และที่สำคัญนะครับ คนที่ว่ายน้ำเป็นเนี่ย จะไปฆ่าตัวตายในสระว่ายน้ำที่น้ำนิ่งๆอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ พยายามให้จมยังไง มันก็จะลอย ถ้าไม่เสกให้ขาตัวเองเป็นตะคริวได้ หรือไม่เอาหินผูกเชือกถ่วงขาไว้
ส่วนครูผู้หญิงเนี่ย ก็ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลย แทนที่จะถามเพื่อนที่ว่ายน้ำด้วยกันว่าตกลงว่านายคนนี้ตายเพราะอะไร ก็ไม่ถาม แล้วดันไปคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุ เวรกรรมจริงๆครับ
ส่วนเรื่องที่ว่าพ่อพระเอกไปเล่นคนใช้ ผมว่าตัดทิ้งไปซะยังดีกว่า เรื่องลับๆล่อๆแบบนี้แทนที่จะไปทำอะไรกันมิดชิดข้างในห้อง แต่นี่มาทำกันโล่งโจ้งที่ห้องโถง คิดดูซิครับว่าในความเป็นจริง ที่เมียกับลูกก็ยังอยู่บ้านเนี่ย ไม่กลัวเสียงมันจะลอยไปเข้าหูคนอื่นเหรอ อยู่ห้องโถงแบบนั้น
ผมว่ามันไม่สมจริงไปหน่อยนะ ฝีมือยังตามผู้กำกับเพื่อนสนิทซักช่วงตัวนึงได้ หวังว่าเรื่องหน้าฝีมือคงดีขึ้น ไม่ลืมที่จะคำนึงถึงข้อเท็จจริงนะครับ




 

Create Date : 09 มีนาคม 2549    
Last Update : 9 มีนาคม 2549 0:13:54 น.
Counter : 649 Pageviews.  

A home at the end of the world เป็นหนังเกย์ที่ดีพอๆกันกับ Brokeback mountain ซึ่งหนังแบบนี้มีอยู่ดาษ

ผมดู a home at the end of the world ที่โคลิน ฟาเรล เล่น เมื่อซักปีที่แล้วได้มั้ง หนังก็ดีนะ ดีพอๆกันกับ Brokeback mountain เลยละ
ผมเลยบอกไงว่า หนังเกย์ ชายรักชายเนี่ย มันมีอยู่ดาษดื่น อยากดูแนวผีๆ ก็ไปดู interview with the vampire อยากดูแบบหนักๆหน่อย ก็ดู the crying game ฯลฯ
บอกแล้วไงครับ ว่ามันเยอะแยะ หาดูง่าย และการที่จะทำให้ออกมาดี มันก็ทำได้ เพราะประเด็นมันมีไม่เยอะ แค่ทำให้คนดูเห็นว่านี่คือความรักอันบริสุทธิ์ แค่นี้ก็อินกันหมดทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว มนุษย์เนี่ย เอาเรื่องความรักซึ่งถ้าเรียกให้ถูกคือความใคร่มาเป็นอันดับแรกในการตัดสินใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ
ผมว่า ฉากจูบกันของโคลิน ฟาเรล กับแฟนหนุ่มผอมๆใส่แว่นที่จากกันไปนาน(แสดงโดยหนุ่มที่แสดงเป็นเจ้าห้องอัดแผ่นเสียงใน walk the line จำชื่อไม่ได้) ยังดูมี class กว่าอีก
หนังอย่าง crash ผมบอกตรงๆ คุณจะหาดูไม่ได้ง่ายๆอีกแล้วในชีวิตนี้ นี่ละคือปัญหาสังคมที่ถูกตีแผ่ครับ
อ้อ ใครที่ชอบหนังที่ตีแผ่ปัญหาสังคมในเมืองใหญ่อย่าง LA อีกเรื่อง ที่ผมยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนต์ยอดเยี่ยมของผมเรื่องนึงก็คือ Falling down แสดงโดยไมเคิ่ล ดักลาส ไปหามาดูนะ ถ้าหนังมันเถื่อนน้อยลงหน่อย ลดคำหยาบคายลงไปอีกนิด ก็มีสิทธิ์ทำรายได้เยอะขึ้น และเข้าชิงออสการ์ได้ หึหึหึ
อย่างว่าละครับ กระแสพาให้คนหลงเชื่อกันได้ง่ายๆเหมือนกัน




 

Create Date : 08 มีนาคม 2549    
Last Update : 8 มีนาคม 2549 1:28:32 น.
Counter : 905 Pageviews.  

นั่งสมาธิ โฟกัสที่ลมหายใจ เพิ่มความฉลาดให้สมอง

ช่วงเวลาสี่โมงครึ่ง ขณะที่ตลาดหุ้นวอลสตรีทใกล้จะปิดทำการ เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนอย่างวอลเตอร์ ซิมเมอร์มานอยู่ในภาวะความเสี่ยงสูง ว่าจะกำไรหรือขาดทุนจากราคาหุ้นและสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เขาซื้อๆขายๆอยู่ทุกๆวัน

กว่าสองร้อยคนของนักลงทุนสถาบันต้องจ่ายเงินไม่ต่ำกว่าเดือนละสามพันเหรียญ เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารออนไลน์ของตลาดพลังงานซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆที่มีผลต่อเงินที่จะเข้าหรือออกจากกระเป๋าในหลักหลายล้านเหรียญทีเดียว

"เป็นผมจะไม่ยอมจ่ายขนาดนั้นหรอก" ซิมเมอร์มานว่า
พร้อมๆกับคลิกหน้าจอกราฟฟิคที่มีกราฟของราคาหุ้นและคอมโมดิตี้ต่างๆบนจอคอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง อากัปกริยาของเขาดูสงบและเยือกเย็นอย่างชัดเจน

ซิมเมอร์มาน ชายวัยกลางคนอายุ 54 มองย้อนหลังไปถึงความสำเร็จในการลงทุนของเขาในตลาดล่วงหน้าของสินค้าพลังงานที่มีการแข่งขันและชิงไหวชิงพริบสูง ที่ซึ่งคนเก่งๆหลายคนต้องพ่ายแพ้กลับไปมากมาย

สิ่งที่ช่วยลับความคมให้สมองเขาไม่ใช่อะไรพิเศษอื่นใด นอกจากการนั่งสมาธิครั้งละ 40 นาทีในตอนเช้าและตอนเย็นเท่านั้น

การทำสมาธิช่วยทำให้เขาคงความชัดเจนในสมองที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ที่เร็วและแหลมคม
"การนั่งสมาธินี่นะ" เขาว่า "คืออาวุธลับของผมเลยละ"

จริงๆแล้ว ทุกๆคนต่างก็ทราบกันดีว่า การนั่งสมาธิช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี แต่เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแสกนสมองทำให้นักวิจัยค้นพบว่า การทำสมาธิมีผลโดยตรงต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลัษณะที่ไปเพิ่ม attention span ทำให้มุ่งความคิดไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้มากขึ้น และทำให้ความจำดีขึ้น

งานวิจัยค้นพบว่า การทำสมาธิทุกวันจะไปเพิ่มความหนาของส่วนของสมองที่เรียกว่า cerebral cortex ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการทำการตัดสินใจ การสร้างความสนใจ และความจำ

ซาร่า เลเซอร์ นักวิจัยจากโรงพยาบาลแมสซาชูเซสได้นำเสนอผลวิจัยเบื้องต้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่า สารสีเทาในสมองของชายและหญิง 20 คนที่นั่งสมาธิวันละสี่สิบนาทีจะมีความหนากว่าคนที่ไม่ได้นั่งสมาธิเลย

งานวิจัยชิ้นนี้เน้นไปที่ การทำสมาธิในแบบตะวันตกที่เรียกว่า mindfulness หรือ insight meditation (รูปแบบนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการเจริญจิตภาวนา แบบที่กำหนดลมหายใจ และ"ทำความรู้ตัวเต็มที่" ซึ่งจะแตกต่างจากการบำเพ็ญจิตสมาธิที่พระปฎิบัติ ซึ่งเป็นสมาธิขึ้นสูง:ผู้เรียบเรียง)

"ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คุณไม่จำเป็นต้องทำสมาธิในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องทำตลอดทั้งวัน ก็สามารถส่งผลที่ดีขึ้นต่อประสิทธิภาพของสมองคุณได้" เลเซอร์ว่า

นอกจากนั้น งานวิจัยของเธอยังแนะนำด้วยว่า การนั่งสมาธิอาจจะไปช่วยชะลอการบางของ cortex ของสมองส่วนนั้น ซึ่งจะโดยปกติจะบางลงตามอายุของคนที่เพิ่มขึ้น

รูปแบบของการนั่งสมาธิที่เลเซอร์และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นกำลังทำการศึกษาคือการเพ่งจิตไปที่ภาพ เสียง หรือ ลมหายใจอันใดอันหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนง่ายๆแบบไม่น่าเชื่อ แต่ผลจากการปฎบัติจะช่วยบริหารส่วนของสมองที่ช่วยในการให้ความสนใจต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง(attention)

"attention เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ และ การทำสมาธิจะช่วยสร้างความเป็นระเบียบในจิตส่วนนี้" ริชาร์ด เดวิดสัน ผู้อำนวยการของ Laboratory for Affective Neuroscience at the University of Wisconsin ได้เคยกล่าวไว้

ตั้งแต่ปี 1992 เขาได้ร่วมกับองค์ดาไลลามะ เพื่อศึกษาสมองของพระชาวธิเบตที่เขาเรียกว่า นักกีฬาโอลิมปิกประเภทการนั่งสมาธิ

โดยการตรวจสอบด้วยเครื่องเซ็นเซอร์ซึ่งถูกติดตั้งไว้ที่หัวของพระ เดวิดสันสามารถจับสัญญาณคลื่นแกมม่าที่มีพลังงานสูงจากปกติ ซึ่งมีจังหวะที่ประสานกัน(synchronize)ดีกว่าคนที่เริ่มต้นนั่งสมาธิใหม่ๆ ซึ่งการที่คลื่นแกมม่าที่จังหวะประสานกันนี้จะช่วยในการเพิ่มการรับรู้(awareness)ให้กับสมอง

หลายๆคนที่ได้มีการนั่งสมาธิกล่าวว่า การปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้พวกเขาฟื้นกำลังได้ดี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาทำงานที่ยากๆที่ต้องการความตั้งใจสูงได้

แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ การงีบหลับเวลางานก็ช่วยได้เหมือนกันรึเปล่า?

"ไม่เลย" บรูซ โอฮาร่า รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยามหาวิทยาลัยเคนตักกี้ว่า

ในงานวิจัยที่กำลังจะตีพิมพ์ในปีนี้ โอฮาร่าได้ศึกษาเปรียบเทียบนักศึกษาที่นั่งสมาธิ นอน และดูทีวี

ซึ่งเขาได้ใช้แบบทดสอบที่นักจิตวิทยามักจะใช้กันที่เรียกว่า phychomotor vigilance ซึ่งพบว่า คนที่นั่งสมาธิ จะตอบสนองได้ดีกว่า 10% ซึ่งหมายความว่า การนั่งสมาธิจะต่างจากการนอนตรงที่เมื่อเสร็จจากสมาธิคนคนนั้นจะมีการตอบสนองได้ดีโดยปราศจากอาการงัวเงีย

ไม่แปลกเลยที่บริษัทใหญ่ๆทั้งหลายเช่น ด๊อยช์แบงค์ google และ ฮิวส์ แอร์คราฟท์ ได้จัดให้มีห้องเรียนสอนการนั่งสมาธิให้กับพนักงาน

เจฟฟรีย์ อับบรามสัน ซีอีโอของบริษัท ทาวเวอร์ในวอชิงตันกล่าวว่า 75% ของพนักงานสนใจที่เข้าเรียนการทำสมาธิ

การทำให้พนักงานฉลาดขึ้นไม่เพียงเป็นข้อดีของการนั่งสมาธิ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลพบว่า มันสามารถทำให้ productivity ดีขึ้น โดยการป้องกันความเครียดที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยจนทำให้ขาดงาน

ข้อดีอีกอย่างสำหรับนายจ้างคือ การนั่งสมาธิช่วยในการควบคุมอารมณ์ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการทำให้การทำงานกับพนักงานเป็นไปได้ด้วยดี

"หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการนั่งสมาธิคือการเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญกับชีวิตมากกว่าด้านอื่นๆทั้งหมด" ดร.เดวิสันกล่าว

เพื่อบริหารสมองให้ดีขึ้น ง่ายๆ แค่หลับตา กำหนดลมหายใจ และเจริญจิตภาวนาก็เพียงพอแล้วครับทุกท่าน


แปลและเรียบเรียงจากนิตยสาร TIME ฉบับ January 23, 2006




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2549 3:09:21 น.
Counter : 1141 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

บิลลี่
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add บิลลี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.