Group Blog
 
All Blogs
 

1095 days of pink

พิ๊ง...
พี่กำลังนั่งคิดอยู่ว่า ระยะเวลาที่เราได้รู้จักกันเนี่ย ก็เกือบจะครบ 3 ปีในอีกไม่นานนี้
พี่จำไม่ได้หรอกนะ ว่า เราเจอกันวันที่เท่าไหร่
จำได้แต่ว่า น่าจะประมาณต้นเดือนมิถุนา 2550 น่าจะก่อนหรือหลังวันเกิดพิ๊งไม่กี่วัน
พี่ก็เลยคิดว่า จะหาของขวัญวันเกิดอะไรซักอย่างให้พิ๊งดีน้า แล้วก็ถือว่าเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสที่เราได้รู้จักกันครบ 3 ปีด้วย
พี่ไม่อยากไปหาซื้อของตามห้างแล้วก็ห่อ แล้วเอาไปให้ เพราะว่า ไอ้ของเนี่ย ซื้อเมื่อไหร่ก็ซื้อได้ มีเงินก็ซื้อได้แล้ว
ถ้าเป็นของใช้ เดี๋ยวก็หมด
ถ้าเป็นของกิน เดี๋ยวก็อ้วน
ถ้าเป็นของที่อยู่คงทน มันก็หายได้
แล้วจะเป็นอะไรดี....?
และเพราะเหตุผลนี้ละ ที่ทำให้พี่ได้มานั่งอยู่หน้าจอคอมพ์ตอนนี้
เพื่อที่จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับพิ๊งเป็นของขวัญ เอาตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกันจนมาถึงวันนี้
เป็นบันทึกความทรงจำของพี่ เกี่ยวกับพิ๊ง
พี่ว่าน่าจะดีกว่าของขวัญที่ไปซื้อตามห้างนะ พิ๊งว่ามั้ย
พิ๊งอาจจะคิดว่า โธ่เอ๊ย พี่หาเรื่องประหยัดเงินหนะสิ
บันทึกนี้ไม่มีราคา แต่หามูลค่าไม่ได้(invaluable)เลยนะ
เพราะการที่พี่จะเขียนหนังสือได้ ต้องมีแรงบันดาลใจ ต้องมีอารมณ์ในการเขียน และที่สำคัญ ต้องมีสมาธิ
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมพี่ถึงจะทำเรื่องยากๆซักเรื่องเป็นของขวัญให้กับคนคนหนึ่ง
ซึ่งมีความสำคัญกับพี่ (รองจากพ่อแม่นิดหน่อยนะ 555 พระท่านสอนว่า พ่อแม่ต้องสำคัญที่สุดเป็นที่หนึ่ง)
ใน 3 ปีที่เราได้รู้จักกันเนี่ย พี่ไม่รู้ว่าพิ๊งรู้สึกยังไงกับพี่
ก็เลยเอาเป็นว่า พี่รู้สึกยังไงกับพิ๊งดีกว่า ซึ่งพิ๊งจะได้อ่านจากซีรี่ส์เรื่องยาวขนาดสั้นเรื่องนี้ เอ๊ะ หรือ ว่าเรื่องสั้นขนาดยาว ดี 555
พี่ตั้งชื่อให้เท่ห์ๆ ไปงั้นละ เอามาจากชื่อหนังหนะ 1 ปีมี 365 วัน และ 1,095 วัน จึงได้เท่ากับ 3 ปี
นับจากวันที่เราได้เจอกันบนเกราะกลางถนนสี่แยกรัชโยธินตอนห้าโมงเย็นกว่าๆ
วันที่เรา 2 คน รอไฟแดงให้รถหยุดเพื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามอันสุดแสนจะยาวนาน
นานจนพิ๊งจมูกแดงเลย
นั่นละคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่จะเล่าให้พิ๊งได้อ่านในบันทึกความทรงจำนี้
เอ้อ ลืมบอกไป ข้อเสียของพี่คือ พี่เป็นคนสมาธิสั้น ทำอะไรอย่างเดียวนานๆไม่ได้
พี่ไม่ทำอะไรตาม schedule ไม่มีแผนล่วงหน้า ไม่มีวาระ ถ้าคิดจะทำก็ทำเลย ถ้ามีอารมณ์ที่จะทำ
เรื่องที่จะเขียนแน่นอนว่า ไม่ได้เรียงตามวันเวลา ถ้าเขียนเรื่องไหนก็เรื่องนั้น
เรื่องยาวขนาดสั้นเรื่องนี้ เลยต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเขียนจบ
และพี่ก็คงเขียนไม่ได้ทุกวัน ตามภาระหน้าที่การงาน
แต่ก็จะเอาให้เสร็จก่อนวันเกิดพิ๊งแน่นอน รับประกัน 555
ช่วงที่บันทึกนี้ยังอยู่ในระหว่างการเขียน เราจะไม่ติดต่อกันซักพัก
พี่จะอีเมล์ให้พิ๊งอย่างเดียว แล้วพิ๊งไม่ต้อง reply ด้วยนะ
พี่อยากจะให้บันทึกนี้เขียนออกมาจากความรู้สึกของพี่เพียวๆ
เราเลยต้องงดคุยกันซักพัก
พี่จะได้รู้ว่า พี่จะคิดถึงพิ๊งมากแค่ไหนน้า ถ้าเราไม่ได้คุยกันนานๆ
และถ้าพี่ไม่เขียนให้เสร็จ หรือมัวแต่ชักช้า เอ้อระเหย พี่ก็จะไม่มีโอกาสได้เจอพิ๊ง
เอาตัวเองเป็นตัวประกันเลยนะเนี่ย 555

1,095 วันผ่านไปอย่างช้าๆ ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
แล้วอีก 18,250 วันที่เหลือ จะเป็นยังไงบ้างน้า อยากรู้จังเลย.....




 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 23:56:04 น.
Counter : 446 Pageviews.  

ความชอบ การคบกัน ความรัก การแต่งงาน และชีวิตคู่ที่เสริมซึ่งกันและกัน

กรูว่า นิยามความรักของกรู น่าจะเป็นซีรี่ส์อย่างที่ว่านั่นละวะ

กรูมองว่า มันต้องเริ่มจาก "ความชอบ" ซะก่อน เจอหน้ากันแล้วปิ๊ง เจอหน้าแล้วรู้สึกถูกชะตา เจอหน้าแล้ว(ไม่ต้องดัดจริตอะนะ)ทำให้อารมณ์ทางเพศขึ้นสูง สรุปก็คือ เจอหน้าแล้วรู้สึกว่าชอบว่างั้นเหอะ

จากนั้น ก็ต้องรู้จักกัน จีบกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วก็ขอเป็นแฟน หรือภาษาง่ายๆก็คือคบกัน ซึ่งในความคิดกรูเนี่ย ตอนเริ่มต้นคบกันใหม่ๆ มันไม่ได้รักกันจริงๆหรอก แค่ชอบเฉยๆ แล้วจากนั้นเนี่ย จึงเป็นขั้นตอนการเรียนรู้กัน แล้วจึงได้รู้ว่าความรัก จริงๆแล้วเป็นยังไง

ใครจะเถียงก็ตามใจนะ แต่กรูเห็นมาเยอะชิป ประเภทรักปานจะกลืนกิน ชีวิตนี้ฉันขาดเธอไม่ได้ แต่พอเลิกคบกันก็ด่ากันลับหลังยังกะแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

อันตัวกรูเนี่ย เลยได้อยู่แต่ขั้นสองมาตลอด ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ใน stage ของความรักซะที กรูไม่อยากโกหกใครหวะ กรูไม่สามารถรักได้ในทันทีหรือเพิ่งคบกันได้ไม่นาน ไอ้พวกที่บอกว่า เจอหน้าแล้วรักเลย สงสัยมันระลึกชาติได้ หรือมีญาณวิเศษมองเห็นอนาคตว่า คนนี้ละ ใช่เลย

จะว่าไปเนี่ย กรูก็จีบสาวมาเยอะไม่ใช่เล่น รู้จักสาวๆมากหน้าหลายตา ร้อยพ่อพันแม่ มีทั้งเชื้อชาติไทยและเชื้อชาติอื่น มีทั้ง ผอม อ้วน ขาว ดำ สูง เตี้ย แต่ก็ยังหาคนที่จะเรียกได้ว่า เป็นความรักจริงๆไม่เจอเลยหวะ บางคนที่ชอบก็จีบไม่ติด บางคนที่ไม่ชอบแล้ว ก็ดันจีบติด บางคนที่ชอบ คบๆไปก็คิดว่าน่าจะใช่ แต่ก็มีเหตุปัจจัยให้ต้องหยุดความสัมพันธ์กันไว้แค่ตรงนี้

แต่มันก็เป็นรสชาติของชีวิตดีนะ ถ้าเปรียบการจีบสาวแต่ละคนเป็นเหมือนการเรียนหนังสือในแต่ละวิชา กรูได้มาทุกเกรดเลยหวะ ตั้งแต่ F ยัน A

ชีวิตช่างสุขสันต์และสุขีดีจริงๆ

เพื่อนกรูหลายคนก็แต่งงานกันไปหลายคู่แล้ว กรูว่า ดีนะ ถามเพื่อนๆดู เค้าก็รักกันดี แล้วก็มั่นใจว่า ชีวิตคู่ของพวกมันก็จะเป็นตัวเสริมให้กันและกันเจริญก้าวหน้า

อย่างว่าละ ชีวิตเราไม่ได้สิ้นสุดที่รักกันแล้วแต่งงานกัน แต่หลังจากนั้นต่างหากคือการเริ่มต้นชีวิตที่แท้จริง

พวกมรึงเห็นด้วยมั้ย?




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2551 23:54:27 น.
Counter : 286 Pageviews.  

ครั้งแรก...ที่เข้าไปขอเบอร์สาวในห้างกลางวันแสกๆ

พวกมรึง(ในกรณีที่เป็นผู้ชายนะ)เคยรู้สึกเจ็บใจ ท้อใจ หรือ กระทั่งรู้สึกถึงความสิ้นหวังกันบ้างไหม ยามมีสาวสวยๆเดินผ่านไปโดยที่มรึงเห็นหล่อนแล้วต้องร้องออกมาในใจว่า “หูยยย คนอาไร้ น่ารักจังโว้ย ทำไมกรูถึงไม่มีโอกาสได้รู้จักสาวหุ่นดีหน้าตาจิ้มลิ้มอย่างนี้บ้างวะเนี่ย… เฮ้อ คงเพราะโชคชะตาไม่เข้าข้างหวะ ทำให้ไม่มีโอกาสได้รู้จักสาวๆสวยๆแบบนี้”

คิดถึงเรื่องนี้ทีไร กรูก็อยากเขกกะโหลกตัวเองจริงๆ
กรูเคยเป็นแบบนี้เหมือนกันเมื่อนานมาแล้ว มีโอกาสเห็นสาวๆสวยๆน่ารักๆมากมายผ่านตาในแต่ละวัน ตามท้องถนนบ้าง ป้ายรถเมล์บ้าง บนรถไฟฟ้าบ้าง ในห้างบ้าง กรูได้แต่มองแล้วปล่อยให้นางฟ้าเหล่านั้นเดินผ่านจนลับตาไป แล้วมานั่งรำพึงถึงโชคชะตาตัวเองว่าทำไมไม่มีโอกาสได้รู้จักพวกหล่อนบ้าง หรือทำไมไม่เกิดมารวย จะได้มีสาวๆ หุ่นดี ยิ้มหวาน มาเดินควงซักคน

แล้วกรูก็ต้องกลับมาก้มหน้าก้มตายอมรับว่า ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้มีแฟนสวยๆอย่างที่อยากมี คงต้องยอมรับสภาพว่า หาแบบพอไปวัดไปวาได้ในคนใกล้ตัวที่พอๆจะรู้จัก ก็คงแค่นั้น

กรูว่าหลายๆคนก็น่าจะเป็นอย่างที่กรูเคยเป็นนะ โทษโชคชะตาว่าไม่ช่วยให้ได้รู้จักสาวๆ โทษนั่นโทษนี่ คอยแต่หวังว่าจะมีวาสนาพาให้สาวๆขาวสวยหมวยอึ๋ม ขาเรียว เอวกิ่ว สะโพกทอร์นาโด ผิวเนียนเป็นหยวกกล้วย เดินมาชนโดยบังเอิญ และทำให้ได้รู้จักกัน และพัฒนาเป็นแฟนกันในที่สุด และครองรักกันบนหอคอยงาช้างตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ตื่นได้แล้วเว้ยเฮ้ยยย!!! ตื่นได้แล้ว กรูขอบอกเลยหวะว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เฉพาะในละครน้ำเน่าหลังข่าวหรือในนิยายประโลมโลกที่หนุ่มโสดช่างฝันนอนอ่านอยู่คนเดียวในห้องนอนอันเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

มันยากพอๆกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเลยละวะ กรูกล้าฟันธงเลย

ณ ช่วงเวลานั้น กรูเลยมานั่งคิดทบทวนดูว่า การรอให้โชคชะตาวิ่งเข้ามาหา มันก็เหมือนกับนั่งฝันกลางวันว่าจะถูกรางวัลที่หนึ่งเป็นเศรษฐี แทนที่จะนั่งรอมัน ทำไมไม่เข้าไปหาเองเลยหละ ในเมื่ออยากรู้จักสาวๆ ก็เข้าไปคุย เข้าไปทำความรู้จัก เข้าไปขอเบอร์เลยสิ

“โธ่โถไอ้สัตว์!!! จะให้เดินดุ่ยๆเข้าไปคุยกลางวันแสกๆนี่นะ ผู้หญิงเค้าก็หาว่ากรูเป็นโรคจิตตายห่าสิ”

หลายๆคนอาจจะคิดอย่างงี้นะ กรูก็ยอมรับว่าเคยคิดอย่างงี้เหมือนกัน จนกระทั่งพยายามโยนความคิดนี้ทิ้งชักโครกไปซะ แล้วเริ่มที่จะเดินหน้ากล้าชนกับสิ่งที่กรูกลัวมาเนิ่นนาน ดีกว่านอนรอหญิงในฝันที่ไม่มีวันเข้ามา และท้ายที่สุดต้องเป็นแฟนกับยายเพิ้งซักคนที่ไม่มีใครปรารถนา

กรูมาคิดทบทวนว่า การที่กรูอยากรู้จักใครด้วยไมตรีจิต ไม่ได้ทำให้กรูดูเป็นคนโรคจิตซักนิดเลย การมองอย่างเดียว น้ำลายสอ ท้องน้อยปั่นป่วน หรือเก็บเอาไปจินตนาการฝันหวานโดยไม่กล้าทำอะไรเลย กรูว่าอย่างนั้นมันโคตรโรคจิตยิ่งกว่าอีก

กรูบอกตัวเองแบบนี้ เพราะรู้ว่ามันคือความจริง การเข้าคุยกับสาวๆด้วยไมตรีจิต ถ้าหล่อนไม่มีไมตรีจิตตอบกลับหรือไม่คุยด้วยมันไม่ได้ทำให้กรูชักตาย กลายเป็นหมัน สืบพันธุ์ไม่ได้ หรือ โดนตำรวจจับเข้าคุกเลย มันก็แค่หล่อนไม่อยากรู้จักกรู แต่กรูยังสามารที่จะเข้าไปคุยกับคนอื่นได้ในวันต่อๆไป เมืองไทยสาวๆน่ารักเยอะจะตายไป คนนี้ไม่อยากรู้จักกรูก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่อยากรู้จักนี่

วันนี้เข้าไปคุยกับสาวใส่เสื้อสายเดี่ยวเดินช็อปปิ้งที่สยามสแควร์แล้วหล่อนไม่คุยด้วย ก็ไม่ใช่ว่า วันหลังจะไบ้แDกจนกระทั่งเข้าไปทำความรู้จักกับสาวคนอื่นไม่ได้นี่ ใช่มั้ย?

เอาละ กรูจะเอาประสบการณ์ตรงของกรูมาเล่าให้ฟังละกัน ว่ากรูกล้าเข้าไปทำความรู้จักสาวๆที่เห็นหน้าปุ๊บแล้วปิ๊งปั๊งปั๊บได้ยังไงกัน ครั้งแรกที่กรูเห็นสาวๆเดินผ่านตาไปแล้วกล้าแบบระเบิดพลีชีพเข้าไปคุยแบบไหนถึงได้เบอร์หล่อนและได้รู้จักกัน

กรูออกตัวไว้ก่อนนะ ว่ากรูไม่ใช่เด็กเที่ยว ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ชอบผู้หญิงเที่ยวกลางคืนกินเหล้าสูบบุหรี่ตามผับตามเธคยามกลางคืน ตรงกันข้าม กรูนี่ละโคตรเด็กเรียนเลย ผู้หญิงที่กรูเข้าไปทำความรู้จัก ก็เป็นผู้หญิงทั่วๆไปที่เห็นเดินตามที่สาธารณะในเวลากลางวันนี่ละ อย่าไปเอาไปเปรียบเทียบกับการทำความรู้จักกันในผับในเธคละ เพราะมีสุรามาย้อมใจแล้วค่อยกล้าเนี่ย กรูว่าไม่ลูกผู้ชายพอ ต้องเห็นแบบกลางวันแสกๆ แล้วเข้าไปเลยแบบนี้

บางคนที่อ่านถึงตรงนี้เนี่ย คงคิดว่าเป็นเรื่องหมูๆ ง่ายๆ เคยทำมาแล้ว กรูก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยว่าพวกมรึงเก่งมากที่กล้าทำในสิ่งที่หลายๆคนไม่กล้าทำ และกรูไม่เคยคิดจะสอนจระเข้ว่ายน้ำหรอกนะ

แต่เพื่อนๆอีกหลายๆคนนี่สิ ที่ยังไม่กล้า ที่ยังนั่งคอยนอนคอยโชคชะตามาหล่นทับอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายในชมรมชายโสดอันอับเฉา

พวกมรึงมาดูประสบการณ์จริงเป็นตัวอย่างกันดีกว่า เผื่อว่าเคยเจอสถานการณ์ที่คล้ายกัน จะได้เอาไปประยุกต์ใช้ได้ ขอเพียงมรึงมีความกล้าในหัวใจตามแบบฉบับลูกผู้ชาย มรึงก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกสาวๆมาเป็นแฟนได้ แทนที่จะคอยเป็นตัวเลือกอยู่ร่ำไป

เอ้ามาดูกันเลยหนุ่มๆวัยคะนองทั้งหลาย...

หล่อนคนนั้น...สาวขาวหมวยหุ่นดีอายุมากกว่ากรู คนแรกในชีวิตที่กรูเข้าไปขอเบอร์

จากการที่กรูมุ่งมั่นว่า กรูจะเริ่มต้นทำความรู้จักกับสาวๆที่อยากจะรู้จัก โดยจะไม่รอคอยให้สาวๆมาเริ่มต้นก่อน เพราะตระหนักดีว่าตัวกรูเองไม่ใช่เทพบุตรสุดหล่อ เหมือนทอม ครู๊ซ วิลลี่ แมคอินทอช หรือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เป็นคนเดินดินกินข้าวแกงข้างทางธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

การทำความรู้จักกับสาว การจีบสาว ก็เหมือนการชกมวย อยากเก่ง มีชั้นเชิงดี จังหวะฝีมือสูง ต้องซ้อมลงนวมบ่อยๆ ช่วงแรกๆก็อาจจะโดนคู่ชกต่อยจนตาปูดตาเขียว ปากแตก ฟันหักบ้าง แต่ซ้อมบ่อยๆ จากนั้นก็จะพัฒนาฝีมือไปเองโดยธรรมชาติ

วันนั้น(หลายปีมาแล้ว)กรูไปดูหนังเรื่อง As good as it gets ที่โรงหนัง THX เดอะมอลล์ท่าพระ ไปคนเดียวนะ ณ เวลานั้นโรงหนังที่นี่เนี่ย เป็นโรงดีอันดับต้นๆของกรุงเทพฯเลย

กรูเป็นคนชอบดูหนังมากสส์ หนังดีๆมีที่ไหนไม่เคยพลาด และที่สำคัญคือ การไปดูหนังทำให้กรูได้มีโอกาสเห็นสาวๆน่ารักๆเต็มไปหมด แล้วทำไมกรูจะไม่ชอบไปละ 555...

เอ้าเข้าเรื่องต่อเลยนะ

ตอนที่ยืนรอหน้าโรงฉายก่อนเข้า กรูเห็นสาวคนนึง ยืนอยู่คนเดียว ตาสองชั้น ขาว ผมยาว ใส่กางเกงขาสั้นถึงเข่า เสื้อแขนกุด หุ่นสมส่วน ยืนถือถุงป๊อบคอร์นกับแก้วน้ำอัดลมรอเข้าโรงอยู่เหมือนกันกับกรู

กรูแอบมองจนกระทั่งเข้าโรง ซึ่งเห็นว่า หล่อนไม่ได้มากับใครแน่นอน แต่ตอนนั้นกรูยังกล้าๆกลัวๆอยู่ จะเข้าไปคุยเลยก็ยังตื่นเวที กลัวว่าจะคิดคำพูดไม่ออก หรือกลัวว่า แฟนหล่อนอาจจะโผล่มาจากที่ไหนซักแห่งแล้วมากระทืบเอา ทั้งๆที่ความจริงก็ไม่มีไอ้บ้าที่ไหนโผล่มาซักคน

กรูเลยกะว่า จะดูว่าหล่อนนั่งเก้าอี้ตัวไหน แล้วจำไว้ หนังเลิกเมื่อไหร่กรูจะเข้าไปคุย เพราะเข้าไปคุยตอนนี้มีเวลาน้อย ยิ่งในโรงยิ่งไม่เหมาะสม รอตอนหนังเลิกน่าจะเวิร์กที่สุด

เมื่อหนังจบ กรูก็เดินออกจากที่นั่ง ตาก็มองไปแถวๆที่สาวคนนั้นนั่ง เห็นหล่อนเดินออกประตูไหน ก็ตามไปประตูนั้น

กรูเดินตามไปเรื่อยๆจนเกือบจะทันแล้วละ กะจะเข้าไปคุยแบบระเบิดพลีชีพให้รู้เหนือรู้ใต้กันไปเลย แต่เวรกรรม ดันมาทันตรงห้องน้ำพอดี หล่อนก็เลยเข้าห้องน้ำหญิงไป กรูเลยต้องรอให้หล่อนออกมาซะก่อนจึงจะเข้าไปคุย

ช่วงรออยู่เนี่ยก็สองจิตสองใจจริงๆ คือมันเป็นครั้งแรกพวกมรึงเข้าใจมั้ย จิตใจมันก็หวั่นๆหวิวๆอยู่ไม่ใช่น้อย

หล่อนเข้าห้องน้ำนานมากสสส์ จนกรูนึกว่าหล่อนอาจจะโดนส้วมดูดเข้าไปแล้ว หรือคงท้องเสียหนักจนขี้ซะเต็มคอห่าน มันน้านนานจมกรูแทบจะรอไม่ไหว ไม่นึกว่าผู้หญิงจะใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานขนาดนี้ แต่ก็เอาละวะ ไหงๆก็จะพิสูจน์ความกล้าของตัวเองแล้วนี่ อย่าไปหวั่นไหวกับเรื่องเล็กน้อยที่ทำให้ลังเลใจ

จนกระทั่งหล่อนเดินออกมานั่นละ กรูก็เลยซุ่มเดินตาม โดยรักษาระยะห่างไว้ จนกระทั่งถึงบริเวณที่คนไม่เยอะ ก็เร่งความเร็วขึ้นให้มากกว่าความเร็วของหล่อนนิดนึง กะว่าจะให้ทันกันแบบช้าๆ ไม่ต้องเร่งความเร็วมาก เพราะตระหนักดีว่า ถ้าเดินเร็วเกิน เมื่อไปถึงหล่อนแล้วกรูจะหอบ หน้าจะซีด คิ้วจะตก ซึ่งจะทำให้กรูดูตื่นเต้น เหงื่อแตก ซึ่งไม่เป็นการดีแน่ๆ

“เอ่อ คุณครับ เมื่อกี๊คุณก็ดูหนังเรื่อง As good as it gets เหมือนกันใช่ไหมครับ” กรูเริ่มต้นบทสนทนาที่คิดเองเออเองว่ากรองมาอย่างดีแล้ว ณ สถานการณ์นี้

“เอ้อ... ค่ะ..”

หล่อนตอบรับแล้วทำหน้างงนิดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่กรูคาดเดาไว้แล้วละ ซึ่งกรูต้องพยายามทลายกำแพงความงงในตัวเธอให้ได้

“พอดีว่าเห็นดูหนังเรื่องเดียวกัน ผมเลยเข้ามาทักหนะครับ” กรูพูดไปพร้อมกับทำหน้ายิ้มไว้ด้วยเพื่อลดความเครียดและความตื่นกลัว และทำให้ตัวเองดูรีแลกซ์ด้วย หล่อนจะได้ไม่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อหรือขี้แตกขี้แตนไปอีกรอบซะก่อน

บทสนทนาต่อเนื่องของกรูอาจจะไม่เป็นเหตุเป็นผลหรือเป็นโล้เป็นพายอะไรเท่าไหร่นะ แต่ต้องยอมรับว่า ครั้งแรก อะไรๆมันก็ตะกุกตะกักแบบนี้หละ จะให้ไหลลื่นปรู๊ดปร๊าดได้ไงใช่มั้ย?

“อ้อ ค่ะ”

เอาหละซิ ไม่ค่อยชวนคุยเลยแฮะ กรูต้องพยายามอย่าหยุดการสนทนา อะไรที่พอจะหามาพูดได้ต้องพูดไปก่อน ไหนๆก็เข้ามาคุย แล้วหล่อนก็คุยด้วยแล้วนี่ แม้จะคุยแค่เอ้อค่ะ ก็เหอะ

“หนังสนุกมั้ยครับ ผมชอบแจ็ค นิโคสันนะ เค้าแสดงดีสมกับได้รับรางวัลจริงๆ หนังก็ตลกดีด้วย”

“อ้อ ค่ะ สนุกดีเหมือนกัน เพลงเพราะด้วย” หล่อนเริ่มยิ้ม
นั่นแน่...กรูเริ่มทลายกำแพงเปลาะแรกได้แล้ว เอาวะ เอาไงเอากัน กรูก็เลยหาเรื่องคุยต่อ ในขณะที่เดินไปเรื่อยๆ แบบที่ไม่รู้ว่าเธอคนนั้นจะเดินไปไหนกันแน่

“ผมชื่อทักษิณครับ(นามสมมุติกรูนะ 555) คุณชื่ออะไรเหรอครับ”

“ชื่อพจมาณค่ะ(นามสมมุติเหมือนกัน) คุณเห็น ’มาณตอนไหนเหรอคะ”หล่อนเริ่มเป็นมิตรมากขึ้น

“ก็เห็นตอนก่อนเข้าโรงครับ แล้วพอดีเมื่อกี๊ก็เดินไปเรื่อยๆ แล้วเจอคุณโดยบังเอิญ เลยจำได้ว่าคุณคือคนที่ถือถุงป๊อบคอร์นก่อนเข้าโรงหนะครับ” กรูปั้นน้ำเป็นตัวตามสถานการณ์ ซึ่งต้องให้อภัยกรูนะ เพราะถ้ากรูพูดความจริงว่า แอบเดินตามตั้งแต่หนังจบ ยืนรอหน้าห้องน้ำ แล้วเดินตามอีกรอบเพื่อหาจังหวะเหมาะเข้ามาทำความรู้จัก มันออกจะตรงไปตรงมาไปนิดนะ เดี๋ยวหญิงเค้าตกใจเปล่าๆปลี้ๆ

“คุณยังเรียนอยู่รึเปล่าครับเนี่ย” กรูชวนคุยต่อ

“ไม่ค่ะ จบมาหลายปีแล้ว” หล่อนยิ้มชอบใจ ซึ่งกรูเดาเอาเองว่า คงดีใจที่ไอ้หนุ่มแปลกหน้าคนนี้คิดว่าตัวหล่อนหน้าเด็กกว่าวัย

“โอ้ ไม่น่าเชื่อเลยนะ ผมนึกว่าคุณรุ่นผมซะอีก ผมเพิ่งจบมาเลยนะครับเนี่ย”

การที่กรูทำให้หล่อนยิ้มได้ แสดงว่า กำแพงที่เป็นเกราะป้องกันตัวหล่อนถูกทลายไปบางส่วนแล้ว ซึ่งกรูก็พยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศความเงียบ

กรูก็ถามเรื่องเกี่ยวกับตัวหล่อนไปเรื่อย คิดซะว่าอยากรู้อะไรก็ถามไป ไม่ต้องไปคิดให้หลายตลบว่าคำถามนี้ควรถามมั้ย คำถามนี้ถามแล้วเธอจะด่าพ่อล่อแม่เรามั้ย... โยนเข้ากระโถนไปเลย ความคิดแบบนี้ ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ถามละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวหรือพูดจาลามกจกเปรตอุจาดสัปดน ถ้าสุภาพซะอย่างหล่อนคุยอยู่แล้วละ

ตอนที่เดินไปคุยไปเนี่ย มันก็เริ่มชักจะอีหลักอีเหลื่อ ทั้งที่หล่อนก็คุยด้วยดีนะ ปัญหาก็คือ ที่เดอะมอลล์ท่าพระ ถ้าใครที่เคยไปเดินที่นั่น จะรู้ว่าพื้นที่ของห้างไม่กว้าง พูดง่ายๆก็คือแคบนั่นละ ประมาณว่าตดคนเดียวเหม็นทั้งห้างได้เลย

เมื่อเดินไปคุยไป มันจึงวนกลับมายังที่เดิมอีก ซึ่งตอนนั้นกรูยอมรับว่าตัวเองยังอ่อนหัดนัก หาทางแก้ปัญหาแบบฉับไวได้ไม่ถูก คือ ถ้าจะตัดบท แล้วขอเบอร์ไปเลย ก็น่าจะได้นะ แต่กรูยังไม่กล้า เพราะคิดไปเองว่าต้องคุยให้นานและดูสนิทกว่านี้ค่อยขอเบอร์

พอดีเดินผ่านร้านไอศครีมสเวนเซ่น กรูเลยแก้ปัญหาการเดินเวียนเทียนโดยการชวนหล่อนเข้าไปนั่งกินไอศกรีมคุยกันซะเลย ซึ่งหล่อนก็เล่นด้วยเลยแฮะ

นั่งคุยกันไปเรื่อยเลย ในร้านไอศครีม ทำให้กรูพอจะจับจุดได้ว่า หล่อนคงเป็นคนขี้เกรงใจอะนะ เพราะตอนเข้าไปทัก หล่อนก็ทักตอบ เดินไปคุยไปจนครบวงรอบในห้าง หล่อนก็ยังไม่ตัดบท แถมชวนกินไอศกรีมยังโอเคอีก จะให้กรูสรุปว่าไงดีละ

คุยกันเสร็จ ก็ถึงเวลาขอเบอร์ละ กรูให้เธอจดเบอร์ให้ แต่เวรกรรม แต่ละคนไม่มีปากกาหรือดินสอติดตัวกันซักคน

พึงเข้าใจกันนะ ว่าเมื่อปี 41 โทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลายเหมือนปัจจุบันนี้ มีเพจเจอร์ซักอันก็โคตรโก้แล้ว จะเมมเบอร์หล่อนใส่มือถือเราเหมือนสมัยนี้มันยังทำไม่ได้ในสมัยนั้น

พูดคำว่าสมัยนี้สมัยนั้น เหมือนกับเรื่องมันเกิดเมื่อชาติที่แล้วเลยแฮะ 555

โชคดีจริงๆ หล่อนค้นเข้าไปในกระเป๋าถือ แล้วหยิบดินสอสีที่เอาไว้เขียนคิ้วรึเขียนตานี่หละกรูไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับแต่งสวยของผู้หญิง มาจดเบอร์โทรให้กรู

การเข้าไปคุยกับสาวครั้งแรกของกรูจึงจบลงด้วยดี กรูได้รู้จักหล่อน ได้เบอร์บ้านหล่อน และได้มีโอกาสติดต่อกับหล่อน

กรูขอออกตัวไว้เลยนะ ว่าครั้งแรกของกรูซึ่งขอเบอร์หญิงในห้างกลางวันแสกๆได้สำเร็จเนี่ย เป็นเพราะกรูโชคดีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ และความกล้าของกรูห้าสิบเปอร์เซ็นต์

กรูประหม่า กรูตื่นเต้น กรูใจสั่น กรูเหงื่อแตกพลั่กทั้งๆที่ในห้างก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เพราะมันเป็นครั้งแรกในชีวิตของกรู แต่หล่อก็ตอบรับมาด้วยดี ทำให้กรูมีกำลังใจจนเอาชนะอุปสรรคภายในตัวเองเหล่านั้นได้

แต่ถ้ากรูไม่กล้าเริ่มต้น แล้วผลจะเป็นไง... กรูก็จะไม่มีโอกาสได้รู้จักเธอ สาวน่ารักหุ่นดีอย่างที่กรูฝันใฝ่ แม้มันจะเป็นแค่การเริ่มต้นก็เหอะ แต่ถ้าไม่มีการเริ่มต้น แล้วจะมีผลลัพธ์ที่ต้องการได้ไง อยากเข้าฮอร์สแต่ไม่กล้าเดินหมาก แล้วชาติไหนมันจะได้เข้าซักที ใช่ไหม?

แต่สิ่งที่สำคัญมากไปกว่าการได้รู้จักหล่อนคือความรู้สึกที่ว่า กรูเริ่มที่จะหาทางปลดเปลื้องจากพันธนาการความกลัวที่สร้างขึ้นมาจากภายในจิตใจตัวเองไปได้

และต้องไม่หยุดตัวเองอยู่แค่นี้ กรูตั้งมั่นตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า เจอสาวน่ารักที่ไหนต้องเข้าไปคุยที่นั่น เจอสาวน่ารักเมื่อไหร่ต้องเข้าไปคุยเมื่อนั้น หล่อนคุยด้วยหรือไม่คุยด้วย ได้เบอร์หรือไม่ได้เบอร์ ไม่สำคัญ ขอให้คิดซะว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ชายก็ต้องกยากรู้จักหญิง ชายไปขอเบอร์ผู้ชายเหมือนกันสิค่อยไม่ปกติ

ลงนวมยกแรกกรูโชคดี เดี๋ยวคอยดูยกที่กรูโชคไม่ดีนะละกันว่าเป็นไง ขอเพียงระลึกไว้อย่างเดียวว่า อย่าไปคาดหวังผลลัพธ์ ถ้ามรึงเข้าไปคุยแล้วหล่อนคุยด้วยดีเหมือนคนนี้ก็ถือว่าเป็นวันโชคดีของมรึง แต่ถ้าหล่อนไม่คุยกับมรึง มรึงก็จะได้รู้ข้อบกพร่อง ณ ขณะนั้นของมรึงไง

โธมัส เอดิสัน กว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟแบบไส้ได้สำเร็จ ต้องผ่านการลองผิดลองถูกนับพันๆครั้ง แต่ความผิดพลาดเป็นพันๆครั้งนั้น เขากลับไม่มองว่ามันคือความล้มเหลว ตรงกันข้าม เขาบอกว่ามันทำให้เขารู้วิธีอื่นๆอีกนับพันๆวิธีที่ทำให้ประดิษฐ์หลอดไฟแบบไส้ไม่ได้ต่างหากละ

บล็อกนี้ยาวไปหน่อยนะ เขียนซะมันมือเลยกรู 555... เออแล้วก็จำเอาไว้ละ อย่าไปเอาโนวฮาวจีบสาวแบบพวกว๊ากเกอร์และสตาฟท์เชียร์มาใช้ อย่างนั้นมันอับจนหนทาง ตีบตันความคิดไปหน่อย หึหึหึ






 

Create Date : 25 มิถุนายน 2548    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2551 19:40:11 น.
Counter : 2253 Pageviews.  


บิลลี่
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add บิลลี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.