W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 

[[[ R・E・V・I・E・W ]]] รองพื้นตัวโปรด & อายไลเนอร์สำหรับคนเปลือกตามัน & เทป/กาวติดตาสองชั้น


ห่างหายจากห้องแป้งและเครื่องสำอางไปนานเลยค่ะ ดูเผินๆเหมือนจะกลับตัวได้ก้มหน้าก้มตาใช้กรุเครื่องสำอางปัจจุบันให้หมดก่อน แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ค่ะ เป็นความจำเป็นว่าเงินหมดไปกับการซื้อเลนส์กล้องและอุปกรณ์ต่างๆตะหากจึงไม่มีเงินเหลือมาซื้อเครื่องสำอาง ไม่งั้นอาจโดนเจ้าของบ้านตะเพิดออกเข้าสักวัน โทษฐานไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าค่ะ

งวดนี้เป็นรีวิวเล็กๆ(แต่ยาว)นะคะ เห็นคุณเทนกลับมารีวิวรองพื้นที่ห้องแป้งอีกครั้งหลังจากหายไปนาน เราก็เลยพลอยอยากเขียนรีวิวเครื่องสำอางที่ห่างหายไปนานกะเค้ามั่งค่ะ (เป็นแฟนคลับรีวิวของคุณเทนอยู่ค่ะ เท่าที่ลองใช้ตามส่วนใหญ่จะถูกใจเกือบทั้งนั้นเลย) มีรีวิวทั้งหมดสามส่วนค่ะ ถ้าไม่อยากอ่านทั้งหมดก็เลือกคลิกจากข้างล่างเลย

รีวิวส่วนแรก จะเป็นรองพื้นนะคะ จะว่าไปก็มีตัวเดิมๆเหมือนที่รีวิวไปหนก่อน (ที่นี่) แต่ก็มีที่ยังไม่เคยรีวิวเหมือนกันค่ะ

รีวิวส่วนที่สอง จะเป็นตระกูลอายไลเนอร์ค่ะ เผอิญว่าเพิ่งค้นพบตัวใหม่ที่ถูกใจและถูกเงินเมื่อเร็วๆนี้เลยรวบรวมมาเขียนนิดนึงค่ะ

รีวิวส่วนสุดท้าย เป็นพวกอุปกรณ์ทําตาสองชั้นค่ะ ส่วนนี้นี่คือทำรูปไว้นานแล้ว แต่ลืมมาเขียนรีวิวไปซะสนิทเลยค่ะ ดองจนตัวเองยังลืม ก็ขอถือโอกาสเอาออกมาเสิร์ฟที่บล็อคนี้เลยนะคะ


** คะแนนความชอบ(ส่วนตัว) **

คะแนนเราให้เป็น 0 - 5 นะคะ
0-2 : ไม่ชอบ ไม่คิดจะซื้อใช้อีกแน่นอน
3 : ปานกลาง ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีจนถึงขนาดประทับใจ จนอยากใช้ต่อ
4 : ค่อนไปทางชอบ และให้ผลที่ดีใช้ได้ คงจะซื้อต่อถ้าตอนนั้นไม่มีตัวอื่นๆที่ชอบมากกว่า
มากกว่า 4: ชอบมาก(อย่างน้อยก็ ณ ตอนนี้ที่เขียนรีวิว) น่าจะซื้อต่อแน่ถ้าในอนาคตไม่มีตัวดีกว่าเข้ามา

ปล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ อย่าลืมว่าผิวแต่ละคนนั้นต่างกันไป ลางเนื้อชอบลางยาค่ะ ในที่นี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวของเราเท่านั้นไม่ได้มีข้อมูลวิชาการอ้างอิงใดๆทั้งสิ้น (ไม่ชอบวิชาเคมีค่ะ)

------------------------------------------------------------------

Foundation Review

** สภาพผิว **

สภาพผิวเป็นคนผิวแห้งมากๆเลยนะคะ ผิวค่อนข้างขาว(โดยเฉพาะหลังมาเรียนที่ญี่ปุ่นนี่)อันเดอร์โทนชมพู หน้าไม่ค่อยมีปัญหาสิวหรือรูขุมขนกว้างเท่าไหร่ แต่ปัญหาหนักๆบนใบหน้านอกจากผิวที่แห้งจัดๆก็คือ ช่วงรอบดวงตาค่ะ ผิวใต้ตาแห้งมากๆ แถมมีริ้วรอยลึก และคล้ำกว่าผิวหน้ามากอย่างเห็นได้ชัด แพนด้าตัวโตเต็มวัยสุดๆค่ะ

สภาพผิว หน้าเราดูเผินๆจากระยะห่างปกติ ก็มองกันว่าหน้าใสดี แต่หารู้ไม่ถ้ามองใกล้เข้ามาอีกหน่อย จะเห็นว่าหน้าเป็นขุยๆบางจุด และดูแห้งขาดความชุ่มชื้นค่ะ ยิ่งถ้าช่วงไหนละเลยหน่อยดื่มน้ำน้อย บำรุงผิวทาครีมหรือmaskหน้าไม่สม่ำเสมอ ยิ่งดูผิวแห้งๆเหี่ยวๆน่าเกลียดเลยค่ะ

** My favourite look **

ลุคที่เราชอบจะเป็นลุคใสๆ(ประหนึ่งว่าไม่ได้ลงรองพื้น)นะคะ การคุมมันไม่ใช่ประเด็นที่เราสนใจเพราะเราผิวแห้ง และตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ไทยด้วยค่ะ สำคัญคือมันต้องไม่ทำให้ผิวเราดูแห้งขึ้นค่ะ ระดับการปกปิดสนใจบ้าง เพราะช่วยปิดแพนด้าได้บ้าง แต่ถ้าปกปิดดีซะจนดูหนาไปก็ไม่โปรดเหมือนกัน ผิวแห้งก็จริงแต่ชอบลุคหน้าเนียนๆมากกว่าลุคหน้ามันค่ะ

พวกตระกูล BB cream ยอดฮิต เคยลองอยู่สองสามยี่ห้อแต่ไม่ถูกใจเลยค่ะ สำหรับเรามันหนาและดูโบกซะยิ่งกว่ารองพื้นที่เราใช้อยู่เสียอีก แถมไม่ดูแนบเนียนไปกับผิว สรุปว่าไม่ใช่สเป็คค่ะ

ภาพรวมๆของรองพื้นสามตัวที่จะรีวิวในหนนี้นะคะ พวกนี้จะเป็นตัวที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันหรือเพิ่งได้มาลองใหม่ค่ะ (ตัวเก่าๆก็อยู่ใน รีวิวเก่า ค่ะ)


โชว์หลังและก้นสองตัวค่ะ อีกตัวข้างหลังไม่เห็นเขียนชื่อสีอะไรไว้เลยเอาไปเป็นพนักเก้าอี้เข้าฉากแทน


จากภาพแรกสุดจะรีวิวเรียงลำดับเบอร์จากซ้ายไปขวานะคะ


1. Cle de Peau Beaute Teint Naturel Correcteur SPF24 PA++ 30mL (O10)

ซื้อขวดนี้มาตั้งแต่ พค 2008 เลยค่ะ (หลักฐานที่ บล็อคนี้) เคาเตอร์ CDP นี้แวะไปขอแซมเปิ้ลลองบ่อยมาก มีอะไรใหม่เป็นต้องแวะไปขอมาลอง แต่เคยเสียเงินให้เค้าแค่หนเดียวเท่านั้นกับเจ้าขวดนี้แหล่ะค่ะ ถ้าจัดอันดับน่ากลัวจะติดโผลูกค้ายอดแย่ >.< โชคดีว่าที่ญี่ปุ่นเค้าบริการดี ขอลองอะไรก็ให้อยู่แล้วไม่ว่าอะไรเลยรอดตัวไปค่ะ (ก็นอกจากรองพื้นที่เลิฟมากจนยอมจ่ายแพงแล้ว อย่างอื่นมันเกินจะกล้าจ่ายค่ะ)

ขวดนี้สองปีกว่าแล้วเพิ่งจะเกือบหมดขวด (หมดอายุหรือยังก็ไม่รู้ค่ะเนี่ย >.< ) ที่ไม่หมดซะทีนี่ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะคะ ตัวนี้นี่รองพื้นสุดเลิฟเลยแต่ของมันแพงค่ะเลยเก็บไว้ใช้เฉพาะวันที่อยากผิวเด้ง เป๊ะ เป็นพิเศษเท่านั้น จริงๆก็เคยรีวิวไว้แล้วในบล็อคเก่าๆแต่เอาเป็นว่าซ้ำอีกทีละกันนะคะสำหรับตัวนี้

รองพื้นรุ่นนี้เนื้อเป็นโลชั่นชุ่มๆค่ะ ทาง่าย เกลี่ยง่ายมากๆ อารมณ์เหมือนทาโลชั่นบำรุงผิวเลย มีกลิ่นหอมอ่อนๆ(หอมสำหรับเราน่ะนะคะ)และมีส่วนผสมกันแดดเล็กน้อย ถ้าที่ญี่ปุ่นฤดูที่ไม่ค่อยมีแดด บ่อยครั้งเราก็ทาตัวนี้โดยข้ามกันแดดไปเลยค่ะ สีที่เราใช้นี้เป็นอันเดอร์โทนชมพูนะคะไปกันได้กับผิวเราเลย ปริมาณที่ใช้สำหรับเราไม่ลงรองพื้นเยอะค่ะ กดแค่เกือบๆหนึ่งปั๊มก็ทาได้ทั่วหน้าแล้ว (นี่เป็นอีกสาเหตค่ะว่าใช้ไม่หมดขวดซะที เพราะเราใช้ทีละไม่เยอะค่ะ)

สิ่งที่เราเลิฟมากๆกับรองพื้นยี่ห้อนี้คือ ความผ่องเด้งและความเนียนแนบไปกับผิวค่ะ สำหรับเราแล้วได้ผลเป๊ะๆๆๆอย่างที่คุณเทนเคยรีวิวถึงรองพื้นยี่ห้อนี้ไว้เมื่อสามปีก่อนเลย เอฟเฟ็คนี้พอใช้มานานๆก็จะเริ่มชินมองไม่ออกบ้าง แต่ยังจำได้แม่นค่ะว่าช่วงใช้ใหม่ๆนี่กรี๊ดกร๊าดมากว่าวันไหนใช้รองพื้นตัวนี้ผิวดูออร่า หน้าเด้ง(ไม่ใช่หน้าวอกหรือลอยนะคะ) ผิวดูผู้ดี๊ผู้ดี ยิ่งตัวนี้ผสมชิมเมอร์เล็กๆด้วยยิ่งทำให้หน้าแห้งๆของเราดูดีมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยค่ะ

อีกอย่างคือรองพื้นนี้มันเนียนแนบไปกับผิวมากๆเลยค่ะ ถ่ายรูปออกมาซูมดู 100% ยังดูไม่ออกเลยค่ะว่ามีรองพื้นอยู่บนผิว ระดับการปกปิดก็ถือว่าดีเลยล่ะค่ะถ้าเทียบกับรองพื้นสูตรน้ำอื่นๆที่เราเคยลองมา คือรู้ๆกันนะคะว่ารองพื้นแบบน้ำจะไม่ปกปิดเท่าแบบครีม แต่เอาเป็นว่าแบบน้ำยี่ห้อนี้ปิดดีกว่ายี่ห้ออื่นๆทั้งหมดที่เราเคยลองมาค่ะ เห็นได้ชัดจากระดับการปกปิดแพนด้าว่าถ้าใช้ตัวนี้แพนด้าจะดูตัวเล็กลงกว่าใช้ยี่ห้ออื่นๆค่ะ

สรุปคือ รองพื้นอื่นๆที่ใช้มาหลักๆก็ใช้เพื่อทำให้หน้าเนียนสีผิวสม่ำเสมอใช่มั๊ยคะ แต่ตัวนี้ได้พิเศษคือความโกลวและเด้งของผิวด้วยค่ะ ส่วนตัวลองมาหลายยี่ห้อ(ที่ญี่ปุ่นขอแซมเปิ้ลได้ค่ะ เลยได้ลองมาเยอะ)แต่ก็ไม่เคยได้เอฟเฟ็คแบบนี้จากรองพื้นยี่ห้ออื่นเลยค่ะ (sisley เคยลองแต่เฉยๆค่ะอ่านได้ใน รีวิวเก่า ส่วน impress ก็เคยลองแต่ไม่ประทับใจอย่างรุนแรงค่ะ บ่นไว้ที่ล่างสุดของ บล็อคนี้ BA ของ impress ที่ญี่ปุ่นใจดีให้แซมเปิ้ลมาเพียบ สุดท้ายเราเลยเอาไปแจกจ่ายคนอื่นหมดแล้วค่ะ)

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4.5/5
ซื้อต่อไหม : ผ่านมาเกือบสองปีก็ยังไม่เปลี่ยนใจจากรองพื้นรุ่นนี้ยี่ห้อนี้ค่ะ สุดที่เลิฟจริงๆ หมดขวดนี้ต้องต่อขวดใหม่แน่ๆ แต่ตอนนี้คิดอยู่ว่าจะลองใช้ O20 ดูบ้างดีไหมเพราะตอนเทสจริงๆเราก็ใช้ได้ทั้งสองสีน่ะค่ะ


2. Make Up Forever Face & Body Liquid Makeup 50mL (1)

ตัวนี้ก็รู้จักมาจากรีวิวรองพื้นสุดฮ็อตของคุณเทนเมื่อสามปีก่อนอีกนั่นล่ะค่ะ ตามที่คุณเทนรีวิวไว้รองพื้นนี้เป็น original ของ MUF ที่โด่งดังมานาน ให้การปกปิดที่ไม่สูงนัก แต่ได้ลุคเป็นธรรมชาติบนผิวและค่อนข้างแนบเนียนไปกับผิวใช้ได้ เนื้อรองพื้นเป็นกึ่งน้ำกึ่งเจลหยุ่นๆ ทาๆไปให้อารมณ์เหมือนรองพื้นสูตรน้ำเหลวๆแต่ก็ยังทาได้ง่าย เทคนิคของคุณเทนบอกให้ทาแล้วรอแป๊บนึง พอรองพื้นที่เหลวๆเริ่มเซ็ตตัวนิดๆบนหน้าให้รีบเกลี่ยรีบตบให้เนียนในจังหวะนั้นเลยค่ะ

สำหรับเราเวลาใช้จะเทตัวนี้มาผสมกับเบสสีอ่อนที่หลังมือก่อนค่ะแล้วค่อยทาบนหน้า (รองพื้นสีนี้เข้มไปเยอะสำหรับเราค่ะ BA เลือกให้ผิด T_T แต่ซื้อมาแล้วก็ต้องหาทางใช้ให้ได้) วิธีทาก็ใช้ตามคุณเทนเลยค่ะ ถ้าตรงไหนอยากปกปิดเพิ่มพอแห้งแล้วก็ค่อยแปะๆทับไปอีกทีนึง

นอกจากเรื่องสีเข้มเกินไปแล้วเราก็ชอบตัวนี้ค่ะ ดูผิวเนียนสม่ำเสมอและก็เนียนแนบไปกับผิวดี (เราไม่ชอบรองพื้นที่ใช้แล้วเห็นชัดว่า ลงรองพื้นมาน่ะค่ะ) แต่ตัวนี้ไม่ได้เอฟเฟ็คหน้าเด้ง หน้าโกลวเหมือน CDP นะคะได้แค่หน้าเนียนเหมือนรองพื้นปกติ เราก็เลยจะใช้ในวันที่ไม่พิเศษนักค่ะ เอาแค่วันไหนนึกอยากหน้าเนียนบ้างอะไรบ้าง

เทียบกับรองพื้นน้ำอื่นๆตัวนี้ก็ทาง่ายมากแล้วปริมาณก็สุดคุ้มเลยค่ะ ถ้าทาแต่หน้านี่เรียกว่าใช้กันได้แบบยาวๆเลยค่ะ เผลอๆจะเบื่อก่อนหมดขวดซะด้วยซ้ำ(รองพื้นนี้ใช้ทาตัวได้ด้วยนะคะ) แถมให้อีกนิดว่าน้องสาวเรา(สภาพผิวคล้ายๆกะเรานี่ล่ะค่ะ)เค้าก็ใช้ตัวนี้อยู่ คอนเฟิมมาว่าหน้าเด้งเช้ายันเย็นไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ ไปทำบุญเก้าวัดอากาศร้อนๆที่ไทย เหงื่อไหลโชก มาดูกระจกอีกทีตอนเย็นๆเค้าว่าหน้ายังเป๊ะอยู่เลย (แต่น้องเราไม่เคยใช้ CDP นะคะเลยเทียบให้ไม่ถูก)

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4/5
ซื้อต่อไหม : นี่ก็เป็นอีกตัวที่ใช้มานานค่ะถ้าไม่นับว่าไม่มีเอฟเฟ็คผิวเด้งเหมือน CDP และเทยาก (ขวดแบบนี้ ถ้าเทไม่ระวังรองพื้นพรวดมาเยอะเกินไปทุกทีเลยค่ะ) ก็ยังไม่มีข้อติค่ะ และด้วยความที่ทาง่ายและปริมาณก็เยอะถ้าถึงเวลาต้องซื้อขวดใหม่สำหรับวันที่ไม่พิเศษนักก็อาจซื้อตัวนี้ซ้ำค่ะ (แต่มีวี่แววว่าจะเบื่อและแอบแว่บไปลองตัวอื่นใหม่ๆกะเค้ามั่ง)


3. Cle De Peau Beaute Teint Naturel Satine SPF18 PA++ 3g (O10) (หลอดเล็กๆในภาพด้านบนน่ะค่ะ)

ในไลน์ของ CDP รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ปกปิดอยู่ปานกลาง มากกว่ารุ่นขวดปั๊มแต่น้อยกว่ารุ่นครีมค่ะ ที่เราได้แซมเปิ้ลมาใช้นี้เป็นสูตรใหม่ค่ะ กะไปขอมาลองซองเดียวเล็กๆแต่เค้าให้มาทั้งหลอดเลย (จริงๆเคยได้มาแล้วหนนึงด้วยค่ะ แต่สี O20 หลักฐานที่ข้อ 7 ใน บล็อคนี้ เลย แต่นานเกิน ใช้หมดลืมไปแล้วอ่ะค่ะว่าใช้แล้วผลเป็นยังไงมั่ง)

สูตรใหม่นี้คุณเทนรีวิวไว้ว่าไม่ดีเท่าสูตรเก่า ไม่แนบเนียนไปกับผิวเท่าสูตรเก่า เราอ่านแล้วก็เกิดอาการอยากรู้อยากเห็นไปขอแซมเปิ้ลมาลอง(อีกที)กะเค้ามั่งค่ะ ดูซิว่าจะจริงดังคำรีวิวหรือเปล่า แต่น่าเสียดายว่าเราไม่ค่อยมีประสบการณ์กับรุ่นนี้สูตรเก่าเท่าไหร่เลยเทียบกันไม่ถูก จากที่ลองมากับตัวรุ่นนี้จะข้นเป็นครีมๆมากกว่ารุ่นหัวปั๊มแต่ก็ยังทาและเกลี่ยได้ง่ายค่ะ เนื้อครีมไม่มีชิมเมอร์เลยจะดูแม็ตกว่าแบบโลชั่นหน่อย ถ้าวันไหนเราผิวแห้งกว่าปกตินี่ต้องเลี่ยงตัวนี้กันหน่อยค่ะ ไม่งั้นมองใกล้ๆหน้ายิ่งจะดูแห้งแล้งขาดความชุ่มชื้น

ส่วนที่ว่าสูตรใหม่ไม่ค่อยแนบเนียนกับผิวหรือเปล่าอันนี้ตามตรงว่าเราดูไม่ออกค่ะ อย่างว่าไม่(ค่อย)เคยใช้สูตรเก่าเลยเทียบกันไม่ถูก แต่ถ้าเอาแบบมองไกลๆถ่ายรูปออกมาก็ยังดูได้ผิวดูดี๊ดูดีตามแบบฉบับรองพื้น CDP อยู่นะคะ เผอิญตอนนี้ที่ญี่ปุ่นหน้าหนาวแล้วถ้าเป็นตอนหน้าร้อนอากาศไม่แห้งนักอาจได้ผลดีกว่านี้ค่ะสำหรับเรา(ที่ผิวแห้งมาก)

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 3/5
ซื้อต่อไหม : โดยรวมสำหรับเราก็ถือว่าตัวนี้ยังได้มาตรฐานของ CDP อยู่นะคะ(ให้เอฟเฟ็คผิวงามๆและกลิ่นหอมๆ) เกลี่ยอะไรก็ไม่ยาก แต่เราคิดว่าคงไม่ซื้อรุ่นนี้ล่ะค่ะ เพราะไม่ได้ต้องการการปกปิดระดับนี้และเราก็ผิวแห้งด้วยชอบแบบรุ่นขวดปั๊มเนื้อโลชั่นชุ่มๆมากกว่า ตัวนี้นี่ทำให้หน้าเราดูแห้งขึ้น ถ้ามองใกล้ๆแล้วผิวดูสูงอายุขึ้นยังไงชอบกลค่ะสำหรับหน้าหนาว(ญี่ปุ่น)นี้

อัพเดตคะแนนใหม่ค่ะ: ขอเหลือแค่ 1/5 พอ
ซื้อต่อไหม : ณ ตอนนี้ขอบอกว่าไม่ซื้อรุ่นนี้แน่นอนค่ะ ตอนใช้ครั้งสุดท้ายโตเกียวยังไม่เข้าหน้าหนาวเต็มที่ อากาศเย็นสบายๆก็แค่ว่าใช้แล้วทำให้ดูหน้าแห้งๆเป็นขุยเล็กน้อย(มองไกลๆไม่เห็น) วันนี้นึกอยากลองอีกทีปรากฏว่าเละค่ะ ตอนทาใหม่ๆก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ตกเย็นมาส่องกระจกทีตกใจเลยค่ะ ทำไมหน้าเราลอกเป็นขุยได้ขนาดนี้ สรุปว่าไม่เวิร์คกับเราค่ะ ขนาดตอนนี้โตเกียวแค่ประมาณ 9 ถึง 13 องศาเองยังอาการหนักอย่างนี้ รุ่นโลชั่นเคยไปใช้ที่ฮอกไกโด -9 องศายังไม่เห็นเป็นงี้เลยอ่ะค่ะ (ดีว่าหลอดนี้ได้มาฟรีนะคะเนี่ย)


4. Cle de Peau Beaute Teint Naturel Fluide (O10)



อันนี้เพิ่มมาค่ะ โดยใช้รูปจากบล็อคเก่าเพราะซองจริงใช้หมดทิ้งไปตั้งนานแล้วค่ะ ไหนๆก็รีวิวรองพื้น CDP ไปสองรุ่นแล้ว ก็เลยเอาอีกรุ่นที่เหลือมาใส่รวมกันไว้เลยค่ะ (ขอเป็นแซมเปิ้ลมาลองเหมือนเดิม) รุ่นนี้เป็นรุ่นครีมที่ปกปิดสูงสุดและแม็ตที่สุดในไลน์รองพื้นของ CDP นะคะ จริงๆก็รู้อยู่ว่าไม่เหมาะกับเราแต่ก็อยากลองดูค่ะ

ชาร์ตนี้แค็ปมาจากเว็บของ Cle de Peau Beaute Japan เป็น Foundation matrix ที่เค้าทำสรุปไว้น่ะค่ะ (ชาร์ตเก่าตอน Naturel Satine สูตรเก่ากระปุกสี่เหลี่ยม เรามีแค็ปเก็บไว้อยู่ ตรงนี้ ในบล็อคเก่า PREVIEW เทสรองพื้นที่ Cle De Peau @Matsuzakaya น่ะค่ะ)

ซ้ายคือ Mat ขวาคือ Dewy ด้านบนคือปกปิดสูง ด้านล่างคือปกปิดน้อยกว่าค่ะ ตัวเนื้อโลชั่นขวดปั๊มเห็นง่ายกว่าเพื่อนอยู่ที่ล่างขวาเลยค่ะ ส่วนตัว Naturel Satine (รีวิวข้อ 3 ตะกี้) คือตัวบนขวา และตัวนี้ที่กำลังจะรีวิว Naturel Fluide คือตัวบนซ้ายค่ะ ดูจากชาร์ตนี้ Naturel Satine กับ Naturel Fluide เหมือนจะระดับการปกปิดพอๆกัน แต่เวลาเราคุยกับ BA ที่ญี่ปุ่นเค้ามักจะบอกว่าตัว Naturel Fluide นี้ปกปิดมากที่สุดน่ะค่ะ อาจเพราะว่ามันแม็ตกว่าด้วย (ปล ชื่อรุ่นรองพื้น CDP ที่ไทยและที่ญี่ปุ่นตั้งไม่เหมือนกันนะคะ สับสนงุนงงมาก เวลาเรียกเราเรียกจากเนื้อเอาค่ะว่าอันไหนแม็ตกว่า อันไหนปกปิดมากกว่า)

ผลการลองนี่สุดจะประเมินประสิทธิภาพรองพื้นได้ค่ะ รุ่นนี้เนื้อมันหนืดๆฝืดๆทายากมากกกกกกกกก ซองเล็กๆหนึ่งซองที่ได้มานี่เรารีดแล้วรีดอีกแต่ก็ไม่สามารถทามันได้ทั่วหน้าค่ะ สรุปวันนั้นเลยออกไปแบบหน้าทารองพื้นไม่ทั่ว -"- ถ้ามือใหม่เกลี่ยมั่วๆมีแววจะเกลี่ยไม่สำเร็จเหมือนเราค่ะ แต่ถ้าใครผิวมันและต้องการการปกปิดมากและเกลี่ยรองพื้นได้เก่งพอตัวน่าจะเหมาะกับรุ่นนี้ค่ะ

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): n/a
ซื้อต่อไหม : ลองหนึ่งหนยังทาได้ไม่ทั่วหน้า ประเมินผลไม่ถูกเลยค่ะ เดาเอาเองว่าระดับการปกปิดคงสุดยอด เนื้อแห้งแม็ตมาก และน่าจะมีเอฟเฟ็คผิวเด้งๆตามแบบฉบับรองพื้นยี่ห้อนี้ด้วย แต่เรื่องเกลี่ยนี่ยากจริงๆจังๆค่ะ ใครจะลองก็แนะนำให้ลองหัดลองเกลี่ยเองที่เคาเตอร์ให้เรียบร้อยก่อน ไม่งั้นซื้อมาแล้วเกลี่ยไม่ได้จะแย่เอานะคะ

------------------------------------------------------------------

Eyeliner Review

** ปัญหารอบดวงตา **

เราเป็นคนชั้นตาไม่เสมอค่ะ ตาซ้ายเป็นสองชั้นหลบในแถมเปลือกตายังมันขั้นเทพอีก(ทั้งๆที่เราเป็นคนผิวแห้งมากๆ) พอเปลือกตามันมากแล้วตาสองชั้นหลุบหายเข้าไปข้างใน อายไลเนอร์มันก็เลยเลอะเป็นเส้นบนเปลือกตาประจำเลยค่ะ

ปกติถ้าดูรีวิวอายไลเนอร์ เราจะดูก่อนเลยค่ะว่าคนรีวิวชั้นตาเป็นแบบไหน ถ้าเป็นตาหลบในเหมือนเราล่ะก็จะตั้งใจดูมากค่ะ ว่าใช้ตัวไหนแล้วเลอะน้อยที่สุด จากการลองมาเยอะสรุปได้ว่า พวกแบบฝุ่นหรือเจลหรือดินสอนี่ยี่ห้อเทพอันไหนก็ไม่มีทางติดตาเราได้ถึงเย็นค่ะ ต่อให้ลงเบสที่ตาก่อน หรือ ลงคอนซีลเลอร์เป็นพื้นก่อน หรือ เอาอายแชโดว์ทาทับก็ตาม ยังไงๆก็เลอะค่ะ (ยกเว้นเราจะทำตาสองชั้นมันซะเลย เส้นก็จะอยู่ได้ถึงเย็นค่ะ)

แต่ตอนนี้สนใจ Benefit She Laq อยู่ค่ะ หาเคาเตอร์ที่โตเกียวไม่เจอ แต่เห็นว่ากันว่ามันช่วยซีลเครื่องสำอางได้ดี

** ประสบการณ์การใช้ **

อายไลเนอร์นี่เขียนมาห้าปีได้แล้วมั้งคะ ยิ่งช่วงอยู่ญีปุ่นนี่เขียนทุกครั้งก่อนออกจากบ้านค่ะ แต่ห้าปีก็ไม่ได้แปลว่าเก่งแต่อย่างใดค่ะ ตาตัวเองยังเขียนเส้นเบี้ยวประจำเลย แต่ก็พอรู้แล้วค่ะว่าตาแบบเรานี่ต้องอายไลเนอร์แบบไหนถึงจะเอาอยู่

** My favourite look **

สำหรับอายไลเนอร์นี้ไม่ขออะไรมากค่ะ ขอแค่มันอยู่ติดทนเส้นดำเข้มไปได้ถึงเย็นเราก็พอใจแล้วค่ะ เส้นซอฟต์ๆจริงๆก็ชอบนะคะแต่จากประสบการณ์พวกที่ให้เส้นซอฟต์ๆมันไม่เคยอยู่กับตาเราไปได้ถึงเย็นเลย ลองมาหลายอันจนต้องยอมรับความจริงข้อนี้ค่ะ

รูปของทั้งห้าอันที่จะรีวิวในหนนี้นะคะ


เรียงลำดับเหมือนเดิม แต่เปิดให้ดูหัวกันชัดๆค่ะ


รีวิวเรียงลำดับจากซ้ายไปขวาดังนี้นะคะ


1. Etude House Proof 10 Liquid Liner (black)

ตัวนี้ซื้อมาโดยบังเอิญตอนไปเที่ยวเกาหลีค่ะแต่ผลคือชอบมากๆเลย หัวเป็นพู่กันก็เขียนยากหน่อยตามประสา แต่ตัวนี้นี่ขีดทีเดียวก็ได้สีดำสนิทเลยไม่ต้องขีดย้ำกันหลายรอบ กรีดแล้วก็จะเป็นแผ่นๆติดอยู่ที่เปลือกตาเส้นดูแข็งก็จริง แต่อย่างน้อยมันก็ติดทนที่ตาเราได้ทั้งวันค่ะ ไม่ว่าจะตอนอยู่ไทยหรืออยู่ญี่ปุ่นก็ตาม

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4/5
ซื้อต่อไหม : จริงๆชอบตัวนี้มากนะคะ สีเข้ม ติดทน แต่เราหาซื้อยากค่ะ ถ้าหาซื้อได้ง่ายๆและไม่แพงไปนักก็คงใช้ต่อ แต่ถ้าหาซื้อไม่ได้ก็คงไปหาตัวอื่นๆมาใช้แทนค่ะ พวกอายไลเนอร์นี่ไม่ซีเรียสเท่าไหร่ว่าต้องอันนี้ๆเท่านั้นเหมือนพวกรองพื้น


2. Kate Liquid Eyeliner 1.8mL (BK-1)

ตัวนี้เป็นตัวตายตัวแทน Etude อันข้างบนค่ะ อยู่ญี่ปุ่น(หรืออยู่ไทยก็ตาม)หาซื้อยี่ห้อนี้ได้ง่ายมากและราคาก็ถูกด้วย จากที่ลองมาตัวนี้ก็ติดทนพอใช้ได้เลย แถวๆหัวตาบางทีมีเลอะๆเลือนๆนิดหน่อยแต่เส้นโดยรวมก็ยังอยู่ได้ถึงตอนเย็นเลยค่ะ ข้อเสียของตัวนี้คือมันออกจะน้ำๆมากเกินไป ลากเส้นไปหนแรกนี่สีดำไม่ค่อยติดเลยค่ะ ต้องรอให้แห้งแล้วค่อยลงย้ำอีกรอบ(หรือสองรอบ)ถึงจะได้เส้นดำสม่ำเสมอทั้งเส้น

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 3/5
ซื้อต่อไหม : ตัวนี้เห็นแก่ว่าหาซื้อง่ายก็คงต้องใช้ต่อไปล่ะค่ะ เสียเวลาย้ำเส้นหน่อยนึงเวลาเขียน ตรงหัวตาเลือนเล็กน้อย แต่อย่างน้อยเย็นย่ำมาเส้นอายไลเนอร์โดยรวมก็ยังอยู่ที่ตา ยังตาคมได้อยู่ทั้งวันค่ะ


3. Shu Uemura Drawing Pencil 1.2g

สำหรับตัวนี้ใช้หมดมาหลายแท่งแล้วค่ะ ทั้งสีดำ สีน้ำตาล สีกรมท่า เปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะเน้นสีเข้มๆไว้ก่อน

แน่นอนว่าแบบดินสอนี่เขียนยังไงก็ไม่ติดเปลือกตามันๆของเราค่ะ แต่เราใช้เฉพาะเขียนขอบตาล่างและเขียนอินเนอร์เท่านั้นเลยโอเค แบบดินสอใช้ไล้ขอบตาล่างและถมอินเนอร์ได้ง่าย เนื้อดินสอตัวนี้ก็ไม่แข็งเกินไปเขียนแล้วไม่เจ็บตา แล้วก็เส้นไม่คมจนเกินไปสำหรับเขียนขอบตาล่างด้วยค่ะ เอาคอตตอนบัดถูๆนิดนึงก็ฟุ้งกำลังดีแล้ว สำหรับความติดทน แบบดินสอก็มีเลอะบ้างตามประสานะคะ แต่สำหรับเราถือว่ายังรับได้ค่ะ เลอะนิดเดียวแต่เส้นไลเนอร์(ขอบตาล่าง)และอินเนอร์ที่เขียนไว้ก็อยู่ได้ถึงเย็นค่ะ (ลองมาแล้วทั้งที่ไทยและญี่ปุ่น)

จริงๆเราชอบใช้ คาเวียร์+แปรงหัวดอกบัว ของ LM เขียนอินเนอร์ค่ะ หัวแปรงมันถมช่องว่างตรงคิ้วได้ดีและไม่เจ็บตาด้วย แต่คาเวียร์ของ LM นี่มันติดไม่ทนเอาซะเลย ต่อให้ใช้พวก Magic eye changer ช่วยก็เถอะ ลงท้ายลองไปลองมาเราก็มาโอเคกับ Shu แท่งนี้ล่ะค่ะว่าติดทนใช้ได้และเขียนอินเนอร์ง่ายดี เคยอยากลองเอาแบบลิควิดมาเขียนขอบตาล่างเหมือนกันแต่ยังไม่สามารถค่ะ ทำเลอะเทอะทุกทีเลย

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4/5
ซื้อต่อไหม : จริงๆตัวนี้ใช้มาเกินสามแท่งแล้วล่ะค่ะ ไม่ชอบอย่างเดียวว่าเหลาทีแท่งสั้นไปเยอะแต่เทียบกับผลที่ได้แล้วก็ถือว่าคุ้ม ก่อนนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะใช้ต่อไปเรื่อยๆ(สำหรับเขียนขอบตาล่างและอินเนอร์เท่านั้น) แต่ ณ ตอนนี้มีน้องใหม่มาแรง หาซื้อง่ายกว่า ใช้ได้สะดวกกว่า (คิดว่า)ถูกกว่า คุณภาพใกล้เคียงกัน ก็เลยคิดว่าคงไม่ซื้อแท่งนี้ต่อแล้วล่ะค่ะ


4. Integrate Slim Liquid Eyeliner EX 0.5mL (BK999)

ตัวนี้ตอนที่ Etude หมดก็ไปหามาใช้จากร้านขายยาแถวบ้าน(ที่ญี่ปุ่น)ค่ะ เป็นแบบปากกาเมจิคเขียนง่ายมากๆ สีดำกำลังดี แม้จะไม่ดำเข้มดำสนิทแต่ก็ดูเป็นธรรมชาติดีค่ะ เส้นไม่แข็งและกริ๊บเกินไปเหมือนพวกแบบจิ้มจุ่มหัวพู่กันด้วย ใช้วันแรกๆนี่เลิฟเลยค่ะว่าเขียนง่าย ตวัดหาง ตวัดมุมอะไรก็ง่าย เส้นก็ดูเนียนเป็นธรรมชาติ แต่พอวันต่อๆมาที่ญี่ปุ่นอากาศร้อนขึ้นหน่อย(แต่ก็ยังเย็นกว่าที่ไทยเยอะ)นี่ออกลายเลยค่ะ เส้นเขียนไว้ดีๆตอนเช้า ตกเย็นมาเส้นหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ไม่ต้องใช้ makeup remover กันเลยค่ะ T_T

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 1/5
ซื้อต่อไหม : แม้จะเสียดายในความเขียนง่าย ใช้สะดวก และเป็นธรรมชาติ แต่ในเมื่อติดตาเราไม่ทนแบบนี้ก็คงต้องบายล่ะค่ะ ตาคมสวยได้อยู่ไม่กี่ชั่วโมงเองไม่เหมาะจะฝากผีฝากไข้เท่าไหร่


5. Kate Lasting Gel Pencil 0.2g (BK-1)

ตัวนี้บังเอิญเจอค่ะ เห็นว่าแปลกดีเลยลองซื้อมา เป็น gel liner ของ kate ที่อัดมาเป็นแท่ง ใช้วิธีหมุนๆให้ไส้ออกมา ไม่ต้องพกกบเหลาดินสอให้ยุ่งยากเวลาพาไปเที่ยวด้วยเลยค่ะ ตัวนี้ล่ะค่ะที่เป็นน้องใหม่มาแรงแทนที่ Shu drawing pencil ตัวบน เนื่องจากเนื้อแบบนี้เรารู้อยู่แล้วค่ะว่าไม่ติดทนบนเปลือกตาเราหรอก ตอนซื้อก็กะมาไว้พกติดตัวไว้เติมเส้นขอบตาล่างระหว่างวันเท่านั้น

แต่พอลองๆใช้แล้วกลับติดใจค่ะ ความติดทนและเขียนง่าย(สำหรับไลเนอร์ที่ขอบตาล่างและอินเนอร์)นี่เราให้สูสีกับ Shu drawing pencil เลย แล้วแถมตัวนี้สะดวกกว่าด้วยเพราะไม่ต้องคอยมาเหลาให้แหลมค่ะ ตั้งแต่ได้มาก็ใช้ทุกวันสองเดือนแล้ว(อาทิตย์นึงใช้ประมาณ 4-5 วัน) ตอนนี้หมุนออกมาเหลือไส้ยาวไม่ถึง 2cm แล้วล่ะค่ะ ตรงนี้นี่เหมือนจะคุ้นๆว่า Shu แท่งนึงอยู่ได้นานกว่านี้นะคะ แต่ยังไม่ได้ลองคำนวนเทียบเวลาดูว่าตกลงถ้านับระยะเวลาในการใช้แล้วตัวไหนจะแพงกว่ากันแน่

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4.5/5
ซื้อต่อไหม : สำหรับตัวนี้ประสิทธิภาพเราให้เท่ากับ Shu drawing pencil ค่ะ แต่ +0.5 ที่เพิ่มมาคือเรื่องของความสะดวกที่ไม่ต้องมาคอยเหลาค่ะ ถ้าตราบใดที่ยังไม่เลิกผลิตคิดว่าเราก็คงใช้ไปเรื่อยๆค่ะ

------------------------------------------------------------------

Double Eyelid Glue/Tape Review

** ปัญหารอบดวงตา **

เราเป็นคนชั้นตาไม่เสมอค่ะ เรียกว่าเกือบจะมีเหล่าเต๊ง ตาซ้ายเป็นสองชั้นหลบใน ส่วนตาขวาบางวันก็สองชั้น บางวันก็ชั้นเดียว บางวันหนักหน่อยมาเลยสามสี่ชั้นค่ะ แต่ไม่ว่าจะวันไหนตาซ้ายก็ยังสองชั้นหลบในเหมือนเดิม สรุปคือตาสองข้างดูไม่เท่ากันซะเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ไม่รู้จะทำไงให้ตาขวาเป็นชั้นเดียวด้วย

ซึ่งมันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ค่ะ ธรรมชาติสร้างคนมาก็ไม่ symmetry เป๊ะๆอยู่แล้ว แต่ที่มันเป็นปัญหาก็คือ ตาหลบในมันทำให้อายไลเนอร์เราเลอะนี่สิคะ ถ้าไม่ใช้พวกลิควิดไปเลยเหมือนที่รีวิวข้างบน อารมณ์ไหนอยากจะซอฟต์บ้าง อยากจะตาเท่ากันสองข้างบ้าง ก็ต้องหาทางทำให้ตาซ้ายเรามีสองชั้นซะค่ะ

** ประสบการณ์การใช้ **

อุปกรณ์ทำตาสองชั้นเพิ่งจะมาหัดมาลองจริงๆจังๆก็เมื่อต้นปีก่อนค่ะ จริงๆซื้อมานานแล้วก็ดองไว้เพราะลองครั้งแรกๆแล้วไม่สำเร็จ ผ่านมาเกือบสองปีตอนนี้คิดว่าคล่องแล้วล่ะค่ะ เผลอๆคนที่มหาลัยอาจลืมไปแล้วว่าตาซ้ายเราหลบใน เพราะเราทำตาสองชั้นทุกครั้งที่ออกจากบ้านเลย

** My favourite look **

ขอแค่ให้ชั้นตามันอยู่ได้ทั้งวัน ไม่เด้งหลุดออกมาก็โอเคค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีขออย่าให้มันทำให้พวกแป้งหรืออายแชโดว์บนเปลือกตาเป็นคราบด้วยก็ดี


1. DOUBLE EYELID TWO-SIDE TAPE




ตัวนี้เห็นขายอยู่ร้านขายยาญี่ปุ่นเลยซื้อมาลองค่ะ แพ็คเกจน่ารักมีช่องเล็กๆให้ดึงเทปกาวสองหน้าขนาดความกว้างประมาณ 1mm ออกมา มีกรรไกรเล็กๆและไม้ดันชั้นตามาให้เรียบร้อยค่ะ วิธีใช้นี่เค้าให้เอาตุ่มกลมๆสองตุ่มตรงไม้ดันชั้นตาแปะไว้ที่เทป กะให้ความยาวเทปพอดีความกว้างตาแต่ละคน จากนั้นก็ลอกส่วนกระดาษบนเทปออก เหลือแต่เทปสองหน้าเปลือยๆติดบนไม้ค่ะ สุดท้ายก็เอาเทปแปะตาเลย แปะทั้งๆที่เทปติดอยู่บนไม้นั่นเลยค่ะแล้วก็ใช้ไม้ดันๆให้เป็นชั้นพอดีด้วย อธิบายงงๆหน่อยแต่เค้ามีภาพอธิบายไว้น่ะค่ะเข้าใจไม่ยาก

ตัวนี้นี่เป็นอะไรที่ลองกี่ครั้งก็เหลวค่ะ ดูเผินๆก็ว่าสะดวกดีตัดเทปมาให้ได้ขนาดเรียบร้อย แต่เอาจริงๆเรามีปัญหามากเลยค่ะกับการลอกกระดาษบนเทปกาวสองหน้าออก และตัวเทปสองหน้ามันก็บ๊างบาง กว่าจะลอกส่วนกระดาษออกมาได้ กว่าจะเอามาติดบนตาได้ เราเป็นต้องทำเทปที่ตัดมาเละเทะยับเยินซะทุกทีเลยค่ะ ผลคือไม่เคยแปะออกมาสำเร็จเลยค่ะสำหรับตัวนี้

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 0/5
ซื้อต่อไหม : เสียดายก็เสียดายนะคะ แต่ลองกี่ทีก็ไม่เป็นผลสุดท้ายต้องโยนทิ้งไปค่ะ อยู่ญี่ปุ่นไม่รู้จะส่งต่อให้ใครช่วยใช้ดี


2. KOJI ACTIVE EYE TALK



อันนี้เป็นแบบกาวแล้วค่ะ ใช้อยู่ระยะนึงเลย วิธีใช้ให้เอาพู่กัน(คล้ายๆพู่กันยาทาเล็บน่ะค่ะ)จุ่มกาวแล้วทาในบริเวณที่เรากะจะให้มันพับติดเข้ามาเป็นชั้นตาค่ะ (อันนี้กะไม่ยากค่ะ ลองไม่กี่ครั้งก็จับทางได้แล้วว่าต้องทาตรงไหน ทากว้างเท่าไหร่) รอแป๊บนึงพอกาวเริ่มแห้งนิดนึงก็เอาไม้ดันชั้นตา(ฝั่งที่มีสองขา)ที่ให้มาด้วยกันดันชั้นตาให้พับเข้าไปติดเป็นตาสองชั้นค่ะ แค่นี้ชั้นตาตรงที่ทากาวไว้ก็จะหลุบเข้าไปตามที่เราดันและติดกันด้วยกาวที่เราทาไว้ค่ะ ส่วนไม้ฝั่งที่มีขาแหลมๆขาเดียวอันนี้ก็ใช้กรีดตามหลังให้ชั้นตาเข้าที่เข้าทางยิ่งขึ้น

จากที่ลองใช้มาก็ติดทนใช้ได้เลยนะคะ ตาสองชั้นอยู่ได้ถึงเย็นเลย แต่ข้อเสียของแบบกาวคือถ้าทาพลาดมันจะทิ้งร่องรอยไว้บนเปลือกตาค่ะ พอทารองพื้นหรืออายแชโดว์อะไรต่อบางทีก็พลอยจะเป็นคราบไปด้วย จินตนาการง่ายๆว่ามันเป็นกาวน้ำน่ะค่ะ แปะแล้วดึงออกก็ต้องมีเละกันบ้าง อีกอย่างคือผิวที่ติดกันด้วยกาวนี่มองใกล้ๆมันก็ดูรั้งๆตึงๆแปลกๆเหมือนกันค่ะ อันนี้อธิบายไม่ถูกคงต้องลองหาตัวอย่างดูเองนะคะ

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 3/5
ซื้อต่อไหม : ถ้าเฉพาะที่เราเคยใช้มาตัวนี้ก็โอเคนะคะติดทนใช้ได้ แต่ถ้าทาไม่เป๊ะ พลาดบ่อยๆจะพลอยทำให้อะไรๆที่อุตส่าห์ทาไว้ที่เปลือกตาเละเทะเป็นคราบอะไรตามไปด้วยค่ะ ตอนนี้ก็เลยจะไม่ใช้แบบกาวแล้ว


3. 3M TAPE



Back to basic ค่ะ ใช้แบบกาวมาสักระยะ นึกอยากลองแบบเทปที่ใครๆพูดถึงกันบ้าง ลองครั้งแรกตัดเทปเป็นรูปสระอิแบบมั่วๆ แปะป้าบเข้าที่เปลือกตาปุ๊บตาสองชั้น(แบบเบี้ยวๆเพราะยังกะไม่ถูก)มาทันทีเลยค่ะ แปลกใจเหมือนกันว่า โหทำง่ายมากกว่าที่คิดเสียอีก จากนั้นก็เลยหันมาพึ่งเทปติดแผลแบบนี้ทำตาสองชั้นมาตลอดค่ะ

แรกๆจะติดเทปตั้งแต่ก่อนลงเบสหรือรองพื้นเลยค่ะ กะว่าจะได้ติดผิวได้แน่นที่สุด แต่แบบนี้นี่กว่าเราจะลงแป้งอะไรที่เปลือกตาเสร็จ หลับตาลืมตาไปหลายหนเทปกาวเลื่อนไปเลื่อนมาทำให้มีกาวติดตามขอบๆรอบๆตัวเทป ลงแป้งอะไรแล้วไม่เนียนค่ะ เป็นคราบๆรอยเทป หลังๆก็เลยจะทาแป้งอะไรเสร็จก่อน ก่อนลงอายแชโดว์ก็แปะเทปซะให้เรียบร้อยค่ะ แบบนี้พวกรองพื้นที่เปลือกตาไม่เป็นคราบ แต่ตัวเทปก็จะติดไม่ค่อยแน่นกับผิวเท่าไหร่ค่ะ (มีชั้นรองพื้น กับชั้นแป้งคั่นระหว่างผิวอยู่) ยังไม่เคยลองทางสายกลางแปะหลังรองพื้นแต่ก่อนลงแป้งค่ะ อาจจะติดทนกว่านี้ก็เป็นได้

ส่วนตัวไม่ชอบแบบเทปนี่นิดนึงตรงที่พอเราหลับตาหรือหลุบตามันจะเห็นตัวเทปน่ะค่ะ ถ้าใครมามองใกล้หน่อยก็คงเห็นว่ามีเทปอะไรแปะอยู่ที่ตาเรา เนื่องจากเราไม่ค่อยแต่งสีที่ตาด้วยเลยไม่ค่อยมีอะไรช่วยพรางรอยเทปค่ะ (แต่ส่วนตัวคิดว่าเห็นเทปยังดูแปลกน้อยกว่าตอนเห็นเปลือกตาติดกันด้วยกาวนะคะ)

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4/5
ซื้อต่อไหม : ด้วยความง่ายและราคาถูกแสนถูกก็ใช้แบบเทปนี่มาเป็นปีแล้วล่ะค่ะ ตอนเช้าแค่เสียเวลาตัดเทปให้เป็นรูปเพิ่มอีกนิดนึง (วันไหนตัดดีก็ทีเดียวได้รูปพอดี แต่บางวันก็ต้องตัดกันหลายหนค่ะกว่าจะได้รูปร่างและความกว้างพอดีชั้นตาเรา)

------------------------------------------------------------------

จบรีวิวเล็กๆแต่ยาวแสนยาวเพียงเท่านี้นะคะ ความไม่มีเงิน(พอ)เป็นยาชงัดนักทำให้เลิกช้อปเสื้อผ้าและเครื่องสำอางได้ค่ะ ขอก้มหน้าก้มตาใช้ที่มีอยู่ต่อไปก่อนค่ะ หมดเมื่อไหร่ค่อยซื้อเพิ่ม


>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2553    
Last Update : 30 ธันวาคม 2553 18:03:38 น.
Counter : 8168 Pageviews.  

PREVIEW แปรงล้างหน้าขนนิ๊มนิ่มจาก Kihitsu ที่มาพร้อมความลับของรูปหัวใจ 3 ประการ


หายหัวไปจากห้องแป้งและบล็อคเรื่องสวยๆงามๆมานานประมาณหกเดือนกว่าแล้ว เหตุผลไม่ใช่เพราะคิดได้และเริ่มประหยัดกะเค้าบ้าง แต่เป็นเพราะเอาเงินไปซื้ออย่างอื่นจนหมดแล้วค่ะ ของที่ว่าก็คือกล้อง DSLR และอุปกรณ์ต่างๆที่งอกออกมาไม่หมดเสียที

เดี๋ยวนี้มีวันหยุดทีก็สะพายกล้องไปถ่ายรูปทั่วญี่ปุ่น ได้รูปกลับมาก็มานั่งแต่งรูปเขียนบล็อค สรุปว่าหมดทั้งเงินทั้งเวลาสำหรับการช้อปปิ้งเครื่องสำอางไปโดยปริยาย ก็เราเหลือเวลาเรียนอยู่ญี่ปุ่นอีกไม่กี่ฤดูเท่านั้นเองค่ะ ณ ตอนนี้ก็เลยพยายามเก็บตกไฮไลท์ที่เที่ยวในแต่ละฤดูทั่วญี่ปุ่นอยู่ ไม่ได้สนใจซื้อเครื่องสำอางใหม่เลย (แต่แค่ของเดิมก็ยังใช้ไม่หมดเลยค่ะเนี่ย)

บล็อคนี้จริงๆก็เรื่องเกี่ยวกับรูปถ่ายอีกนั่นล่ะค่ะ แต่ของในภาพเป็นหมวดเครื่องสำอางเลยเอามาอัพที่กลุ่มบล็อคนี้แทน วันนี้วันเสาร์อากาศดีแวะไปห้าง Matsuzakaya ใกล้บ้านกะจะไปดูบลัช NARS แบบที่สีสุภาพสุดๆสักตลับ เข้าห้างไปก็เจอ Kitty ใส่ชุด Sakura Panda ตัวนี้นั่งอยู่ค่ะ ใบไม้ผลิมากๆ (คือ ที่นี่อยู่แถว Ueno และสวน Ueno จะดังเรื่องมีหมีแพนด้าและมีต้นซากุระเยอะมากๆค่ะ)


เสียดายที่นี่ไม่มีเคาเตอร์ NARS เลยอดไปตามระเบียบ แต่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องเสียเงินค่ะ เพราะสายตาเหลือบมาเจอบู๊ตนี้ที่จัดรายการพิเศษอยู่ที่หน้าประตู เห็นปุ๊บตาลุกวาวทันทีเพราะมันน่ารักมากๆค่ะ เป็นแปรงแต่งหน้าที่ขนแปรงทำลวดลายเป็นสีๆเหมือนเป็นดอกไม้ที่มีเกสร มีทั้งดอกทานตะวันดอกกุหลาบและอื่นๆอีกค่ะ หลายสีหลายลายละลานตาไปหมดเลย


ทีแรกยังไม่ทันดูยี่ห้อ แต่กะอยู่แล้วว่าต้องเป็นยี่ห้อนี้แหงๆ Kihitsu เคยเห็นมาหลายครั้งแล้วล่ะค่ะ แปรงเค้าขนนุ่มมากกกกกกกก ยิ่งพวกแปรงแบบแพงขนเยอะเป็นพิเศษนี่ขนยิ่งหนานุ่มเป็นพุ่มแตะๆหลังมือแล้วรู้สึกนิ่มๆเด้งๆดีจริงๆค่ะ อุตส่าห์ตัดใจไม่ซื้อมาได้ตลอดหลายปีสุดท้ายไม่รอดตอนปีที่สี่นี่เอง

Credit: //www.kihitsu.jp/

งวดนี้ไม่ใช่เฉพาะขนนุ่มๆที่มาล่อเงินออกจากกระเป๋าสตางค์ แต่รูปลักษณ์ที่น่ารักโดนใจนี่สิคะ ทั้งนิ่มทั้งสวย คุณภาพก็ดีแบบนี้จะอดใจไม่ซื้อไหวได้ยังไง เดี๋ยวนี้เค้าทำเป็นคอลเลคชั่นแบบหน้าตาสวยๆเอาไว้ให้เป็นของขวัญกันได้ด้วยล่ะค่ะ คอนเซปต์ว่า "ของขวัญแด่คนสำคัญ"


เป็นไอเดียการตลาดที่ดีมากค่ะ ทำให้เงินกระเด็นออกจากกระเป๋าตังค์เราได้ในทันที เรื่องการทำแพ็คเกจและสินค้าหน้าตาสวยๆนี่ญี่ปุ่นไม่เป็นรองประเทศไหนเลยจริงๆ ถ้าซื้อแปรงนี่ให้เป็นของขวัญใครก็ไม่ต้องกลัวว่าคนรับจะแพ้เหมือนให้เครื่องสำอางด้วยนะคะ ^^


ตั้งแต่เห็นที่ขายนี้แว่บแรกเงินก็ร่ำๆจะบินออกจากกระเป๋าแล้ว แต่เดี๋ยวค่ะขอหาเป้าหมายเสียเงินก่อน แล้วเป้าหมายก็เป็นอะไรไปซะไม่ได้นอกจากอันที่มีป้ายแปะว่า 人気 NO.1 ยอดนิยมอันดับหนึ่ง แปรงล้างหน้ารูปหัวใจสีชมพูสุดหวานค่ะ


ก็ไม่น่าแปลกใจค่ะว่าทำไมถึงเป็นที่นิยมอันดับหนึ่ง ทั้งสีทั้งรูปทรงเนี่ยกะทำมากระตุ้นต่อมผู้หญิงที่ชอบของน่ารักๆกันเต็มที่ แถมยังใช้งานได้จริงมันก็เลยไม่ค่อยลังเลมากนักที่จะจ่ายเงินซื้อ หัวใจขนฟูสีชมพูถูกใจมากๆเลยค่ะ


ดูขนกันเต็มๆ แปรงยี่ห้อนี้ขนแน่น นิ่ม และ ฟูทุกอันเลยค่ะที่เคยลองมา ถ้ามีคนเอาแปรง(สะอาดๆ)มานวดๆหน้าให้นี่คงนอนสบายเลยค่ะ นิ่มจนเคลิ้มไปเลยไม่รู้สึกว่ามีขนแหลมๆทิ่มหน้าเลย


จริงๆก็กะซื้ออยู่แล้วล่ะค่ะ แต่จะไม่ถามอะไรเลยก็ดูง่ายไป เลยถามซะหน่อยว่ารูปหัวใจนี่มันมีความหมายอะไรหรือเปล่า คุณลุงคนขายก็รีบตอบกลับมาอย่างคล่องแคล่วว่ารูปหัวใจน่ารักๆนี้น่ะมีความลับซ่อนอยู่ถึง 3 ประการเลยทีเดียวนะ (ท่าทางนี่จะเป็นคำถามที่ทางผู้ผลิตตั้งใจให้คนถามอยู่แล้วค่ะ ในโบชัวร์อธิบายไว้ละเอียดเชียว)
- หนึ่งคือ การที่มีส่วนนูนๆสองส่วนทำให้แรงกดเวลาแปรงสัมผัสกับผิวถูกกระจายออกเป็นสองจุด กลายเป็นสัมผัสที่อ่อนโยนและทั่วถึงยิ่งขึ้น
- สองคือ ร่องตรงกลางของรูปหัวใจ ทำให้อากาศผ่านเข้าได้มากขึ้น ตีฟองขึ้นได้เร็วกว่าปกติ
- สามคือ การออกแบบแบบใหม่ที่ทำให้ขนที่เป็นขนจากธรรมชาติหุ้มอยู่รอบนอกทั้งหมด ห่างจากขนอีกแบบ(เดาว่าอีกแบบน่าจะเป็นขนสังเคราะห์มั้งคะ)ที่ชั้นใน 3mm (ถ้าดูภาพประกอบจะเข้าใจขึ้นค่ะว่าจริงๆมีขนอยู่สองชั้น) ซึ่งจะส่งผลให้ เวลาใช้ขนด้านในไม่ถูกับผิวโดยตรง ได้เป็นสัมผัสจากขนธรรมาชาติที่อ่อนโยนแทนค่ะ (ตอนคุณลุงเค้าอธิบายเหมือนจะบอกว่าทำให้ขนมันมีสปริงในตัวด้วย เด้งๆกับผิวเราได้ ถึงกดน้ำหนักลงไปก็มีขนชั้นนอกรองรับน้ำหนักไว้ก่อนทำนองนั้นน่ะค่ะ)


ส่วนวิธีการใช้และการล้างก็ตามภาพเลยค่ะ เอาแปรงไปวนๆในชามหรือบนสบู่ให้ขึ้นฟองแล้วค่อยนำมานวดๆวนๆล้างหน้า หลังล้างหน้าก็ล้างแปรงกับน้ำสะอาดจนหมดฟองแล้วก็แขวนตากไว้ค่ะ เหมือนแปรงคาบูกิทั่วไป


แต่นอกจากว่ารูปลักษณ์และความนิ่มของแปรงจะโดนใจเราแล้ว คุณลุงคนขายก็โดนใจไม่แพ้กันค่ะ อยู่ญี่ปุ่นมาก็ปีที่สี่แล้วบริการแบบญี่ปุ่นๆก็ชินแล้ว(คือบริการดีเป็นปกติน่ะค่ะ) แต่ก็มีหลายครั้งที่อยากให้คะแนนบริการสักหนึ่งพันจากเต็มหนึ่งร้อย เช่น คุณลุงคนนี้เป็นต้น

ทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียง ทั้งความกระตือรือล้นและความเอาใจใส่ของคุณลุงนี่ เป็นอะไรที่เราอธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ ถ้าการบริการคือการยิ้มแย้ม เราก็รู้สึกได้เลยว่าทั้งหน้าตา แววตา ท่าทาง กระทั่งน้ำเสียงของคุณลุงน่ะยิ้มให้เราเต็มที่จริงๆ รู้สึกได้เลยว่าคุณลุงเค้าเต็มใจอธิบายเรา และอยากที่จะอธิบายเราในทุกๆอย่างที่เราอยากรู้ (แม้ว่าวันนี้เราจะดูเป็นคนต่างชาติโทรมๆ ไม่เหมือนกลุ่มลูกค้าหลักของห้างนี้เท่าไหร่ก็ตาม)

อะไรๆก็โดนใจไปซะหมดขนาดนี้ วันนี้หนึ่งไม่พอขอสองเลยค่ะ นอกจากแปรงล้างหน้ารูปหัวใจแล้วก็เอาแปรงทารองพื้น(แบบน้ำ)มาด้วย ที่เคยใช้มาจะเป็นของ Bobbi Brown ที่ขนสังเคราะห์หัวแบน กับ MAC187 ที่ขนรูปไม้กวาดสองสี อันของ BB ก็โอเคค่ะปกติใช้แปะๆก็เนียนดี อัน MAC ไม่รู้ยังไงใช้วนๆทารองพื้นน้ำแล้วรู้สึกเหมือนขนมันจิ้มๆหน้า เลยไม่โปรดเท่าที่ควรใช้ทาพวกฝุ่นๆดีกว่า ส่วนแปรงใหม่นี้เป็นแบบพกพาค่ะ หน้าตาเหมือนแปรงคาบูกิขนนิ่มตามสไตล์(นิ่มแต่ไม่ใช่ว่าบานนะคะ ขนเกาะตัวกันเป็นกลุ่มดีอยู่) ใช้ทาแบบวนๆเหมือน MAC กะให้ลุคว่าทารองพื้นกระจายทั่วๆบางๆค่ะ


แปรงรองพื้นนี้เค้าแนะนำว่าควรล้างแค่ประมาณ 2-3 เดือนต่อครั้งเพื่อรักษาคุณภาพของขนค่ะ (คือ พวกขนธรรมชาติดีๆนิ่มๆเนี่ย เค้าไม่แนะนำให้ล้างน้ำบ่อยเพราะจะเสื่อมสภาพเร็ว) ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงบายเพราะกลัวสิวสกปรกขึ้นหน้า เอาแปรงปัดๆแต่บนทิชชู่นี่ไม่ค่อยไว้ใจว่าสะอาดหมดจดค่ะ แต่ตอนนี้ใช้ที่ล้างแปรงแบบฉีดของ Bobbi Brown แล้วเลยไม่ต้องล้างน้ำกันบ่อยๆ สบายขึ้นเยอะเลยค่ะ (ตอนแรกซื้อมาก็ไม่กล้าใช้ค่ะ เอามาฉีดๆแปรงแล้วไม่ล้างออกกลัวสิวขึ้น แต่ใช้ๆไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สรุปว่าผ่านสำหรับเราค่ะได้ความสะดวกมาโขเลย)

รวมแล้วซื้อมาสองอันตามภาพเลยค่ะ ขาวๆคือที่แปะกระจกเอาไว้แขวนแปรงมีแถมมาให้กล่องละอันค่ะ แปรงยี่ห้อนี้ทุกอันจะทำห่วงติดมาไว้ให้แขวนตากได้อยู่แล้ว


พล่ามมาซะยาวเชียวค่ะ สาระแทบไม่มี แปรงรองพื้นยังไม่ได้ลองใช้จริงๆกับหน้า แต่ได้ลองแปรงหัวใจไปแล้วค่ะ (แต่ยังลองใช้มาไม่มากพอจะเรียกว่าเป็น Review) ว่าแล้วก็เหมือนหัวล้านได้หวี เค้าอุตส่าห์ทำมาให้ว่าตีฟองได้ดีและเยอะ แต่เราดันใช้ Physiogel ที่ไม่มีฟองล้างหน้าซะงั้นค่ะ ตีไปฟองก็ไม่ขึ้น แต่เอาแปรงมาถูๆล้างหน้าก็นิ่มดีค่ะเหมือนนวดหน้าเลย เบากว่ามือเราล้างเองเสียอีก ใช้ถูๆรอบดวงตาด้วยก็ยังรู้สึกโอเคนะคะ แทบไม่รู้สึกว่ามีการเสียดสีกับผิวเลย


รูปด้านบนนี้จับมาทำ Photoshop เอาค่ะ อุตส่าห์ขนแปรงเป็นรูปหัวใจก็เลยอยากเอามาประกอบเป็นรูปอะไรน่ารักๆอีกหน่อยได้มาเป็นดอกไม้ห้ากลีบ(เลียนแบบซากุระ)อย่างนี้ล่ะค่ะ ใครหลงมาอ่านถึงตรงนี้ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะว่าไม่ค่อยได้เขียนอะไรเป็นประโยชน์เกี่ยวกับความงามเท่าไหร่เลย เป็นเหมือนไดอารี่บ่นบ้าบอไปเรื่อยซะมากกว่า

-----------------------------------------------------------------------

ยกเว้นสองภาพแรกที่ถ่ายจาก iPhone 3GS ภาพในบล็อคนี้ทั้งหมดถ่ายด้วย Canon EOS Kiss X3 เลนส์ใช้สองตัวสลับกันระหว่าง EF 50mm F1.4 USM กับ EF-S 15-85mm F3.5-5.6 IS USM เหตุเพราะเลนส์ 50mm ถ่ายใกล้ๆแล้วโฟกัสไม่ติดสักทีเลยเปลี่ยนมาใช้อีกตัวที่รองรับการถ่าย macro มากกว่าค่ะ(ชักอยากไปถอยเลนส์ macro มาแล้วค่ะเนี่ย) ภาพทั้งหมดถูกคร็อป/ปรับแสง/ย่อUSM ด้วย Photoshop นะคะ

>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด




 

Create Date : 10 เมษายน 2553    
Last Update : 11 เมษายน 2553 12:14:25 น.
Counter : 4648 Pageviews.  

@@@@ Review under eye concealers @@@@

วันนี้มารีวิวเครื่องสำอางชิ้นสำคัญที่เราขาดไม่ได้เลยตั้งแต่เริ่มแต่งหน้ามาค่ะ คอนซีลเลอร์ปิดแพนด้าใต้ตานั่น ไม่ว่าวันนั้นจะรีบแค่ไหนเราก็ไม่ข้ามตัวนี้ค่ะ ขนาดไปแคมป์ของทางมหาลัย(ที่ญี่ปุ่น)ก็ยังอุตส่าห์พกไปด้วยค่ะ เพราะแพนด้าเราตัวเบิ้มจริงๆ ไม่ทาแล้วดูหน้าโทรมมากๆ

** ปัญหารอบดวงตา **

สภาพผิวเราเป็นคนผิวแห้งมากๆเลยนะคะ ยิ่งมาอยู่ญี่ปุ่นช่วงอากาศหนาวนี่หน้าเหี่ยวมาก สีผิวค่อนข้างขาว(โดยกรรมพันธ์)ถ้าเทียบกับคนไทยโดยเฉลี่ย โดยเฉพาะหลังมาเรียนที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยได้เจอแดดก็เลยยิ่งขาวขึ้นค่ะ ผิวเราจะอันเดอร์โทนชมพูนะคะ แพนด้าใต้ตานี่เป็นมาตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่ไม่รู้จักเครื่องสำอางซะด้วยซ้ำ ยิ่งผิวหน้าขาวขึ้นก็ยิ่งเห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดเจนเอามากๆ(ผิวขาวขึ้น แต่แพนด้าไม่จางลงเลยค่ะ) ไม่แค่ดำอย่างเดียว แต่ออกม่วงๆด้วยค่ะ แล้วจะคล้ำเป็นวงกลมรอบดวงตาเลยเหมือนหมีแพนด้าจริงๆ

นอกจากนั้นผิวใต้ตาเราจะแห้งมากๆเลยค่ะ แห้งรุนแรงยิ่งกว่าผิวหน้ายิ่งวันไหนนอนน้อยด้วยยิ่งแห้งหนักถึงขนาดว่าเครื่องสำอางไม่ยอมติดผิวเลยค่ะ แถมมีริ้วรอยลึกที่ใต้ตาแล้วด้วย T_T ในทางกลับกันกับใต้ตาเปลือกตาเราจะมันมากๆค่ะ ทาอะไรที่เปลือกตาก็จะ crease ประจำเลย

** ประสบการณ์การใช้ **

เพิ่งเริ่มแต่งหน้าหลังจบปริญญาตรีนะคะ จนบัดนี้ก็เกือบสี่ปีได้แล้วมั้ง คอนซีลเลอร์เป็นตัวแรกๆที่เราลองเลยค่ะ เพราะจะหาวิธีแก้ตาคล้ำๆของตัวเอง ตอนแรกมีลองใช้รองพื้นกลบแพนด้าตามที่พี่ช่างแต่งหน้ารับปริญญาแนะนำ แต่ด้วยความเป็นมือใหม่ด้วยก็เลยไม่เวิร์ค หลังจากนั้นก็หันมาลองคอนซีลเลอร์เต็มตัวจนถึงบัดนี้เลยค่ะ เป็นเครื่องสำอางที่ขาดแล้วเราจะไม่มั่นใจเอามากๆเลย เพราะแพนด้าเราเยอะมากทำให้หน้าดูโทรมสุดๆไปเลย ก็ขนาดกลบแล้วยังไม่ค่อยมิดเลยค่ะถ้าไม่กลบจะขนาดไหน

ใช้คอนซีลเลอร์มาหลายปีแล้ว บางทีก็เคยกลับมานึกๆว่า เอ แต่ก่อนเราไม่ได้ใช้ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช้ทำไมรู้สึกตาดำมากๆ เอ๊ะ หรือว่าเพราะเราแต่งหน้ามากไปมันเลยยิ่งดำขึ้นๆหรือเปล่า ว่าแล้วก็ไปคุ้ยอัลบั้มรูปเก่าๆสมัยยังละอ่อนยังไม่แต่งหน้ามาดูค่ะ ดูแล้วเข้าใจสัจธรรมทันที ตาเรามันดำปี๋มาตั้งแต่สมัยโน้นแล้วล่ะค่ะ ไม่ได้ดำน้อยกว่าปัจจุบันเลย ดังนั้นชีวิตนี้ก็คงต้องอยู่กับคอนซีลเลอร์ไปเรื่อยๆค่ะ ปลงแล้วว่าไม่มีครีมอะไรช่วยแพนด้าได้จริง อย่างน้อยขอให้อย่ามีริ้วรอยมาเพิ่มก็ยังดีค่ะ

** คะแนนความชอบ(ส่วนตัว) **

คะแนนเราให้เป็น 0 - 5 นะคะ
0-2 : ไม่ชอบ ไม่คิดจะซื้อใช้อีกแน่นอน
3 : ปานกลาง ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีจนถึงขนาดประทับใจ จนอยากใช้ต่อ
4 : ค่อนไปทางชอบ และให้ผลที่ดีใช้ได้ คงจะซื้อต่อถ้าตอนนั้นไม่มีตัวอื่นๆที่ชอบมากกว่า
มากกว่า 4: ชอบมาก(อย่างน้อยก็ ณ ตอนนี้ที่เขียนรีวิว) น่าจะซื้อต่อแน่ถ้าในอนาคตไม่มีตัวดีกว่าเข้ามา

ปล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ ผิวแต่ละคนถูกกับของไม่เหมือนกัน ใน ที่นี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวของเราเท่านั้นค่ะ ไม่ได้มีข้อมูลวิชาการอ้างอิงใดๆทั้งสิ้น (เพราะเป็นคนไม่ชอบวิชาเคมีเท่าไหร่ ชอบทางฟิสิกส์กับคอมพิวเตอร์มากกว่า)


จะอธิบายทีละตัวก่อนนะคะ แล้วตอนสุดท้ายจะสรุปทริกการใช้คอนซีลเลอร์กลบแพนด้าเฉพาะตัวที่เราใช้อยู่ ณ ปัจจุบันอีกทีค่ะ


1. MAC SELECTED MOISTURE COVER (NW20 & NW25)



ตัวนี้เป็นคอนซีลเลอร์ใต้ตาตัวแรกของเราเลยค่ะ ตอนเข้าpantipใหม่ๆยังเป็นห้องย่อยความงามในสวนลุมอยู่เลย ตอนนั้นคนรีวิวที่ดังมากๆก็คือ คุณลิลลี่ น่ะค่ะ มีมหากาพย์รีวิวหลายภาคอลังการมากๆ ก่อนเราจะซื้ออะไรจะต้องไปอ่านรีวิวคุณลิลลี่ก่อนทุกครั้ง คุณลิลลี่จะใช้ MAC กับ Bobbi brown เยอะดังนั้นเครื่องสำอางช่วงแรกๆของเราก็จะอยู่สองยี่ห้อนี้ล่ะค่ะ

MAC concealer ตัวนี้ทำมาสำหรับแพนด้าใต้ตาโดยเฉพาะค่ะ เน้นให้ความชุ่มชื้นตามชื่อเลย จะแบ่งเป็น NC โทนสีเหลือง และ NW โทนสีชมพูค่ะ ซึ่งจากที่คุณลิลลี่อธิบาย(และหลังๆมาก็จะได้ยินคำอธิบายประมาณเดียวกันบ่อยๆค่ะ) การจะปิดแพนด้าให้ได้เนียนควรใช้คอนซีลเลอร์โทนชมพูหรือโทนสีแซลมอนมากกว่าโทนเหลืองค่ะ ซึ่งหลังจากใช้คอนซีลเลอร์มานานเราก็คิดว่าน่าจะเพราะรอยคล้ำใต้ตามักออกน้ำตาล หรือไม่ก็ม่วงๆซะมาก ซึ่งเฉดสีใกล้กับสีชมพูมากกว่าเฉดเหลือง (ความเห็นส่วนตัวนะคะ)

คอนซีลเลอร์ตัวนี้ มีหัวแปรงมาให้ค่ะ สามารถจุ่มคอนซีลเลอร์และเอาไปแตะๆใต้ตาก่อนใช้นิ้วเกลี่ยได้เลย ตอนเมื่อสี่ปีก่อนใช้ตัวนี้หนแรก(NW 25)เราก็ใช้นิ้วนี่ล่ะค่ะแปะๆเกลี่ยๆ ก็โอเคปิดได้ระดับนึง เนื้อคอนซีลเลอร์ก็ชุ่มชื้นจริงๆล่ะค่ะ ปัญหาก็คือว่าพอเนื้อมันชุ่มชื้น มันก็เลยจะเกาะผิวไม่ค่อยดีค่ะ ยิ่งอากาศร้อนๆแบบที่ไทยด้วยแล้ว เวลาผ่านไปไม่นานรู้สึกคอนซีลเลอร์ที่ทามันเลือนหายไปบางส่วนค่ะ ถ้าจะใช้ตัวนี้เดี่ยวๆและให้เนียนทั้งวันคงต้องคอยแตะเพิ่มอยู่เป็นระยะๆค่ะ

หลังจากหมดหลอดแรกก็นอกใจไปลองตัวอื่นๆอีกหลายตัวค่ะ แต่เพิ่งเมื่อสองเดือนก่อนนี้เองที่ไปซื้อหลอดใหม่ที่ญี่ปุ่น (NW 20) ตอนนี้ก็จะเป็นตัวที่ใช้ประจำ ใช้คู่กันกับ RMK (รีวิวเบอร์ 4) และแปรง MUF (รีวิวเบอร์ 10) ค่ะ

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4 / 5

ซื้อต่อไหม : ถ้าเทียบในหมู่คอนซีลเลอร์แบบน้ำด้วยกัน ตอนนี้ก็ชอบตัวนี้ที่สุดล่ะค่ะเพราะชุ่มชื้นกว่าเพื่อนและมีเฉดสีเยอะ และเฉดสีแซลมอนก็ดูเนียนกว่าสำหรับแพนด้าด้วย ส่วนเรื่องไม่ค่อยติดผิว(แห้ง)นี่เราไปแก้ด้วยการใช้ร่วมกับคอนซีลเลอร์แบบแว็กซ์ค่ะ


2. YSL TOUCHE ECLAT RADIANT TOUCH



ตัวนี้ก็เป็นอีกตัวค่ะที่ได้แรงบันดาลใจจากรีวิวของคุณลิลลี่ ตอนนั้นดังระเบิดเลยในห้องโภชเก่า รีวิวใน MUA ก็ดี ตัวนี้จะดังในแง่ที่ว่าใช้เยอะแค่ไหนก็ไม่ตกร่อง ไม่เน้นร่องใต้ตา หรือดูหนาเหมือนคอนซีลเลอร์อื่นๆค่ะ ซึ่งจากที่ได้ลองก็จริงอยู่ส่วนนึง เพราะตัวนี้มันไม่ใช่คอนซีลเลอร์น่ะค่ะมันเป็นไฮไลท์มากกว่า ช่วยกระจายแสงก็เลยช่วยเรื่องแพนด้าได้บ้าง

ตัวนี้ได้มาวันแรก(แท่งแรกเมื่อเกือบสี่ปีก่อน)เราลองทันทีค่ะ ลงเยอะมากด้วยเพื่อพิสูจน์คำร่ำลือ ซึ่งเนื้อเป็นน้ำๆก็ลงง่ายค่ะ เอานิ้วตบๆให้กระจายๆทั่วๆ ขนาดลงไปเยอะมันก็ยังไม่ค่อยดูหนาจริงๆล่ะค่ะ มีตกไปในร่องลึกบ้างแต่เทียบกับคอนซีลเลอร์อื่นแล้วก็ถือว่าตกร่องน้อยมากล่ะค่ะ แล้วนอกจากใช้ใต้ตาแล้วก็เอาไปขีดๆตามจุดไฮไลท์ต่างๆ หรือริ้วรอยบนใบหน้าได้ด้วยค่ะ

ข้อเสียของตัวนี้ ข้อแรกคือ มันจะช่วยกลบแพนด้าได้เฉพาะคนที่เป็นน้อยๆ เป็นนิดๆหน่อยๆพอน่ารักเท่านั้นค่ะ ถ้าคนแพนด้าตัวเต็มวัยอย่างเราใช้อันนี้ตัวเดียวไม่ช่วยให้ตาหายคล้ำแต่อย่างใดค่ะ ยังไงก็ต้องใช้คอนซีลเลอร์อื่นร่วมด้วยอยู่ดี สมัยโน้นเราจะลงคอนปกติของเราก่อน แล้วค่อยเอาเจ้าแท่งนี้มาแปะๆตบท้ายอีกที รู้สึกว่าเป็นการแตะย้ำให้คอนที่ลงก่อนที่ crease ลงในรอยใต้ตาหาย crease และกระจายแสงขั้นสุดท้ายน่ะค่ะ แต่มาตอนนี้หรือคะ ขี้เกียจแล้วเลยเลิกทำค่ะ เพราะเราลงอะไรใต้ตาไปหลายชั้นแล้ว (อ่านได้ในสรุปตอนท้ายนะคะ) ขี้เกียจลงเพิ่มอีกชั้นค่ะ

ข้อเสียอีกอย่างคือ ตัวนี้หมดอายุเร็วค่ะ ที่บอกๆกันคือ 6 เดือนปุ๊บต้องทิ้งค่ะ (แต่เราเองก็แอบใช้เกินเวลาอยู่เหมือนกัน) อีกอย่างคือ การที่มันเป็นน้ำๆแล้วมีฝาครอบนี่ล่ะค่ะ ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนเรามั๊ย ทั้งๆที่หลังใช้ก็เอาทิชชู่รูดตรงขนแปรงเอาไอ้ที่เหลือค้างแปรงอยู่ออกแล้วก่อนจะปิดฝา แต่วันดีคืนดีมันดันมีราเขียวๆขึ้นที่ขนแปรงเลยล่ะค่ะ แล้วนั่นก็คือจุดจบของ touche eclat แท่งแรกของเราค่ะ เว้นไปนานมากจนเมื่อตุลาปีก่อน ไปฝรั่งเศสต่อมช้อปปิ้งแตกกระจายเลยระลึกความหลังซื้อมาอีกแท่งค่ะ ตอนนี้จะใช้เป็นไฮไลท์ซะมากค่ะ ไม่ใช้เป็นคอนซีลเลอร์เท่าไหร่

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 3 / 5

ซื้อต่อไหม : ถ้าหมดแท่งปัจจบันคิดว่าคงไม่ซื้อไปสักระยะค่ะ สำหรับเรามันไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ ถ้าจะซื้อก็คงตอนต่อมช้อปปิ้งระเบิดนั่นล่ะค่ะ


3. BOBBI BROWN CREAMY CONCEALER KIT & CORRECTOR


เครดิตภาพจาก //www.bobbibrowncosmetics.com ค่ะ

ตัวนี้แรงบันดาลใจก็ไม่ได้มาจากไหนไกลค่ะ จากคุณลิลลี่อีกเช่นเดิม อ่านรีวิวคุณลิลลี่มากจนชื่อ Bobbi Brown ซึมลงสมองไปเลย ก็เลยไปลองคอนซีลเลอร์ยี่ห้อนี้ที่เคาเตอร์บ้าง แล้วคอนซีลเลอร์ยี่ห้อนี้เองตอนนั้นคนก็พูดถึงกันไม่น้อยด้วย

ทีแรก BA แนะนำแค่คอนซีลเลอร์(โทนสีเหลือง)อย่างเดียว แต่พอเช็ดคอนซีลเลอร์ที่ทามาออกแล้วเห็นสภาพที่แท้จริงแล้ว BA รีบแนะนำ corrector สีโทนชมพูมาให้เพิ่มในบัดดลค่ะ สมัยนั้นยังใหม่และขี้เกรงใจด้วย ก็เลยลองที่เคาเตอร์เสร็จก็ส่องกระจกหันซ้ายขวาที่เคาเตอร์นั่นล่ะค่ะ หันมองไปสองสามที แล้วก็ซื้อมาเลยค่ะไม่มีไปเดินคิดต่อให้เสียเวลา

พอกลับบ้านมาใช้เองแล้วนี่ กลายเป็นความทรงจำไม่รู้ลืมเลยค่ะ เนื้อคอนซีลเลอร์จะเป็นครีมๆสมชื่อเลยค่ะ จะข้นกว่าสองตัวด้านบนอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังชุ่มชื้นนะคะไม่ได้ข้นแล้วแห้งๆฝืดๆ ส่วนตัว corrector นี่จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะว่าเนื้อประมาณไหน มีโอกาสอยู่กับเจ้าสองตัวนี้แค่เดือนเดียวเท่านั้นล่ะค่ะ เวลาใช้จะลง corrector สีโทนแซลมอนก่อน แล้วค่อยลงคอนซีลเลอร์โทนเหลืองทับ แล้วปัดด้วยแป้งโทนสีเหลืองๆที่ติดมาในตลับคอนซีลเลอร์ค่ะ (มีพัฟเล็กๆมาให้ด้วยมั้งคะ ถ้าจำไม่ผิด)

ผลจากการลองใช้ด้วยตัวเองไม่พึ่ง BA นะคะ ตอนแต่งหน้าเสร็จใหม่ๆนี่ใต้ตาเนียนไม่มีที่ติค่ะ ปัดแป้งอะไรทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นั่งรถของที่บ้าน(รถมีแอร์นะคะ)ออกไป ใช้เวลาไม่ทันถึงชั่วโมงค่ะก่อนลงจากรถส่องกระจกอีกที เฮ้ย ทำไมใต้ตาเรามันกลายเป็นคราบๆแถมตกร่องจนตาดูเหี่ยวน่าเกลียดได้ขนาดนี้ ไอ้ที่เนียนๆตอนแต่งเสร็จหายไปไหนหมด มันดูแย่ขนาดที่ว่าเรารู้สึกว่ายอมโชว์แพนด้ายังดูดีกว่าซะอีกค่ะ พอลงรถได้รีบเดินก้มหน้างุดๆไปหาเคาเตอร์เครื่องสำอางใกล้ที่สุด ขอ remover มาเช็ดออกทันทีค่ะ

แต่เราก็ยังให้โอกาสนะคะ ลองใหม่อีกสามสี่ครั้ง ตอนแต่งก็ระวังที่สุดแล้ว ตอนนั่งในรถ(แอร์ตลอด)ก็พยายามไม่ไปแตะไปจับอะไรมันเดี๋ยวจะเลอะ แต่สุดท้ายลงรถไป(ที่ไทยนะคะ)เข้าห้องน้ำเช็คดูก็ยังคราบน่าเกลียดเหมือนเดิมค่ะ ของยังใหม่เอี่ยมๆก็เลยตัดสินใจขายต่อไปทันทีเลย

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 1 / 5

ซื้อต่อไหม : จากประสบการณ์มิรู้ลืมนี่คิดว่าคงไม่กล้าซื้อมาลองอีกค่ะ แต่อีกใจนึงก็คันๆอยู่เป็นระยะ อยากจะลองดูอีกสักตั้ง เพราะคิดว่าตอนนี้ตัวเองก็เก่งขึ้นมากแล้วนะ ไม่แน่ลองอีกทีตอนนี้อาจดีแล้วก็ได้ ลึกๆก็ยังข้องใจอยากรู้น่ะค่ะว่าตอนนั้นเราทำอะไรผิดไปหรือเปล่าหนอ เพราะตามทฤษฏีแล้วแบบครีมมี่ชุ่มๆน่าจะเหมาะกับใต้ตาแห้งๆอย่างเรานะ ชุ่มๆอาจติดผิวไม่ดี แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นคราบอะไรกันเร็วขนาดนั้น


4. RMK SUPER BASIC CONCEALER (01R: LIGHT BEIGE & 02R)



คอนซีลเลอร์ตัวนี้ซื้อตามพี่ Jeban สมัยยังทำรีวิวอยู่ใน pantip นี่เลยค่ะ จะว่าชอบก็ชอบ จะว่าเฉยก็เฉยค่ะ แต่ก็เป็นคอนซีลเลอร์ที่เราใช้หมดแล้วซื้อต่อเยอะที่สุดแล้วล่ะค่ะ (หมดไปแล้วสองอัน) ปัจจุบันใช้อยู่อีกสองอันค่ะ หลายๆคนก็บอกว่านี่แหล่ะคอนซีลเลอร์เทพ แต่สำหรับเรามันยังตอบโจทย์เราได้ไม่ครบเท่าไหร่ค่ะ (ดันเป็นพวกมีปัญหาเยอะเอง)

ตามรูปเลยนะคะเรามีสีอ่อน 01R ไว้ใช้ตอนแต่งหน้าตอนเช้าค่ะ ส่วนสี 02 อีกอันจะใส่เป็นตลับไว้เติมระหว่างวันค่ะ แต่ก่อนใช้สีอ่อนสีเดียว แล้วก็พกสีอ่อนนั่นล่ะค่ะติดตัวไปด้วย วันนึงไปเที่ยวถ่ายรูปกันเยอะแยะ แล้วตอนกลางวันก็แวะเติมๆเครื่องสำอางรวมถึงคอนซีลเลอร์บ้าง มาดูรูปถ่ายที่ออกมาแล้วนี่ หลังจากกลางวันมากลายเป็นว่าเรากลายเป็น inverse panda เลยค่ะ รอบตาที่เราลงคอนซ้ำไปเมื่อกลางวันนี่ดูขาวสะท้อนแสงแฟลชเด่นขึ้นมาเลย ซึ่งมันไม่กลืนกับสีผิวส่วนอื่นเลย ดูตลกไปเลยค่ะ

เนื้อตัวนี้จะเป็นแว็กซ์แข็งๆนะคะ หลายคนอาจใช้แปรงทา แต่เราถนัดใช้นิ้วกับแบบนี้ค่ะ เอานิ้วนางนั่นล่ะกดๆลงไปบนคอนซีลเลอร์ เอานิ้วไปแปะๆที่หลังมือหน่อยเพื่อไม่ให้คอนหนาไป ก่อนจะเอาไปแปะเบาๆที่แพนด้าใต้ตาค่ะ ข้อดีของตัวนี้ ก็ตรงที่มันเป็นเนื้อแว็กซ์แข็งๆนี่ล่ะค่ะ เนื้อไม่ชุ่มมากก็เลยจะติดผิวได้ดีเลยค่ะ ไม่ค่อยหลุดอะไรเท่าไหร่เทียบกับแบบน้ำ คนแพนด้าเยอะๆอย่างเราถ้าไม่ลงคอนเยอะๆหนาๆก็จะปิดไม่สนิทค่ะ แต่คอนตัวนี้ถึงจะลงแบบน้อยหน่อยปิดความคล้ำได้ไม่สนิทเนี้ยบ แต่ถ้ามองกันจากระยะห่างปกติหรือถ่ายรูปออกมาก็ยังดูธรรมชาติค่ะ (แต่พอใช้คอนมานานๆ บางทีมันก็ติดน่ะค่ะว่าจะลงเยอะกะให้มันหายคล้ำสนิทไปเลย กลายเป็นนิสัยเสียไปเลยค่ะ)

ข้อเสียของตัวนี้ ก็เพราะมันเป็นเนื้อแว็กซ์แข็งๆเช่นกันค่ะ เนื้อมันจะค่อนข้างแห้ง ยิ่งถ้าใครผิวใต้ตาแห้งมาใช้ล่ะก็คงไม่ค่อยโปรดค่ะ แล้วแบบแห้งๆนี่ถ้าลงเยอะไปมันก็จะไปเน้นพวกริ้วรอยร่องต่างๆอีกด้วย (ซึ่งเราก็ดันโชคดีมีครบเลยค่ะ ทั้งคล้ำทั้งริ้วรอย) ตอนโน้นเค้าก็จะแนะนำกันให้ปาดเอาคอนตัวนี้ขึ้นมาคนๆกับพวก เบสน้ำ หรือ RMK control color พวกนี้ให้มันชุ่มชื้นขึ้นค่ะ แต่ก่อนเราก็ทำตามนั้นล่ะค่ะ แต่หลังๆมาถ้าจะคนเราจะคนกับพวกคอนซีลเลอร์แบบน้ำตัวอื่นมากกว่าค่ะ เพราะสำหรับเราที่แพนด้าเยอะ เราต้องการการปกปิดสูงสุดค่ะ เลยเลือกคนกับพวกคอนซีลเลอร์ด้วยกัน

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 4 / 5

ซื้อต่อไหม : ณ ตอนนี้เราก็จำเป็นต้องมีคอนซีลเลอร์แบบแว็กซ์ไว้ตลับนึงล่ะค่ะ (อ่านได้ในสรุป) ยังไม่เจอตัวอื่นที่ดีกว่านี้ก็คงใช้ต่อๆไปเรื่อยๆค่ะ แต่ถ้าใครไม่ได้มีปัญหาใต้ตาเยอะแยะมากมายเหมือนเรา คิดว่าตัวนี้ตัวเดียวก็คงโอเคแล้วค่ะ (ฟังจากคำรีวิวของหลายๆคนที่การันตีคอนตัวนี้มาเยอะน่ะค่ะ)


5. BECCA COMPACT CONCEALER (TAHINI)



ไม่รู้จะมีใครจำคอนซีลเลอร์ตัวนี้ได้ไหม ดังอยู่ช่วงนึงสมัยเป็นห้องโภช แล้วก็ดังในเว็บต้องห้ามสีชมพู๊ชมพูด้วย ตอนนั้นดังว่าปราบแพนด้าได้ดีสุดๆ มีเฉดสีเยอะมากกกกขนาดที่ว่าทุกสีผิวสามารถหาคอนซีลเลอร์ยี่ห้อนี้ที่สีตรงเป๊ะกับตัวได้หมดทุกคน
ติดก็ตรงว่ายี่ห้อนี้ไม่มีขาย ไม่มีเคาเตอร์ในไทยลองสีไม่ได้ ก็เลยไม่ได้ลองมาจนเค้าเลิกพูดถึงกันไปเป็นปีๆแล้ว มาวันนึงเล่น Yahoo Auction (Japan) อยู่ก็ดันไปเซิร์ชเจอคนขายมือสองตัวนี้ประมาณ 2000 yen เองก็เลยจัดการซื้อมาลองในที่สุด

ตัวนี้จะเป็นคอนซีลเลอร์แบบแว็กซ์มีสองช่องค่ะ ช่องนึงสำหรับ Medium coverage และอีกช่องเป็น High coverage ฝั่ง medium จะชุ่มชื้นกว่าแนะนำให้ใช้กับใต้ตา ส่วนฝั่ง high จะค่อนข้างแห้งแนะนำให้ใช้กับพวกปกปิดรอยอื่นๆบนใบหน้ามากกว่าจะได้ติดผิวดีๆ จากการลองใช้ทั้งใช้นิ้วและใช้แปรงแล้วเราไม่ค่อยโปรดเป็นพิเศษค่ะ บอกไม่ถูกเนื้อมันจะดูหนาๆกว่า RMK อีกน่ะค่ะถ้าลงเยอะแล้วจะเน้นริ้วรอยเอามากๆ แล้วดูใต้ตาดูหนักๆยังไงไม่รู้ค่ะ

ถ้าจะใช้ตัวนี้น่าจะทาให้บางหน่อยค่ะ ก็เป็นไปได้ว่าสีที่เราซื้อมามันยังไม่พอดีเป๊ะกับเราเลยปิดไม่มิด ไม่ธรรมชาติ แต่ถ้าเทียบกันแล้วเราก็คงเลือก RMK มากกว่าค่ะ ดูธรรมชาติกว่า ทีสำคัญหาซื้อง่ายกว่าอีกด้วย

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 2 / 5

ซื้อต่อไหม : คิดว่าคงไม่ซื้ออีกล่ะค่ะ ขอใช้ RMK ดีกว่า


6. LUNASOL UNDER EYE BASE N (01)


เครดิตภาพนี้จาก //www.kanebo-cosmetics.jp/lunasol/product/basemake/option.html

ตัวนี้ซื้อตอนที่กระแส Lunasol cream foundation ดังมากๆที่ห้องแป้งนี้ล่ะค่ะ ตอนนั้นหน้าหนาวพอดีใช้แต่ RMK เลยแห้งไปหน่อยก็ไปได้ตัวนี้มาพอดี มีแค่สองสี 00 กับ 01 (มั้ง) ตัว 00 สีขาวเว่อร์มากๆน่าจะใช้เป็นไฮไลท์เท่านั้นก็เลยได้สีนี้มาค่ะ เนื้อคอนจะว่าไปก็ออกส้มๆแซลมอนอยู่เหมือนกันนะคะ

เนื้อจะเป็นน้ำๆมี applicator เป็นหัวแปรงให้จุ่มคอนแล้วเอามาแตะๆใต้ตาได้เลยค่ะ ตามประสาคอนน้ำก็มักเกลี่ยง่ายค่ะเพราะมันน้ำๆลื่นๆ แล้วก็ตามประสาคอนน้ำอีกเช่นกันที่จะติดผิวไม่ทนเท่าแบบแว็กซ์ และก็ปกปิดได้ไม่เท่าแบบแว็กซ์ค่ะ สำหรับเราคอนตัวนี้ก็โอเคค่ะไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ แต่ถ้ามีให้ใช้ก็ใช้ได้ค่ะเท่าที่ลองมา พวกคอนแบบน้ำนี่นอกจากสีที่ต่างกันแล้วอย่างอื่นไม่ค่อยรู้สึกต่างกันอย่างมีนัยยสำคัญเท่าไหร่ค่ะ

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 3 / 5

ซื้อต่อไหม : ยังไม่มีแพลนว่าจะซื้อใหม่อีกหลอดนะคะ เพราะก็ไม่ได้ประทับใจเป็นพิเศษอะไร และตอนนี้ยังพอใจกับ MAC อยู่ อีกอย่างทาง Lunasol เองก็สีน้อยกว่าด้วยค่ะ


7. SHU UEMURA PRO CONCEALER (5YR MEDIUM)



อ่านมาหลายความเห็นว่าคอนของลุงชูตัวนี้ล่ะ ที่ปราบได้ทุกรอย ปิดได้สนิทเนี้ยบ มีโอกาสได้ลองก็ลองมั่งสิคะ จากตอนก่อนมาถึงเคาเตอร์ คอนใต้ตาที่ทามากำลังเละๆได้ที่ เจอ BA ญี่ปุ่นจัดการให้ใหม่งี้เนียนกริ๊บเชียวค่ะ (ดูจากแสงไฟเคาเตอร์) ทริกที่ได้รับการสอนมาก็ไม่มากไม่มาย ให้ใช้นิ้วแตะจากตลับ แล้วเอามาแปะๆส่วนเกินออกที่หลังมือ ก่อนเอามาแปะใต้ตา โดยแปะเริ่มจากหัวตาก่อน แล้วแปะออกไปทางด้านหางตา แล้วก็ทำซ้ำๆตามทิศทางนี้ สุดท้ายก็อาจใช้ฟองน้ำซับๆเบาๆให้แนบเนียนสนิทยิ่งขึ้น

เนื้อเป็นแบบแว็กซ์เหมือน RMK เลยค่ะ เราเลยใช้นิ้วแตะๆมาแปะใต้ตาโลดตามที่ได้รับการสอนมา เรื่องพลังการปกปิดนี่ไม่เป็นที่กังขาค่ะ ปกปิดได้ดีสมคำร่ำลือจริงๆ(ดีกว่า RMK) แต่อย่างว่าเราแพนด้ามาก ต่อให้ตัวนี้เทพแค่ไหนถ้าลงบางๆมันก็ยังไม่สามารถจัดการแพนด้าเราได้อยู่หมัดอยู่ดี แต่พอจะลงเยอะขึ้นปุ๊บนี่กลายเป็นว่าใต้ตาดูชราภาพขึ้นเยอะเลยค่ะ พวกแว็กซ์ก็มักหนาอยู่แล้วมาเจอตัวนี้ก็เป็นไปตามทฤษฎีค่ะ หนาและเน้นริ้วรอยใต้ตาเราสุดๆ (ถ้าใครแพนด้าแต่ผิวใต้ตาเรียบไม่มีริ้วรอยเนี่ย เราว่าพวกคอนแบบแว็กซ์ที่ปกปิดดีๆน่าจะเหมาะมาก)

เรื่องนึงที่ทำให้เราไม่ค่อยชอบตัวนี้เลยก็ตรงที่ว่ามันแข็งเกินไปค่ะ แข็งยิ่งกว่า RMK ซะอีกตอนช่วงหน้าหนาวญี่ปุ่นนี่เราแตะยังไงก็ไม่ได้คอนซีลเลอร์ติดนิ้วขึ้นมาเลยค่ะ ขนาดต้องเอาไดร์เป่าผมมาเป่าๆลมร้อนใส่ซะหน่อยถึงจะแตะคอนติดนิ้วขึ้นมาได้ค่ะ (จริงๆ RMK ก็เป็นค่ะแต่ SHU เป็นหนักยิ่งกว่า) แล้วเรารู้สึกว่ามันทำให้ใต้ตาดูหนาๆกว่า RMK ด้วยล่ะค่ะเลยยังไม่ยกตำแหน่งให้แทนที่ RMK

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 2 / 5

ซื้อต่อไหม : คงไม่ล่ะค่ะ ยังคิดหาวิธีจัดการกับตลับปัจจุบันไม่ได้เลย เหลืออีกเพียบ


8. SHU UEMURA MARK CONCEALER (7YR MEDIUM LIGHT)



หลังจาก Lunasol under eye base N หมดเราก็มองหาคอนน้ำตัวต่อไปเลยค่ะ อยากเปลี่ยนมั่งก็เลยมาลงที่ตัวนี้เอง ตอนนั้นยังคิดว่าคอนน้ำแต่ละอันไม่ค่อยต่างกันค่ะ ยี่ห้อไหนๆก็ได้

เช่นเดิมอันนี้ก็มีหัวแปรงให้จุ่มคอนนะคะ สีที่ BA ญี่ปุ่นเลือกให้เราจะเป็นอันเดอร์โทนเหลืองค่ะ ก็เกลี่ยง่ายๆ ติดผิวบ้างหลุดบ้างตามประสาคอนแบบน้ำค่ะ ก็ใช้มาเรื่อยๆไม่ได้คิดอะไร จนวันนึงเริ่มสังเกตว่าคอนน้ำตัวนี้มันดูจะแห้งกว่าตัวอื่นที่เคยใช้มานะเนี่ย เพราะอย่างที่ว่าเราผิวแห้งค่ะเลยจะสะกิดกับเรื่องความแห้งของผลิตภัณฑ์ได้ง่าย

จุดประสงค์เราที่ใช้คอนน้ำเพราะเราต้องการความชุ่มชื้นค่ะ ก็เลยนึกหวนกลับไปถึง MAC selected moisture cover ที่เคยใช้เมื่อก่อนแล้วก็ไปซื้อหลอดใหม่มาอย่างที่บอกไปตอนต้นนี่ล่ะค่ะ คราวนี้เลยได้เปรียบเทียบสองตัวตรงๆเลยค่ะ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดค่ะ MAC ชุ่มชื้นกว่าจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน SHU ก็จะติดผิวดีกว่า MAC (ความแห้ง กับ การติดผิวดีนี่ มักเป็นอะไรที่มาคู่กันเสมอเลย) อีกอย่างคือ พอได้เปลี่ยนกันจะๆเราก็รู้สึกได้เลยน่ะค่ะว่าคอนสีแซลมอนนี่มันปิดแพนด้าได้ธรรมชาติกว่าคอนสีเหลืองจริงๆล่ะค่ะ

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 3 / 5

ซื้อต่อไหม : ถ้าแท่งนี้หมดแล้วคงไม่ซื้อใหม่ล่ะค่ะ ถ้าจะใช้ใต้ตาอยากให้ชุ่มชื้นกว่านี้หน่อย เวลาอยากให้แห้งขึ้นเราเอาไปคนกับ RMK เองได้ ส่วนใหญ่ตอนนี้ใช้ตัวนี้มาแตะๆรอยสิวบนหน้าเอาน่ะค่ะ ไม่แห้งเท่าคอนแบบแว็กซ์เลยไ่ม่ค่อยเน้นหน้าลอกหรือสะเก็ดอะไรเท่าไหร่


9. BOBBI BROWN CONCEALER BRUSH



หมดเรื่องคอนซีลเลอร์แล้วคราวนี้ขอต่อเรื่องแปรงคอนซีลเลอร์นะคะ แปรงอันแรกเลยก็ไม่ใช่ที่ไหนไกลจาก Bobbi Brown นี่ล่ะค่ะ ซื้อมาตั้งแต่ตอนเริ่มแต่งหน้าแรกๆเลย พยายามลองใช้ยังไงก็ไม่เห็นรู้สึกว่ามันดีกว่าการใช้นิ้วเกลี่ยตรงไหน แล้วแปรงนี้มันแคบๆเอามาแตะใต้ตานี่ต้องแตะกันหลายสเต็บ แล้วก็ต้องมาตามเก็บรอยต่อระหว่างสเต็ปกันอีกรอบ เหนื่อยไม่พอ เรารู้สึกว่าขนมันแข็งๆไปสำหรับทาใต้ตาด้วยล่ะค่ะ

ก็เลยขายทิ้งไปด้วยประการฉะนี้ แต่ตอนนั้นเจอกระแสคนถามถึงแปรงนี่กันเยอะอีก สุดท้ายก็ไปซื้ออันใหม่มาอีกอันค่ะ -"- คงไม่มีการขายอีกรอบแล้วล่ะค่ะ ถึงจะไม่เอามาใช้ใต้ตา แต่ถ้าเอาไปแตะพวกรอยดำหรือรอยสิวเล็กๆบนหน้าเราว่ากำลังดีเลยค่ะ

ประโยชน์อีกอย่างคือ เอาไว้ขูดๆคอน RMK ออกจากขอบตลับเวลามันใกล้หมดค่ะ ;)

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): ในแง่สำหรับใช้ใต้ตาเราให้แค่ 2 / 5 ค่ะ เราว่าเหมาะเอาไว้ใช้แตะๆสิวหรือจุดด่างดำบนหน้ามากกว่า

ซื้อต่อไหม : สำหรับแปรงนี้คงไม่ขายอีกหน และไม่ซื้ออีกรอบแน่ๆค่ะ


10. MAKE UP FOREVER PROFESSIONAL UNDER EYE CONCEALER BRUSH (6N)



แปรงนี้ล่ะค่ะที่เป็นจุดเปลี่ยนจุดนึงในการใช้คอนซีลเลอร์ของเราเลย จริงๆแปรงลักษณะนี้เคยเห็นมาตามเคาเตอร์ Cle de Peau ก่อนหน้านี้แล้วแต่ยังไม่ได้ลองกับตัว แค่รู้สึกว่าขนแปรงมันนุ่มกว่าแปรง BB ที่เรามีนะเนี่ย แล้วหัวแปรงก็กว้างกว่าด้วย (น่าจะกว้างกว่าเท่านึงได้)

ก่อนหน้าที่จะรู้จักแปรงนี้ เราจะมีปัญหาว่าวันไหนนอนน้อยผิวใต้ตาจะแห้งมากๆ จะคอนแบบไหนหรือรองพื้นแบบไหนมันก็จะไม่ติดผิวบริเวณใต้ตาเราเลยค่ะ เอานิ้วแตะเบาที่สุดแล้วคอนก็ยังอุตส่าห์หลุดติดนิ้วออกมา ยังกับมีวงกลมต้องห้ามอยู่รอบตา พยายามทายังไงก็แตะไม่ติดในวงกลม แต่พอข้ามเส้นมาปุ๊ปนี่ทาติดทันที เลยกลายเป็นว่ามาหนานอกวงเห็นเป็นเส้นแบ่งเลยค่ะ น่าเกลียดมากๆ ส่วนด้านในวงกลมน่ะเหรอคะ จะกระดำกระด่างมาก บางที่ก็ติดบางที่ก็ไม่ติด (แต่ไม่ติดมีมากกว่า) วันนั้นใต้ตาก็จะดูด่างๆน่าเกลียดไปเลยค่ะ ถึงจะทาแป้งแล้ว ใช้คอน touch up อีกทีแล้วยังไงก็ไม่ค่อยเนียนค่ะ

ช่วงนั้นกลับไทยได้เข้าเคาเตอร์ MUF ที่พารากอนค่ะ ตั้งใจไปซื้อรองพื้น แต่ก็เลยถือโอกาสขอให้ BA ลองคอนซีลเลอร์รอบตาให้ด้วยเลย ขาไปนี่วันนั้นใต้ตาอย่างเละค่ะ ตอนเช้าลงคอนกับมือ เลยรู้ดีเลยว่าวันนี้นี่ลงยังไง(ใช้นิ้วแตะๆคอนน้ำน่ะค่ะ)มันก็ไม่ติดผิว แต่พอมาเจอพี่ BA ลงคอนน้ำให้ด้วยแปรงตัวนี้ปุ๊บนี่ ออกมาเนียนกริบอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ

เราลองแตะๆตัวคอนซีลเลอร์ดูแล้วก็ไม่ได้ต่างกับที่เราใช้อยู่มาก เลยมั่นใจเลยว่าต้องเป็นที่แปรงค่ะ ลองถามพี่เค้าอีกทีด้วยพี่เค้าก็บอกเหมือนกัน เลยจัดการซื้อมาแบบไม่ต้องคิดรอบสองเลยค่ะ ตามที่พี่เค้าบอกนะคะ แปรงคอนใต้ตาควรจะกึ่งๆระหว่างขนสัตว์ และ ขนสังเคราะห์ค่ะ ถ้าขนสัตว์ล้วนจะทาอะไรน้ำๆให้ติดผิวไม่ค่อยดีเท่าขนสังเคราะห์ แต่ถ้าขนสังเคราะห์ล้วนก็จะแข็งไปสำหรับผิวใต้ตาค่ะ

จริงๆการใช้นิ้วกดๆคอนซีลเลอร์ก็ดีนะคะรู้สึกติดผิวดี แต่ถ้าบางวันที่เกิดเจ้าวงกลมต้องห้ามขึ้น หรือวันที่ต้องการงานเนี้ยบๆหน่อย เราว่าแปรงคอนซีลเลอร์ดีๆเป็นตัวช่วยที่สำคัญเลยค่ะ พื้นที่ทาใต้ตาจะกว้างกว่าเวลาจะกลบสิวเยอะ ขนาดของหัวแปรงไม่ควรจะเล็กเกินไปน่ะค่ะ อย่างประมาณตัวนี้เราว่ากำลังดีเลย เห็นหัวกว้างประมาณนี้แต่ขนแปรงไม่หนานะคะ เวลาใช้แปะๆคอนซีลเลอร์จะรู้สึกว่าขนแปรงมันแนบสนิทลงมาเลย

แต่ไม่ได้แปลว่าแปรงคอนซีลเลอร์ยี่ห้อนี้ดีที่สุดแล้วนะคะ เพียงแต่เราไม่เคยใช้ตัวอื่นที่หน้าตาประมาณนี้น่ะค่ะเลยเทียบไม่ถูก

คะแนนความชอบ(ส่วนตัว): 5 / 5 ตอนนี้เราขาดมันไม่ได้แล้วค่ะ อย่างน้อยมันก็ช่วยเซฟเราว่าคอนจะไม่กระดำกระด่างเหมือนแต่ก่อนขึ้นมาวันไหนอีกค่ะ

ซื้อต่อไหม : สำหรับแปรงนี้คงใช้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะพังแล้วต้องซื้อใหม่ค่ะ เมื่อนั้นอาจจะลองพิจารณายี่ห้ออื่นๆบ้าง(อยากลองเฉยๆค่ะไม่ใช่อะไร) แต่ถ้าไม่เวิร์คก็คงกลับมาที่ตัวนี้ค่ะ


สรุปทริกการใช้คอนซีลเลอร์กลบแพนด้า(ของเรา)

จากรีวิวจะเห็นว่าไม่ค่อยมีคอนซีลเลอร์ตัวไหนได้คะแนนเกิน 4 จากเราเท่าไหร่ค่ะ เพราะยังไม่มีตัวไหนที่เทพพอสำหรับเราชนิดที่ตอบโจทย์ได้ทุกอย่างในอันเดียว อย่างนึงก็คงเพราะปัญหารอบดวงตาเราเยอะด้วยล่ะค่ะ ทั้งคล้ำมาก ทั้งริ้วรอย ทั้งผิวแห้งอีก -"-

ณ ตอนนี้สำหรับเราจะต้องมีคอนซีลเลอร์แบบน้ำ แบบแว็กซ์ และแปรงแบบในรีวิวเบอร์ 10 ติดเป็นของประจำกรุไว้เสมอค่ะ

คอนซีลเลอร์แบบน้ำสีแซลมอน (ตอนนี้คือ MAC NW 20) มีไว้วันที่ต้องการกลบให้เนียนๆเนี้ยบๆเป็นพิเศษ วันไหนผิวไม่แห้งก็ใช้นิ้วกดๆเกลี่ยๆรู้สึกมันติดผิวดีขึ้น แต่ถ้าวันไหนผิวใต้ตาแห้งมากคอนแบบน้ำมันจะไม่ยอมติดผิวเราเลย วันนั้นก็จะต้องใช้แปรง (MUF 6N) ในการลงคอนซีลเลอร์แบบน้ำให้เนียนค่ะ

ขั้นตอนการลง ก็จะลงคอนน้ำตัวนี้หลังทากันแดดเลยค่ะ รอให้แห้งค่อยลงรองพื้นต่อ พยายามอย่าทารองพื้นปื้ดๆที่ใต้ตาแต่ใช้แตะๆให้ติดเอาแทน แล้วพอรองพื้นแห้งคราวนี้ก็เอานิ้วแตะๆ RMK สี 01R (โทนเหลือง) มาแปะๆทับอีกทีเป็นการกลบแพนด้าให้เนี้ยบและเซ็ตอะไรน้ำๆที่ลงไว้ใต้ตาให้ติดดีขึ้น(สำหรับเรา)ค่ะ

ส่วนคอนซีลเลอร์แบบน้ำสีโทนเหลือง จริงๆตอนนี้เราถือว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังมี SHU mark concealer เหลืออยู่ เราก็จะเลือกใช้คอนน้ำสีโทนนี้วันที่ผิวแห้งค่ะ (แต่อย่างที่รีวิวไว้ ตัวนี้จะแห้งกว่า MAC แต่ก็ไม่แห้งเท่าแบบแว็กซ์ค่ะ) จะใช้คอนนี้ตัวเดียวเลยใช้คู่กับแปรง MUF 6N ตัวเดิม ลงตั้งแต่หลังกันแดด ทิ้งให้แห้ง แล้วถ้าวันไหนใช้รองพื้น หลังลงรองพื้นก็เอาแปรงมาแตะๆคอนนี้ touch up อีกหน่อยก่อนลงแป้งค่ะ (ตอนลงรองพื้นพวกคอนน้ำ มันก็จะหลุดๆออกไปบ้างค่ะ หลังลงรองพื้นเลยแตะๆเพิ่มหน่อย)

คอนซีลเลอร์แบบแว็กซ์ RMK 01R ถ้าวันไหนผิวปกติไม่แห้งมาก และต้องการทำเวลาหน่อย ก็จะใช้ตัวนี้ค่ะเพราะเร็วดีไม่ต้องรอนานกว่าจะแห้ง ถ้าวันไหนยังพอมีเวลาก็จะลงคอนนี้สองรอบค่ะ ก่อนลงรองพื้นและหลังลงรองพื้นอีกที เพื่อกำจัดแพนด้าให้มากที่สุด (ถ้าลงทีเดียวหลังลงรองพื้น สำหรับคนแพนด้าเยอะอย่างเรา มันจะดูหนาไปน่ะค่ะ) แต่ถ้าวันไหนเวลาไม่ค่อยมีก็ลงรอบเดียวเลยหลังลงรองพื้น(ถ้าวันนั้นใช้รองพื้น) แบบแว็กซ์นี่เราจะใช้นิ้วแตะๆมาแปะๆใต้ตาเลยค่ะ อันนี้ไม่ค่อยชอบใช้แปรงเท่าไหร่ ติดผิวไม่ค่อยดีไงไม่รู้

คอนซีลเลอร์แบบแว็กซ์ RMK สีเข้ม ตลับนี้อย่างที่บอกเราติดตัวเสมอไว้ touch up ระหว่างวันค่ะ (ไม่ว่าเช้าวันนั้นจะใช้คอนแบบน้ำหรือแบบแว็กซ์มาก็ตาม) ก็เอานิ้วแตะๆแปะลงใต้ตาทั้งๆหน้ามีแป้งอย่างนั้นเลยล่ะค่ะ แล้วก็ปัดๆแป้งที่มาคู่กันบางๆทับให้มันหายเหนียว ตอนแต่งหน้าเสร็จใหม่ๆหน้าจะยังขาวเลยเข้ากับคอนสีอ่อนพอดี แต่ระหว่างวันสีหน้าจะดร็อปลง ถ้าเอาสีอ่อนมาลงเติมระหว่างวันจะทำให้รอบๆตาดูขาวเกินไปแปลกแยกจากสีผิวรอบๆ แทนที่จะดูสวยกลับดูตลกประหลาดไปเลยค่ะ

ทริกอีกอย่างที่เคยทำคือ ใช้แปรงป้ายเอาคอนซีลเลอร์น้ำและแว็กซ์มาผสมกันบนหลังมือก่อนใช้แปรงแตะๆลงใต้ตาค่ะ อันนี้ช่วยได้ทั้งเรื่องสีและเรื่องเนื้อด้วย จะได้สีที่พอดีและเนื้อไม่แห้งเกินไปหรือชุ่มเกินไปค่ะ จำได้ว่าทำแบบนี้บ่อยตอนที่ RMK ใกล้หมดเหลือติดขอบๆอยู่เอานิ้วแตะมาไม่ได้ ก็เอาแปรงขูดๆออกมาแล้วผสมกับแบบน้ำไปซะเลยทีเดียวค่ะ ก็ช่วยประหยัดเวลาได้นะคะลงทีเดียวจะว่าเนียนก็เนียนค่ะแล้วแต่ว่าวันไหนผสมได้ลงตัว แต่ถ้ามีเวลาและอยากเนี้ยบจริงๆเราก็ยังเลือกจะลงทีละชั้นอยู่ดีค่ะ

นอกจากนี้ตัวรองพื้นก็มีส่วนในการช่วยกลบแพนด้านะคะ ถ้ารองพื้นตัวไหนที่เม็ดสีแน่นๆก็ช่วยปิดแพนด้าได้ไม่เบาค่ะ (สำหรับเราก็คือ ลงคอนน้อยลง แต่ก็ยังต้องลงค่ะ) รองพื้นที่เคยใช้มาและเราเห็นผลว่ามันช่วยลดแพนด้าได้ชัดก็มี SHU UEMURA face architect (cream) และ Cle de Peau Beaute ค่ะ

ตัว SHU เคยรีวิวไว้แล้วว่ามันหนามากจริงๆ ใช้แทนคอนไปเลยก็ยังได้ ส่วน CDP นั้นเราใช้แต่แบบลิควิด แต่เม็ดสีมันก็แน่นพอที่จะทำให้เราเห็นความแตกต่างได้ค่ะ ว่าวันไหนใช้รองพื้นนี้ใต้ตาดูเนียนกว่าวันใช้รองพื้นอื่นๆค่ะ

------------------------------------------------------

ขอจบการรีวิวครั้งนี้แต่เพียงเท่านี้นะคะ ถ้าใครไม่ได้แพนด้ามากมายอย่างเราก็คงไม่จำเป็นต้องมีทริกอะไรมากค่ะ ใช้คอนซีลเลอร์เหมาะๆสักตัวลงบางๆทีเดียวก็พอแล้ว

บล็อคนี้เขียนได้ยาวเว่อร์ๆ ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมชม และขอคารวะถ้าสามารถอ่านได้จนจบค่ะ คนเขียนเองเกือบจะถอดใจเลิกเขียนกลางคันไปแล้วค่ะเนี่ย




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2552 11:57:38 น.
Counter : 9544 Pageviews.  

Cle de Peau: เห่อของฟรีสุดแพง skin care Synergique & new cosmetic collection for Spring 2009

หมดเรื่องของเสื้อผ้าจากบล็อคก่อนแล้ว คราวนี้มีอัพเดตจากเคาเตอร์ cle de peau มาให้ชมค่ะ (ภาพเครื่องสำอางทั้งหมด ถ่ายจากโบชัวร์ที่เราได้มานะคะ ขออภัยในความง่อยของหลายๆภาพค่ะ ถ้าอยากชมภาพชัดๆแวะที่เว็บไซต์ของเค้าน่าจะมีค่ะ เราชอบถ่ายรูปเลยถ่ายรูปเอาค่ะ หวังว่าสักวันฝีมือคงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น T_T )

เหตุที่แวะไปเคาเตอร์นี้ (ไม่ได้แวะมานานแล้ว) ก็เพราะกระทู้ใน pantip ที่บอกว่าช่วงนี้มีแจกแซมเปิ้ลชุดใหญ่ ของครีมบำรุงรุ่น Synergique ที่เป็นสกินแคร์ไลน์ใหม่ของยี่ห้อนี้ เพิ่งออกขายเมื่อ September 2008

ราคานี่แบบว่าหูดับตับไหม้มากจริงๆค่ะ ตัวครีมกระปุก(40g)นี่ตกกรัมละ 3150 yen ว่าแล้วก็ปาดเหงื่อ แพงได้อีกค่ะเนี่ย จำได้ว่าครีมลาแมร์ที่ญี่ปุ่นยังกระปุกละประมาณ 3 หมื่นกว่าเยนเอง ครีมกล้วยไม้ของเกอแลงค์ก็ 5 หมื่นเยนยังไม่รวม vat

ลองถามดูเล่นๆ(เพราะไม่มีตังค์ซื้อหรอก) ว่ามันดีต่างกับ La creme ที่เป็นครีมตัว top ตัวก่อนของเค้ายังไง (นี่ก็กระปุกจิ๋วๆ 50,000 yen) เค้าก็อธิบายว่า นี่นะเป็นครีมตัวแรกเลยที่จะบำรุงลึกถึงผิวหนังชั้นในได้ (ในรูปที่เค้าให้ดูผิวมีสามชั้น เค้าบอกว่าครีมปกติจะเข้าถึงแค่ชั้นที่สอง) บลาๆๆๆ

เราก็เฉไฉถามโน่นนี่ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยเอ่ยปากขอแซมเปิ้ลค่ะ เนื่องด้วยไม่ได้ซื้ออะไร เลยไม่ได้แซมเปิ้ลชุดใหญ่เหมือนคุณที่มารีวิว ได้มาเป็นซองๆเล็กๆแทน แต่ก็ได้มาครบชุดนะคะอยู่ในซองขาวๆเลยค่ะ (ขอเอาเจ้าหมีดำมาเป็นพรีเซนเตอร์นะคะ)



ส่วนของข้างในก็ตามนี้เลยค่ะ (ของแพง เลยจับมาแอ็คถ่ายภาพทีละตัวเลยค่ะ เรียงตามลำดับการใช้เลย)

- ตัวสบู่นี่เห็นว่าใช้ล้างเครื่องสำอางได้เลยค่ะ (หมายถึง พวกรองพื้นนะคะ ถ้าพวกมาสคาร่ากันน้ำอะไรล้างยากๆนี่ไม่ออกค่ะ) 100g 10,000yen (+tax = 10,500yen) ถ้าเป็นรีฟิลจะก้อนละ 9500yen (+tax = 9975 yen)
ส่วนรายละเอียดและส่วนผสมลอง(เพ่ง)ดูในภาพเลยนะคะ



- ตัวถัดมาเป็นเซรั่มค่ะได้มาสองซอง น่าจะคล้ายๆกับโทนเนอร์นั่นล่ะค่ะ 125mL 20,000yen (+tax = 21,000yen) ถ้ารีฟิล 125mL 19,500yen (+tax = 20475yen) ค่ะ



- ถัดมาเป็นโลชั่นสำหรับใช้กลางวันค่ะ ผสม SPF17 PA++ ตามประสา ส่วนราคาก็ไม่น่าพิศมัยเช่นเดิม 20g 20,000yen (+tax = 21,000yen) ค่ะ



- ถัดมาก็โลชั่นค่ะ แต่ตัวนี้สำหรับทากลางคืน 40mL 25,000yen (+tax = 26,250yen) ถ้ารีฟิลก็ 40mL 24,500yen (+tax = 25,725yen) ค่ะ



- และตัวสุดท้ายที่แพงที่สุด สุดๆของความแพงคือ ครีมนี้ล่ะค่ะ ใช้ทางเฉพาะกลางคืนหลังจากลงโลชั่นกลางคืนแล้ว ราคานี่เห็นแล้วไม่อยากเชื่อสายตาค่ะ 40g 120,000yen (+tax = 126,000yen) โอย แพงจนอยากจะเป็นลมค่ะ แพงกว่าลาแมร์ แพงกว่าเกอแลงค์ มีครีมอะไรที่มันแพงกว่านี้อีกไหมคะเนี่ย



ยังไม่ได้ลองใช้ดูเลยค่ะ (แต่ถึงลองใช้แล้วก็ได้แค่ครั้งหรือสองครั้ง คงสรุปอะไรไม่ได้อยู่ดี แถมราคาแพงเว่อร์มากซื้อขนาดจริงไม่ไหวหรอกค่า)


มาดูของฟรีๆกันต่อดีกว่าค่ะ

นอกจากแซมเปิ้ลก็ได้โบชัวร์เครื่องสำอางของใบไม้ผลิที่กำลังจะออกมาด้วย (จะเริ่มวางขายที่ญี่ปุ่นวันที่ 21 มกรา 2009 ค่ะ) ก็เลยเก็บมาโพสให้ดูกันเล่นๆค่ะ เริ่มด้วยนางแบบของคอลเลคชั่นนี้และภาพโฆษณารวมค่ะ ครั้งนี้รู้สึกจะเน้นโทนสีน้ำตาล ดูแล้วธรรมชาติมากๆยังกะไม่ได้ลงสีอะไรที่หน้าเลยล่ะค่ะ


ในที่สุด cdp ก็ทนกระแส cream eye liner ไม่ได้ (หลังจากที่ kate ออกครีมไลเนอร์มาแล้วดังเปรี้ยงนี่ ที่ญี่ปุ่นมองไปยี่ห้อไหนก็ขายครีมไลเนอร์กันหมดเลยล่ะค่ะ) มีออกมากะเค้าเหมือนกันค่ะ ประเดิมแรก 3 สีค่ะ (แต่เราดูยังไงก็มองความแตกต่างมันไม่ออก)
ตลับละ 6000yen (+tax=6300yen) มีแปรงแถมมาในเซ็ตค่ะ (เหมือน suquu เลยเนอะคะ)
มีลองขีดๆที่หลังมือเล่นๆ ก็ให้เส้นนุ่มๆตามสไตล์ครีมค่ะ BA บอกว่าติดทนกันน้ำกันเหงื่อดี แต่คนตาสองชั้นหลบในและตามันอย่างเรา พบสัจธรรมแล้วค่ะ ว่าครีมไลน์เนอร์แบบไหนก็เอาไม่อยู่ ต้องลิควิดเท่านั้น
ปล. ชอบไอ้ลวดลายวิ้งๆวับๆ ด้านบนล่ะค่ะ ดูไฮโซดีแท้ แต่ใช้ๆไปท่าทางจะเลือนหมด


ตัวต่อไปคือ อายแชโดว์ค่ะ ออกใหม่มาสองสี โทนน้ำตาลทั้งคู่ ตลับละ 6000yen (+tax = 6300yen)
เรามีถามเค้าว่ามีภาพนางแบบที่แต่งมั๊ย เค้าก็ชี้ให้ดูว่านางแบบในภาพด้านบนนั่นล่ะค่ะใช้อายแชโดว์นี่อยู่ เราก็เผลอเสียมารยาทพูดไป(ไม่ทันคิด)ว่ามองไม่ออกเลยว่าทาอายแชโดว์อยู่ (นางแบบเค้าผิวออกแทนด้วยล่ะค่ะ ถ้าผิวขาวก็คงเห็นสี)


โทนน้ำตาลอีกอย่างคือ บลัชออน ค่ะ มีสีใหม่สีเดียวสีน้ำตาล texture ดูเหมือนพวกกระจกสีในโบสถ์สวยดีค่ะ (แต่เราไม่ค่อยชอบบลัชโทนน้ำตาลค่ะ)
อันนี้เฉพาะตัวบลัช 4000yen (+tax = 4200yen) เคสขายแยกมาพร้อมแปรงด้านในอีก 3000yen (+tax = 3150yen) หรือ ถ้าจะซื้อเฉพาะแปรงแยก(ไม่แน่ใจว่าเหมือนแปรงในตลับไหมนะคะ) ก็ 1000yen (+tax = 1050yen) ค่ะ


ต่อด้วยลิปสติกแบบกดกริ๊กๆ(จำได้ว่ารุ่นนี้ชุ่มชื้น ไม่ต้องทากลอสเลยค่ะ) ที่เราเคยติดใจอยู่(แต่ไม่ได้ซื้อสักที) สีใหม่ออกมาห้าสีเลยค่ะ ออกน้ำตาลนู้ดๆหมดเลย
แท่งละ 5000yen (+tax = 5250yen)


สุดท้ายก็ลิปสติกอีกรุ่นค่ะ (อันนี้ใช่รุ่นแม็ตหรือเปล่าเอ่ย? ไม่เคยลองค่ะ) ออกใหม่มาแค่สองสี (งงๆอยู่ว่าทำไม ต้องวาดเป็นวงกลมซ้อนกันสองวงด้วยเนี่ยะ)
อันนี้แพงกว่าอันบนนิดหน่อย แท่งละ 6000yen (+tax = 6300yen) ค่ะ


เป็นอันหมดแล้วล่ะค่ะ ที่ออกใหม่มีแค่นี้เอง ที่เหลือก็คือของเก่า
ส่วนรองพื้น(สุดโปรดของเรา)แวบๆไปดู ยังไม่มีรุ่นอะไรใหม่ออกมาค่ะ


มาคิดๆดูแล้ว บล็อคเรานี่พูดถึงเคาเตอร์นี้บ่อยมากๆ ตั้งแต่บล็อคแรกๆเลยทีเดียว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกค้าประจำยังไงหยั่งงั้น

แต่พอมานั่งนึกๆดู เอ เราเคยซื้ออะไรกับเค้าบ้างหนอ
ติ๊กต่อกๆ คิดๆๆๆ
คิดไปคิดมา เอ้ย จนบัดนี้เราเพิ่งเคยจ่ายเงินที่เคาเตอร์นี้ไปหนเดียวเองนี่หน่า ตั้งกะเมษาปีก่อนแล้ว รองพื้นขวดเดียว(ตอนนี้ยังใช้ไม่หมด) นอกนั้นที่แวะเวียนไปบ่อยๆนี่ ไปขอแซมเปิ้ลรองพื้นใหม่บ้าง แป้งรองพื้นบ้าง สารพัดจะขอแซมเปิ้ล หรือไม่ก็ไปลองโน่นนี่ที่เคาเตอร์ประจำ

แหะๆ ว่าแล้วก็ชักละอายใจเล็กๆ แทบไม่เคยใช้บริการเขาเลยนี่นา เอาน่่ะค่ะไว้รองพื้นขวดที่มีอยู่หมดก็ต้องไปซื้อใหม่อยู่ดีล่ะ




 

Create Date : 17 มกราคม 2552    
Last Update : 17 มกราคม 2552 3:05:54 น.
Counter : 5713 Pageviews.  

รวบรวม sample ทั้งหลายที่ได้มาวันนี้ แปะไว้กันลืมสักหน่อยนะคะ

มาอีกแล้ว ช่วงยุ่งๆตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตนี่ชอบนักล่ะ อู้มาอัพบล็อค อีกสามสี่วันต้องซ้อมพรีเซนต์จบโทแล้วยังทำสไลด์ไม่เสร็จเลย
เรื่องของเรื่องวันนี้ได้แวะไป Matsuzakaya เจ้าเดิมอีกครั้งหลังจากไม่ได้ไปมานานมาก
จริงๆไม่ได้ไปช้อปปิ้งที่ไหนมาเป็นเดือนๆสองเดือนแล้วอยู่แต่บ้านกะแล็บและตลาดจ่ายกับข้าวเท่านั้น (เล่นเอาตั๋วรถไฟเกือบหมดอายุใช้ไม่ทัน)
ฟังดูเหมือนจะดี แต่ที่จริงคือช้อปปิ้งทางเน็ต(เสื้อหน้าร้อนลดราคา)ไปแล้วน่ะสิคะ ไม่ต้องออกไปไหนก็ยังเสียตังค์ได้

สาเหตที่แวะนี่ไม่เพราะอะไรหรอกค่ะ คุณน้องสาวสั่งมาว่ากลับมาไทยหนนี้เอาแซมเปิ้ลรองพื้นโน่นนี่นั่นมาให้ด้วย ไม่ค่อยจะงกเล้ย ช่วงก่อนกลับปกติก็จะยุ่งๆอยู่แล้วแท้ๆ
ไหนๆก็มาแล้วก็เอาซะหน่อย ได้ยินแว่วๆมาว่า Impress มีพวกตระกูลรองพื้นออกใหม่มา ฟังดู(เหมือนจะ)ดีก็เลยถือโอกาสมาขอแซมเปิ้ลด้วยซะเลย
พอเอามากองๆรวมกันชักมึน โหย ทำไมเรามีแซมเปิ้ลเยอะอย่างนี้เนี่ย ไอ้ตัวที่ชอบก็ใช้หมดไปแล้วแต่ไอ้ที่เฉยๆก็เหลืออื้อเลย
memory ชักเริ่มจะหมดเลยมาแปะไว้ในบล็อคกันลืมดีกว่า ว่าตัวไหนได้มาตั้งแต่ตอนไหนบ้าง ยังไม่รีวิวนะคะเพราะบางตัวก็ยังไม่ได้ใช้

เริ่มจากภาพรวมก่อนนะคะ นี่คือทั้งหมดที่ได้มาวันนี้วันเดียว ยกเว้นแป้งรองพื้นของ Lunasol กับ CDP อันนั้นขอมาก่อนนี้สักพักแล้วแต่เอามากองรวมๆกัน

ดูเผินๆเหมือนจะอลังการงานสร้างดีอยู่ แต่ดูดีๆแล้วไม่ได้เสียเงินไปเลยสักเยนของฟรีทั้งนั้น(แต่ถ้าที่ไทยชุดนี้สงสัยขายได้หลายบาทอยู่ )
เวลาให้เค้าให้มาเป็นชุดของเค้ามันเลยมาทีละหลายซองอ่ะค่ะ ทั้งสองยี่ห้อที่ไปขอมาวันนี้เราเป็นสมาชิกทั้งคู่เคยซื้อรองพื้นทั้งคู่เลย
แต่ของเดิมมันยังไม่ทันหมดก็เลยยังไม่อยากซื้อของใหม่ สนองกิเลสด้วยการลองแซมเปิ้ลรุ่นใหม่ๆไปพลางๆ (แถมกว่าที่ใช้อยู่จะหมด ไม่แน่อาจได้ลองรุ่นใหม่ไปสัก 3 รุ่นแล้วก็ได้)

ต่อไปขอร่ายยาวทีละอันนะคะ เรียงตามลำดับที่ไปขอมาแล้วกัน



1. Lunasol skinfusing powder foundation OC02 SPF20 PA++ (อันสีน้ำตาลบนสุด)



ตัวนี้ไปขอมาร่วมครึ่งปีแล้ว พกติดกระเป๋าเอาไว้ซับๆหน้าธรรมดา จริงๆก็ไม่ได้กะว่าจะขอแต่แซมเปิ้ลไปเรื่อยๆไม่ซื้อของจริงหรอกนะ
แต่พอแซมเปิ้ลอันนี้จะหมด ก็มีรุ่นใหม่ออกไปขอแซมเปิ้ลมาลองอีก จนตอนนี้งอกมามีแซมเปิ้ลแป้งรองพื้นสามอันตามภาพ หลากหลายยี่ห้อ
สงสัยว่าตราบใดที่ยังอยู่ญี่ปุ่นจะไม่มีวันใช้แป้งพวกนี้หมดแหงๆเลย เพราะปกติเราไม่ได้ใช้แป้งผสมรองพื้น อย่างมากก็ใช้วันขี้เกียจจัดๆแล้วก็พกเติมเท่านั้นเอง (ป่านนี้ตัว Lunasol เพิ่งเริ่มเห็นก้นๆเอง)



2. Cle De Peau Beaute teint naturel poudre (powder foundation) オークル10 SPF20 PA++ 1.5g

ตัวนี้คือ อันด้านขวาในรูปข้อ 1 ค่ะ เห็นพี่ tukuta บอกว่าแป้งรองพื้นยี่ห้อนี้ก็ดีเลยไปขอมาลองมั่ง (เพราะติดใจรองพื้นเค้าอยู่)
อันนี้ขอมาได้สองสามเดือนแล้วมั้งคะ พกไว้ในกระเป๋าคู่กับ Lunasol ตัวบนผลัดกันใช้แล้วแต่อารมณ์ ยังเหลือเพียบค่ะอันนี้

ขนาดจริงตัวนี้ 11g 9000 yen (+5% = 9450 yen) ทั้งหมดมี 8 สี,
เคส 2500 yen (+5% = 2625 yen), sponge 500 yen (+5% = 525 yen)



3. Impress powder foundation (Kanebo) オークル-C SPF23 PA++ (All season)



ตัวนี้คือ อันเดียวกับรูปข้อ 1 ตัวล่างสุดนะคะ แต่แยกมาถ่ายงามๆหน่อย เห็นโบชัวร์ของ impress นี่สีดำสนิทเลิศหรูดี ^_^
เป็นตัวที่เราตั้งใจไปขอเลย เพราะได้ยินแว่วๆจากเว็บพี่จีน (www.jeban.com) ว่าตระกูลรองพื้นของยี่ห้อนี้น่าสนใจใช่ย่อย
แต่ก็ยังไม่ทันได้ลองเลย เพิ่งได้มาหยกๆ รู้แต่แพ็คเกจของแซมเปิ้ลนี่เหมือนกับ lunasol มากๆต่างแค่สี
สรุปแล้วในบรรดาสามยี่ห้อ แซมเปิ้ลแป้งรองพื้น CDP ชนะเลิศค่ะ ขนาดแซมเปิ้ลยังดูหรูหราเลย

ขนาดจริงของแป้งรองพื้นนี้ 11g 9000 yen (+5% = 9450 yen) ทั้งหมดมี 7 สี
เคส+sponge ขายรวมกัน ราคารวมภาษีแล้วเพิ่มอีก 3150 yen



4. Kanebo Impress Liquid Foundation オークル-C (OC-C) SPF18 PA++ (all season)



ตัวนี้ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเราเช่นกันค่ะ ตามที่ BA บอกมารองพื้นของ impress ตอนนี้มีสองรุ่น รุ่นนึงเป็นแบบครีมกระปุกกลมๆดำๆ เพิ่งออกไม่นาน
ส่วนอีกรุ่น(ในรูปด้านบน ที่เราขอแซมเปิ้ลมา)เป็นรุ่นน้ำค่ะ จะวางขายที่ญี่ปุ่นเร็วๆนี้ (5 September 2008) ตอนนี้ก็มีแค่ไปลองเทสต์ที่เคาเตอร์กับขอแซมเปิ้ลลองกันไปพลางๆ
รองพื้นนี้ขวดจะเป็นสีน้ำตาลเข้มนะคะ เรานี่ปล่อยไก่ไปแล้วค่ะ ไปถามเค้าว่ารองพื้นนี้สีเข้มขนาดนี้เชียวเหรอ (ไม่ดูตาม้าตาเรือเล้ย)

ด้วยความที่เคยลองรุ่นครีมของ CDP มา รู้ตัวว่าฝีมือไม่พอค่ะ เกลี่ยไม่ได้เรื่องเลยเรา ก็เลยเลือกขอแซมเปิ้ลรุ่นน้ำมา (ยังพอมีความเกรงใจอยู่ เลยไม่ขอมาซะทุกรุ่น)
แซมเปิ้ลอันนี้อลังการงานสร้างอีกแล้วค่ะ ซองนึงตั้ง 1mL ซองใหญ่มาเลยเชียวแถมให้มาชุดนึง 4 ซองเลยค่ะ โหยใช้ได้นานแน่ๆ(ถ้าชอบนะ แต่ถ้าไม่ชอบก็เหลือบานเช่นกัน)

เท่าที่ลองถามๆดูว่า รองพื้น impress นี่ต่างกับ Lunasol water cream foundation ยังไง(เพราะเรามีตัวนี้อยู่ แต่ไม่ค่อยชอบ)
เค้าก็บอกมาว่ารองพื้น impress จะชุ่มชื้นกว่าค่ะ ไม่ได้บอกเป็นเปอร์เซนต์ว่ามีน้ำกี่เปอร์เซนต์ แต่ประมาณว่าส่วนผสมเน้นให้ความชุ่มชื้นมากกว่านั่นเอง (จริงแค่ไหนไม่รู้สิเนี่ย)

ขนาดจริงตัวนี้ 30mL 12000 yen (+5% = 12600 yen) ทั้งหมดมี 7 สี
เริ่มวางจำหน่าย(ที่ญี่ปุ่น) 5 September 2008 นี้นะคะ



5. Kanebo Impress Makeup base (All Season)



อันนี้มาเป็นชุดพร้อมรองพื้นด้านบน ชุดนึงมีสี่ซองค่ะ (ซองละ 0.5g)
สองซองเป็น makeup base 01 SPF15 PA+: みずみずしいさっぱりタイプ คือพวกลุคดิวอี้
อีกสองซองเป็น makeup base 02 SPF15 PA++: なめらかなしっとりタイプ ลุคเนียนๆ

จริงๆพวกเมคอัพเบสนี่เราเฉยๆนะคะ เคยลองมาทั้งของ lunasol, CDP ไม่ถูกใจเลย สรุปมี smashbox ม่วงนี่แหล่ะที่ใช้มายาวนานที่สุดต้องมีไว้เสมอ
แต่ทีนี่เวลาให้แซมเปิ้ล เค้ามีจัดเป็นชุดไว้อย่างสวยงามอยู่แล้ว ก็ต้องรับมาหมดล่ะค่ะ ดีกว่าขอแล้วเค้าไม่ให้ล่ะเนอะ

ขนาดจริงของตัวนี้ 30g 6000 yen (+5% = 6300 yen)



6. Cle De Peau Beaute teint naturel correcteur オークル20 SPF24 PA++ (รุ่นขวดปั๋มกลมๆสูงๆ)



ออกจากเคาเตอร์ Impress ก็มาต่อนี่เลยค่ะ ดีว่าระหว่างกลางมีเคาเตอร์อื่นคั่นอยู่หนึ่งอัน ไม่งั้นเล่นออกอันเข้าอีกอันขอแต่ของฟรียังไงก็อดเกรงใจเค้าไม่ได้
อันนี้คือ รองพื้นรุ่นขวดปั๊มนะคะ ของยายคุณน้องสาวฝากขอมา ได้มา 2 ซองค่ะ (ตัวนี้เป็นรองพื้นตัวโปรดของเราจนบัดนี้ เคยรีวิวไปแล้วค่ะ)

โชคดีไปหนนี้ไม่เจอคนที่จำหน้าเราได้ เลยทำมึนว่ายังไม่เป็นสมาชิกอยากมาขอแซมเปิ้ลลองใช้ดูเฉยๆ (เพราะปกติถ้าเป็นสมาชิก เค้าจะจดไว้อ่ะค่ะว่าเคยซื้ออะไร เคยได้แซมเปิ้ลอะไรไปบ้าง)
ก็คนมันอดเกรงใจไม่ได้อ่ะค่ะ ตัวเองก็ซื้อขวดจริงรุ่นนี้ไปแล้วแท้ๆ(แต่คนละสี) ยังจะมาขอแซมเปิ้ลรุ่นเดียวกันอีกนะ

ขนาดจริงตัวนี้ 30mL 12000 yen (+5% = 12600 yen) ทั้งหมดมี 8 สีค่ะ
(ถ้าทุนทรัพย์ถึงเราเชียร์มากๆ รองพื้นยี่ห้อนี้ใช้แล้วหน้าเด้งจริงๆ ไม่ใช่เนียนธรรมชาตินะคะ แต่จะดูเด้งดูดีกว่าธรรมชาติค่ะ ^_^ เหมาะกับวันที่ต้องการเด้งเป็นพิเศษ)



7. Cle De Peau Beaute teint naturel satine オークル20 SPF18 PA++ 3g



อันนี้บังเอิญไปสะดุดตาเข้าเลยขอมาด้วย ตอนถามๆเค้าก็บอกว่ารุ่นนี้ออกใหม่ล่าสุดเลยนะ เราก็งงค่ะก็จำได้ว่ารุ่นกระปุกกลมๆนี่มันออกมานานแล้วนี่นา
พอดูดีๆ อ๋อ ตอนนี้มีกระปุกกลมสองแบบค่ะ แบบนึงสีน้ำเงินสนิทเป็นรุ่นเก่า อันนี้เป็นรุ่นล่าสุดจะมีลายคาดสีทองค่ะ
เห็นบอกว่ารุ่นนี้เป็น new version ของรุ่นกระปุกสี่เหลี่ยมแบบเดิมค่ะ ที่เคาเตอร์ที่ญี่ปุ่นตรงที่วางโชว์เราไม่เห็นรุ่นกระปุกสี่เหลี่ยมของเดิมแล้วนะคะ

รองพื้นรุ่นนี้เพิ่งวางจำหน่ายที่ญี่ปุ่น 21 August 2008 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ แซมเปิ้ลมาเป็นหลอดเลยค่ะ (ค่อยยังชั่วจะได้ใช้ง่ายๆ)
จากการถามมาได้ความว่ารุ่นใหม่ล่าสุดนี้ เป็นแบบครีมที่ให้ความปกปิดสูงสุดเหมือนกับรุ่นกระปุกกลมอันเดิม
จุดที่ต่างคือรุ่นกระปุกกลมของเดิมปกปิดสูงให้ลุคหน้าเนียน แต่รุ่นล่าสุดนี้ปกปิดสูงแต่จะเน้นให้หน้าดูอิ่มๆเด้งๆดิวอี้ๆประมาณนั้นค่ะ

ในฐานะแฟนรองพื้นยี่ห้อนี้ ก็เลยต้องขออุดหนุน(free sample) กันซะหน่อยค่ะ แต่จริงๆไม่คาดหวังมากกับรุ่นครีม
เพราะรุ่นครีมแบบเก่าเคยลองแซมเปิ้ลแล้ว ปรากฏว่าเราเกลี่ยแล้วเละค่ะ ยอมแพ้ฝีมือไม่ดีพอจะใช้รองพื้นรุ่นครีมเกลี่ยยากๆแบบนี้เลยขอใช้รุ่นน้ำต่อไปแล้วกัน
(ชุดนึงได้มาหลอดเดียวนะคะ แต่เราเอามาทำโฟโต้ชอปเองค่ะ เห็นลายหน้าปกนางแบบเค้าสวยดี เลยเอามาเป็นฉากประกอบสักหน่อย)

ขนาดจริงตัวนี้ 25g 12000 yen (+5% = 12600 yen) ทั้งหมดมี 8 สีนะคะ



8. Cle De Peau Beaute voile unifiant 0.3g SPF20 PA++
9. Cle De Peau Beaute voile lissant 0.3g SPF20 PA++



นี่ก็มาเป็นชุดกับรองพื้น(รุ่นใหม่)ทีขอมาค่ะ เป็น makeup base (อันหลอดคือรองพื้นข้อ 7 น่ะค่ะ มากันเป็นแพ็ค)
ตัว voile lissant ให้ลุค しっとり คือ ลุคดูหน้าเนียนๆ
ตัว voile unifiant ให้ลุค さっぱり คือ ลุคดูวาวๆดิวอี้ๆ

อยากจะบอกว่าในกรุยังมีเบสพวกนี้อีกตั้งหลายซอง เพราะใช้แล้วไม่ชอบอ่ะค่ะ หน้าวอกๆยังไงพิกล
เค้าแนะนำว่ารองพืนเค้าให้ใช้กับเบสพวกนี้จะดี แต่เราว่าแค่รองพื้นอย่างเดียวก็เด้งพอแล้ว ใช้เบสเค้าแล้วเป็นนางพญาหน้าขาวมาเลย

ขนาดจริงตัวนี้ 40g 6000 yen (+5% = 6300 yen)



----------------------------------------------------

โอย แฮ่กๆ หมดจนได้ในที่สุด ขอมาวันเดียวเขียนได้เป็นหน้าๆ กว่าเอาในกรุมาร่วมด้วยคงต้องเขียนกันข้ามวันแน่ๆ
ตอนนี้รีวิวยังไม่มีนะคะต้องใช้ให้ชัวร์ แล้วมีอารมณ์(และเวลา)อยากรีวิวก่อนถึงจะเขียนสักทีนึง
ถึงจะเห็นเราขอแซมเปิ้ลเยอะแยะแต่ก็ไม่ได้เอาแต่ขอแซมเปิ้ลไม่ซื้อขนาดจริงนะคะ ขนาดจริงส่วนใหญ่ที่ลองแล้วชอบก็ซื้อมาแล้ว
แต่ตอนนี้ยังใช้ไม่หมดก็เลยยังไม่อยากซื้อใหม่ก็ลองๆหาตัวเลือกไปเรื่อยๆ ถึงเวลาหมดเมื่อไหร่จะได้มีตัวในใจไปซื้อได้ทันทีเลย


----------------------------------------------------
เพิ่มเติมนะคะ เอาผลลองใช้รองพื้น Impress วันแรกมาแปะเพิ่มตรงนี้ดีกว่าเผื่อใครไม่ทันได้ดูคอมเมนต์(พูดเหมือนคนเข้ามาดูเยอะ ทั้งๆที่เป็นบล็อคป่าช้าแท้ๆ

วันรุ่งขึ้นถัดจากวันไปขอ ได้ลองประเดิม Impress ไปแล้วค่ะหนึ่งหน้าถ้วน ลองครั้งแรกอาจยังสรุปเป๊ะๆไม่ได้ แต่ไอ้ความประทับใจแรกใช้นี่มันต่างกันเลยกับ CDP น่ะค่ะ

หนึ่ง ด้วยราคาที่เท่ากันเป๊ะ เราคาดหวังว่าอย่างน้อยควรทำได้ดีเท่ากัน
สอง ด้วยยี่ห้อของทั้งสองอัน ที่ก็ดูหรูหราดีไม่แพ้กัน แถมเคาเตอร์ก็ใกล้ๆกันยี่ห้อของญี่ปุ่นเหมือนกัน แค่คนละค่าย Kanebo กับ Shiseido (ซึ่งก็น่าเชื่อถือ ดังทั้งคู่) เราค่อนข้างคิดไว้ว่ามันจะต้องออกมาได้ผลดี(อย่างน้อยก็เท่า CDP แน่ๆ)

ตามตรงว่าไม่ได้อคติอะไรเลยก่อนใช้ กลับค่อนข้างมั่นใจด้วยซ้ำว่าต้องดีเหมือน CDP แน่ๆเลยงานนี้ นี่แหล่ะรองพื้นคุณนายแม่เบอร์สองแน่ๆ แต่ความประทับใจแรกเริ่ม บอกได้แค่ว่าเราค่อนข้างผิดหวังน่ะค่ะ กลิ่นหอมอ่อนๆก็โอเคค่ะ กลิ่นอ่อนกว่าของ CDP คนที่ไม่ชอบกลิ่นแรงๆก็อาจสบายจมูกหน่อย
แต่ มันก็เหมือนรองพื้นน้ำธรรมดาๆอ่ะค่ะ เกลี่ยง่ายดีอยู่หรอกแต่รองพื้นน้ำปกติที่เราเคยใช้ก็เกลี่ยง่ายเหมือนกัน ด้วยราคาถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง ราคาแพงเท่า CDP แต่ไม่ได้ผ่องหรือเด้งกว่ารองพื้นแบรนด์กลางๆที่ขายตามร้านขายยาญี่ปุ่นเลยอ่ะค่ะ

ระดับการปกปิดก็สู้ CDP ไม่ได้แพ้ขาดค่ะ ปกปิดเหมือนรองพื้นสูตรน้ำทั่วๆไป ถ้า CDP(fluid)นี่พอใช้ทาใต้ตาด้วยมันช่วยปิดแพนด้าได้บ้างค่ะ ปิดได้มากกว่ารองพื้นทุกตัวที่เราเคยลองมาเลย(ยกเว้น shu face architect รุ่นครีม)
คือ ตอนใช้ไม่รู้สึกหรอกค่ะว่ารองพื้นน้ำของ CDP มันปกปิดดีกว่า แต่มันมาชัดเอาตอนใช้รองพื้นตัวอื่นทำเหมือนกัน ถึงได้รู้สึกเลยว่า เอ๊ะ วันนั้นที่ใช้ CDP มันปิดดีกว่านี้นี่นา

ทดลองให้มันอยู่บนหน้ามาสิบสองชั่วโมงอยากรู้ว่าจะเด้งเหมือนCDPไหม(เผื่อว่าจะเป็นประเภทหัวเราะทีหลังดังกว่า) บังเอิ๊ญบังเอิญวันที่ลองฝนตกหนักอากาศคล้ายวันที่ไปลอง CDP ครั้งแรกเปี๊ยบเลย คอย ส่องกระจกอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่เห็นว่ามันจะดูอิ่มดูผ่องดูเด้งเหมือนตอนลอง CDP(satine) ครั้งแรกสุดเลย ความประทับใจแรกใช้ต่างกันมากๆ(แต่BAน่ารักทั้งสองยี่ห้อนะคะ ^_^ )

สรุปว่าออกสตาร์ทไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับรองพื้นตัวนี้ แต่ก็ยังเหลืออีกเยอะ ยังพอมีเวลาทำคะแนนตีตื้นค่ะ
วันนี้ เราอาจหน้าโทรมเกินเยียวยาหรือคาดหวังกับมันเกินไป ว่าต้องเป็นรองพื้นช่วยชีวิตเหมือน CDP(คือโทรมแค่ไหนเราก็มั่นใจน่ะค่ะว่า CDP ช่วยให้ดูดีขึ้นได้แน่นอน) พอมันไม่ค่อยดีเท่าราคา เท่าอิมเมจของมัน เท่าที่เราคาดหวังเอาเองก็เลยผิดหวังพอควร ดูท่าทางแล้วแชมป์ของเราก็จะยังคงเป็นเจ้าเดิม CDP ล่ะค่ะ เพราะยังหาคนมาโค่นไม่ได้เลยค่ะ (ขนาดพยายามหามากะโค่นแล้ว ก็ยังโค่นไม่ได้อยู่ดี)




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2551    
Last Update : 31 สิงหาคม 2551 2:21:08 น.
Counter : 1609 Pageviews.  

1  2  

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.