|
ความกลัวอันยิ่งใหญ่ในชีวิตประจำวัน Reanimation
เวลาที่คุณเดินทางออกไปนอกบ้าน เคยมีความกลัวอะไรที่มาแทรกแทรงจิตใจไหม ดิฉันนี่ประจำเลย เวลาที่ต้องไปเข้าเวรตอนเช้า เพราะความที่บ้านอยู่ไกลจากที่โรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ต้องตื่นไปขึ้นรถไฟตอนตีห้า อาทิตย์ไหนโชคไม่ดีต้องเข้าเวรเช้าวันเสาร์วันอาทิตย์ แล้วช่วงที่เราต้องไปทำงานนี่แหละเป็นช่วงเวลาเดียวกันสำหรับพวกที่ไปเที่ยวเธคจะกลับบ้าน เด็กวัยรุ่นที่นี่ก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ถือเอาวันหยุดเป็นวันสังสรรค์กับเพื่อนๆ บางคนดื่มสุราจนหัวเมาราน้ำ ดิฉันผ่านวัยนี้มาแล้วก็พอเข้าใจบ้างนะแต่ที่บ้างครั้งอดคิดในใจไม่ได้ว่า ทำไมเด็กหรือผู้ใหญ่ที่นี่ถึงต้องเมาจนหมดสติ บางคนถึงต้องหามเข้าโรงพยาบาลเพราะการเสี่ยงกับการหยุดหายใจเพราะพิษของสุราในเลือด บางคนหลังจากการตรวดเลือดแล้วถึง 4 pro mill คนไข้เหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอัลกอฮอล์จะไปกดประสาทที่ควบคุมการหายใจ อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือพิการเพราะสมองขาดออกซิเจนได้ แล้วกฎหมายของประเทศเยอรมันนีกำหนดไว้ว่า บุคคลใดที่ประสบกับเหตุด่วนหรือเหตุรา้ยของผู้อื่นแล้วไม่ช่วยเหลือถือว่า Unterlassene Hilfeleistung ซึ่งถ้าเป็นคดีความขึ้นมาถึงอาจต้องขึ้นศาลโดยเฉพาะคนที่อยู่ในอาชีพหมอ พยาบาล อาจถึงกับถูกตีหัวข่าวใหญ่โตในหนังสือพิมพ์เลยก็ได้ แล้วการช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจไม่ว่าจากสาเหตุใดๆต้อง "Reanimieren หรือ Reanimation" การช่วยหายใจด้วยการปั้มหัวใจและเป่าปากหรือเป่าจมูก ตามมาตรฐาน EU2005 การ Reanimation จะสับเปลี่ยนระหว่างการปั้มหัวใจ 30 คร้งและการเป่าลมหายใจ 2 ครั้ง สำหรับบางคนที่เคยเรียนการช่วยเหลือเบื้องต้นมาแล้วหรือเป็นคนที่อยู่อาชีพเดียวกันคงจะร้องอํอ สำหรับบางคนที่นึกไม่ออก แอบจิ๊กรูปมาให้ดู
คุณคงเข้าใจหัวอกดิฉัน เราตื่นเช้ามา อาบน้ำขึ้นรถไฟไปทำงานแล้วไปเจอกับคนหมดสติเพราะดื่มอัลกอฮอล์มากเกินไป ก่อนหน้านั้นเขาอาจจะอาเจียนมาแล้วไม่รู้กี่รอบ ทั้งตัวอาจจะเปรอะไปด้วยคราบสกปรกจากห้องน้ำและคราบอะไรก็ไม่รู้ Brrr...... แล้วทีนี้ต้องมา mouth to mouth เอหรือว่า mouth to nose ช่วยหายใจอีก ในวินาทีนั้นดิฉันคงจะตัดสินใจทันทีไม่ได้ไม่รู้จะเลือกแบบไหนดี อีกทั้งกฎหมายที่นี่ยังกำหนดไว้ว่า ถ้าใครได้เริ่มการช่วยเหลือหายใจแล้วจะหยุดไม่ได้จนกว่าหมอ(Notarzt)และรถพยาบาลจะมาถึง หมายความว่า ถ้าคุณดวงซวยจริงๆ ไม่มีใครแถวนั้นช่วยโทรแจ้งหน่วยกู้ภัยให้อย่างท่วงที ก็ต้อง Reanimieren ไปเรื่อยๆอาจถึงชั่วโมงก็ได้ แล้วการปั้มหัวใจนี่ถ้าจะทำให้ถูกไม่ใช่แบบแง๊กๆในหนังซีรี่จากอมเริกาพวก Emergency Roomนะ ต้องใช้แรงกดให้กระดูกทรวงอกยุบไปอย่างน้อย 2ถึง3 cm แล้วการเป่าปากหรือจมูกก็ต้องเป่าให้อย่างสุดๆจนกระดูกทรวงอกยกพองออก ที่ตอนที่สอบภาคปฏิบัติกับหุ่นที่รร.ดิฉันถึงกับเหงื่อโทรมไปเลยค่ะแค่ 5 นาที
โชคดีที่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยไปเจอคนหมดสติที่ไหน Halleluja! โชคดีไป แล้วคุณล่ะ ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์นี้ คุณจะเลือกแบบไหนระหว่าง การช่วยหายใจด้วยการปากต่อปากหรือว่าปากต่อจมูก
Create Date : 10 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 10 กันยายน 2550 2:28:22 น. |
Counter : 995 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นักเรียนไทย 2
Servus! ขอขอบคุณสำหรับคนที่แวะเข้ามาอ่านหรือคนที่กำลังติดตามผลงาน(ey..ไม่ใช่ Seifenoper,หนังน้ำเน่านะ) อาจจะมีหลายคนที่ทำหน้าเหมือนเครื่องหมายคำถามและคิดในใจว่า ดิฉันนึกยังไงถึงไปเรียนพยาบาลที่มิวนิค ทำไมไม่เรียนที่เมืองไทย ที่จริงดิฉันต้องการมาศึกษาต่อที่นี่ แต่พอเข้าปีที่สองก็เจอปัญหาเศรษฐกิจเพราะเมื่อก่อน มหาวิทยาลัยที่นี่เรียนฟรี ตาสีตาสาที่ไหนก็มาลงทะเบียนเรียนได้ถ้าคิดว่าเก่งพอ ชีวิตนักศึกษาที่นี่ค่อนช้างจะถูกและสบาย เพราะหลังมอบตัว (Immatrikulation)นักศึกษาก็จะได้รับใบ Immatrikalationsschein ที่เอาไว้ใช้แจ้งส่วนลดค่าโดยสารรถไฟ ค่าดูหนัง ค่าเข้าโรงละคร ฯลฯ ค่าเช่าห้องพักก็จะถูกกว่าปรกติเพราะนักศึกษาที่นี่ส่วนมากจะเช่าห้องอยู่ด้วยกันเยอะๆแบบ WG (Wohngemeinschaft) หรือว่าหอพักของ Studentenwerk การศึกษาที่นี่บางภาควิชาจะไม่บังคับว่าคุณต้องเข้าเรียนทุกครั้ง ยกเว้น Seminar ที่บางครั้งต้องไปแย่งกันลงทะเบียนโดยเฉพาะ Seminar ที่ Professor โด่งดังในด้านการสอน นักศึกษาที่นี่เลยทำงานพิเศษกันช่วงหลังเลิกเรียนหรือว่าช่วงไม่ไปเรียน ผลก็เลยออกมาว่า นักเรียนที่นี่ชินกับความสบายกับชีวิตที่ปราศจากความเครียด เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง สอบไม่ผ่านก็ไปสมัครสาขาวิชาอื่น ทำงานก็เสียภาษีไม่เต็ม(อัตราภาษีที่นี่แล้วแต่ชั่วโมงการทำงานต่อปี)ปิดเทอมก็ไปเที่ยวต่างประเทศ ห้องที่เช่าก็เปิด(มืด)ให้กับนักเรียนภาษาที่มาเรียนแค่ 1หรือ2 เดือนที่นี่ เงินที่ได้จากค่าเช่าห้องก็เอาไปจ่ายตัํวเครื่องบินไปเมืองไทย เป็นต้น พวกนี้ฉลาดนะ ว่าไหม แต่เท่าที่รู้จักเป็นแค่ส่วนน้อยของนักศึกษาที่นี่ ส่วนมากเค้าให้ความสนใจกับประวัติส่วนบุคคลที่ต้องเขียนแบบไม่มีช่องว่างด้านเวลาเวลาสมัครงาน เพราะถ้าหากปรากฎในนั้นว่า ใช้เวลาศึกษาทั้งหมด 8 ปีจากกำหนด 4 ปี แบบนี้ก็จะหางานยากเหมือนกัน ดังนั้นรัฐบาลที่นี่เลยอยากกำจัดปัญหาการตกตวงประโยชน์จากชีวิตนักศึกษาด้วยการออกค่าเทอม จาก 85 ยูโรมาเป็นอย่างน้อย 500 ยูโร ช่วงนั้นดิฉันเลยตัดสินใจลาออกมาเพราะไม่อยากให้แม่ขายนาส่งทุยเรียน โชคดีที่สมัยเรียนปี 1 ได้มีโอกาสไปฝึกงานในโรงพยาบาล Schwabinger Krankenhaus และรู้สึกชอบในการทำงานในโรงพยาบาลเลยไปลองสมัครเรียนผู้ช่วยพยาบาลดูและโชคก็เข้าข้างอีกครั้ง ดิฉันผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัคร 300 กว่าคนเป็นหนึ่งใน 22 อีกเหตุผลหนี่งของการสมัครตอนนั้นก็คือ ที่นี่หลักสูตรผู้ช่วบพยาบาลเรียนแค่ปีเดียวและได้เงินเดือน(ไม่มากแต่ถ้าประหยัดก็พอมีเงินเก็บ)เพราะมี สัญญากับทางโรงพยาบาล หนึ่งปีหลังจากนั้นก็ได้เรียนต่อในโรงเรียพยาบาลที่ติดหนึี่งในสามโรงเรียนที่ขึ้นชื่อที่มิวนิค ไม่ได้อยากอวดความสามารถของตัวเองหรอกแต่คิดว่าที่ผ่านการสมัครเรียนเพราะส่งจดหมายแนะนำตัว จากครูที่สอนโรงเรียนผู้ช่วยพยาบาลแนบไป โรงเรียนที่เรียนพยาบาลอยู่ปัจจุบันเป็นโรงเรียนคาทอลิค คุณครูใหญ่ (Schulleiterin)เป็นแม่ชีคาทอลิคที่ใส่ชุดแม่ชีสีขาว มีหมวกเสียบกับผมที่เกล้าด้านหลังเหมือนแม่ชีในหนัง Hollywood บางเรื่อง ดูภายนอกเหมือนจะเคร่งครัดกับกฎระเบียบมากแต่ความจริงเค้าใจดี ช่วยเหลือปัญหาทุกปัญหาอย่างเต็มที่และเป็นที่รักเคารพของนักเรียนที่โรงเรียน
Create Date : 06 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 6 กันยายน 2550 23:01:23 น. |
Counter : 402 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นักเรียนไทย 1
มีใครเคยคิดบ้างว่า สักวันเราต้องได้ดี บางคนคงร้องยี้ว่า "นำ้เน่า" ดิฉันก็เคยเป็นคนที่เคยร้องยี้ในใจเหมือนกันสมัยที่เรียนอยู่ที่เมืองไทย พอมาอยู่ที่มิวนิค ความจำเป็นที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดให้ได้ในโลกวัฒนธรรมตะวันตกเป็นเหมือนกับอีกก้าวหนึ่งของชีวิต ที่ถือเป็นก้าวสำคัญ ก้าวที่ยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ เคยอ่านในหลายๆ website มีคนไทยจำนวนมากที่มีความสนใจอยากจะมาศึกษาต่อหรือว่าทำงานที่ประเทศเยอรมันนี Blog นี้อาจช่วยสร้างความสนใจให้บุคคลเหล่านั้นมากขึ้นหรืออาจจะเป็นจุดเปลี่ยนความสนใจสำหรับบางคน
คงต้องขอเท้าความนิดนึงถึงประวัตเศรษฐกิจแบบย่อๆของประเทศเยอรมัน
สมัยหลังสงครามโลกคร้งที่สองประเทศเยอรมัน(ตะวันตก)ประสบปัญหาความตกต่ำทางด้านเศรษฐกิจ ด้วยความช่วยเหลือของ "Big Brother" ในสมัยนั้นนั่นคือ อเมริกา เศรษฐกิจของประเทศเลยฟื้นฟู จนถึง die goldene Zeit ในปี 90 ถ้าใครมีโอกาสดูสารคดีของประเทศเยอรมันนีสมัยหลังสงครามโลกดิฉันรับรองได้เลยว่าคุณจะทราบซึ้ง และเข้าใจในโลกแห่งการเรียนและการทำงานของคนที่นี่เพราะพิษของสงครามทำทุกสิ่งทุกอย่างเสียหาย ไปหมด ทั้งทรัพย์สิน บ้านเรือน ครอบครัว สุขภาพกายและจิตใจ ในภาพสารคดีแสดงให้เห็นว่า คนที่นี่เค้าฟื้นฟูประเทศมาด้วยมือและการรวมพลังสามัคคี กว่าจะมาเป็นประเทศเสรีที่คนทั้งโลกรู้จัก
ดังนั้น หากอยากจะมาหาประสบการณ์ที่นี่คุณอาจต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่างที่สบายสบายแบบไทยๆ มาเป็นแข่งทื่อแบบเยอรมัน เป็นต้นว่า การตรงต่อเวลา ที่นี่ขึ้นชื่อมากกับการแสดงความสำคัญของการตรงต่อเวลาไม่ว่าจะที่โรงเรียน คลินิคหมอ สถานีรถไฟ ที่ทำงาน Kreisverwaltungsreferat(คล้ายๆกับที่ทำการจังหวัด สำหรับแจ้งต่อ Visum หรือว่ายื่นแจ้งความจำนงต์์ต่่างๆ) 9ล9 จะให้ดีคุณต้องไปรอก่อนเวลานัด 15นาที คนที่คุณนัดด้วยเค้าอาจจะขอโทษที่มาช้ากว่าคุณไป 59 วินาที
คุณต้องสู้และอึดยังกะวัว สำหรับคนที่ต้องการมาเรียนหรือว่าทำงานที่นี่ (ไม่ใช่ในครัว ตักอาหาร ล้างจานหรือว่าทำความสะอาดในร้านอาหารไทย)คุณต้องสอบผ่านอย่างน้อย Mittelstufe 2 หรือว่า Deutsch fuerden Beruf (ภาษาเยอรมันสำหรับอาชีพ) ซึ่งค่อนข้างยากสำหรับคนที่อีดไม่พอ ที่เขียนว่า "อึดไม่พอ" เพราะเห็นเพื่อนคนไทยที่เรียนแค่คอร์ส ขั้นต้นแล้วก็เลิกเรียนไปเลี้ยงลูกที่บ้านเพราะสบายใจกว่า อีกเหตุผลอีกข้อสำหรับ"การอึด" ที่ประเทศเยอรมันนีโดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างมิวนิคมีโรงเรียนสอนภาษาให้เลือกเรียน อย่างล้นหลามแล้วแต่กำลังทรัพย์ สำหรับคนที่มีไม่มากก็จะเลือกเรียนที่ Volkshochschule ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนบุคคลทั่วไปทั้งเยอรมันและต่างชาติหลายภาควิชาและสาขา ราคาคอร์สค่อนข้างใช้ได้ไม่แพงมากนัก แต่ถ้าคุณลองไปนั่งเรียนคอร์สเยอรมันสัก 1 ชั่วโมง คุณอาจจะคิดว่าทำไมคุณถึงไม่ฉลาดเหมือนเจ๊ๆที่มาจากรัสเซียที่นั่งอยู่หลังห้องแต่ตอบคำถามครูได้ จัดแจ๋ม ถ้าคุณเริ่มท้อตั้งแต่วันแรกและไม่อยากทำการบ้านหรือว่าท่องจำศัพท์ นั่นแสดงว่า "ความไม่อึด"ได้ครอบคลุมจิตใจคุณเข้าแล้ว อีกทั้งคุณจะเสียดายที่คุณจะไม่เจอเจ๊รัสเซีย คนนั้นอีก2ปีถัดมาหลังจากที่คุณได้เริ่มต้นกับการเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว เจ๊เธอยังพูดเหมือนเมื่อสองปีที่แล้ว สำเนียงยังเหมือนเดิม ไวยกรณ์ผิดๆถูกๆ เพราะพวกรัสเซีย ที่มาเรียนที่นี่ส่วนใหญ่จะเรียนภาษาเยอรมันตั้งแต่ชั้นประถมที่บ้านเกิดรัสเซียกับครูคนรัสเซีย ดังนั้นพวกเขาเลยติดที่จะพูดภาษาเยอรมันสำเนียงรัสเซีย เหมือนกับคนไทยที่พูดภาษาต่างประเทศด้วยสำเนียงไทยนั่นแหละ ดัดยังไงก็ไม่ค่อยสำเร็จ แต่ถ้าหากคุณเริ่มเรียนภาษาเยอรมันกับเจ้าของภาษา ดิฉันรับรองเลยว่าหลัง 6 เดือนคุณจะ เริ่มพูดด้วยสำเนียงเยอรมันเพราะคนไทยเราโชคดีที่ลิ้นอ่อน
Leistungsorientierte Gesellschaft หัวข้อนี้ยืมนักการเมืองของที่นี่มาเพราะเค้าชอบพูดบ่อยๆเวลาถูก interviewed แปลเป็นไทยง่ายๆว่า ลักษณะสังคมที่เน้นคุณภาพของการทำงาน และคำว่าคุณภาพที่นี่จะปรากฎเป็นตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 5 1 หมายถึงดีมาก 2 ดี 3 พอใช้ 4 เกือบตกแด่ผ่าน 5 ตก เวลาเรียนจะมี Test บ่อยมากทั้งที่บอกล่วงหน้าและไม่บอกล่วงหน้า(อันหลังนี่แย่สุดๆ) เพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน บางคนเศร้าเหงาหงอยไปเลยถ้าได้เกรด 3 มีเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนผู้ช่วยพยาบาลด้วยกันต้องซ้ำชั้นเพราะสอบวิชาหลักได้เกรด 5 มา 2 วิชา การรับสมัครเรียนต่อหรือเข้าทำงาน เกรดเฉลี่ย สถานศึกษาจะถูกวิเคราะห์เป็นจุดแรก จุดต่อไปคือ ความสามารถทางด้านภาษา ทางด้านสังคม การทำงานเป็น Team เป็นจุดต่อไป
********************************************************************
ขอบคุณที่นั่งอ่านจนจบ Blog หวังว่าคงจะไม่ยาวและน่าเบื่อ มีคำถาม ข้อติชม ข้อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอะไรส่งมาหลังไมค์ได้ค่ะ
Servus
Create Date : 06 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 10 กันยายน 2550 0:37:27 น. |
Counter : 496 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|