แว๊บ!!แว๊บ!!_จริงจริง นะค๊ะ!
Group Blog
 
All Blogs
 

วาทะเด็ด

@@@.............วาทะเด็ดของ "บิ๊กบัง" (อีกแล้ว... วว ... ววว )...........@@@ หวังว่าผู้คนส่วนใหญ่คงได้ยินข่าวนี้กันแล้วนะคะ.... พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. กล่าวว่า กองทัพจะต้องใช้หลักการในการบริหารของกองทัพเอง หากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกดดัน เพราะต้องการให้ พล.อ.สพรั่ง เป็น ผบ.ทบ. ก็จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีความสุขมากขึ้น “ไม่น่าใช่ ..........เพราะทั้งกองทัพและกลุ่มพันธมิตรฯ เราเป็นมิตรกันอยู่ถ้าทำอย่างนั้นก็จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีความสุขมากขึ้น....”.....................................................................ฟังประโยคนี้แล้ว ทำให้ต้องมองย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้วมา ทุกอย่างมันฟ้องหมด ด้วยคำพูดเพียงสั้น ๆ ว่า ไอ้เหตุผลทั้งหลายเขานำมากล่าวอ้างเป็นเหตุผลในการเข้ายึดอำนาจ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องแหกตาที่มีการวางแผนล่วงหน้ากันเป็นทีมกันมาตั้งแต่ต้นทั้งสิ้น....โดยอาศัยกลุ่มพันธมิตร เป็นตัวจุดชนวนและเร่งปฏิกิริยามวลชน อันก่อให้เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้............ ชนวนที่นำมาสู่รัฐประหารรัฐประหารครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยมีสถานการณ์รอบด้านหลายประการรุมเร้าพลเอก สนธิ บุญรัตกลิน เปิดเผยว่าได้ใช้เวลาประมาณ 7 เดือนในการเตรียมการก่อรัฐประหาร ซึ่งหมายความว่าเริ่มวางแผนในราวเดือนกุมภาพันธ์ 2549ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกับที่มีการเปิดตัวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อมธ.เปิดล่ารายชื่อ 50,000 ชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีการเข้าพบ พล.อ.สนธิ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อเรียกร้องให้ทหารออกมายืนข้างประชาชนการเสนอให้ใช้มาตรา 7 นายกฯ พระราชทาน และการประกาศยุบสภาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พฤศจิกายน 2549 สองเดือนหลังจากรัฐประหาร คมช. ได้ออก "สมุดปกขาว" ชี้แจงสาเหตุของการก่อรัฐประหารยึดอำนาจ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ การทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจในทางมิชอบ การละเมิดจริยธรรมคุณธรรมของผู้นำประเทศ การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำไปสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพ และการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติอย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์จากหลายฝ่ายชี้ให้เห็นว่ายังมีสาเหตุอีกบางประการ นอกเหนือจากเหตุผลของ คมช. ที่นำมาสู่รัฐประหาร เช่น ความขัดแย้งทางอำนาจที่เห็นได้จากการโยกย้ายนายทหารประจำปี รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ ประธานองคมนตรี จาก //th.wikipedia.org/wiki/2006_Thailand_coup_detatทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามา..........เป็นข้อสรุปว่าเหตุการณ์ผลาญบ้านเผาเมืองครั้งนี้ เกิดจากการวางแผนและร่วมมือของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พวกเขาจะยึดอำนาจคืนจากประชาชนไปได้เท่านั้น การกระทำของพวกเขายังก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยขนานใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน .......และพูดได้เลยว่า ยากที่จะประสานให้กลับคืนมาเหมือนเดิม อีกทั้งยังลุกลามไปสร้างความมัวหมองต่อระบบสถาบันเป็นแผลเป็นลึก....ที่อาจลุกลามในจิตใจคนไทยไปอีกยาวนาน............... ไม่รู้ว่าจะสมน้ำหน้าใครดี !!!!!




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 ธันวาคม 2550 10:11:09 น.
Counter : 410 Pageviews.  

ค่ำคืนเดือดหน้าบ้านสี่เสาฯ

สัมภาษณ์พิเศษ : ค่ำคืนเดือดหน้าบ้านสี่เสาฯ ในมุมหน่วยสันติวิธี ‘จิ้น กรรมาชน’ สัมภาษณ์และเรียบเรียงโดย มุทิตา เชื้อชั่ง ค่ำ คืนวันที่ 22 กรกฎาคม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (ปราบกบฏ) หรือ นปก.

ได้ปรากฏตัวบนจอทีวีอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หากแต่เป็นภาพของความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการพยายามฝ่าแนวกั้นของตำรวจ เพื่อไปชุมนุมที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรีภาพ ที่เห็น ชายหนุ่มหลายคนกำลังเอาแผงรั้วกระแทกโล่ของตำรวจปราบจลาจล ผู้คนขว้างปาสิ่งของกระทั่งกระถางต้นไม้ข้างทางเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ทำลายข้าวของราชการ เกิดการจลาจลย่อมๆ
มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ก่อนหน้านั้นมีการยึดรถขยะเพื่อขับฝ่าด่านกั้นของตำรวจมาแล้วรอบหนึ่งในตอน บ่ายล่าสุด แกนนำ 18 คนถูกแจ้งข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 ขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ข่มขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ข่มขู่ว่าจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดในบ้านเมือง และข้อหาร่วมกันต่อสู้ขัดขืนเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่โดยใช้กำลัง ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส
รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศชัดว่าจะไม่ยอมให้ นปก.เคลื่อนขบวนไปก่อความวุ่นวายที่ไหนอีกอย่างเด็ดขาด นอกจากการชุมนุมที่สนามหลวง ขณะเดียวกัน ฝ่ายแกนนำ นปก.นำโดยหมอเหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็แถลงข่าวตอบโต้สิ่งที่เกิดขึ้น โดยมีวีดิโอเทปยืนยันว่า กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ใช่ผู้ที่เริ่มต้นก่อความรุนแรงก่อน
และพวกเขาต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ 0 0 0‘จิ้น กรรมาชน’ นักดนตรีเพื่อชีวิตที่ขึ้นเวทีขับกล่อมกลุ่ม นปก. และกลุ่มต่อต้านเผด็จการอื่นๆ หลายต่อหลายครั้ง นั่งนิ่งสักพักเพื่อนึกถึงเหตุการณ์คืนนั้น“มันเริ่มตั้งแต่การ
ชุมนุมวันพฤหัสฯ (19 ก.ค.) วันนั้นฝนตกหนัก คนชุมนุมก็เหลือน้อย สภาพพื้นที่เละมาก แทบจะทำนาได้ ไม่มีการพัฒนา และ กทม.ก็ขอพื้นที่คืน มันทำให้พวกเราถูกไล่ไปอยู่มุมอับ...วันนั้นบนเวทีมีการประกาศว่าวัน อาทิตย์จะมีการเดินขบวน แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะไปไหน เพื่อป้องกันการสกัดกั้น”นอกจากขึ้นเวทีร้องเพลงให้ผู้ชุมนุมฟังบาง ครั้งคราว เขาเป็นคนหนึ่งที่ไปร่วมชุมนุมตอนสองทุ่มเกือบทุกวันหลังจากเสร็จสิ้น ภารกิจการงานปิดร้านขายยาแล้วที่น่าสนใจ
คือ เขาบรรยายสภาพทั่วไปของการชุมนุมว่า ทุกวันนี้เวทีที่สนามหลวงแทบจะไม่เหลือเค้าลางของพีทีวี แม้จะมีนักการเมืองร่วมขบวนอยู่ก็ร่วมในฐานะปัจเจกตามสิทธิอันพึงมี และตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เวทีหรือผู้คนที่ร่วมชุมนุมไม่ได้พูดถึง “ทักษิณ ชินวัตร”“การชุมนุมไม่ได้พูดถึงทักษิณกันแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือนโยบายของทักษิณ สำหรับผม เขาจะกลับมาหรือไม่
ผมไม่สน.....พวกแกนนำอย่างหมอเหวง (โตจิราการ) ครูประทีป (อึ้งทรงธรรม) กับนักการเมืองอย่างจตุพร จักรภพ ก็มีช่องว่างน้อยลงเรื่อยๆ เวทีมุ่งแต่จะต้านเผด็จการให้จงได้”แม้จะไม่อาจหยั่งรู้ได้ถึงกระแส สำนึกภายในของ
‘แฟนทักษิณ’ ซึ่งเป็นกำลังหลักในการชุมนุม หรือส่วนอื่นๆ ที่อาจไม่ได้คลั่งไคล้ทักษิณ แต่ต้องถูกแปะป้ายไปด้วยยามร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นในคนกลุ่มนี้ คือความเหนียวแน่น ทรหด ทนแดดทนฝน และมาร่วมอย่างต่อเนื่องทุกวันจิ้นเล่าว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนระดับล่าง ชนชั้นกลางก็มีบ้างแต่ไม่มากนัก มีจำนวนมากที่น่าจะมาจากปริมณฑล มากันเป็นกลุ่มๆ ละ 20-30 คน โดยจะมาและกลับพร้อมกัน“เชื่อได้ว่ามีการจัดตั้งแน่นอน แต่ไม่ใช่จัดจ้าง
เขาตากแดดตากฝนเหมือนผม ไม่หนีไปไหน หลายต่อหลายครั้ง และมากันทุกวัน มันเกิดความรู้สึกบางอย่างที่รู้ได้ว่าตัวจริงหรือรับตังค์.....ผมเห็นด้วย กับการจัดตั้ง ถ้าผมจัดตั้งได้ผมก็จะทำ มันไม่ใช่สิ่งเลวร้าย”0 0 0
วัน เสาร์ที่ 21 กรกฎาคม เรื่องการเดินขบวนเริ่มชัดเจน มีการพูดกันปากต่อปากแล้วว่า จะเดินไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ ผู้คนเริ่มจัดกลุ่มคุยกันไม่หยุดหย่อน และท้ายที่สุด เวทีก็ประกาศนัดเจอกันตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น จิ้นเล่าว่า บรรยากาศคืนนั้นเต็มไปด้วยความฮึกเหิม คึกคัก แววตาของคนที่ไปร่วมชุมนุมคืนนั้นเหมือนบอกว่า “พรุ่งนี้เจอกัน”วัน อาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม มีการจัดเตรียมการเคลื่อนขบวนกันตั้งแต่หัววัน กลุ่มพลเมืองภิวัตน์นำโดยสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด
และกลุ่มแรงงานนำโดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัย โดยเปิดรับอาสาสมัคร ‘หน่วยสันติวิธี’ จากเดิม 200 คนเป็น 400 คน และแน่นอน จิ้นเข้าร่วมเป็นหนึ่งในอาสาสมัคร“คนแย่งกันสมัครและอยู่แถว หน้า ส่วนใหญ่เป็นคุณป้าอายุไม่ต่ำกว่า 60 ให้อยู่หลังๆ ก็ไม่ยอมด้วย บอกว่าทำไมต้องให้ผู้หญิงอยู่แถวหลัง พวกเขาเดินกันเร็วมาก ใส่เสื้อขาวและโพกศีรษะด้วยผ้าที่เขียนว่า ‘สันติวิธี’ ส่วนผู้ชุมนุมเกือบทุกคนนัดกันใส่เสื้อเหลือง”เขาเล่าว่า การเดินครั้งนี้ต่างจากการเดินไปบ้านสี่เสาฯ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม
ซึ่งไม่สามารถผ่านการสกัดกั้นของตำรวจไปถึงหน้าบ้าน “ป๋า” ได้ ขบวนคราวนี้ตั้งขึ้นตั้งแต่บ่ายโมงกว่า และเริ่มเดินกันราวบ่ายสอง เป็นการเดินที่รวดเร็ว เอาจริงเอาจัง ไม่มีการหยุดพักและร้องเพลงแบบคราวที่แล้ว มีแต่เสียงลมหายใจ ...“ป้าแก่ๆ บอกว่า คราวนี้ถ้าไปไม่ถึงบ้าน 4 เสาฯ เขาจะไม่มาร่วมอีกแล้ว” หน่วย สันติวิธีเดินนำหน้า 8 แถว ก่อนที่จะมีรถขยายเสียงที่มีหมอเหวงอยู่บนนั้น ตามด้วยรถคันใหญ่ที่มีแกนนำหลายคนคอยกล่าวปราศรัยไปตลอดทาง จิ้นเล่าว่า มีการจัดแถวของผู้ชุมนุมสลับไปกับรถขยายเสียงรวมทั้งหมด 6 คัน ขบวนเคลื่อนผ่านสะพานผ่านฟ้าไปได้ค่อนข้างลำบาก แม้ตำรวจจะไม่ได้กั้นขบวน
แต่ก็ไม่มีการกั้นรถเช่นเดียวกัน ขบวนเดินผ่านกองทัพบก ผ่านกระทรวงสาธารณสุข ผ่านที่ทำการสหประชาชาติ จนกระทั่งเจอแนวกั้นของตำรวจพร้อมแผงเหล็กหลายชั้นที่สะพานมัฆวาน เมื่อเจรจาไม่เป็นผล จึงมีการแจกถุงมือหนังและคีมตัดลวดประมาณ 10 อันให้แก่แนวหน้า ซึ่งก็คือ บรรดาป้าๆ เข้าไปตัดลวดหนามเปิดทางให้รถใหญ่พุ่งชนจิ้นเล่าว่า รถพุ่งชนด้วยความแรงจนแผงเหล็กแตกกระจายท่ามกลางตำรวจที่กำลังอลหม่าน แต่เขาก็ยืนยันว่ามีการประกาศบนรถ
แล้วว่าจะทะลวงเข้าไป และตำรวจหลบทัน ไม่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่มีรายงานข่าวว่ามีตำรวจได้รับบาดเจ็บขาหักหนึ่งคนแผง เหล็กกระจัดกระจายระเกะระกะจนผู้ชุมนุมต้องโยนทิ้งลงในคลองข้างทาง เมื่อผ่านไปได้ มีการจัดตั้งแถวใหม่ โดยให้หน่วยสันติวิธีนำหน้าเช่นเดิม จากนั้นขบวนเจอรถขยะสองคันจอดขวางอยู่ เขาบอกว่าคนหนึ่งในนั้นหนีหายไปด้วยความกลัวโดยทิ้งกุญแจไว้ ขบวนจึงถือวิสาสะยึดรถขยะนั้นขับดันแนวรั้วเปิดทางเข้ามา เดินต่อไปสักพักก็เจอรถบรรทุกน้ำขวางถนนอยู่ กลุ่มผู้ชุมนุมช่วยกันปล่อยน้ำออกจากรถ
แล้วรวมพลังกันยกรถพ้นแนวกีดขวางขบวนเดินเรื่อยมา แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกหัวมุมสวนอัมพรก่อนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านสี่เสาฯ “ถนน มันแคบลง ขบวนกลายเป็นแถวยาวเลื้อยไปตามถนน เราเพิ่งมารู้ภายหลังว่า นปก. จัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วมาที่บ้านสี่เสาฯ ก่อนแล้ว กระจายกันอยู่ พอรถมาถึงปุ๊บก็มาร่วมชุมนุมทันที เหมือนกองทัพมด ส่วนตำรวจที่กันอยู่ก็ถอยไปอยู่ข้างๆ”“
มันประเมินยาก ผมคะเนไม่ถูกว่าคนสักเท่าไหร่ แค่คิดว่าอย่างน้อยไม่น่าจะต่ำกว่าหมื่น”ขณะ นั้นเวลาเกือบสี่โมงเย็นแล้ว แม้ฝนจะตกลงมาอย่างหนัก แต่ผู้ชุมนุมยังอยู่กันเหนียวแน่นด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเนื่องจากผ่านด่านเข้า มาได้จนถึงจุดหมาย การปราศรัยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย มีพ่อค้าแม่ค้ารถเข็นนำอาหารการกินเข้ามาในขบวน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการปิดหัวปิดท้ายขบวนผู้ชุมนุมทั้งหมด“มันเป็นมุมอับมาก หากเขาปิดประตูตีแมวก็ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย”จน กระทั่งประมาณ 1 ทุ่ม
จึงเริ่มมีการสับเปลี่ยนกำลังของเจ้าหน้าที่มาตั้งแถวกันอย่างคึกคัก มีคอมมานโดประมาณ 1 กองร้อยเดินเรียงแถวตอนหนึ่งเข้ามาด้านข้างของขบวนผู้ชุมนุม พร้อมตำรวจ พร้อมหมวกกันน็อก ทั้งหมดมีป้ายชื่อชัดเจน ไม่มีกระบอง และเขาได้กล่าวกับตำรวจว่า อย่าทำร้ายพี่น้องประชาชนเกือบ 2 ทุ่ม จิ้นเดินจากปลายขบวนด้านหนึ่งมายังด้านวัดเทเวศร์ ผู้หญิงสูงวัยรับอาสาเฝ้ารถปราศรัยร่วมกับเด็กหนุ่มที่เป็นการ์ด แต่เดินมาไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงประกาศจากรถกระจายเสียงคันใหญ่ ให้กั้นทางแนววัดเทเวศร์ไว้ เพราะมีการบุกมาจากทางนั้น
สิ่งที่เขาเห็น คือชุดคอมมานโดเดินบีบเข้ามาโดยใช้โล่ดัน ไม่มีไม้กระบอง พยายามจะเข้าชาร์จแกนนำบนรถ ประชาชนบริเวณนั้นตกใจและต่อสู้กันอย่างไร้ทิศทาง มีการปาก้อนหินกันข้ามไปข้ามมา บางส่วนใช้กระถางต้นไม้ขว้างข้ามไป เขายอมรับว่าเหตุการณ์ชุลมุนนั้นนับว่าค่อนข้างรุนแรงจริง
และถือว่าแรงกว่าทุกครั้ง เพราะชาวบ้านไม่ยอมให้ตำรวจเข้าชาร์จแกนนำเหตุการณ์ ชุลมุนอยู่พักใหญ่ มีประชาชนหัวร้างข้างแตกบาดเจ็บกันหลายคนเนื่องจากไม่มีเกราะกำบัง หน่วยสันติวิธีที่มีหลายร้อยคน ตอนนี้เหลือราว 10 คน พยายามเข้าไปห้ามปรามจนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง เจ้าหน้าที่ถอยไปตั้งแถวอยู่ริมรั้วบ้านสี่เสาฯ คุณลุงคุณป้าที่ยังอารมณ์คุกรุ่นผลัดกันมาด่าทอเจ้าหน้าที่ด้วยความโกรธแค้น“ป้าๆ ลุงๆ ที่เลือดร้อนมายืนด่าตำรวจด้วยความโกรธแค้น
ทำนองว่า ตำรวจมีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำไมมาทำร้ายประชาชน เป็นพวกขี้ขลาดยอมฟังคำสั่งเผด็จการ แต่จริงๆ มันหยาบกว่านี้เยอะ มีคำสร้อยเต็มไปหมด พอแกเหนื่อยๆ ก็ให้คนพาแกไปนั่ง”ข่าวทีวีรายงาน ว่า เจ้าหน้าที่เองก็ได้รับบาดเจ็บจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ภาพการปะทะถูกแพร่ภาพในข่าวต้นชั่วโมงแทบทุกสถานี พร้อมๆ กับเสียงประณามความป่าเถื่อนของม็อบเริ่มดังขึ้น
จากผู้คนในสังคมที่น่า สนใจคือ เหตุการณ์มิได้สิ้นสุดเพียงเท่านั้น จิ้นเล่าว่า ผู้คนเริ่มนั่งกันไม่ติด เดินไปมา ตัวเขาเองก็เข้าไปคุยกับคอมมานโด 100 กว่าคนแทบจะเรียงตัว แล้วบอกตำรวจว่า อย่าถือสาประชาชนที่ไปยืนด่า
เพราะต่างคนต่างมีอารมณ์ อีกสักพักพวกเขาก็จะแยกย้ายกลับบ้านกันแล้วตำรวจ เหล่านั้นเป็นหน่วยคอมมานโดที่จิ้นคุ้นหน้าคุ้นตา เนื่องจากเป็นหน่วยประจำที่คอยคุมการชุมนุม คุมการเคลื่อนขบวนตั้งแต่ช่วงแรกๆ จิ้นเล่าว่า ระหว่างคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ทุกคนก็แสบตา แสบคอขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่ตำรวจไม่ได้ทำอะไร ปรากฏว่ามีผู้ชุมนุม 2 คน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้ที่แฝงตัวมา
ได้ปาขวดน้ำที่น่าจะบรรจุสารเคมีบางอย่างเข้ามาตรงแผงเหล็ก หลังจากแสบตาอยู่พักหนึ่ง เหตุการณ์ก็ผ่านไป ไม่มีอะไรรุนแรงสักพัก ในอีกฝั่งของขบวนก็เกิดการดันของตำรวจและเกิดการขว้างปาข้าวของระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน กันอีก แต่ก็คลี่คลายรวดเร็วและไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก เจ้าหน้าที่หน่วยนั้นมาตั้งแถวรวมกันหน่วยแรกที่ริมรั้วบ้านสี่เสาฯ จิ้นบอกว่า
ดูสีหน้าแล้วตำรวจก็อยากกลับบ้านและท่าทางจะหิวข้าวหลังจาก นั้นมีข่าวแพร่สะพัดปากต่อปากว่า ภายในบ้านสี่เสาฯ ซึ่งขณะนั้นเริ่มปิดไฟมืดไปหมด มีการเคลื่อนไหวของทหาร 1 กองพันอยู่ในนั้นพร้อมกับข่าวลือเรื่องการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เขาไม่รู้ว่าทั้งหมดนั้นจริงเท็จหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ขณะยืนร้องเพลง ‘เพื่อมวลชน’ และ ‘วันของเรา’ กล่อมผู้คนบนหลังคารถนั้น เขาเห็นแสงสะท้อนของหมวกเหล็กจำนวนมากภายในนั้น ....0 0 0
จุดพี คที่ไม่มีใครได้เห็นอยู่ที่ตอนสุดท้าย “หน่วยที่ 3” ซึ่งเป็นหน่วยนิรนาม ไม่มีป้ายชื่อ ติดกระบอง วิ่งกรูออกมาจากด้านข้างบ้านสี่เสาฯ ตอนเกือบๆ สี่ทุ่ม“จู่ๆ ประตูตรงสโมสรกองทัพบก หรือหน่วยงานอะไรสักอย่างข้างๆ บ้านสี่เสาฯ ก็เปิดออกมา มีคอมมานโดที่มีกระบอง ไม่มีป้ายชื่อ วิ่งออกมาเป็นแถวตอนเรียงห้าออกประมาณ 20 แถว เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมือนคอมมานโดปราบจลาจลทั่วไป มันดูรุนแรงมาก เหมือนหน่วยล่าสังหาร ผมสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต จริงๆ นะ มันพร้อมเพรียงและรวดเร็วมาก
ไม่หลบเลี่ยงอะไรทั้งสิ้น แม้แต่คนแก่ที่ลุกไม่ทัน” แววตาของเขาจริงจัง“เขาวิ่งตรงมาที่หน้าเวที ตอนนั้นมีคนสูงอายุประมาณสี่ห้าสิบคนนั่งอยู่หน้ารถปราศรัย เขาตรงเข้ามาเหยียบ กระทืบคนที่นั่ง คนแก่ทั้งนั้น พั่บๆ ๆ ๆ เร็วมาก พวกผู้หญิงสูงวัยพากันออกมาต้านด้วยมือเปล่า มีบางคนโดนไม้กระบองด้วย”“ผม ลุกขึ้นจะวิ่งเข้ามาก็มีคนมากระชากออก ตอนนั้นสปอร์ตไลท์จากในบ้านสี่เสาฯ ส่องลงมาจนตาพร่า แสบตามาก หน่วยจู่โจมเข้ามาถึงรถปราศรัยแล้วกระชากนั่งร้านที่เอาไว้ตั้งกล้องของพี ทีวีล้มลง กระจายกำลังกันจะขึ้นไปบนรถ
คนบนนั้นพยายามเอาร่มแหลมๆ ดันลงมา จากนั้นก็มีการยิงแก๊สน้ำตาขึ้นไปบนรถปราศรัย ทุกคนสำลัก”“ผมวิ่งไปขอ ร้องตำรวจอีก 2 กองร้อยว่า อย่าเคลื่อนไหวเข้ามาอีก เขาก็เหมือนรู้ว่าพวกนี้ไม่ใช่พวกเขา เขาวางเฉย นิ่งสนิท ทำหน้าเซ็งๆ เหมือนไม่อยากอยู่ตรงนั้นแล้ว” จิ้นกล่าวและเล่าโดยไม่ยืนยันว่า มีการคุยกันในภายหลังโดยหน่วยข่าววงในระบุว่า นั่นอาจเป็นทหารที่มาสวมชุดคอมมานโดแก๊สน้ำตาถูกยิงแตกบนอากาศอีกประมาณ 5 ลูก
ทำให้ผู้ชุมนุมทั้งหมดรวมถึงผู้สื่อข่าวหลายสำนักตรงนั้นปั่นป่วนโกลาหล แสบหน้า แสบตา แสบคอ น้ำมูกน้ำตาไหลหลังจากนั้นคนหนุ่มที่เริ่มตั้งหลักได้จึงนำแผงกั้นของคอมมานโดชุดเดิมที่ยืนอยู่ตรงรั้วบ้านสี่เสาฯ มากระแทกโล่ของคอมมานโดชุดโหดนี้“หน่วย สันติวิธีทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เอารั้วไปกระแทกโล่ตำรวจ ปังๆๆๆ เอากระถางต้นไม้ขว้างใส่แต่ตอนนั้นเหลือแต่กระถางพลาสติก
แล้ว” … ความโกลาหลเกิดขึ้นอีกครั้ง และท้ายที่สุดตำรวจต้องล่าถอยไป“มันเกิด หลังจากเราโดนกระทืบแล้ว พวกป้าๆ ยังกรูกันเข้าไปปกป้องแกนนำบนรถ ผมได้ยินป้าคนหนึ่งตะโกน “ฉันยอมตายตรงนี้ จะไม่ให้ใครจับพวกเราไปสักคนหนึ่ง”” จิ้นพยายามเล่าอย่างยากลำบาก เพราะกดน้ำเสียงสะอื้นไว้เขายืนยันว่า การปะทะกันรอบสุดท้ายนี้ไม่ได้รับการรายงาน ไม่ปรากฏเป็นข่าว “
เป็น การบิดเบือนอย่างร้ายกาจที่สุด ภาพในโทรทัศน์เป็นการปะทะกันรอบแรกที่โดนตำรวจดันเข้ามาก่อน ตอนคนโดนกระทืบ ตอนแก๊สน้ำตา ตอนสเปรย์พริกไทยลงกลับจับภาพไม่ได้ คนหลายพันตรงนั้นแสบหน้า น้ำหูน้ำตาไหล ต้องถอดเสื้อมาโปะหน้า โทรทัศน์เอาแต่รายงานว่า ม็อบพวกนี้รุนแรง ไปทำร้ายตำรวจเขา นี่มันอะไร” 0 0 0ขบวน ค่อยๆ เคลื่อนกลับสนามหลวงอย่างสะบักสะบอม ผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาล แต่ไม่มีประชาชนคนไหนเดินเข้ามาก่นด่าคอมมานโดสองหน่วยแรกอีกเลย“ผม เดินผ่านเขาไปเงียบๆ
ไม่มีใครในนั้นกล้าสบตาผม มันเหมือนเขาน้ำท่วมปาก ไม่สามารถพิทักษ์กฎหมายได้ ไม่สามารถพิทักษ์ความเป็นธรรมได้ ไม่สามารถพิทักษ์ความเป็นมนุษย์ได้ อย่าว่าแต่อุดมการณ์ประชาธิปไตย เพราะคุณเห็นคนสูงอายุโดนกระทืบแล้วนั่งดูเฉยได้” ความรุนแรงในค่ำ คืนนั้นจบลง ... แต่เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศของสังคมที่กลิ่นของความแตก แยก ชิงชัง คละคลุ้งฉุนกว่าเดิม




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 ธันวาคม 2550 10:08:43 น.
Counter : 349 Pageviews.  

ประชาธิปไตยหลังเลือกตั้ง 23 ธันวาฯ

***ผมเกรงว่าระบอบประชาธิปไตยที่เราจะได้มาหลังเลือกตั้ง 23 ธันวาคมศกนี้
จะเป็น "ประชาธิปไตยไส้กลวง" หรือ "ประชาธิปไตยปลอดประชาชน"
(Hollowed-Out Democracy or Democracy without the Demos)

กล่าวคือมีโครงร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญและเหล่าสถาบันตรวจสอบถ่วงดุลที่ไม่ได้มาจากอำนาจเสียงข้างมากเป็นกรอบแข็งแกร่งล้อมรอบอยู่ภายนอก
แต่ขาดตกบกพร่องซึ่งอำนาจอธิปไตยของประชาชนจากการเลือกตั้ง
และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและจริงจังข้างใน!

****ทั้งนี้เพราะตัวแบบ ระบอบเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy)
ที่ไทยเราและนานาประเทศซึ่งพัฒนาไปเป็นสังคมสมัยใหม่ทีหลังรับมา
จากโลกตะวันตกนั้น ตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 2 ชุดที่มาประกอบเข้าด้วยกัน
อยู่ร่วมกัน และหนุนเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทว่าเอาเข้าจริงมีเนื้อหาผิดแปลกแตกต่างและรากเหง้าที่มาแยกต่างหากจากกัน ได้แก่:

1) หลักการเสรีนิยม (Liberalism)
****ซึ่งเรียกขานไปได้ต่างๆ กัน อาทิ เสรีนิยมโดยรัฐธรรมนูญ (Constitutional Liberalism), ประชาธิปไตยโดยรัฐธรรมนูญ
(Constitutional Democracy), หรือประชาธิปไตยแบบเมดิสัน
(Madisonian Democracy-ตามชื่อของ James Madison, ค.ศ.1751-1836, ประธานาธิบดีคนที่ 4 และหนึ่งในคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญและก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งเป็นผู้ร่วมเขียน เดอะ เฟเดอรัลลิสต์เปเปอร์, ค.ศ.1787-88, เอกสารความคิดทางการเมืองอเมริกันชิ้นสำคัญด้วย)

2) หลักการประชาธิปไตย (Democracy)
***ซึ่งก็เรียกขานไปได้ต่างๆ เช่นกัน อาทิ ประชาธิปไตยโดยประชาชน (Popular Democracy), ประชาธิปไตยประชานิยม (Populistic Democracy)
เป็นต้นเนื้อหาสาระและความเป็นมาที่แตกต่างของหลักการ 2 ชุดข้างต้น
อาจสรุปเรียบเรียงเป็นตารางได้ดังนี้
หลักการเสรีนิยมหลักการประชาธิปไตย

จุดเน้น สิทธิเสรีภาพเหนือร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของบุคคลพลเมือง
และหลักนิติธรรมความเสมอภาคและอำนาจอธิปไตยของประชาชนทิศทาง
จำกัดอำนาจของผู้ปกครอง กระจายอำนาจไปให้ประชาชน
เนื้อหา แสดงออกผ่านองค์ประกอบด้านรัฐธรรมนูญของระบอบประชาธิปไตยซึ่งปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของพลเมืองจากอำนาจรัฐ,
เน้นความจำเป็นที่สถาบันต่างๆ ต้องตรวจสอบถ่วงดุลกันอย่างซับซ้อน
เพื่อป้องกันการสะสมรวมศูนย์รวบริบผูกขาดฉวยใช้อำนาจโดยมิชอบ
ของผู้กุมตำแหน่งรัฐบาล, มีนัยถึงการปกครองเพื่อประชาชน
แสดงออกผ่านองค์ประกอบด้านประชาชนของระบอบประชาธิปไตยซึ่งมุ่ง
ให้ประชาชนได้เป็นเจ้าของและใช้อำนาจรัฐด้วยตัวเองอย่างเสมอภาคกัน,
เน้นบทบาทของพลเมืองธรรมดาและการเข้าร่วมของมวลชนผ่านการเลือกตั้ง
ที่เสรี เป็นธรรม สม่ำเสมอ และกระบวนการเคลื่อนไหวอื่นๆ โดยรวมตัวจัดตั้งกันเป็นพรรคการเมือง, มีนัยถึงการปกครองโดยประชาชน

นักคิดปรัชญา จอห์น ล็อก, เจมส์ เมดิสัน, อเล็กซิส เดอ ต๊อกเกอวิลล์, จอห์น สจ๊วต มิลล์, เบนจามิน กองสตองต์ จัง-จ๊ากส์ รุสโซ

หลักหมายอ้างอิง ระบบการเมืองการปกครองอเมริกันอันเกิดจากสภาร่างรัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1787 ระบบการเมืองการปกครองฝรั่งเศสอันเกิดจากการปฏิวัติปี ค.ศ.1789

(สรุปประมวลจาก Noberto Bobbio, Liberalism and Democracy (1990); Fareed Zakaria, "The Rise of Illiberal Democracy", Foreign Affairs (November/December 1997); Peter Mair, "Ruling the Void? The Hollowing of Western Democracy", New Left Review, 11/42 (November/December 2006)

มาบัดนี้ ด้วยเหตุปัจจัยอันเกี่ยวเนื่องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมวัฒนธรรมอันสลับซับซ้อนที่เชื่อมโยงกับกระบวนการโลกาภิวัตน์ในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา -โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสการเปลี่ยนแนวนโยบายเศรษฐกิจไปเป็นแบบเสรีนิยมใหม่ (economic neo-liberalization) และกระแสการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองไปเป็นประชาธิปไตย
(political democratization) ในขอบเขตทั่วโลก - ปรากฏว่านักรัฐศาสตร์และนักวิเคราะห์การเมืองได้ตั้งข้อสังเกตสอดคล้องต้องกันว่าหลั
กการพื้นฐานทั้ง 2 ชุดของระบอบเสรีประชาธิปไตยดังกล่าวกำลังปริแยกแตกร้าวและเคลื่อนออกห่างจากกันในทาง
ปฏิบัติจริง, หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การณ์กลับกลายเป็นว่าองค์ประกอบด้านรัฐธรรมนูญกับองค์ประกอบด้านประชาชนของระบอบประชาธิปไตย
มิจำต้องผูกติดเป็นหนึ่งเดียวกันอีกต่อไป หากอาจตึงเครียดขัดแย้ง
เบียดขับครอบงำ และกระทั่งฉีกขาดแยกทางจากกัน

****บางประเทศซึ่งเน้นย้ำยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยโดดๆ
แต่กดทับละเลยหลักการเสรีนิยม ในลักษณะที่มีการเลือกตั้งเสรี แต่กลับจำกัดสิทธิบุคคลพลเมืองและฉวยใช้อำนาจบริหารโดยมิชอบนั้น ก็เปลี่ยนสีแปรธาตุจากตัวแบบเสรีประชาธิปไตยไปเป็น ระบอบประชาธิปไตยไม่เสรี
(Illiberal Democracy) เช่น การปกครองของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย, ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ แห่งเวเนซุเอลา, อดีตประธานาธิบดีอัลแบร์โต
ฟูจิโมริ แห่งเปรู เป็นต้น

****ในทางกลับกัน อีกบางประเทศก็ทำท่าหันไปเน้นย้ำยึดมั่นหลักการเสรีนิยมโดดๆ แต่กดทับละเลยหลักการประชาธิปไตยมากขึ้น ในสภาพที่ประชาชนเซ็ง
และเฉื่อยเนือยทางการเมือง ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและเข้าร่วมพรรคน้อยลงเรื่อยๆ หันไปหมกมุ่นธุระส่วนตัวแทน ข้างผู้นำและพรรคเองก็ค่อยขยับโยกย้ายจากภาคประชาสังคมหันไปตั้งหลักปักฐานพึ่งพิงภาครัฐมากขึ้น

ทำให้ความสำคัญของการเลือกตั้ง การเข้าร่วมทางการเมืองและอำนาจอธิปไตยของประชาชนลดน้อยถอยลง ขณะที่บทบาทอำนาจของเหล่าสถาบัน
ที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก (Non-Majoritarian Institutions) กล่าวคือไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ไม่เอาพรรค ไม่เอาการเมือง
เช่น เทคโนแครต, ตุลาการ, เอ็นจีโอ ฯลฯ กลับเพิ่มทวีขึ้นทุกที
ส่งผลให้ประชาธิปไตยในประเทศเหล่านี้กำลังถูกนิยามใหม่ในทิศทางที่ถอยห่างออกจากตัวแบบเสรีประชาธิปไตยกลายเป็น ระบอบประชาธิปไตยปลอดประชาชน (Democracy without the Demos)
หรือ ระบอบเสรีประชาธิปไตยครึ่งใบ (Liberal Semi-Democracy)
ไปเสีย เช่น สภาพที่ได้เกิดขึ้นในบรรดาประเทศประชาธิปไตยตั้งมั่นส่วนใหญ่ในยุโรปตะวันตกนับแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 เรื่อยมา เป็นต้น

ฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าผู้นำที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนอย่างประธานาธิบดีปูติน หรือชาเวซ หรือฟูจิโมริ ชักจะจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน กำราบเล่นงานสื่อมวลชนเสรี พรรคฝ่ายค้านและตุลาการเยี่ยง Democratators (จอมบงการประชาธิปไตย) เข้าไปทุกที ดังที่ Joel Simon ผู้อำนวยการบริหารแห่งองค์การ Committee to Protect Journalists-CPJ วิจารณ์แล้ว (Joel Simon, "Introduction", Attacks on the Press in 2006, accessed 7 September 2007, //www.cpj.org/ attacks06/pages06/intro06.html)

ก็คงต้องบอกควบไปด้วยว่าการควักล้วงองค์ประกอบด้านประชาชนออกมาจากตับไตไส้พุงของระบอบประชาธิปไตยตั้งมั่นในโลกตะวันตก กำลังทำให้ ประชาธิปไตยที่นั่นปลอดประชาชน กลายเป็น ประชาธิปไตยที่มีไว้ให้ประชาชนเป็นผู้ชมเฉยๆ (audience democracy) ส่วนนักการเมืองก็เล่นการเมืองกันไปเองเหมือนแสดงหนังวิดีโอ (video politics) โดยประชาชนมีส่วนร่วมน้อยกว่ารายการ Reality TV ต่างๆ ที่กำลังฮิตติดตลาดเสียอีก ขณะที่อำนาจแท้จริงรวบอยู่ในมือบรรดาสถาบันภาครัฐ/เอกชนที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก จนสรุปเป็นสูตรสำเร็จแปลกใหม่ชวนสะท้านใจได้ว่า

NGOs + judges = democracy หรือ

เอ็นจีโอ + ตุลาการ(ภิวัตน์?) = ประชาธิปไตย นั่นเอง!

ภายใต้กรอบอ้างอิงของการเปลี่ยนสีแปรธาตุแยกขั้วแยกข้างระบอบ "ประชาธิปไตย" ทั่วโลกข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไทยหลายปีหลังนี้ก็ประสบความพลิกผันทำนองเ
ดียวกัน ทว่าอาการหนักหนาสาหัสกว่าชาวบ้านหน่อยตรงที่ดับเบิ้ลพลิกผันถึงสองเด้งสองต่อ กล่าวคือ : -

สืบเนื่องจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจและรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมือง พ.ศ.2540 การเมืองไทยก็มีอันพลิกผันเปลี่ยนไป ภายใต้รัฐบาลทักษิณ เป็น ระบอบประชาธิปไตยไม่เสรี จากนั้นผ่านการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549, รัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 2550 และกฎหมายความมั่นคงภายในรวมทั้งชุดกฎหมายจัดระเบียบคุมเข้มและจำกัดบทบาทนักการเมือง
พรรคการเมืองและการเมืองภาคประชาชนฉบับอื่นๆ มันก็กำลังพลิกผันอีกรอบไปสู่ ระบอบประชาธิปไตยปลอดประชาชน ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพ ตุลาการ ระบบราชการ เทคโนแครต เอ็นจีโอ และบรรดาองค์กรภาครัฐ/เอกชนที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก หลังเลือกตั้ง 23 ธันวาฯ

ชะตากรรมของการเลือกตั้ง นักการเมือง พรรคการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองและอำนาจอธิปไตยของประชาชนในระบอบนี้จึงขลุกขลักฝืดเคืองอึ
มครึมไม่แน่ไม่นอน หัวร่อไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ ไม่รู้จะถูกตัดสิทธิ ยุบพรรค หรือห้ามชุมนุม ฯลฯ เมื่อไหร่ดังที่เห็นๆ กันอยู่

โดย เกษียร เตชะพีระ




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2550    
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 14:35:23 น.
Counter : 764 Pageviews.  

1  2  3  4  

แสนแสบ!!ทรวง!!
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แสนแสบ!!ทรวง!!'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.