แว๊บ!!แว๊บ!!_จริงจริง นะค๊ะ!
Group Blog
 
All Blogs
 

ทีคนที่ล้มล้างรัฐธรรมนูญ คนกรุงเทพฯ ยังยอมรับได้เฉยเลย จะไปแคร์อะไรกับการตั้งลูกเหลิม เป็นเลขาฯ รมต

ตอนนี้ผมเห็นคนมาโจมตีกันใหญ่ กรณีนายไชยา สะสมทรัพย์ จะตั้งนายวัน อยู่บำรุง เป็นเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (คือตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ทำหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการ)

คือ ผมเห็นว่ากรณีลูกคุณเฉลิม นี่มันเป็นปัญหาคาราคาซังนานแล้ว พอคุณเฉลิมจะเคลื่อนไหวทางการเมืองทีไร ก็จะโดนถล่มเรื่องลูกชายไม่รู้จักจบจักสิ้น และคุณเฉลิมก็เป็นคนรักลูกดั่งแก้วตาดวงใจ สุดท้ายปัญหานี้ก็แก้ไขไม่ได้สักที

ไหนๆ คุณเฉลิมก็เข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชาชนแล้ว และทำงานให้พรรคอย่างดีเสียด้วย รวมทั้งได้ตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลเลยทีเดียว ในที่สุดในอนาคต คุณเฉลิมก็คงจะต้องผลักดันลูกชายให้เป็นนักการเมืองจนได้ และต้องผลักดันให้ลงเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชาชนจนได้ และเมื่อถึงเวลาเลือกตั้งฝ่ายตรงข้ามก็ต้องหยิบมาโจมตีอีกเหมือนเดิม เพราะนี่เป็นจุดอ่อนประการเดียวของคุณเฉลิม จะหวังว่าจะให้ประชาชนลืมนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามกับคุณเฉลิม ก็ต้องหยิบมาโจมตีทุกครั้งไป

ผมว่าช่วงเวลานี้แหละครับ ที่เหมาะจะแต่งตั้งให้ ลูกชายคุณเฉลิม ดูเหมือนจะเป็นคนที่ชื่อ นายวัน อยู่บำรุง รับตำแหน่งทางการเมือง เพราะมันเพิ่งผ่านพ้นเลือกตั้ง และเชื่อว่าจะยังไม่มีการเลือกตั้งอีกอย่างน้อยก็สองปีข้างหน้า ดังนั้น การตั้งคุณวัน อยู่บำรุง เป็น ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีก็ไม่กระทบต่อฐานเสียงเหรอกครับ และอีกอย่างหนึ่งกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหม่ คุณวัน อยู่บำรุง ก็ได้ทำงานไปแล้ว ทำงานดีหรือเลว ผลงานก็คงออกมาแล้ว และหากทำงานดี คนก็ให้อภัยแล้ว หรือทำงานแย่ ก็คงโดนพรรคปลดไปในการปรับ ครม. ในอนาคต สุดท้ายก็คงไม่กระทบต่อฐานเสียงทางการเมืองอะไรมากมายนัก เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งอีก 2-3 ปีข้างหน้า ลูกเหลิม อาจสร้างชื่อเสียงดีแล้วก็ได้ใครจะไปรู้

นอกจากฝ่ายตรงข้ามจะด่าเอาในตอนนี้ ซึ่งก็ปล่อยพวกเขาไป เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องด่าอยู่แล้ว

พวกเขาโจมตีอยู่แล้วว่ารัฐบาลนี้ขี้เหร่ เพิ่มคุณวัน เข้าไปอีกคนมันก็คงไม่ได้เพิ่มน้ำหนักความขี้เหร่ที่คนพวกนี้ด่าอีกสักเท่าใดนัก

ในความเห็นของผมเองแล้ว กรณี “ลูกเหลิม” นี่คนกรุงเทพฯ และ สื่อต่างๆ กระแดะมากไปหน่อย ลูกเหลิมเป็นเลขา รมต.รับไม่ได้ แต่ พวกคณะทหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ ทำรัฐประหาร ซึ่งเป็นความผิดถึงขั้นประหารชีวิต และเป็น “ครุกรรมอันใหญ่หลวงต่อระบอบประชาธิปไตย” พวกคนชั้นกลาง และคนกรุงเทพฯ รวมทั้งสื่อทั้งหลาย ดันยอมรับได้อย่างหน้าตาเฉย แถมชื่นชมเสียด้วย

ทัศนะคติเช่นนี้ ผมถือว่ามันทุเรศยิ่งกว่าลูกเหลิม ที่แค่เที่ยวพับ แล้วตีกันมากนัก

ลูก พล.อ.วินัย ภัทธิยะกุล หนึ่งใน “คนที่ล้มล้างรัฐธรรมนูญ” ยังยอมรับได้อย่างไม่ละอายใจ ทีลูกเหลิม คนที่ต่อสู้กับเผด็จการทหาร ดันทำเป็นกระแดะยอมรับไม่ได้

ทีแรกผมก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยที่มีการเสนอชื่อ ลูกเหลิมเข้ามาเป็น เลขา รมต. แต่เมื่อนึกถึงคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ที่ไปยอมรับคณะรัฐประหารแล้ว ผมจึงทำใจกรณีเรื่องลูกเหลิม มันเล็กน้อยกว่ากันมากนัก


ผมคิดว่าคนที่เลือกพรรคพลังประชาชน ส่วนใหญ่เขาก็คงไม่คิดอะไรมากมายนัก (คงมีบางส่วนที่ยอมรับไม่ได้แต่ก็คงต้องไปกินยาทัมใจอย่างที่ทันนายกฯสมัครว่า) ฐานเสียงของพรรคพลังประชาชน แม้จะมีอยุ่ในเขตกรุงแทพฯ จำนวนมากเหมือนกัน แต่ฐานเสียงใหญ่กลับอยู่ที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ที่คนที่นั่นส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจปัญหา “ลูกเหลิม” เท่าไหร่ เขาเพียงแต่คิดว่า หากรัฐบาลสมัคร ทำโครงการชลประทานทางท่อได้สำเร็จ จัดหาน้ำให้คนอีสานได้ ปัญหาเรื่องลูกเหลิม ก็กลายเป็นปัญหาจิ๊บจ้อย คนบ้านนอกและคนรากหญ้าเขาไม่สนใจหรอก

และเท่าที่ผมเคยคุยกับคนรากหญ้า กรณีเรื่องลูกเหลิม คนรากหญ้าไม่สนใจมากนัก เพราะส่วนใหญ่แล้ว เรื่องการทะเลาะวิวาทในยามวัยรุ่นเลือดร้อน ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ของคนบ้านนอกนัก อย่างมากเข้าก็คิดว่า มันโตขึ้นมันก็หายซ่าห์ไปเอง หาเมียให้มัน มีหลักมีฐานมันก็เลิกซ่าห์ไปเอง

เรื่องลูกเหลิม จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก เป็นแค่เรื่อง "อารมณ์ของคนที่ไม่ชอบ" อารมณ์ก็คืออารมณ์ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากนัก” ก็เหมือนอารมณ์ ชอบดารา ชอบความหล่อของอภิสิทธิ์ มันเหมือนพระเอกก็เชียร์กัน ส่วนลูกเหลิม มันเหมือนตัวโกง ก็เลยโกรธกัน ประมาณนี้

ผมคิดว่าการเกลียดชังลูกเหลิม มันแรงเกินไป ผิดปกติ ผมสัณนิษฐานได้ว่า ส่วนหนึ่งเพราะคุณ เฉลิมเป็นศัตรูกับพรรคประชาธิปัตย์ และช่วงที่เกิดเรื่องลูกเหลิมนั้น พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ดูเหมือนว่า เสธ.หนั่นจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ คุณเฉลิม ก็เป็นฝ่ายค้านคนสำคัญที่คอยถล่มพรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่าเป็นศัตรูกันก็ว่าได้ เมื่อเกิดกรณีลูกเหลิมขึ้น สื่อที่ส่วนใหญ่สนิทกับพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้วก็เอามาประโคม เล่นข่าว และพวกประชาธิปัตย์ลองเกลียดใครก็เกลียดเข้าใส้ เพราะเขาเหล่านั้นเป็นศัตรูกับพรรคในดวงใจของตนนั้นเอง ทั้งสมัคร เฉลิม และเนวิน โดนเกลียดก็เพราะเหตุที่เป็นศัตรูกับพรรคประชาธิปัตย์นี้

จะไปแคร์อะไรกับฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น ตั้งคุณวันเฉลิมเป็นเลขานุการรัฐมนตรีให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย ปัญหาจะได้จบ ๆ ไปเสียที่ ไม่ต้องมาเป็นเรื่องบาดหมางกันอีกเมื่อถึงเวลาจะเลือกตั้ง เพราะคุณเฉลิมก็คงดันลูกชายอีก สู้ให้ทำงานพิสูจน์ตัวเองเสียแต่บัดนี้ หากแย่จริงๆ คุณเฉลิมก็คงต้องยอมรับ หากทำงานดีจริง ทุ่มเท ประชาชนก็คงยอมรับไปเอง หรือไม่ยอมรับก็คงไม่ใช่พวกที่เชียร์ พรรคพลังประชาชนอยู่แล้ว

จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องลูกเหลิมมากวนใจผมอีกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

บทความ โดย ลูกชาวนาไทย




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2551 13:59:48 น.
Counter : 284 Pageviews.  

เกียรติประวัติระดับโลก “ทักษิณ” ยกฐานะจากผู้กู้เป็นให้กู้

นับตั้งแต่ประเทศ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราช มาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ. 2475 เรามีนายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศกว่า 20 รัฐบาลแล้ว ซึ่งแต่ละรัฐบาลก็อ้างความรักชาติ รักแผ่นดิน เป็นจุดขายทั้งสิ้น

ทั้งรัฐบาลเผด็จการ และประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือเศษเสี้ยวของประชาธิปไตย

ไพร่ฟ้าประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ต่างก็จำยอมรับการปกครองของรัฐบาลนั้นๆ แม้จะอยู่ในสภาพหวานอมขมกลืนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนไทยทั้งประเทศได้รับรู้คือ คนไทยทุกคนเกิดมาต้องมีหนี้สินมากมายเท่าไหร่ เป็นหนี้สินที่เกิดจากการผูกพันที่แต่ละรัฐบาลได้ก่อไว้กับต่างประเทศ ที่กู้ยืมมา ด้วยข้ออ้างเพื่อนำเงินกู้ไปพัฒนาประเทศ

นอกจากนั้นคนไทย ยังคุ้นเคยกับข่าวที่รัฐบาลในแต่ละยุคแถลงถึงการช่วยเหลือของประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจร่ำรวยทางเศรษฐกิจ บางครั้งก็บอกว่ากำลังยื่นขอความช่วยเหลือจากประเทศนั้นๆ อยู่ เรียกว่าต้องพึ่งพาประเทศร่ำรวยในโครงการต่างๆ นั่นเอง จนมีการพูดกันว่าผู้นำหลายประเทศพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเดินทางมาพบผู้นำไทย หรือให้ผู้นำไทยเดินทางไปพบ

แต่เมื่อมาถึงยุคสมัยของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สร้างมิติใหม่ในภาพลักษณ์ของประเทศ ด้วยการประกาศนโยบายกอบกู้ศักดิ์ศรีให้กับประเทศที่เคยอยู่ในภาพ “แบมือขอหรือมีหนี้สินผูกพันกับองค์การต่างประเทศ เช่น ไอ.เอ็ม.เอฟ. ที่ไทยต้องกู้มาจำนวนมาก ทำให้การบริหารงานของรัฐบาลต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ ไอ.เอ็ม.เอฟ. กำหนด เช่น การบังคับให้ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้คนต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย การกำหนดข้อจำกัดให้รัฐบาลไทยในการใช้นโยบายการเงิน เพื่อบริหารประเทศได้อย่างเสรี เป็นต้น

การบริหารราชการของรัฐบาลภายใต้กรอบเงื่อนไขของ ไอ.เอ็ม.เอฟ. นั้น ทำให้รัฐบาลไทยไม่มีอิสระในการบริหารราชการ

เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ใช้ความเด็ดขาด เพื่อจะปลดความเป็น “ทาส” ของ ไอ.เอ็ม.เอฟ. ด้วยการใช้หนี้ ไอ.เอ็ม.เอฟ. ก่อนกำหนด 2 ปี ที่ทำสัญญากู้มาจากรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งนอกจากจะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากพันธะเงื่อนไขของ ไอ.เอ็ม.เอฟ. ใช้ความได้เปรียบในฐานะ “เจ้าหนี้” บงการให้ไทยทำตามนโยบายบางอย่างที่ ไอ.เอ็ม.เอฟ. ต้องการ

สิ่งที่เห็นได้ชัดในการตัดสินใจปลดหนี้จาก ไอ.เอ็ม.เอฟ. ของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือการไม่ต้องทนเสียดอกเบี้ยอีกนับพันล้าน

แต่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่นโยบาย “ปลดหนี้” ให้ประเทศไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มิใช่ “ลูกหนี้” ต่างชาติที่เป็นหนี้ ไอ.เอ็ม.เอฟ. นักการเมืองฝ่ายค้าน นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีในยุคนั้นไม่เห็นด้วย โดยอ้างความจำเป็นของประเทศไทยที่ต้องใช้เงินในการบริหารประเทศ

แต่นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ยอมให้ไทยเป็น “ทาส” ลูกหนี้ของ ไอ.เอ็ม.เอฟ. เดินหน้าใช้หนี้ ไอ.เอ็ม.เอฟ. จนหมดก่อนกำหนดตามที่รัฐบาลชุดเก่าทำไว้

จากการที่ประเทศไทยหลุดพ้นจากพันธะหนี้สิน ไอ.เอ็ม.เอฟ.ที่รัฐบาลชุดก่อนทำไว้ ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติโดดเด่นขึ้นมาทันที นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้นำประเทศในขณะนั้น ได้ประกาศจุดยืนกับผู้นำมหาอำนาจว่า ไทยจะไม่ทำตัวเป็นผู้แบมือขอความช่วยเหลือจากใคร นอกจากการให้เป็นหุ้นส่วนร่วมกันในโครงการต่างๆ ก็พอเพียงแล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แสดงศักยภาพความเป็นผู้นำประเทศไทย ด้วยการแสดงสุนทรพจน์บนเวทีโลกระดับต่างๆ เช่น การประชุมเอเปคที่ประเทศจีน, อินโดนีเซียและไทย การสัมมนาขององค์กรสื่อเอเซียฟอรั่มที่ฮ่องกง สุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เป็นต้น

อดีตผู้นำไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองปัญหาต่างๆ นอกจากในประเทศแล้ว ยังมองถึงอนาคตของประเทศในภูมิภาคด้วยเป็นผู้ริเริ่มความคิดให้ประเทศทางภาคพื้นเอเซียผนึกกำลังร่วมมือทางเศรษฐกิจ ตั้งกองทุนเอเซียบอนด์เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลประเทศในเอเซียที่กำลังพัฒนา แทนการพึ่งพาชาติมหาอำนาจเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนั้นอดีตผู้นำไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังได้เสนอความคิดต่อที่ประชุมประเทศเอเซีย ผนึกกำลังให้เป็นดุลต่อรองกับประเทศมหาอำนาจที่เคยเอารัดเอาเปรียบประเทศแถบเอเซียมายาวนานด้วย

การมีวิสัยทัศน์ไกลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทย จนมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่ถูกเรียกขานว่า “กำลังพัฒนา” ต้องแบมือขอความช่วยเหลือจากประเทศมหาอำนาจให้เงินกู้มาสู่สภาพเป็นประเทศให้เงินกู้ แก่ประเทศที่ด้อยกว่าและเป็นผู้หยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ประเทศเหล่านั้นด้วย

คราวที่เกิดมหาภัยพิบัติจากคลื่นสึนามิอดีตนายกรัฐมนตรีไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศกับนานาประเทศที่ต้องการช่วยเหลือว่า ไทยจะไม่ขอรับการช่วยเหลือเป็นเงิน แต่ขอเป็นอุปกรณ์ก็พอแล้ว




 

Create Date : 31 มกราคม 2551    
Last Update : 31 มกราคม 2551 13:52:35 น.
Counter : 403 Pageviews.  

ทิศทางประเทศไทย...

ทิศทางประเทศไทย...โดย อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ภารกิจของขบวนการประชาธิปไตยหลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ชัยชนะของพรรคพลังประชาชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวชเป็นหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของขบวนการประชาธิปไตยนับแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างปราศจากข้อสงสัยว่า ประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบททั่วประเทศคือทัพหลวงของประชาธิปไตยที่ขบวนการประชาธิปไตยพึ่งพาวางใจได้ในการต่อสู้อันยากลำบากและยาวนาน



ระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 ที่กำกับโดยพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยเนื้อแท้แล้ว เป็นระบอบอำมาตยาธิปไตยที่แกนในอำนาจรัฐยังคงกุมอยู่ในมือของกลุ่มจารีตนิยมที่มีกลไกราชการ-กองทัพเป็นเครื่องมือ ร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มทุนเก่า ปัญญาชนขวาจัด ปัญญาชนอีแอบตีสองหน้า และปัญญาชนเดือนตุลาฯที่ทรยศต่อประชาธิปไตย แกนในนี้มีเปลือกหุ้มเป็นระบอบรัฐสภาที่มีผู้แทนราษฎรและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ถูกกำกับอย่างแน่นหนาจากวุฒิสภาแต่งตั้งและบทบัญญัติต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญที่แยกสลายพรรคการเมืองและจำกัดอำนาจการบริหารของรัฐบาล



ขบวนการประชาธิปไตยในปัจจุบันจึงก่อรูปขึ้นเป็นสองแนวรบใหญ่คือ ด้านหนึ่งเป็นแนวรบในกรอบรัฐธรรมนูญ 2550 อันประกอบด้วยการเลือกตั้ง เวทีรัฐสภาและการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ เพื่อเข้ากุมการบริหารงานแผ่นดินในระดับหนึ่ง ในอีกด้านหนึ่ง ก็คือแนวรบนอกสภาอันประกอบด้วยกลุ่มพลังมวลชนประชาธิปไตยใหม่อันหลากหลายที่ก่อกำเนิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 กันยายน พัฒนาขยายตัว ผ่านการต่อสู้บนท้องถนนมาอย่างทรหดอดทนและอันตรายยิ่ง หล่อหลอมขึ้นเป็นกองทัพหน้าอันกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของขบวนการประชาธิปไตย



ภารกิจประชาธิปไตยในขั้นตอนปัจจุบันยังคงเป็นการต่อสู้เพื่อนำมาซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นผลิตผลของรัฐประหาร 19 กันยายน เป็นเครื่องมือของระบอบอำมาตยาธิปไตย เต็มไปด้วยบทบัญญัติที่เป็นเผด็จการและละเมิดอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และไม่สามารถที่จะใช้เป็นพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปรัฐธรรมนูญได้ ฉะนั้น ภารกิจยุทธศาสตร์ในขั้นปัจจุบันของขบวนการประชาธิปไตยจึงเป็นการนำเอารัฐธรรมนูญ 2540 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้งหมดกลับคืนมา ทำการแก้ไขตามความเห็นของมหาชน แล้วให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข จากนั้น ให้ยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่โดยทันที



ขบวนการประชาธิปไตยที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรและประกอบเป็นแกนนำรัฐบาลในปัจจุบันจะเผชิญกับการล้อมตีอย่างหนักจากฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ซึ่งปัจจุบัน ได้จัดตั้งป้อมค่ายขึ้นเตรียมบั่นทอนและทำลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชน



ป้อมปราการสำคัญที่สุดของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยในรัฐสภาคือ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง ซึ่งเมื่อร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งอีกจำนวนหนึ่ง (เป็นสามในห้าของวุฒิสภา) ก็มีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ตามการไต่สวนและมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และจากการร้องขอกล่าวโทษโดยหนึ่งในห้าของสภาผู้แทนราษฎรหรือหนึ่งในสี่ของวุฒิสภา



ในส่วนของบรรดา “องค์กรอิสระ” ซึ่งแปลงร่างมาจากองค์กรต่าง ๆ ที่คณะรัฐประหารได้แต่งตั้งขึ้นนั้น ปัจจุบัน ก็มี “กรณี” รออยู่จำนวนหนึ่งที่พร้อมทจะประสานกับวุฒิสภาและพรรคฝ่ายค้านเพื่อใช้เล่นงานทั้งตัวบุคคลและพรรคการเมืองที่ร่วมอยู่ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน



ส่วนภายนอกสภา ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยก็ได้ตระเตรียมแนวร่วมขวาจัดของสื่อมวลชนนักวิชาการ-คอลัมนิสต์ ราษฎรอาวุโส นักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรรัฐตามพรบ.ความมั่นคง รอโอกาสประสานกันเพื่อปั่นกระแส สร้างมติ ก่อความปั่นป่วนเพื่อค่อย ๆ ก่อเป็นความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงที่จะนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนทั้งด้วยวิธีการในรัฐธรรมนูญและนอกรัฐธรรมนูญ ก้าวยุทธศาสตร์ที่บ่งชัดถึงการก่อตัวของของแนวร่วมขวาจัดนอกสภาดังกล่าวก็คือ การทำลายสถานีโทรทัศน์ไอทีวีอันเป็นดอกผลของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยพฤษภาคม 2535 แปรเปลี่ยนให้เป็นป้อมปราการของฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยในแนวรบสื่อสารมวลชน เพื่อร่วมประสานกับส่วนอื่น ๆ ก่อตัวเป็นกำแพงสื่อมวลชนขวาจัดที่มุ่งปิดล้อมและบั่นทอนรัฐบาลพรรคพลังประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จเช่นเดียวกับที่กระทำต่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีต



ในสถานการณ์ที่ขบวนการประชาธิปไตยยังคงเป็นฝ่ายรุก ส่วนแนวร่วมเผด็จการอำมาตยาธิปไตยเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำและกำลังตระเตรียมป้อมค่ายพลรบเพื่อตีโต้ทางยุทธศาตร์อีกครั้งนี้ ขบวนการประชาธิปไตยยังคงมีภารกิจต่อสู้อันยากลำบากอยู่เบื้องหน้า จักต้องชูธงชาติไทยสามผืนให้สูงเด่น ประกอบด้วยธงโลกาภิวัฒน์ ปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้า ทันสมัย และได้ประโยชน์จากการพัฒนาระบบทุนนิยมเสรี ชูธงประชาธิปไตย นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาปฏิรูปไปบรรลุอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และธงความเป็นธรรมทางสังคม กระจายดอกผลแห่งสิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเจริญทางเศรษฐกิจไปสู่ประชาชนทุกหมู่เหล่า



ในสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนต่าง ๆ ของขบวนการประชาธิปไตยมีภาระหน้าที่ที่ต่างกัน ต่อสู้ประสานสอดคล้องกันเพื่อตีโต้การล้อมปราบของฝ่ายเผด็จการและผลักดันภารกิจประชาธิปไตยให้ลุล่วง



กลุ่มองค์กรประชาธิปไตยใหม่นอกสภามีลักษณะมวลชนอันเหนียวแน่น เด็ดเดี่ยวอดทน มีการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย สร้างสรรค์ ยืดหยุ่นพลิกแพลง ประกอบด้วยกองทัพมวลชนบนท้องถนนและ “นักรบไซเบอร์” สื่อใต้ดินออนไลน์อันหลากหลาย ที่สามารถสร้างผลสะเทือนทางประชาธิปไตย ตีโต้สื่อสารมวลชนเผด็จการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีส่วนสำคัญอย่างขาดเสียมิได้ต่อชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม กลุ่มองค์กรประชาธิปไตยเหล่านี้ยังมีภารกิจสำคัญเฉพาะหน้าคือ



1. รวมตัวจัดตั้ง ศึกษายกระดับทฤษฎี สรุปบทเรียน พัฒนาผู้ปฏิบัติงาน ปรับปรุงองค์กร ให้มีลักษณะกระชับ สามัคคี มีวินัย และเป็นประชาธิปไตย พร้อมทั้งขยายฐานมวลชน ยกระดับมวลชนส่วนที่กระตือรือร้นขึ้นเป็นผู้ปฏิบัติงาน



2. สร้าง พัฒนา และยึดกุมสื่อออนไลน์ไว้ให้มั่น ยกระดับและขยายสื่อออนไลน์ให้แผ่กว้างทั้งกระดานข่าว เว็บบอร์ด ห้องอภิปราย วิทยุโทรทัศน์อินเตอรเน็ต เชื่อมต่อเข้ากับสื่อหลักที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุชุมชน และสถานีโทรทัศน์ทางเลือกที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพื่อใช้เป็นแนวรบตีโต้การปิดล้อมของสื่อมวลชนขวาจัด แนวรบนี้ยังรวมถึงการเคลื่อนไหวในประเด็นการเมืองอย่างมีจังหวะ แย่งชิงพื้นที่ข่าวในสื่อกระแสหลักอื่น ๆ ที่มิใช่พวกขวาจัด



3. ใช้สื่อออนไลน์และสื่อแนวร่วมเป็นฐานเผยแพร่ให้ความรู้ทางประชาธิปไตยแก่ประชาชน ชี้ให้เห็นถึงธาตุแท้เนื้อในของระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 และพรบ.ความมั่นคงฯ เสนอทางออกแก่สังคมไทยในกระแสโลกาภิวัฒน์ การปฏิรูปประชาธิปไตย และการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม

พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่เกิดจากการบดขยี้ทำลายล้างพรรคไทยรักไทย ผู้นำและสมาชิกพรรคได้ผ่านการกดขี่ทางการเมืองมาอย่างหนัก แต่ในที่สุด ก็ยังสามารถยืนหยัดก่อตัวขึ้นเป็นพรรคพลังประชาชนที่มีนายสมัคร สุนทรเวชเป็นหัวหน้าพรรค กลายเป็นองค์กรการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่สำคัญที่สุดในปัจจุบัน พรรคพลังประชาชนจึงต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งในแนวรบการเลือกตั้งและรัฐสภา พรรคพลังประชาชนจักต้องสรุปบทเรียนจากความพ่ายแพ้ของพรรคไทยรักไทย ซึ่งก็คือ การเป็นพรรคการเมืองแบบเลือกตั้งโดยปราศจากการจัดตั้งมวลชนรองรับ ชัยชนะในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคมได้สอนบทเรียนสำคัญว่า มวลชนชั้นล่างและชั้นกลางทั้งในเมืองและชนบททั่วประเทศคือผนังทองแดงกำแพงเหล็กของพรรคการเมืองประชาธิปไตย จะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ในประเทศที่เจริญแล้วว่า พรรคการเมืองประชาธิปไตยจะต้องมีการจัดตั้งมวลชนของพรรคอย่างเป็นระบบ ให้เป็นพรรคที่มีฐานมวลชนเหนียวแน่นและกว้างขวาง เพื่อที่จะสามารถดำเนินการต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการทั้งในและนอกสภาได้อย่างมีพลัง

ในส่วนรัฐบาลพรรคพลังประชาชน นอกจากภารกิจนำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมาแล้ว ภาระเร่งด่วนในทางเศรษฐกิจคือ เร่งฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่ชะงักงัน ส่วนในทางการเมือง จะต้องเร่งเปิดเสรีสื่อสารมวลชนโดยเร็วที่สุด ส่งเสริมเครือข่ายวิทยุชุมชนทั่วประเทศภายใต้กรอบของกฎหมายโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้อง ให้เปิดเสรีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสู่ครัวเรือนทั่วประเทศในราคาถูกที่สุด และเปิดเสรีสถานีแพร่ภาพโทรทัศน์ทั้งระบบยูเอชเอฟและระบบจานดาวเทียม ส่งเสริมการแพร่กระจายจานดาวเทียมในราคาถูกให้ทั่วถึง เพื่อทะลายการปิดล้อมของสื่อสารมวลชนขวาจัด และให้พลังฝ่ายประชาธิปไตยมีที่ยืนสาธารณะ

ขบวนการประชาธิปไตยในวันนี้กำลังเผชิญกับการท้าทายใหม่ที่จะต้องยึดกุมป้อมปราการรัฐสภาและรัฐบาลไว้ให้มั่น เสริมกำลังให้เข้มแข็ง พัฒนาขยายสื่อสารมวลชนประชาธิปไตยทุกรูปแบบ ตีโต้ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เพื่อรุกไปสู่ขั้นตอนใหม่ของการปฏิรูปรัฐธรมนูญและบรรลุประชาธิปไตยในที่สุด




 

Create Date : 30 มกราคม 2551    
Last Update : 30 มกราคม 2551 19:30:26 น.
Counter : 419 Pageviews.  

จดหมายเปิดผนึกจากพี่ดี้ถึงทุกคน

จดหมายเปิดผนึกจากพี่ดี้ถึงทุกคน

กราบเรียน กัลยาณมิตรที่รักทั้งปวงของผม
เนื่องด้วยมีหลายท่านทราบข่าวว่าผมคิดอ่านลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาในระบบเลือกตั้งของกรุงเทพมหานครตามสื่อต่าง ๆ แล้วพากันอึ้ง ฉงนใจ ไถ่ถาม ว่าทำไมผมจึงมีความคิดจะไปป้วนเปี้ยนในระบบการเมือง ผมจึงอยากไขข้อฉงนของท่านมาพร้อมกัน ณ ที่นี้เสียเลย

ผมเองอยากจะบอกก่อนว่า อย่าว่าแต่ท่านทั้งหลายแปลกใจเลย ผมเองก็แปลกใจตัวเองเช่นกัน เพราะไม่เคยมีอยู่ในแผนชีวิตมาก่อน แต่ทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นจากระบบคิดที่สั่งสมมาโดยไม่รู้ตัว

สมัยวัยเรียน ผมจำได้ว่า เวลาครูสอนหนังสือวิชาใด ก่อนจบชั่วโมง ครูจะถามนักเรียนว่า มีใครไม่เข้าใจตรงไหน ให้ยกมือขึ้นถาม ก็จะไม่มีใครถามอะไร ไม่กล้ายกมือ ใครยกมือขึ้นถามก็จะถูกเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กเรียน อายเพื่อน น่าขำ ยิ่งเป็นเด็กหลังห้องจะยิ่งไม่กล้าถาม ปล่อยให้เด็กเรียนหน้าห้องเรียนเก่ง ถามครู แล้วเพื่อน ๆ ก็คอยนินทาว่าประจบครู แต่ตัวเองก็ยอมให้ตัวเองเรียนไม่รู้เรื่อง ทุกวันนี้ก็ยังมีทัศนคติแบบนี้อยู่ในอีกหลายส่วนของสังคม

การเรียน ครูก็อยากให้ทุกคนรู้วิชา เท่าเทียมกัน การเมือง ก็เป็นเรื่องของทุกคนเท่าเทียมกันเช่นกัน เราทุกคนไม่ว่าอาชีพใด มีสิทธิ์ "ยกมือ" ถามได้เสมอ ตามรัฐธรรมนูญที่เขาอุตส่าห์กวักมือเรียกให้เราไปมีส่วนร่วมเท่าที่จะทำได้
ผมเชื่อว่าทุกคนสนใจการเมืองไม่มากก็น้อย เกลียดคนนั้น รักพรรคนี้ นินทาการเมือง วิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดมัน ไม่ต่างกับการดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หรือละครหลังข่าว เพียงแต่ว่า ฟุตบอลกับละครทีวี ไม่มีผลกระทบกับชีวิตเราอย่างที่การเมืองเป็น

ผมนินทาการเมือง นักการเมืองกันตามโต๊ะน้ำชา ร้านกาแฟ แล้วก็กลับบ้านไป มีประโยชน์แค่พอให้ระบายความคับแค้นหรือขำขัน ผมยี้คนนั้น ยี้คนนี้ ไม่อยากให้คนนั้น คนนี้เข้าไป ผมด่าคนนั้นคนนี้ ตำหนิพวกเขา แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ที่จะส่งเสริมคนที่คิดว่าดี ได้เข้าไปทำหน้าที่ที่สำคัญ ผมไม่เคยคิดส่งตัวเองเข้าไปในวงการเมือง ในฐานะที่เราคิดว่าเราคิดดี มีแนวคิดที่แตกต่าง

ผมไม่ส่งเสริมเพื่อนที่รู้สึกว่าเขาเก่ง หรือคนที่รู้จักที่คิดว่าเขาคิดดี แต่กลับทัดทาน ห้ามปรามว่า อย่าเข้าไปเลยการเมือง มันเปลืองตัว มันแปดเปื้อน แก่งแย่งชิงดีกัน ดังที่ผมเคยได้ยินตลอดมา

หลายครั้ง ผมได้แต่ตำหนิผู้คนในสภาว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เข้าท่า แต่เวลาถามตัวเองกลับไปว่า แล้วเอ็งคิดว่าเอ็งแน่ ทำไมเอ็งไม่ลองเข้าไปในนั้นดูมั่งเล่า ผมก็ตอบตัวเองแบบง่าย ๆ ว่า ไม่เอาละ เรื่องอะไร เปลืองตัว

ผมไม่เคยคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร เป็นคนนินทาหรือกองเชียร์อยู่ไกล ๆ ตลอดมา เพราะคิดว่าตนเองเป็นคนทำงานสัมมาอาชีพ ไม่ว่าง และอยู่คนละโลกกับพวกเขาที่อยู่ใน "ห้องใหญ่ห้องนั้น" ทั้ง ๆที่คนใน "ห้องนั้น" มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้เรามีความสุขหรือทุกข์ได้ โลกของพวกเขาเป็นโลกเดียวกันกับของเรา เรื่องที่เขาตัดสินกันใน “ห้องนั้น” เป็นเรื่องของเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ทัศนคติที่ผมมีต่อการเมืองตลอดมานั้น ผมคิดผิด ควรต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่

แล้ววันหนึ่ง ไม่นานมานี้เอง ผมจึงได้คิดว่า ถ้าพร้อมเมื่อไร มีโอกาสเมื่อไร จะขอเข้าไปดู เข้าไปเห็น เข้าไปช่วย เข้าไปทัดทานได้บ้าง จึงได้ตัดสินใจลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา

มีคนถามว่า ผมมีนโยบายอะไรบ้าง ในการจะอาสาเป็น ส.ว.กรุงเทพฯ ถ้าเป็นคำถามที่ต้องตอบในเชิงการเมือง ผมคงคิดอะไรหรู ๆ ได้สักสิบเรื่องในเวลาสักชั่วโมงหนึ่ง แล้วพูดออกมาสวย ๆ อย่างที่เราเคยเห็นพรรคการเมืองเขามีกัน ซึ่งระดับพรรคการเมืองยังไม่สามารถทำตามสัญญาได้ ระดับ สว.หนึ่งคน จะพูดนโยบายสวยหรูก็คงน่าขบขัน

ตอนนี้ผมขอเพียงตั้งใจอาสาหน้าที่สว. ในความเห็นของผมเบื้องต้นคือการตรวจสอบ ให้คำปรึกษา ทัดทาน ยับยั้ง แก้ไขในสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะถูกต้อง ไม่โดดประชุม พยายามให้กฎหมายที่ร่างออกมานั้นมีสามัญสำนึกและประโยชน์จริง ทำแค่นี้ให้ได้ก่อนเถิด

อีกประเด็นหนึ่งคือ อยากให้คิดกันเสียใหม่ ว่า ประเทศชาตินี้ มีมนุษย์อีกหลายอาชีพ หลายเผ่าพันธุ์ อย่าปล่อยให้ถูกปกครองจากผู้คนเพียงไม่กี่อาชีพ
นักการเมืองนักปกครองของบ้านเรา มีสัดส่วนของข้าราชการประจำ ข้าราชการบำนาญ นักกฎหมาย นักการเงิน เอ็นจีโอหรือ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น อยู่เต็มสภามานานแล้ว น่าจะมีอีกหลายสิบหลายร้อยอาชีพได้เข้าไปร่วมด้วยบ้างในสัดส่วนที่พอเหมาะพอควร

รัฐธรรมนูญทุกฉบับเขียนให้ราษฎรมีสิทธิเท่าเทียมกัน มีสมองและปัญญาใคร่ครวญดุจเดียวกัน จึงไม่ควรมีกลุ่มสาขาอาชีพใดถูกมองว่าด้อยวุฒิภาวะทางการเมืองกว่ากลุ่มใด

การเมือง ไม่ใช่เรื่องของ “คนกลุ่มนั้น” อีกต่อไป เพราะการเมืองเป็นเรื่องของ “ทุกคน”

พลังเงียบ นักเรียนหลังห้อง ถึงเวลาต้องมาแสดงสิทธิเลือกตั้งแล้วครับ รวมทั้งถ้ามีโอกาสที่พร้อม ก็ควรจะแสดงสิทธิและหน้าที่ได้มากกว่าเป็นคนคอยกากบาทและนั่งลุ้นอยู่ที่บ้าน

เลือกตั้ง สว. ครั้งนี้ ผมจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่หวังว่า จะเป็นการกระตุ้นอีกจุดหนึ่งให้กับคนทำงานในวิชาชีพต่าง ๆ อีกมากมาย ได้ตัดสินใจที่จะแสดงศักยภาพและวุฒิภาวะทางการเมือง ให้ในสภาฯ มีความหลากหลายมากกว่านี้ มีความ “รู้เรื่อง” หลากหลายกว่านี้

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคมนี้ เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พลังเงียบอย่าเงียบนะครับ จะเลือกใครก็ตามแต่ใจ แต่แสดงให้ “คนกลุ่มเดิม ๆ นั้น” ทราบว่า ยังมีคนอีกหลายกลุ่มหลายสาขา เขาก็มีพลังเหมือนกัน

สุดท้ายนี้ ขอให้ความจงรักภักดีสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าอยู่หัวที่ท่านมีอยู่ในหัวใจ จงคุ้มครองสติปัญญา ทัศนคติของท่านให้ดำรงชีวิตตน ครอบครัว และส่วนรวมได้อย่างสุขสงบ มั่นคงด้วยเถิด

นิติพงษ์ ห่อนาค ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร หมายเลข 29
ป.ล. อาชีพผมยังเป็นนักแต่งเพลงอยู่นะครับ




 

Create Date : 29 มกราคม 2551    
Last Update : 29 มกราคม 2551 18:31:27 น.
Counter : 342 Pageviews.  

ดื้อเหมือนกัน

ดื้อเหมือนกัน

เป็นที่ทราบกันทั่วโลกว่า พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ที่ประทับขององค์ประมุขของไทยนั้น เป็นทั้งแปลงนา โรงสีข้าว โรงงานผลิตเชื้อเพลิงจากแกลบ ที่ตั้งฟาร์มโคนม โรงงานนมอัดเม็ด ผลิตน้ำผลไม้กระป๋อง โรงเพาะเนื้อเยื่อพันธุ์พืชหายาก ฯลฯ

เป็นแปลงทดลองและโรงงานสาธิตเพื่อแก้ไขปัญหาให้ปวงพสกนิกร เป็นแหล่งค้นคว้าจนเกิดทฤษฎีที่ช่วยให้คนอยู่ได้ท่ามกลางความผันผวนและวิกฤตในโลกนี้


บัดนี้โลกกำลังเริ่มรับรู้ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิด โรงเรียนกาสรกสิวิทย์สอนคน สอนควาย ให้อนุรักษ์และฟื้นฟูการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม


วานนี้ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาฤกษ์โรงเรียน พร้อมมีพระราชดำรัสเรื่องสอนควายไถนาว่า


“...ให้ฝึกควายตัวเมียก่อน เพราะไม่ดื้อ ไม่มีปัญหาเหมือนควายตัวผู้เวลาอยู่ด้วยกันมากๆ จะมีปัญหา...”


พระราชดำรัสนี้ทำเอาเหล่าผู้เข้าเฝ้ากลั้นขันไว้แทบแย่ แต่ทันทีที่มีพระราชดำรัสต่อว่า


“แต่การรับคนที่จะมาฝึกไถนาไม่จำกัดเพศ..” ก็มีเสียงอุๆๆ อึ๊กๆๆ


มีพระราชดำรัสว่า “ถ้าฝึกให้ไถนา เป็นต้องฝึกควายกับควายใช้เวลา 7 วัน ควายตัวไหนดื้อก็ฝึกยาก แต่คนที่เรียนกับควายต้องใช้เวลาเรียน 10 วัน ถึงจะเรียนไถนาได้ และต้องมาเรียนรู้นิสัยควายก่อน คนที่มาเรียนต้องมีใจรักเห็นประโยชน์ของควาย นิสัยใจคอของควายชอบความสุภาพ ไม่ชอบให้คนพูด กระโชกโฮกฮาก ชอบความอ่อนโยน”


พระราชดำรัสนี้ทำให้รู้ว่า คน กับควายมีอะไรหลายอย่างเหมือนกันจริงๆ




 

Create Date : 29 มกราคม 2551    
Last Update : 29 มกราคม 2551 12:19:11 น.
Counter : 323 Pageviews.  

1  2  3  4  

แสนแสบ!!ทรวง!!
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แสนแสบ!!ทรวง!!'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.