แว๊บ!!แว๊บ!!_จริงจริง นะค๊ะ!
Group Blog
 
All Blogs
 

หรือที่ผ่านมาเราเข้าใจผิดมาตลอดว่า คมช กลั่นแกล้ง พปช


จากเหตุความวุ่นวายก่อนวันที่ 19 ก.ย(วันที่ทหารทำการรัฐประหาร)
เกิดความวุ่นวายจากสถานการณ์ม๊อบ ต่าง ๆ ที่ยกขบวนกันมา กดดันรัฐบาล ทรท ของ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร

ทั้งม๊อบหลัก ๆ ของนายสนธิ ลิ้มฯ และม๊อบต่าง ๆ ที่รวมตัวกันขับไล่ และ ยื่นข้อเรียกร้องต่าง ๆ จนเป็นปรากฏการณ์ ที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ และ สื่อ ทุก ๆ แขนง ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร

คนในประเทศ เริ่มถูกสื่อ ครอบงำความคิด และ ชักจูง ด้วย วิธี ต่าง ๆ จนทำให้เกิดกระแส ไม่เอา ทักษิณ

จนดูเหมือนว่า นอกจาก ทักษิณ ชินวัตร ต้องยุติบทบาททางการเมืองแล้ว ยังจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยได้อย่างปรกติสุข พรรค ไทยรักไทย เองก็ถูกกระแสต่อต้านมากพอสมควร ซึ่ง คงเป็นเรื่องยากที่จะฝ่ากระแสต่อต้านอันรุนแรงนี้ไปได้

การปลุกกระแสนี้มี ทีท่าจะไม่จบสิ้นจนกว่าจะทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ เกิดความเกลียดชังจากบุคคลที่ถูกปลุกระดม..

ทันใดนั้นเอง 19 ก.ย. ค่ำคืนแห่งการปฏิวัติ คมช ได้เข้ามา และ มีบทบาท เป็นตัวตั้งตัวตีในการ กวาดล้าง ทรท และ ทักษิณ ชินวัตร ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ทักษิณ ชินวัตร และ คนใกล้ชิด ของอดีตนายก ตลอดจนทำการ ยุบพรรคไทยรักไทย เท่านั้น ยังอายัดทรัพย์สิน ของ อดีตนายก อีกจำนวนมาก ตลอดจนการกวาดล้างสารพัดรูปแบบ และ ยิ่งไปกว่านั้น

การทำงานของ รัฐบาล หุ่นยนต์ชุดนี้ ก็สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศเป็นอย่างมาก เกิดความไม่โปร่งใส ต่าง ๆ ซึ่งไม่อาจตรวจสอบได้ ซึ่งตรงข้ามกับการทำงานของ อดีตนายก และพรรค ทรท

เกิดการเปรียบเทียบ ของ ประชาชน ผู้หาเช้ากินค่ำ รัฐบาลที่พวกเขาเหล่านั้น ได้ร่วมแรงกันขับไล่ มันช่างต่าง กับ รัฐบาลที่ พวกเขา เอาดอกไม้ไปประเคนให้ ถึง รถหุ้มเกราะ ...........

การกวาดล้างยังคงต่อเนื่อง จน น่าที่จะคิดได้ว่า คณะรัฐประหาร ได้กุมทุกอย่างในมือไว้จนหมดจนสิ้น แล้ว ..
ไม่ปรากฏ ว่ามีผู้ใดที่จะต่อกรได้.

..ในระหว่างนี้เอง
คะแนนเสียงจาก ประชาชน ที่เดือดร้อนเพราะ การบริหารที่ย่ำแย่ของรัฐบาลหุ่นยนต์ ได้ถูก โอนไปเก็บ ไว้กับ พรรคหน้าใหม่พรรคนึง ที่ชื่อว่า "พลังประชาชน" โดยที่ ไม่มีใครคาดคิด

รวมถึงกระแสไม่เอาทักษิณ ที่ ซาลงอย่างน่าอัศจรรย์

พรรค พลังประชาชน แบรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นมาแทนที่ ทรท ..

และชนะการเลือกตั้ง ฝ่ามรสุม อำนาจอันบ้าคลั่ง ของฝ่ายตรงข้าม ได้

และความดีความชอบตรงนี้ ต้องยกให้ เหล่า คณะปฏิวัติ รวมถึง ฝ่ายต่าง ๆ ที่ต้องการ ล้ม แบรนด์ ทรท ให้ได้
ที่จัดการให้ทุกอย่างเข้าทาง ทรท

-การล้ม ทรท เป็นสิ่งที่ส่งผลดีมากกว่าร้ายของ สส. ทรท ประชาชนที่ถูกปลุกระดมให้เกลียด ทรท อ่อนแรงลง เนื่องจากสิ้นชื่อ ทรท

-การบริหารงานที่ผิดพลาด ไม่โปร่งใส และเล่นพวกพ้อง ไม่สามารถตรวจสอบได้....ขณะที่คนเหล่านั้นอาจคิดว่า"อำนาจมันช่างหอมหวานเสียนี่กระไร" ประชาชนที่ปากกัดตีนถีบ กลับได้ค้นพบความจริงที่ว่า"ประชาธิปไตยก็ช่างหอมหวานเช่นกัน"

-เกิดแบรนด์ใหม่ แต่เจ้าเก่า อย่าง พปช ที่เคยฝากผลงานให้ประชาชน จดจำ ในชื่อ ของ ทรท

-ความสิ้นหวังจาก ได้ถูกเปลี่ยนเป็นความหวัง หวังว่าบ้านเมืองจะกลับมาดีดังเดิม

-และสุดท้าย ประชาชน ได้ฝากความหวังนั้นไว้ที่ "พปช"

ป.ล ผลงานการคืนชีพ ทรท ต้องยกให้พวกเค้าเท่านั้น คณะกอบกู้ ทรท หรือ ที่ทำงานภายใต้ชื่อ "คมช"




 

Create Date : 24 มกราคม 2551    
Last Update : 24 มกราคม 2551 16:04:54 น.
Counter : 338 Pageviews.  

รมว.กห. คนล่าสุด,

ปัญหาการสรรหาผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง รมว.กห. ในครั้งนี้ ถือได้ว่าวุ่นวายที่สุด เพราะ คมช. ก็ต้องการหาทางลง โดยที่ไม่ต้องการให้ถูกย้อนเกล็ด จากกรณีการทุจริตครั้งมโหฬาร ในเรื่องงบประมาณต่างๆ ที่เบิกเอามาเลี้ยงดูใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟือย จนประชาชนสงสัยว่านี่เป็นการปล้นชาติกันหรือไง ทั้งจากการทิ้งทวนโครงการจัดซื้ออาวุธ ที่ไม่ปฎิบัติตามแนวทางที่ทรงให้ไว้ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยกองทัพถือว่า ตนเองจะต้องชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะใช้กลโกงและวิธีการที่สกปรกต่างๆ อย่างเป็นระบบ จึงเกิดความประมาท ไม่คำนึงถึงโองการจากฟากฟ้า

ดังนั้น จึงเกิดการรวมตัวของทหารที่กลัวตัวเองจะต้องถูกเช็คบิล ในสิ่งที่ตนเองกระทำความผิดไว้ต่างๆ นานา โดยอาศัยเพื่อนร่วมรุ่นที่มีความทะเยอทะยานอยากทางการเมือง และเชื่อหมอดูแบบงมงาย อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่ง คมช. นั้นมีตัวประสานงานและวางแผนคือ พล.อ.วินัย ภัทธิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ส่งลูกชายชื่อ นายสกลธี ภัทธิยกุล ลงเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และให้หน่วยทหาร ตำรวจ ใช้ทุกวิถีทาง ทำให้ลูกชายเข้ามาเป็น ส.ส.ให้ได้ มิฉะนั้น ผบ.หน่วย ในพื้นที่จะต้องรับผิดชอบ ในการปรับย้ายครั้งต่อไป

และเลยถึงขั้นต้องการแทรกแซงกดดัน รัฐบาลที่มาจากศรัทธาของประชาชน ว่า จะต้องให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็น รมว.กห. เท่านั้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ข่มขู่คุกคาม อำนาจอธิปไตยของปวงชน โดยหามีจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตยไม่ การกระทำเล่านี้สร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เพราะประชาชนทั่วไป เริ่มเกิดความสงสัยในความเป็นกลาง หรือการอยู่เหนือการเมืองของสถาบันเพิ่มมากขึ้น อันไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทยในอนาคต

จึงมีการพยายามแก้ปัญหานี้ โดยกลุ่มทหารที่เป็นทหารรักษาพระองค์อย่างแท้จริง มิใช่พวกที่ชอบแต่งกายชุดฝึก แสดงแฟนซี วิ่ง และยิงปืนฉับพลัน โหนตัวลงจาก ฮ. แต่ไม่กล้าอาสาศึกไปรบสนองพระเดชพระคุณที่ภาคใต้ โดยแสงไฟได้ฉายไปที่ พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด , ผบ.ทบ. , แม่ทัพภาคที่ 1 , ผบ.รร.จปร. , ผบ.พล.1 รอ., ผบ.ร.1 รอ. ที่มีบิดาชื่อ จอมพลเกรียงไกร อัตตะนันทน์ และมารดาชื่อ คุณหญิง กานดา อัตตะนันทน์ และรรยาชื่อ คุณหญิง ศุภนภา อัตตะนันทน์ ซึ่งถือว่าได้ทำงานสนองพระเดชพระคุณโดยใกล้ชิดมาโดยต่อเนื่อง และความที่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องครอบครัว ซึ่ง พล.อ.ประวิตรฯ เป็นโสด แต่พฤติกรรมกลับเป็นเพล์บอย ดังที่ทราบไปทั่วในวงการนี้

เหตุการณ์ สรรหา รมว.กห. น่าจะทุเลาลงไป เพราะ พล.อ.ประวิตรฯ นั้น ในกองทัพมีความคลางแคลงใจในเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวก โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่นายทหารที่กำเนิดจาก พล.ร.2 รอ. แล้ว หรือมีผลประโยชน์ร่วม หรือยอมลงให้ ก็มักจะไม่ค่อยได้ดีเท่าที่ควร

คอยติดตามต่อไป แล้วจะพบว่า ทหารรักษาพระองค์ที่แท้จริงของทุกพระองค์ มิใช่พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง น่าจะก้าวขึ้นมาเป็น รมว.กห.คนต่อไป

โดย ทหารเสือแห่งกรุงธนบุรี เมื่อ วัน อาทิตย์ ที่ 20 มกราคม 2551, 13: 38 น




 

Create Date : 22 มกราคม 2551    
Last Update : 22 มกราคม 2551 17:08:15 น.
Counter : 475 Pageviews.  

ทุนใหม่ลุกขึ้นมายึดครอง แล้วตอนนี้ศักดินายึดกลับ..., ตอนนี้เราเหลืออย่างเดียวที่ยังไม่เกิดคือ ‘สงครา

สัมภาษณ์ ม.ล.ปลื้ม (ณัฏฐกรณ์ เทวกุล) ‘เกมอำนาจ’ ช่วงชิง ‘ทีวีสาธารณะ’ ประชาชนอยู่ตรงไหน?

สัมภาษณ์โดย - ตติกานต์ เดชชพงศ สำนักข่าวประชาไท

ความนำ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ในฐานะผู้ประกาศข่าวซึ่งทำงานกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ของรัฐบาล ภายใต้การควบคุมของกรมประชาสัมพันธ์ และมีบทบาทที่น่าจับตามองในฐานะสื่อมวลชนที่ก้าวข้ามจากสถานีของรัฐไปสู่สถานีโทรทัศ
น์เอกชน รวมถึงการอ้างอิงบทความชิ้นหนึ่งของ ม.ล.ณัฐกรณ์ ที่เผยแพร่ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ซึ่งพูดถึงประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การยึด TITV เป็นเพียง ‘เกมอำนาจ’ ของคนบางกลุ่มจริงหรือไม่, จุดแข็ง-จุดอ่อนของนโยบายทีวีสาธารณะคืออะไร, อนาคตของทีวีสาธารณะช่องแรกจะเป็นอย่างไร และท้ายที่สุด ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการก่อตั้งทีวีสาธารณะจริงหรือ...

000

“สิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่เกิดกับทีไอทีวี
มันเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างทุนกับอำนาจเดิมๆ
ซึ่งต้องดึงอำนาจรัฐมาช่วย เพราะว่าไม่มีทุน”

ถาม จากบทความที่คุณเขียนลงหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (1) มีการเปรียบเทียบว่าการยึดสถานี TITV เพื่อทำเป็นทีวีสาธารณะ คือการต่อสู้ในสงครามระหว่าง ‘ศักดินา’ และ ‘ทุน’

ตอบ ใช่ แ่ต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับทีไอทีวีมันก็ไม่ใช่ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดของสงครามน
ี้นะ เท่าที่ผมไล่เรียงดูคือ ‘ไอทีวี’ ตอนที่เป็น ‘ทีวีเสรี’ ช่วงแรกๆ กลุ่มเนชั่นกับกลุ่มของไทยพาณิชย์พยายามบริหาร แต่สัมปทานที่มี ที่ทำกันขึ้นมาในตอนนั้น มันเป็นสัมปทานที่โหดร้ายทารุณมากกับภาคเอกชนที่เข้าไปบริหาร เพราะคุณต้องให้เงินคืนกับสำนักปลัดนายกรัฐมนตรีเยอะมาก ปีหนึ่งคุณต้องจ่ายพันล้านบาท ใครจะไปทำได้ เพราะฉะนั้น ทั้งเนชั่น และ SCB ต้องการถอยออกมา เพราะถ้าถือไอทีวีต่อไปก็จะเป็น NPL เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และไม่มีทางที่จะทำอะไรกับมันได้ บริษัทเดียวในตอนนั้นที่มีทุนมากพอ และกล้าพอที่จะเข้าไป รวมถึงมีเงินสดเหลือเยอะมาก ก็คือ ‘ชินคอร์ป’ ซึ่งนั่นเป็นจังหวะที่ทักษิณก็ต้องการมีสื่ออยู่ในมือด้วย เพราะเขากำลังต้องการที่จะเป็นนายกฯ

สิ่งที่ผิด คือ ความต้องการของทักษิณที่จะเป็นนายกฯ แล้วดันอยากจะไปมีช่องโทรทัศน์ของตัวเอง แต่สิ่งที่ถูกในตอนนั้นคือมันไม่มีทุนไหนกล้าเข้าไปอุ้มไอทีวี เพราะถ้าเข้าไปก็จะต้องแบกรับภาระหนี้สิน ชินฯ ก็เลยเข้าไป เพราะฉะนั้น อาจจะมองได้ว่านี่คืออำนาจของ ‘ทุน’ ซึ่งมาจากกลุ่มคนที่เติบโตขึ้นมาในยุคสิบกว่าปีที่ผ่านมา รวยขึ้นมาจากสัมปทานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น โทรคมนาคม คนที่มีทุนก็เข้าไปยึดคลื่นนี้ได้ ถ้าให้เปรียบเทียบ นั่นก็คือการ ‘ชกหมัดแรก’ ของทุนใหม่ แล้วก็ได้คลื่นนี้มา มีสื่ออยู่ในครอบครอง ซึ่งก็จะมีอิทธิพลกับประชาชน ถ้ามองอย่างนั้นก็คือไอทีวีโดนทุนครอบงำ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ผิด’ สำหรับผม เพราะว่าถ้าคุณไม่มีเงิน คุณทำทีวีไม่ได้ เมื่อทักษิณเข้ามาตอนนั้น สัมปทานก็ต้องแก้ให้มีรายการบันเทิงมากขึ้น ไม่งั้นมันจ่ายเงินให้สำนักปลัดนายกฯ ปีละเป็นพันล้านบาทไม่ได้ ก็แก้ไปแล้ว จบไปแล้ว ปรากฎว่าทำอีท่าไหนไม่รู้ ตอนหลังสำนักปลัดนายกรัฐมนตรีถามว่า ที่แก้สัมปทานนี่ เอาสิทธิ์ที่ไหนไปแก้ ซึ่งจริงๆ ตอนนั้น ความผิดในการแก้สัมปทานอยู่ที่สำนักปลัดนายกรัฐมนตรี เพราะสำนักปลัดฯ ไม่ได้เอาเรื่องแก้สัมปทานเข้าประชุม ครม.

ประเด็นคือว่่า สัมปทานไอทีวีมันถูกแก้ บริษัทไอทีวีกับสำนักปลัดนายกฯ ตกลงแล้วว่าแก้ เซ็นสัญญาจบแล้วก็หมายความว่าไอทีวีสามารถปรับผังได้ทันที เป็นบันเทิง 50 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็เป็นข่าว 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้รายได้ไอทีวีสูงขึ้น มากพอที่จะจ่ายส่วนที่ต้องจ่ายให้กับสำนักปลัดนายกฯ ได้ในแต่ละปี คือ win-win ทั้งคู่ สำนักปลัดนายกฯ ได้รายได้เข้ามาทุกปีโดยที่บริษัทไอทีวีก็ไม่เจ๊ง ทีนี้ สำนักปลัดนายกฯ ตอนนั้นผิด ตรงที่ไม่นำเรื่องนี้เข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ผมไม่รู้ว่าปลัดสำนักนายกฯ คนไหนที่ทำเรื่องตรงนี้ แต่อย่างเดียวก็คือ เมื่อมีการเปลี่ยนปลัดสำนักนายกฯ ก็มีการยื่นฟ้องกับศาลปกครอง นำมาสู่ค่าปรับอะไรต่างๆ โดยบอกว่า ‘ไอทีวีปรับผังไม่ได้’ เพราะว่าเรื่องนี้สัมปทานยังไม่ได้แก้ ยังไม่ได้นำเรื่องเข้าสู่การประชุม ครม.

พอเป็นอย่างนี้สำนักนายกฯ ก็เลยปรับเงินไอทีวี แต่สัญญามันเซ็นว่า ต้องปรับ 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าสัมปทานต่อวัน ซึ่ง 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าสัมปทานก็คือ 100 ล้าน เพราะค่าสัมปทานต่อปีต้องจ่าย 1 พันล้าน แล้ว 10เปอร์เซ็นต์ของ 1 พันล้านคือ 100 ล้าน แต่เขาให้ปรับต่อวัน ก็เลยต้องเอาหนึ่งร้อยล้านมาคูณจำนวนวันที่ไอทีวีทำผิดสัญญา คนที่ห่วยก็คือคนร่างสัญญา ค่าปรับบ้าอะไร ตั้งสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วคูณจำนวนของวันอีก ทีนี้บริษัทไอทีวีก็ไม่ยอมจ่ายค่าปรับ มันก็เป็นดินพอกหางหมู ค่าปรับก็สูงขึ้นๆ จนมันไม่มีทางจ่ายได้ เป็นเงินถึงแสนล้าน ตอนนั้นขายก็ไม่มีใครซื้อ เพราะค่าปรับมันมหาศาล คือมันเป็น ‘เกม’ ตั้งแต่แรก เกมที่รู้ว่าไอทีวีทำผิดสัญญาแล้ว ก็ล็อกให้อยู่ใน situation ที่จะนำไปสู่การ ‘ยึดคลื่น’ ให้ได้

ถาม เพราะอะไรถึงมองว่าเป็นความต้องการของรัฐที่จะยึดคลื่นไอทีวี หรือทีไอทีวี คืนมา

ตอบ คือถ้าสำนักปลัดนายกฯ มี sense ตามปกติ ก็ต้องเลี้ยงไอทีวีให้เหมือนเป็นลูกหนี้ คือค่าปรับสูงขนาดนี้ สูงถึงแสนล้าน ถ้าคุณมีลูกหนี้หนึ่งแสนล้าน คุณต้องทำอะไรกับเขา? คุณต้องให้เขามีชีวิตต่อไป เพราะว่าเขาจะได้จ่ายคืนหนี้ให้คุณได้ในที่สุด กลวิธีตามปกติที่สำนักนายกฯ จะมองในเรื่องของรายได้ของรัฐ ก็คือต้องเลี้ยงให้ไอทีวีอยู่ต่อไป จนในที่สุดก็จ่ายค่าปรับได้ครบแสนล้านได้ คือมันต้องมีการประนีประนอมกันในเรื่องของหนี้ แต่ว่าจุดยืนของสำนักนายกฯ ตอนนี้ไม่ต้องการประนีประนอมเรื่องหนี้ เหมือนกับที่ไม่ต้องการประนีประนอมเรื่องค่าปรับ แ่ต่ต้องการที่จะปูทาง เพื่อให้ในที่สุด มันจะนำไปสู่การ ‘ยึดคลื่น’ เพราะยึดกลับมาแล้ว เขาจะเดินยังไงต่อไปก็ได้ คือสำนักปลัดนายกฯ ไม่ใช่องค์กรทางธุรกิจ ถ้าเป็นองค์กรทางธุรกิจ เขาจะไม่มีวันทำอย่างนี้ เขาจะต้องเลี้ยงลูกหนี้ให้อยู่ต่อไป

โดยรวมแล้ว ผมมีปัญหากับทิศทางการบริหารประเทศใน 3 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าการที่ทักษิณเข้ามาตั้งแต่แรกเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็คือการคอรัปชั่น ซึ่งมันเกิดขึ้นในรัฐบาลเขา แต่สิ่งที่ดีคือ ‘ความเปลี่ยนแปลง’ คือเขาเป็นคนเดียวที่มีศักยภาพพอที่จะดึงอำนาจจากขั้วอำนาจเดิมในประเทศ คือทหาร, เทคโนแครต, องคมนตรี...อะไรพวกนี้ ทักษิณเป็นคนเดียวที่ ‘กล้า’ หรือ ‘บ้า’ พอที่จะดึงอำนาจมาเพื่อ balance หรือมาถ่วงดุลกับอำนาจที่มีอยู่ ซึ่งโอเค...อำนาจนั่นมันก็ได้มาจากการที่ประชาชนลงคะแนนเสียงให้เขาเยอะ การที่เขามีเสน่ห์ การที่เขามีเงินเยอะ มันก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่เมื่อเขามาอยู่ในอำนาจ แล้วไปลุแก่อำนาจนี่ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ คือที่มันมีหลายๆ โครงการโกงกันในช่วงรัฐบาลเขา ถ้ามันเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ว่าโดยรวมแล้วมันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ ‘ต้องมี’ ในเมืองไทย เพราะเมืองไทยมันล้าหลัง ดูอย่างการบริหารงานในรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์สิ มันชัดเลยว่ามันหมดยุคไปแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่เกิดกับทีไอทีวี มันเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างทุนกับอำนาจเดิมๆ ซึ่งต้องดึงอำนาจรัฐมาช่วย เพราะว่าไม่มีทุน

000

“จุดที่มันเลวร้ายของ พ.ร.บ.นี้คือดันไปเขียนไว้ในกฎหมายว่า ต้องเอาคลื่นนี้เท่าันั้น
ซึ่งมันไม่จำเป็น ถ้าคุณไม่ต้องรีบทำขนาดนี้ คุณก็ไม่ต้องไปแย่งคลื่นนี้มา
...มันก็เลยกลายเป็นสงครามเกิดขึ้นตอนนี้ ซัดกันเละเลย”

ถาม การยึดไอทีวีคืนมาได้ ภาระเรื่องหนี้จะไปตกอยู่กับใคร

ตอบ หนี้ที่ไอทีวีมีกับสำนักนายกฯ นี่มันหายไปเลยครับ ไม่มีการปรับอีก หรือถ้าหากอนุญาโตตุลาการจะตัดสินว่า บริษัทไอทีวีต้องจ่ายค่าปรับแสนล้านจริงๆ ฟ้องล้มละลายก็จบแล้ว เพราะเขาไม่มีเงินจ่าย แต่ผมมองภาพรวมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นโอกาสที่รัฐบาลจะยึดคลื่นคืนจากไอทีวี เพราะคลื่นๆ นี้มันไปอยู่ในมือของทุน จากมือทักษิณ แล้วขายไปให้สิงคโปร์ ก็อยู่ในมือสิงคโปร์ เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจจุดยืนของรัฐบาลว่า ‘ทำไมถึงต้องยึดคืนคลื่นนี้’ แต่พนักงานไอทีวีเป็นเพียง collateral damage หรือคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ก็ทำงานไป แต่ก็ต้องมาได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ เพราะคลื่นนี้ ถ้าไม่ยึด มันก็คือคลื่นของสิงคโปร์ไปแล้วไง ช่องนี้เทมาเส็กเป็นเจ้าของ

ถาม เมื่อเป็นอย่างนั้น ที่รัฐบาลบอกว่านี่คือการ ‘ทวงสมบัติชาติคืน’ ก็สมควรได้รับการสนับสนุน?

ตอบ ผมเชื่อว่าไม่ได้รับการสนับสนุน แต่มันก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล มีความชอบธรรมในระดับหนึ่ง ที่สามารถพูดได้ในวันหนึ่ง เมื่อเรื่องนี้จบ สามารถเล่าเรื่องเป็นประวัติศาสตร์ได้ว่า คลื่นนี้มันไปอยู่ในมือของทักษิณ นอกจากนั้นทักษิณก็ขายบริษัทนี้ไปให้เทมาเส็ก พอขายให้เทมาเส็ก ช่องๆ นี้กลายเป็นช่องของคนสิงคโปร์ไปเลย เป็นช่องของรัฐบาลสิงคโปร์ไปเลย ซึ่งถ้ามองจากคอนเส็ปต์ของคนที่เป็นชาตินิยม กรณีนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องเอาคืน ซึ่งอันนี้เข้าใจ มีความชอบธรรม แต่วิธีที่ทำนี่มันปูทางไปสู่การยึดไง แทนที่จะเป็นปรับหรือการอะไร..มันปูทางมาสู่การที่จะบอกว่า เฮ้ย! คลื่นต้องกลับมาเป็นของเรา กลับมาเป็นของรัฐ ในช่วงทั้งหมดนี้คือการต่อสู้ระหว่างทุนใหม่กับระบบเก่า ซึ่งชาตินิยมอย่างเดียว คลื่นนี้ ‘ต้อง’ กลับมาเป็นของรัฐ จะยังไงก็ได้ ให้ช่องมันมีรายการที่ห่วยแตกก็ช่างมัน แต่คลื่นต้องเป็นของรัฐ ของเรา ของคนไทย นั่นคือชาตินิยมเพียวๆ แล้วบังเอิญว่า ดร.สมเกีียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ เข้ามาพอดี แล้วตอนนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร (เทวกุล) ก็ลาออกพอดี สูตรเดิมที่จะยึดคืนไอทีวี แล้วค่อยให้มีการประมูลทีวีคลื่นนี้ออกมาใหม่ โดยเปิดให้บริษัทเอกชนทุกรายมาประมูลเอาคลื่นนี้ออกไปบริหาร แทนที่จะเป็นบริษัทไอทีวีก็จะเป็นบริษัทอื่นๆ ซึ่งก็คือเป็นทีวีเอกชนเหมือนเดิม สูตรนี้ก็ถูกยกเลิกไป

ดร.สมเกียรติ เข้ามาพร้อมๆ กับ ดร.ฉลองภพ (สุสังกร์กาญจน์) ดร.ฉลองภพ ก็เดินเกมในเรื่องของภาษีบุหรี่กับภาษีสุรา ที่จะนำเงินงบประมาณมาสองพันล้าน่ต่อปี เมื่อ ดร.สมเกียรติเสนอร่าง พ.ร.บ.ทีวีสาธารณะให้กับคุณหญิงทิพาวดีแล้ว คุณหญิงทิพาวดีค่อนข้างชอบ แต่ในที่สุดแล้ว คนที่ชอบก็คือนายกรัฐมนตรี พอนายกฯ ชอบ นายกฯ ไฟเขียว หลังจากนั้นเกมมันก็เดิน โดยการผ่าน พ.ร.บ.นี้ออกมา คือไม่ใช่ว่าทีวีสาธารณะเลวร้าย ทีวีสาธารณะสำหรับผมน่ะดี มันต้องมีสักช่อง แต่จุดที่มันเลวร้ายของ พ.ร.บ.นี้คือดันไปเขียนไว้ในกฎหมายว่า ต้องเอาคลื่นนี้เท่าันั้น ซึ่งมันไม่จำเป็น ถ้าคุณไม่ต้องรีบทำขนาดนี้ คุณก็ไม่ต้องไปแย่งคลื่นนี้มา แต่ด้วยความที่ไปเขียนในกฎหมายเลย ตอนหลังคุณ อรรคพล สรสุชาติ ของพรรคชาติไทย เขาก็บอกว่า ให้แก้เอาข้อความตรงนี้ออก อย่าไปเขียนว่าต้องเอาคลื่นไอทีวี จะเขียนว่าเอาคลื่นอันอื่นในอนาคตจาก กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ก็ได้ คือมันมีคลื่นอีกเยอะไง ไม่ต้องรีบ แต่เขาจะเอาแต่ ‘คลื่นนี้’ ให้ได้ มันก็เลยกลายเป็นสงครามเกิดขึ้นตอนนี้ ซัดกันเละเลย มันคือการแย่งชิงคลื่นๆ หนึ่ง ซึ่งเหมือนเขาจะรีบๆ ทำ เหมือนกับว่าถ้าเขารอคลื่นอื่นมันจะไม่ได้

ถาม ถ้ามองว่านี่คือผลงานชิ้นหนึ่งของรัฐบาลนี้-ที่สามารถยึดสถานีโทรทัศน์ของอำนาจเก่าคืนมาได้ แต่ขณะเดียวกัน TITV ก็เป็นสถานีที่มีความพร้อมอยู่แล้วในการผลักดันให้เป็นทีวีสาธารณะ

ตอบ ผมคิดว่าคนอย่าง ดร.สมเกียรติ หรือคุณหญิงทิพาวดี เขาไม่ได้มีเจตนาอะไรอย่างนั้น เขาเป็นคนดีน่ะ แ่ต่ว่าผมไม่ได้มองในทั้ังหมดนี้ว่าใครเป็นคนเลวคนดี ผมแค่ว่าแ่ต่ละคนอยู่ในจุดที่ต่างกัน ถูกกำหนดมาโดยชะตากรรมของชีวิต ที่จะต้องมาต่อสู้กัน คือถ้านึกดูจริงๆ ทักษิณเกิดขึ้นมาเป็นคนจีนที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เขาก็ทำธุรกิจสร้างตัวเองขึ้นมาให้รวย อีกฝ่ายหนึ่งก็เกิดมาเป็นลูกทหาร ถูกส่งไปเรียนโรงเรียน จปร. โตขึ้นมาเป็นทหารก็ต้องมาปกป้องผลประโยชน์ของชาติ แล้วพวกที่มาร่วมในรัฐบาลสุรยุทธ์แต่ละคนนี่ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มพวกพ้องของพลเอกสุรยุทธ์ หรือพวกของทักษิณ หรือพวกของ คมช. คือเขาก็เข้ามารับตำแหน่ง แล้วบังเอิญต้องมาเจอพวกนี้ ต้องมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของชาติ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ในที่สุดเมืองไทยก็มาฟัดกันเองด้วยอะไรที่มันน่าตลกเหมือนกัน

แต่ประเด็นทีวีสาธารณะ ผมเข้าใจ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ว่าทำไมแกต้องรีบทำ เพราะว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่...อย่างน้อยๆ ทีดีอาร์ไอ (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย) ก็ยังได้มีบทบาท อย่างอาจารย์ฉลองภพ แล้วในสภาเองก็เป็นสภาที่พูดคุยกันได้ ผมจึงเข้าใจว่าทำไมแกรีบผลักดัน เพราะถ้ารอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เขาคงไม่เอาอันนี้ ซึ่งผมเข้าใจ แต่ว่า ความที่ไปเอาคลื่นเก่าไอทีวีมา มันก็เลยกลายเป็นการแย่งอำนาจกัน เพราะถ้าคุณมองภาพรวม ไอทีวีเคยถูกครอบงำโดยทุน ใช่ไหม แล้วในที่สุด วิถีทางเดียวที่จะสู้กับทุนได้ ก็คือการใช้ ‘อำนาจรัฐ’ คือเป็นสิ่งเดียวที่จะฆ่าทุนได้ อย่างน้อยก็ชั่วคราว ก็ใช้อำนาจรัฐในการสั่งระงับแพร่ภาพ, ยึดทรัพย์สินมาเป็นของรัฐ และย้ายสถานที่ที่เป็นเหมือน ‘เมืองหลวงของไอทีวี’ ก็คือตึกชิน ไปอยู่ที่กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ของรัฐบาล มันเป็นเกมที่กลุ่มอำนาจเก่าๆ...ไม่ใช่กลุ่ม ‘อำนาจเก่า’ นะ แต่เป็นกลุ่มอำนาจ ‘เก่าๆ’ ซึ่งก็คือทุนเก่า คือทหาร นักการเืมืองรุ่นเก่า เขาต้องดึงกลับมาให้อยู่กับรัฐบาล ในขณะที่ทุนใหม่ ซึ่งเติบโตขึ้นมาด้วยการครอบครองอะไรไปเยอะมาก ก็แพ้ในครั้งนี้...แต่การต่อสู้จะยังดำเนินต่อไป

000

“ถ้าผมผลิตรายการห่วยๆ ออกช่อง 3
เรตติ้งไม่ดี เรตติ้งตก รายการอยู่ได้แค่ 3 เดือนก็หลุด
แต่ถ้าผมผลิตรายการห่วยออกช่อง 11 หลุดไหม? ไม่หลุด
เพราะคุณไม่ต้อง accountable ซึ่งก็คือคุณไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น”

ถาม ปัญหาตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่ว่าไอทีีวีไม่ควรถูกยึด เพราะมันโดนยึดไปแล้วเรียบร้อย แต่ประเด็นมันน่าจะอยู่ที่ว่าถ้ายึดไปแล้วเราจะทำยังไงต่อไปกับการเป็นทีวีสาธารณะ TPBS

ตอบ ตอนนี้ก็ได้แต่ปลงครับ คือรัฐธรรมนูญ 50 มันย่ำแย่ และที่จริงรัฐธรรมนูญ 40 จะต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่เราใช้ เรื่องนั้นผมปลงไปตั้งแต่คืนที่ลงประชามติแล้ว คืนนั้นผมไม่ออกโทรทัศน์เลยสักช่อง เพราะผมกลัวว่าผมจะทนไม่ได้ รัฐธรรมนูญปี 40 นี่บอกได้เลย...ถ้าผมเป็นใหญ่ ผมจะเอากลับมา แต่นี่ผมไม่รู้จะเอากลับมายังไง คือรัฐธรรมนูญ 50 นี่มันเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจาก ‘ประสงค์ สุ่นศิริ’ ไง ซึ่งประสงค์ สุ่นศิริ ไม่น่าจะมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องแบบนี้เลย มันผิดตั้งแต่แรก ที่ปลงเรื่องที่สองคือ 111 คนถูกแบนนี่ยังไงมันก็ไม่แฟร์ และสามคือ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมันหายไป แล้วเรื่องนี้มัน ‘อาจจะเกิดขึ้นอีก’ ก็ได้ เพราะอำนาจมันไปอยู่ที่ศาลเยอะมาก จนในที่สุดแล้วศาล ‘ดูเหมือนว่า’ จะมีอำนาจที่จะยกเลิกการเลือกตั้ง ซึ่งผมไม่รู้ว่าใครไปเอาระบบนี้มา เพราะสำหรับผม ไม่มีทางที่ศาลจะมีสิทธิ์ยกเลิกผลการเลือกตั้ง

ผลการเลือกตั้งมันคืออำนาจอธิปไตยของคนไทยที่เลือกคนมา ศาลจะยกเลิกผลการเลือกตั้งได้นี่มันจะต้องอยู่ในขั้นวิกฤตแบบสุดๆ น่ะ การเลือกตั้งต้องโกงหมดทุกเขต ต้องโกงกันแบบว่า..เกินครึ่ง ศาลถึงจะยกเลิกการเลือกตั้งได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้น่ากลัวมาก อยู่ดีๆ ศาลกลายเป็นผู้มีอำนาจมากขนาดที่สั่งยกเลิกการเลือกตั้งได้บ่อยขนาดนี้ แล้วคนก็ไปเรียกร้องกันตลอด ไม่ไหว ผมปลงมาหลายเืรื่องแล้ว เพราะฉะนั้นพอมาถึงเรื่องไอทีวีเลยปลงว่า มองไปข้างหน้า ทีวีช่องนี้จะเป็นทีวีสาธารณะ ก็เป็นไป ซึ่งมันก็จะเป็นเวทีให้กับคนที่ถูกกีดกันหรือ marginalize ในยุคทักษิณ คนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในยุคทักษิณก็อาจจะมีสิทธิ์มีเสียงผ่าน TPBS นี้...ก็โอเค ก็ดี ส่วนกลุ่มไอทีวีเดิม ผมคิดว่าเขาจะต้องรอจังหวะให้มี กสทช. แล้วไปขอคลื่นมาบริหารใหม่ อาจจะร่วมกันกับบริษัทของเอกชน อย่างกันตนาหรืออะไรพวกนี้ เขารวมกลุ่มกันได้ แล้วก็ไปขอคลื่นมาใหม่ แต่ว่าเรายังไม่มีคณะกรรมการ กสทช.ไง พวกนี้เขาก็เลยต้องเหมือนกับว่าพักงานตัวเองไปชั่วคราว แต่ว่าช่องทีวีสาธารณะนี้ก็คงจะกลายไปเป็นเหมือนช่อง 11 หรือไม่ก็อยู่ระหว่างช่อง 11 กับช่อง 9 ซึ่งผมไม่ได้ว่าช่อง 11 ไม่ดีนะ...

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำงานแบบช่อง 11 มันไม่ใช่การทำงานเชิงรุก และไม่แน่ว่าทีวีสาธารณะแบบนี้จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าไปร่วมได้จริง
อย่างช่อง 11 น่ะ มีก็ดีแล้ว แต่มีช่องเดียวพอ ไม่ควรมีซ้ำซ้อน คอนเส็ปต์ทีวีสาธารณะนี่มันใช้การได้แต่ในกระดาษเท่าันั้นแหละ มันไม่เวิร์กในความเป็นจริงที่เป็นอยู่ของเมืองไทยในตอนนี้ อย่างผมนี่ ถ้าผมผลิตรายการ ผมต้องมี accountability หรือต้องรับผิดชอบต่อใคร? ถ้าผมผลิตรายการห่วยๆ ออกช่อง 3 เรตติ้งไม่ดี เรตติ้งตก รายการอยู่ได้แค่ 3 เดือนก็หลุด แต่ถ้าผมผลิตรายการห่วยออกช่อง 11 หลุดไหม? ไม่หลุด เพราะคุณไม่ต้อง accountable ซึ่งก็คือคุณไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น แล้วกับทีวีสาธารณะนี่ สมมติว่าผมผลิตรายการ ก็ต้องไปเสนอต่อคณะกรรมการฯ ซึ่งก็คือนักวิชาการต่างๆ มันต้องมีฝ่ายการตลาด marketing อะไรไหม? ก็ไม่ต้องเลย เพราะคุณได้เงินสองพันล้านอยู่แล้วทุกปี แต่ถ้าผมไปมี accountable กับนักวิชาการ 9 คนที่มานั่งเป็นคณะกรรมการฯ อยู่นี่ ก็หมายความว่าผมไม่ได้ accountable กับคนดูนะ ผม accountable กับคณะกรรมการ เหมือนอย่างช่อง 11 คือช่อง 11 ก็มีรายการดีๆ อยู่ แต่ต่อให้คุณผลิตรายการห่วยแตกออกช่อง 11 มีใครว่าอะไรไหม? ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ‘ทุน’ ดีกว่า ‘รัฐ’ อยู่เสมอ แต่ทีนี้ถ้าทุนไปอยู่ที่คนๆ เดียวจะเป็นปัญหา เพราะว่ามันผูกขาดไปอยู่ที่คนๆ เดียว ซึ่งมันก็มีจุดแข็งจุดอ่อนที่ต่างกัน

000

“ตอนนี้เราเหลืออย่างเดียวที่ยังไม่เกิดคือ ‘สงครามกลางกรุง’
คือสื่อก็ยังซัดกันเองหมดเลย ประชาชนไม่มีสิทธิ์ ประชาชนจงไปเลือกตั้ง
แต่ผลการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมากลับไม่ได้รับการเคารพ”

ถาม จุดอ่อนของทีวีสาธารณะคือ?

ตอบ อันที่หนึ่งที่พูดไปแล้วคือไม่มี accountability กับคนดู เพราะว่า accountability กับสาธารณชนมันเป็นสิ่งที่พูดได้แต่ในความฝัน มันไม่มีจริง การมี accountability กับประชาชนนั่นคือการที่รายการอยู่ได้เพราะเรตติ้งดี คือทีวีสาธารณะต้องทำเพื่อประชาชนใช่ไหม เพื่อให้คนได้ชมรายการที่ดีสำหรับประชาชน คอนเส็ปต์นั้นมันก็คือคอนเส็ปต์ทีวีพาณิชย์นั่นแหละ คือการทำในสิ่งที่คนอยากดู แต่ว่าทีวีพาณิชย์มันก็อาจจะโอเว่อร์เกินไปในเรื่องละคร-เกมโชว์ แต่ทีวีสาธารณะนี่ ถ้ายึดว่าทำเพื่อประชาชน คุณจะไม่ดูเรตติ้งเลยมันก็ไม่ได้

ถาม ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงให้ TPBS ต่างจากช่อง 11

ตอบ ต้องให้ผู้ผลิตเป็น ‘มืออาชีพ’ ผมมีคอนเส็ปต์ที่คิดว่าเราควรจะทำกันตอนนี้ แต่คงทำกันไม่ได้หรอก ผมอยากให้มีช่องสมานฉันท์ ผมตั้งชื่อไว้ว่า National Reconciliation Chanel หรือ NRC คือถ้า TPBS มันไม่พร้อม ผมว่าคนที่ผลิตรายการโทรทัศน์ที่เก่งทีุ่สุดในประเทศไทยมีอยู่ 2 เครือ คือ ‘ผู้จัดการ’ กับ ‘เนชั่น’ ถ้าผมมีเวลานะ ผมจะเปิดเลย ให้เขายิงสัญญาณมา สามชั่วโมงให้ ASTV สามชั่วโมงให้ PTV สามชั่วโมงให้เนชั่น สามชั่วโมงให้เครือโพสต์ เพราะโพสต์นี่เขาก็มีข่าว อีกสามชั่วโมงให้ไอทีวีเก่า อีกหกชั่วโมงที่เหลือแบ่งกันไปเลย ให้ช่อง 3, 5, 7, 9, 11 ส่งคนมาเป็นตัวแทน นี่คือช่องแห่งความสมานฉันท์ เพราะตอนนี้สื่อฟัดกันเองพอๆ กับนักการเมืองเลย ผู้จัดการทะเลาะกับโพสต์ ผู้จัดการทะเลาะกับไทยรัฐ ทะเลาะกับเนชั่นด้วยหรือเปล่า? ก็ดูเหมือนเป็นอย่างนั้น แต่โมเดลอันนี้มันไม่เกิดหรอก มันเป็นไปไม่ได้

ถาม ที่ผ่านมา ASTV หรือ เนชั่น ก็มีช่องทางของตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

ตอบ ผมคิดว่าอย่าง ASTV หรือ PTV เขาต้องการมีเวทีที่คนดูไง แต่อย่าง TPBS นี่มันไม่มีความพร้อมในการผลิตอยู่แล้ว ยกเว้นว่ามีการเตรียมมาก่อน เพราะอยู่ดีๆ คุณจะทำสถานีขึ้นมาสักแห่ง มันต้องมีอะไรเยอะมาก เอาแค่ฉากก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ถ้าจะทำให้ดี คืออย่างวันนี้ (วันสัมภาษณ์ 17 มกราคม) คุณนาตยา แวววีรคุปต์ ที่อยู่ไอทีวีเก่าก็ทำรายการออกฉายที่ TPBS แล้วนะ คือกบฎไอทีวีเก่าได้กลับไป เรื่องนี้เป็นเหมือนมหากาพย์เลย

ถาม มหากาพย์แห่งการชิงอำนาจ?

ตอบ เหมือนอย่างนั้นเลย แต่มันยังไม่จบ เพราะมันจะมีการเอาคืนอีกรอบ เพราะที่ผ่านมา ทุนใหม่ลุกขึ้นมายึดครอง แล้วตอนนี้ศักดินายึดกลับ แต่ยึดกลับโดยไม่ได้สร้างศรัทธากับประชาชนในระดับรากหญ้า ซึ่งในที่สุดแล้ว ในอนาคต ยังไงๆ พลังของประชาชนมันยังมีอยู่ และมันจะมีการเอาคืนอีกรอบหนึ่งจากทุนใหม่ ทีนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า เมื่อทุนใหม่พยายามเอาคืนอีกรอบหนึ่ง ศักดินาเก่าจะทำอะไร ทางเดียวก็คือต้อง ‘กำจัด’ ให้ทุนหายไปเลย เพราะฉะนั้นสงครามนี้ระหว่างศักดินากับทุนใหม่จะรุนแรงขึ้น ครั้งนี้ ศักดินาปฏิวัติรัฐประหาร-เอาคืน ทุนใหม่ทนไม่ได้ ต้องกลับมาพยายามเอาคืนอีกรอบ และนั่นจะเป็นจุดจบของทุนใหม่ เพราะว่าครั้งต่อไป คุณจะไม่เหลือ เพราะถึงที่สุดแล้ว อำนาจที่จะยิ่งใหญ่กว่าประชาชน..ซึ่งน่าเสียดายที่มันเป็นความจริงในการบริหารประเทศ
..มันคือ ‘อำนาจรัฐ’ และ ‘อำนาจทหาร’ ตอนนี้เราเหลืออย่างเดียวที่ยังไม่เกิดคือ ‘สงครามกลางกรุง’ คือสื่อก็ยังซัดกันเองหมดเลย ประชาชนไม่มีสิทธิ์ ประชาชนจงไปเลือกตั้ง แต่ผลการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมากลับไม่ได้รับการเคารพ

เลือกตั้งเมื่อปี 2548 ตอนเดือนกุมภาฯ ไทยรักไทยชนะถล่มทลาย แต่ทักษิณยุบสภา ผลการเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ได้รับการเคารพ เสียงประชาชนถูกตบหน้าครั้งที่หนึ่ง เลือกตั้งที่ศาลปกครองให้เป็นโมฆะ เสียงประชาชนถูกตบหน้าเป็นครั้งที่สอง เลือกตั้งครั้งนี้ครั้งที่สาม ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่เสียงประชาชนอาจถูกตบหน้าเป็นครั้งที่สาม เพราะฉะนั้นคือ..ประชาชนเลือกตั้งมา แต่ถ้าอำนาจอยู่ที่ทหารกับอยู่ที่ศาล ในที่สุดแล้วประชาชนก็ถูกปราบได้ เราไม่ได้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ คือแบบที่พลังของประชาชนไม่สามารถถูกปราบได้ แต่ถ้ามองไปข้างหน้าก็อย่าไปซีเรียสอะไรมาก มันเป็นองค์ประกอบของประเทศไทย ซึ่งเราก็มีขนบธรรมเนียมที่แตกต่างจากประเทศอื่น และเรากำลังพัฒนาไง คือเราก็ยังดีกว่าปากีสถานหรือเคนยา แต่ว่าบังเอิญเรื่องนี้มันแย่ คือถ้ามี กสทช.ตั้งนานแล้ว ก็ไม่ต้องมาแย่งคลื่นโทรทัศน์กัน

ถาม ถึงยังไงการแสดงจุดยืนของสื่อก็น่าจะยังจำเป็น อย่างกรณีกบฎไอทีวีที่ไม่ยอมรับอำนาจทุน สุดท้ายพวกเขาก็ได้กลับเข้าไปทำงานกับทีวีสาธารณะที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับทุน

ตอบ จริงๆ ผมถือว่า...กบฎไอทีวีดันมองโลกแล้วไปคิดว่าอำนาจทุนเป็นสิ่งที่คุณหลีกเลี่ยงได้ แต่สำหรับผมแล้ว ทีวีที่ดีมันต้องบริหารด้วยอำนาจของทุนไง แต่การเกิดกบฎไอทีวีนี่ผมก็เข้าใจว่ามันไม่ใช่ทุนธรรมดา บังเิอิญว่ามันเป็นทุนของทักษิณ ถ้าเป็นทุนของบริษัทๆ หนึ่ง แทนที่จะเป็นทุนของคนๆ เดียวเข้ามาเป็นเจ้าของ ก็คงไม่เป็นไรมาก แต่นี่คือทุนของคนที่จะมาเป็นนายกฯ ซึ่งกำลังจะมีบทบาทที่สำคัญทางการเมือง ผมจึงเข้าใจว่ากบฎไอทีวีต้องออกไป เพราะเจ้าของใหม่คือทักษิณ ซึ่งถ้าอย่างนั้นผมเข้าใจจุดยืน แต่คุณหนีอำนาจทุนไม่ได้ ยกเว้น คุณต้องมีอำนาจรัฐมาช่วย ซึ่งครั้งนี้คุณมีอำนาจรัฐมาช่วย แต่ถึงที่สุดแล้ว ในชีวิิตนี้คุณก็จะเจออยู่อย่างนี้แหละ ไม่ทุนก็รัฐ แต่ว่าโอเค..ในสายตาผม ‘อำนาจทุน’ ปลอดภัยกว่า ‘อำนาจรัฐ’ แต่ในคอนเส็ปต์ของทหาร ของรัฐบาล ของศักดินา ทุน ‘ไม่ปลอดภัย’ กับรัฐ

ถึงที่สุดแล้ว ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ เก่งมาก เนชั่นก็เก่ง ‘สุทธิชัย หยุ่น’ เก่งมากในการผลิตข่าว แต่สิ่งที่ตลกคือสองคนนี้ถูกดันออกไปอยู่นอกกรอบในยุคทักษิณ แล้วสองช่องนี้ก็มีบทบาทมากในการทำให้คนในกรุงเทพออกมาประท้วง คนเชื่อว่าสามารถโค่นทักษิณได้ แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ไอ้ตรงนี้ก็ถูกดันออกไปอยู่ข้างนอกอยู่ดี และถ้าปล่อยให้เขาอยู่ข้างนอกต่อจะเป็นปัญหา เพราะประเด็นคือว่า อย่างรัฐบาลสุรยุทธ์ที่ขึ้นมา ก็ถูกสื่อทุกสำนักด่าเหมือนกัน ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่สื่อ คือสื่อมันไม่แฮปปี้กับสถานการณ์ในประเทศไง แ่ต่การรัฐประหารครั้งนี้ ผู้จัดการก็แห้ว เนชั่นครั้งนี้ก็แห้ว ส่วนเทพชัย หย่อง เขาไปได้ด้วยตัวเขาเอง ไม่เกี่ยวกับเนชั่น ถึงดูเหมือนว่าสนธิ ลิ้มฯ จะได้ประโยชน์จากการปฏิวัติ แต่ก็ไม่ได้เลยนะครับ เพราะฉะนั้น ผมก็เลยคิดว่า คนที่อยู่ภายนอกที่ถูก marginalize ควรจะมีขบวนการที่ดึงพวกเขากลับมา

ถ้าคนถูก marginalize แล้วปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไป เขาก็จะฟัดรัฐบาลต่อไป ไม่ว่าจะกี่รัฐบาล คือถ้าพูดถึงฝ่ายสื่อที่โค่นทักษิณน่ะ ตอนนี้เขาก็ไม่ได้อะไร ในที่สุดแล้วก็จะนำไปสู่ process ไปสู่กระบวนการที่เขาต้องโทษรัฐบาลต่อไปอยู่ดี ผมคิดว่าสื่อหนังสือพิมพ์เยอะเลยที่รู้สึกว่าถูกกีดกันในสังคม ไม่รู้เพราะอะไรนะ อาจจะเป็นเพราะตัวเจ้าของสื่อหรือหนังสือพิมพ์เอง ความที่เป็นอย่างนั้น เขาก็เลยรู้สึกว่าเขาต้องเป็นศัตรูกับรัฐบาล เมื่อสื่อใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลกับประชาชนเป็นศัตรูกับรัฐบาล เขาก็ต้องพยายามโค่นรัฐบาล พวกทหารที่เฝ้ามองอยู่ก็ชอบฉวยโอกาส มันเลยเป็นวัฎจักรอย่างนี้

สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือ ไทยโพสต์ เมเนเจอร์ เนชั่น ต่างๆ ต้องเลิกมองว่าตัวเองมีบทบาทในการเป็นศัตรูรัฐบาล เพราะมันไม่ใช่การตรวจสอบนะ มันคือการปลุกระดมคนให้เตรียมโค่น คืออย่างนี้...การเขียนบทความวิเคราะห์การทำงานของรัฐ แฉการคอรัปชั่น พวกนี้เป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำโดยมีกลยุทธ์โดยรวมเพื่อที่จะโค่นล้มรัฐบาล อันนี้มันก็คืออคติแล้ว ถ้าสื่อใหญ่ๆ เป็นอย่างนี้ก็อยู่ไม่ได้

000

“สิ่งที่คุณจะทำ..คือการไปคัดหา ‘สภาประชาชน’ มาประเมินคุณภาพรายการ
เสร็จแล้วคุณจะให้คณะกรรมการที่เป็นนักวิชาการ 9 คนของคุณมาพิจารณาอีกที
ถามว่ามันได้ตามที่ประชาชนต้องการจริงๆ หรือ?
มันอาจจะได้ แต่คงคล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสหภาพโซเวียต”

ถาม ข้อตกลงอันหนึ่งในนโยบายทีวีสาธารณะ บอกว่าจะเปิดให้มีการตั้ง ‘สภาประชาชน’ ร่วมประเมินและตรวจสอบบทบาทของสถานีได้

ตอบ ผมไม่เชื่อในทั้งหมดนี้ มันทำได้แค่ในกระดาษ on paper มันไม่มีอะไรอย่างนั้น การคัดประชาชนมา เพื่อมาประเมินการดำเนินรายการ คุณจะไปคัดชาวนามาไหม? ก็คงไม่ มันตลก ทำไม่ได้หรอก สิ่งที่จะประเมินได้ก็คือคุณทำรายการออกมา แล้วก็ดู feedback คุณทำ survey อย่างที่ประเทศพัฒนาเขาทำกัน คือทำรายการแล้วก็ต้องเช็คเรตติ้ง คุณต้องส่งคนไปประเมินผลตอบรับ แต่นี่..สิ่งที่คุณจะทำ..คือการไปคัดหา ‘สภาประชาชน’ มาประเมินคุณภาพรายการ เสร็จแล้วคุณจะให้คณะกรรมการที่เป็นนักวิชาการ 9 คนของคุณมาพิจารณาอีกที ถามว่ามันได้ตามที่ประชาชนต้องการจริงๆ หรือ? มันอาจจะได้ แต่คงคล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในสหภาพโซเวียต ซึ่งเราอยู่ในอีกโลกหนึ่งแล้วนะ ตอนนี้เราอยู่ในโลกที่ต้องมีวิธีบริหารงานเหมือนอย่างที่ไอทีวีเคยบริหาร แบบช่อง 3 บริหาร แบบช่อง 7 บริหาร

ถาม กรณีโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จและถูกยกให้เป็นต้นแบบทีวีสาธารณะที่สามารถทำได้
ในความเป็นจริง

ตอบ ในกรณีของ BBC ผมคิดว่าประเทศแบบนั้นเขามีสิทธิ์ที่จะมีช่องเหล่านั้น เพราะว่าช่องอื่นๆ มันพัฒนาไปจนสุดโคตรแล้วไง ช่องอื่นๆ มันมีคุณภาพดีเยี่ยมจนคนดูแล้วรู้สึกว่า มีแบบนี้สักช่อง (ทีวีสาธารณะ) ก็ไม่เป็นไร แต่ของเรานี่คือ…ช่องที่ดีๆ มันยังมีไม่กี่ช่องเอง เราอย่าเพิ่งมีช่องไม่ดีเพิ่มขึ้นมาอีกช่องจะดีกว่า แต่ผมไม่ได้ว่า TPBS มันจะไม่ดี แต่ประเด็นก็คือว่า มันจะมาแทนไอทีวี ซึ่งมันไม่มีทางแทนได้ เพราะไอทีวีบริหารด้วยทุน ซึ่งในที่สุดแล้วมันเวิร์กที่สุด คุณดูอย่างช่อง 3 ช่อง 7 ที่เรตติ้งเยอะๆ ขนาดช่อง 3 หันมาทำข่าว ประสบการณ์อาจจะสู้ช่องอื่นไม่ได้ แต่พอทำออกมา คนก็ดูข่าวช่อง 3 เยอะแยะ เพราะมันขึ้นอยู่ที่การบริหาร แต่ TPBS ไม่มีทางบริหารได้อย่างที่ควรจะเป็น คือไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน เพราะถึงที่สุดแล้วมันยังต้องยึดโยงอยู่กับรัฐบาล

ตอนที่ช่องนี้เป็นไอทีวี มันดีอยู่แล้ว เพราะมันไฮเทค มันมีเทคโนโลยี มันมีเงิน มีความพร้อม ทีมงานตั้งใจ และมันมีความรับผิดชอบต่อคนดู โดยอาศัยเรตติ้งชี้วัด ข่าวต้องมีคนดู ต้องเรตติ้งดี มันมีการบริหารที่มีความเป็น ‘มืออาชีพ’ Professional Business มีไดเร็กชั่น มีการทำมาร์เก็ตติ้ง มีการทำโฆษณา มีเม็ดเงินเข้ามา มีความต้องการที่จะแข่งขันกับช่อง 9 ช่อง 3 มีความพยายามที่ต้องการจะทำให้ดีกว่าช่อง 5 ช่อง 7 อะำไรอย่างนี้ แ่ต่พอเป็น TPBS มันไม่ต้องแข่งขันแล้ว มันมีงบสองพันล้านต่อปี แล้วงบนี้มัน accountability ต่อใคร ในเอกสารบอกว่างบนี้ต้อง accountability กับคณะกรรมการ แล้วมันยังไง ก็เหมือนกับที่อยู่ดีๆ ก็มีการเปลี่ยนจากเลือกตั้ง ส.ว.มาเป็นการแ่ต่งตั้ง ส.ว.นั่นแหละ มันย้อนยุคกลับไปเป็น 20 ปี ซึ่งจริงๆ ทีวีสาธารณะมันก็มีได้ แต่มันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปยึดไอทีวีมา เพราะในความคิดของผม สิ่งที่ตอบสนองความต้องการของคนดูมากที่สุดคือทีวีพาณิชย์ มันเป็นสูตรที่ตอบสนองทุกอย่างในสังคม

ถาม การแข่งขันเพื่อทำกำไรของทีวีพาณิชย์ จะทำให้รายการบันเทิงมีสัดส่วนที่สูงกว่ารายการเชิงสาระ เพราะคนดูส่วนใหญ่ชอบ แล้วความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งที่อยากให้มีเรื่องที่เป็นสาระก็จะถูกกีดกันออกไปอีก
อยู่ดี

ตอบ ใช่ ถูกต้อง อันนั้นก็ต้องมีทีวีสาธารณะนี่แหละ แ่ต่ัมันไม่ควรจะมาแทนช่องที่ดีอยู่แล้ว อย่างถ้าคุณเปิด TPBS ขึ้นมา แล้วคุณเปิดช่อง 3 ตอนนี้ ทีวีพาณิชย์มันให้สาระคุณมากกว่าแล้ว ในความเป็นจริง เมื่อผลิตออกมาแล้ว มันต้องให้คนดูตัดสิน เหมือนอย่างทฤษฎีสังคมนิยมนี่นะ ในทางทฤษฎีมันเพอร์เฟ็กต์ ดูดีมาก ทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ในการปฏิบัติมันทำไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่สงครามเย็นจบลงตรงที่สหรัฐฯ ชนะ ทุนนิยมชนะสังคมนิยมไง มันก็เหมือนกัน จริงๆ แล้วนโยบายทีวีสาธารณะมันก็ยึดโยงกับแนวคิดที่ค่อนข้างจะเป็นสังคมนิยม ทีนี้มันไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดเป็นส่วนหนึ่งของคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ แต่ว่ามันเป็นทฤษฎีที่พิสูจน์ว่ามันทำได้จริงและทำได้ดี แค่ในไม่กี่ประเทศเท่านั้น คนจะยกตัวอย่าง BBC ตลอด แต่ที่อังกฤษนี่สถานีโทรทัศน์ช่องอื่นๆ มันก้าวหน้าไปมากแล้วไง บีบีซีมันเป็นเทคโนโลยีของประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ซึ่งไทยยังไปไม่ถึง ถ้าสมมติว่าไทยเราพัฒนาไปถึงขั้นอังกฤษแล้ว ทีวีพาณิชย์อื่นๆ ก็เข้าขั้นสุดยอดไปแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าถึงเวลานั้นแล้ว การมีทีวีสาธารณะก็คงจะใช้ได้ เหมือนอย่างบีบีซีไง ก็คือใช้ได้ นี่คือมองภาพรวมนะ

ถาม ในสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าคุณเป็นพนักงานไอทีวีจะทำอย่างไร

ตอบ ก็คงต้องคุยกับทุกคน แล้วรวมกันว่าจะไม่ไปสมัครทีพีบีเอส เพราะว่ากลยุทธ์ที่เขาทำกับไอทีวีครั้งนี้เหมือนกับที่ทำกับไทยรักไทย คือต้องการทุบแล้วให้แต่ละคนกระจายไปอยู่พรรคอื่น แล้วก็ค่อยๆ กระจายไปสมัครทีพีบีเอสทีละคน ‘Divide and Conquer’ แยกกันไม่ให้มีความเป็นปึกแผ่น เพราะฉะนั้นที่ต้องทำก็คือ ‘การรวมกลุ่ม’ เสร็จแล้วก็รอ กสทช.เพื่อไปขอคลื่นใหม่ และทำช่องใหม่ด้วยกัน แต่คงต้องรอไปอีกปีสองปี เพราะเราดันไม่มี กสทช.ซึ่งเป็นความทุเรศของประเทศนี้ที่ไม่มีองค์กรพวกนี้ เพราะอะไร เพราะดันไปฉีกรัฐธรรมนูญ และเพราะ ส.ว.บางกลุ่มที่ไปยื่นคัดค้านทุกครั้งที่จะมี กสทช. จนในที่สุดกี่ปีผ่านไปก็ไม่มี กสทช. แล้วก็โดนรัฐประหารพอดี ต้องรอกันต่อไป แต่ในขณะที่รอ คุณต้องไปทำงานอย่างอื่นก่อน แ่ต่ัวันหนึ่งถ้าจะเอาคืน คุณต้องเอาคืนด้วยการทำช่องใหม่ แต่ต้องอยู่กับบริษัทไหนสักอันหนึ่งนะ แล้วไปขอคลื่น ต้องมองในระยะยาว เพราะนี่คือความพ่ายแพ้ระยะสั้น ถึงที่สุดแล้วมันก็จะมี กสทช. ก็ไปขอคลื่นมาบริหารใหม่ อย่างน้อยคุณก็อาจจะหัวเราะเยาะได้ถ้า TPBS มันทำแล้วห่วย ซึ่ง TPBS มันยาก จนเกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ได้อย่างที่ไอทีวีเคยทำมา...หมายถึงเรื่องเรตติ้งนะ


หมายเหตุ:

(1) บทความ TITV: Proxy battle of a greater war ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2551
(2) ข้อความในวงเล็บโดย ‘ประชาไท’




 

Create Date : 21 มกราคม 2551    
Last Update : 21 มกราคม 2551 11:23:47 น.
Counter : 367 Pageviews.  

อยากให้ จรัส รัฐศาสตร์จุฬาฯ ปากเก่งกับ พวกศักดินาบ้าง

นายจรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาติ ว่า เป็นไปได้น้อยมาก เชื่อว่าแต่ละพรรคจะไม่ยอมถอยให้แก่กัน และปัญหาการเมืองจะตามมามากมาย อาทิ นายกรัฐมนตรีจะเป็นคนของพรรคใด เพราะรัฐธรรมนูญ ไม่เปิดโอกาสให้มาจากคนนอก หากพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมาก พรรคประชาธิปัตย์จะยอมกลืนน้ำลาย ตัวเองที่เคยประกาศ ไม่ร่วมสังฆกรรมหรือไม่ แต่หากทุกพรรคลดทิฐิมานะของตัวเองได้ แล้วจับมือร่วมกัน ฟันฝ่าวิกฤตการณ์ทางการเมือง ที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งก็เป็นเรื่องดี แต่การเสนอตอนนี้ถือว่าเร็วไป ยิ่งเสนอก่อนยิ่งมีปัญหา หากจะเกิดจริงๆ ก็ต่อเมื่อสถานการณ์ ทางการเมืองบีบให้เกิดขึ้นมาเอง

ทั้งนี้ต้องถามว่าข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาตินั้น มาจากไหน ถ้ามาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนตัววิเคราะห์ว่าเป็นการเล่นเกม 2 หน้า คือ ด้านหนึ่งพยายามฉายภาพ ต่อสาธารณะว่าเป็นคนประนีประนอม อยากให้เกิดความสมานฉันท์ในบ้านเมือง แต่อีกฟากหนึ่งกลับปลุกระดมมวลชน ที่หนาแน่นในภาคอิสานและเหนือ ให้ลุกขึ้นมาสู้เพื่อเขาผ่านพรรคพลังประชาชน ลักษณะเช่นนี้เป็นการเสนอเพื่อต่อรองกับอำนาจใหม่ ทำนองว่ายอมถอยให้ครึ่งก้าว ให้ตั้งรัฐบาลร่วมทุกพรรค จะเอาหรือไม่ ถ้าไม่เอาก็ต้องชนกัน ทั้งที่เขาก็รู้ว่ารัฐบาลแห่งชาตินั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้ เกมนี้จึงเป็นเกมที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กำหนดขึ้น ซึ่งรัฐบาล ทหาร หรือ กกต.อาจมองเห็น แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะปล่อยให้เขาเดินเกม มานานเกินไปแล้ว

Comment : ธรรมชาติของ นักวิชการ ครูบาอาจารย์ไทย ที่มักมีอุปนิสัย เผด็จการจนเป็นสันดาน มันได้แต่นั่งแถกเหงือก อยู่บนหอคอยง้าช้าง นั่งเกาสิวอยู่ในห้องสมุด ยืนตอแหล ชี้นิ้ว กับนักศึกษาอยู่แต่ในห้องบรรยาย ไม่เคยโผล่หัวออกไปไหนมาไหน คิดว่าประชาชน มันก็คงจะเหมือนกับ ลูกศิษย์ลูกหา ที่ต้องพินอบพิเทาและเห็นด้วยกับมันในทุกเรื่อง ใครก็ไม่กล้าแหยม ไม่กล้าเถียง เีดี๋ยวสอบตก นี่คือความเลวทรามต่ำช้า ที่ฝังอยู่ในความคิดของนักวิชาการ ครูบาอาจารย์หลายรายในประเทศนี้ สมองหมาปัญญาควายโดยแท้ ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพวกมันถึงได้คลั่งเผด็จการรัฐประหาร เห็นเครื่้องแบบ เป็นต้องอ่อนระทวย น้ำคัดหลั่งทะลักไหล เพราะพวกมันมีจิตวิญญาน ฝักใฝ่เผด็จการอยู่ใน กมลสันดานนั่นเอง วันๆ ไม่คิดอ่านอะไรมาก นอกจาก ด่านักการเมือง ดูถูกประชาชน แล้วสอพลอศักดินาเผด็จการ สบายไปยันแก่

ทุกวันนี้มันยังย้ำคิดย้ำทำอยู่นั่นแหละ้ ว่า ความนิยมในตัว ดร.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน เกิดขึ้นมาด้วยการจัดตั้ง จากฝ่ายการเมือง แต่แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นผลพวงมาจาก การที่นักการเมือง ได้กลายเป็นที่พึ่ง ที่หวังของพวกเขาได้ อย่างเป็นรูปธรรม ไม่เหมือนในอดีต ที่เก่งแต่ปาก เลือกตั้งเสร็จแล้ว หายหัว อย่างดีก็แค่ วิ่งเต้นเอางบฯ มาลงในพื้นที่ ใครวิ่งไม่เก่ง สอพลอไม่ชำนาญ หรือไม่ได้เป็น รัฐบาลก็แห้ว แต่นี่ไม่ว่า ใครจะเลือกหรือไม่เลือก ล้วนได้อานิสงส์ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ทางใต้ ที่ไม่เคยเลือก ดร.ทักษิณ เลย

นายจรัส คงไม่เข้าใจว่า ขณะนี้ สถานการณ์เผด็จการบังเกิดเกล้า กำลังลำบากอย่าง แสนสาหัส ทีเคยอุ้มชู ยกยอปอปั้น กันนั้น ชาวบ้านเขาไม่เอา เขาไม่เชื่อ น้ำลายมันแล้ว งานนี้ไม่ต้องเล่นเกมส์อะไรทั้งสิ้น มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ พวกที่มันคิดว่า นี่เป็นเกมส์ นั่นแสดงว่า มันเห็นชาติบ้านเมืองเป็นของเล่น เห็นประชาชนเป็นผักปลา ถ้าเขาอยากจะชน ไม่ต้องดึงเกมส์ ยืดเยื้อมานานขนาดนี้หรอก จรัส เอ๋ย

แค่วันที่ 19 กันยายน 2549 เค้าประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ก็เป็นอันฉิบหาย วายวอดกันทั้งบางไปแล้ว สำนึกในกะลาหัวเสียบ้าง อย่าสักแต่ว่า เออออ สอพลอตอแหล กันในหมู่พวกเดียวกันเอง จนหลงๆลืมๆ ความจริงไป




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2550    
Last Update : 21 ธันวาคม 2550 14:38:28 น.
Counter : 423 Pageviews.  

ไม่อยากเปลี่ยนจากไทยเป็นไพร่

>ไม่อยากเปลี่ยนจากไทยเป็นไพร่ อ่านก่อนตัดสินใจ>>
รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญของระบอบอำมาตยาธิปไตย ให้อำนาจข้าราชการเป็นใหญ่ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญของระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นรัฐธรรมนูญ ที่ปิดกั้นโอกาสของประชาชน ที่จะต่อสู้กับข้าราชการที่ใช้อำนาจรังแก กลั่นแกล้ง ประชาชน ด้วยความไม่เป็นธรรมอีกด้วย

มาตรา 266 เขียนไว้ว่า
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะ หรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงาน หรือ ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น คำว่า “ผู้อื่น” ที่อยู่ในมาตรา 266 ครอบคลุมถึงประชาชนด้วย ดังนั้น เมื่อมาตรา 266 บังคับใช้ ส.ส. และ ส.ว. ที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชน ก็จะมีความผิด กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ และจะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง หากประชาชนลงมติ “เห็นชอบ” รัฐธรรมนูญ 2550 ก็เท่ากับว่า “เห็นชอบ” กับการห้าม ส.ส. และ ส.ว. เข้ามาให้ความช่วยเหลือ ประสานงาน แก้ไขปัญหา เมื่อได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น... ส.ส. และ ส.ว. จะเข้ามาช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน ไม่ได้ เมื่อถูกหน่วยงานของรัฐ เวนคืนที่ดิน โดยได้รับค่าชดเชยต่ำกว่าวามเป็นจริง
ส.ส.และ ส.ว. จะเข้ามาช่วยเหลือ ประสานงาน เร่งรัด แก้ไขปัญหา
ให้แก่เกษตรกรคนยากจน ไม่ได้ ในกรณีราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ หรือ ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ภัยแล้ง มีหนี้สินล้นพ้นตัว ส.ส. และ ส.ว.จะเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยปัญหาข้อพิพาทกรณีที่ดินทำกิน ระหว่างประชาชนกับส่วนราชการ
ไม่ได้ เช่น “ที่ป่า” และ “ที่ทหาร” ทับที่ทำกินชาวบ้าน ส.ส. และ ส.ว. ใช้ตำแหน่งประกันตัวให้แก่ประชาชน ไม่ได้ ช่วยเหลือ ประสานงานใน ขณะถูกดำเนินคดี ไม่ได้ ติดตามเร่งรัดให้กระทรวง กรม กอง จังหวัด อำเภอ อบจ. อบต. เทศบาล แก้ปัญหาให้ประชาชน ให้ทันกับสถานการณ์ และความต้องการของประชาชน ไม่ได้มาตรา 266 เป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน กับ ประชาชนให้ขาดออกจากกัน เป็นการเขียนรัฐธรรมนูญ ที่มีจุดมุ่งหมายจะรังแกคนไม่มีทางสู้ โดยตัวแทนระบบราชการ
ทำให้ ส.ส. และ ส.ว. มีสภาพเหมือนกับ สนช. และ สสร. ที่ไม่เคยช่วยเหลือชาวบ้าน แต่กินเงินเดือนจากภาษีชาวบ้าน หากต้องการที่จะมีสิทธิในชีวิตประจำวันอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ถูกรังแก กลั่นแกล้ง จากข้าราชการ และสามารถปกป้องสิทธิ รักษาสิทธิของตัวเองได้
ฟ้องร้องข้าราชการที่ประพฤติชั่ว และรักษาสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือจาก ส.ส. และ ส.ว. ได้ ตามที่เขียนไว้ในมาตรา 266 ก็คือ ต้องลงมติ “ไม่เห็นชอบ” รัฐธรรมนูญ 2550 ในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 นี้เอารัฐธรรมนูญ 2550 คืนไป เอารัฐธรรมนูญ 2540 คืนมา




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 ธันวาคม 2550 10:17:33 น.
Counter : 365 Pageviews.  

1  2  3  4  

แสนแสบ!!ทรวง!!
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แสนแสบ!!ทรวง!!'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.