แว๊บ!!แว๊บ!!_จริงจริง นะค๊ะ!
Group Blog
 
All Blogs
 

แนวคิดประชาธิปไตย ฉบับ "อานันท์ ปันยารชุน"!!!

โดย คุณเรืองยศ จันทรคีรี
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
16 กุมภาพันธ์ 2551

นายอานันท์ ปันยารชุน นั้นมิใช่อดีตนายกรัฐมนตรีประเภทธรรมดาๆ ชนิดผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเลย

เขายังมีอดีตที่เป็นหุ้นส่วนหนึ่ง ของการต่อต้านเผด็จการทหารครั้ง 14 ตุลาคม 2516 เป็นนักการทูต นักธุรกิจ นักบริหาร ที่คอยชี้แนะวิถีทางขับเคลื่อนของกลุ่มทุนนิยมเก่าระดับสูง ...

เรายังอาจจัดให้เขารวมกลุ่มอยู่ในนักคิดของสังคมอีกคนหนึ่งได้ ถือเป็นปัญญาชนผู้มีบทบาทระดับก่อความสั่นสะเทือน และอีกด้านยังอาจจัดให้ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นภาพสะท้อนทางความคิดของกลุ่ม ซึ่งเราเรียกกันว่า “อภิชน”

การเสนอแนะความเห็นทางการเมือง จากสุนทรพจน์ที่นายอานันท์ได้แสดงไว้ตั้งแต่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ต้องนับว่าเป็นอีกครั้ง ที่นายอานันท์ได้ฉายความคิด เปิดแก่นแท้ของตัวตนออกมาอย่างหมดเปลือก... เป็นการย้ำให้เห็นความเชื่ออย่างฝังใจลึกของเขา ถึงแนวทาง “คุณธรรมนำประชาธิปไตย”

ถ้าถือนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นตัวแทนสะท้อนที่สำคัญของ “อภิชน” มันอาจทำให้เราจับคำตอบได้ค่อนข้างชัดเจน ถึงทิศทางในอนาคตทางการเมืองของประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้ทางความคิดเกี่ยวกับวาทกรรมประชาธิปไตยนั้น ยังไม่ได้บทสรุป มีการสร้างพื้นที่แสดงความชอบธรรมให้แก่อุดมคติทางการเมืองของอภิชน ซึ่งติติง และปฏิเสธความชอบธรรมของประชาชนเสียงข้างมาก แอนตี้นักการเมือง ต่อต้านการเมืองแบบเลือกตั้ง แล้วหันมาเน้นเชิงคุณธรรม/จริยธรรม/ศีลธรรม รวมทั้งอ้างอิงความสำคัญของประชาสังคม แม้จนภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมๆ ไปจนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรืออัตลักษณ์

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา วาทกรรมประชาธิปไตยฉบับคุณธรรมนำหน้า ได้กลายเป็นเครื่องชี้นำ พร้อมมีการประดิษฐ์คิดค้นให้การรัฐประหารกลายเป็นสถานการณ์ “พิเศษ”

จากนั้นได้ร่วมอาศัยสภาวะ “พิเศษ” ดังกล่าวหยิบเอาไปสร้างความสมเหตุสมผลในทางการเมือง (Political rationality) คือ ให้สังคมยินยอมรับการยกเลิกสถาบันทางการเมืองจนเกือบเกลี้ยง แล้วสร้างกติกา สร้างการเมืองระบบใหม่ขึ้นมา จนจัดประเภทได้ยาก ลงท้ายทุกๆ อย่างกลายเป็นปราสาททราย... ไม่เหลืออะไรเลย?

อานันท์ ปันยารชุน มีความเชื่อว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจจะเป็นรัฐบาลที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตยน้อยที่สุด แล้วยังมีการใช้ประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของตัวเองอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ฮิตเลอร์, เปรอง, มาร์กอส หรือจะเป็นมูชาร์ราฟ

สิ่งที่คุณอานันท์ให้ความสำคัญมากกว่าคือ “สาระของประชาธิปไตยที่มีความชอบธรรม” ดังนั้น ประชาธิปไตยในความหมายของอดีตนายกฯ ผู้นี้จึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะการเลือกตั้ง หรือการมีเพียงรัฐธรรมนูญ รัฐสภา และรัฐบาล...

คือคุณอานันท์เห็นว่า หรืออาจกังวลใจว่า คนไทยจะไปหลงเรื่องรัฐธรรมนูญ กฎหมายหรือกติกาต่างๆ ... เพราะจะต้องมองทุกขั้นตอน มองเรื่องของความเป็นธรรม ธรรมนั้นจะต้องอยู่ในใจ โดยเขาชี้ไปที่ “ธรรมาธิปไตย” แล้วให้ความหมายว่า ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนจะต้องมีธรรมะในใจ...

ข้อบกพร่องของคุณอานันท์ที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ การมองว่า “การเลือกตั้งนั้นเป็นเพียง Procedural Democracy หรือ ประชาธิปไตยโดยรูปแบบที่ไร้แก่นสาร” จึงสะท้อนให้บรรดาสถาบันทางการเมืองที่มีผลมาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่สถาบันทางการเมืองที่มีความสำคัญที่สุด...

คุณอานันท์อาจคิดแค่นั้น เพราะพูดอยู่แค่นั้นในสุนทรพจน์ แต่เราขยายความจากแนวคิดคล้ายๆ กันนี้ได้ว่า “ยังมีสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็มีความสำคัญไม่น้อยเลย เป็นต้นว่า สถาบันการเมืองในแบบจารีต หรือ สถาบันศีลธรรมอื่นๆ”

แม้ในสุนทรพจน์ดูเหมือนคุณอานันท์ พอยอมรับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยบอกว่า “...เรามีการเลือกตั้ง กำลังมีนายกฯ รัฐบาลใหม่หน้าตาจะออกมาอย่างไรไม่ทราบ จะสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม หรือกลมดิกก็ไม่รู้ ต้องรอดูที่ผลงาน เพราะมาตามครรลองการเลือกตั้ง...”

รวมๆ แล้วอดีตนายกฯ ยังเชื่อว่าการออกเสียงเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ยังเป็นปมและคำถามสงสัย ต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนอยู่ เพราะถ้าคนไปออกเสียง โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรชอบ ดีหรือไม่ดี การออกเสียงนั้นก็ไม่มีความหมาย...

การพูดของอานันท์นับว่าลึกซึ้งคมคายอีกมากนัก ... แต่ถ้าจับประเด็นให้ชัดย่อมมองเห็นว่า คุณอานันท์กำลังปฏิเสธความสำคัญของการเลือกตั้ง ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการปฏิเสธโอกาสขั้นต่ำสุดของประชาชน ที่จะแสดงเจตจำนงการเมืองได้โดยเสรี...

ทรรศนะเช่นนี้ ไม่มีวันจะเป็นประชาธิปไตยได้เลย แม้จะอ้างศีลธรรมใดๆ เข้ามาในทำนองชี้ให้เห็นว่า “ไม่มีใครมีสถานภาพที่เป็นคนดีมีศีลธรรมได้เพราะถูกเลือกตั้ง”

คุณอานันท์คงลืมไปว่า การเลือกตั้งนั้นย่อมมีความสัมพันธ์กับความคิดทางการเมือง เรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน การเลือกตั้งเป็นกลไกเพื่อให้สมาชิกในสังคม ได้ร่วมตัดสินใจว่า จะมีเจตจำนงทั่วไปในการควบคุมกลไกรัฐในลักษณะใด? ผ่านคนกลุ่มไหน? และด้วยกระบวนการอย่างไร?

คุณธรรมและความดีของการปกครองระบอบประชาธิปไตย มันหมายถึง การบรรลุถึงความดีในชุมชนการเมืองในแบบประชาธิปไตยเท่านั้น ...

ความดีเช่นนี้ มันจึงไม่ได้เกิดขึ้นโดยผู้นำที่ดีและมีศีลธรรม อย่างที่คุณอานันท์ ปันยารชุน ได้นำเสนอออกมาครับ...

ท่านควรหันกลับไปทบทวนความรู้ปรัชญาและความคิดทางรัฐศาสตร์สักนิด อาจเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น...




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 10:53:52 น.
Counter : 1230 Pageviews.  

ประชาชน ต้องการคนมีคุณภาพมาปกป้องรักษา 'ประชาธิปไตย' : นักการเมืองละอ่อน ถอยไป

โดย คุณอัคนี คคนัมพร
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
16 กุมภาพันธ์ 2551

นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเอง และความเป็นผู้นำ สมกับการที่เป็นนักการเมืองอาชีพอีกคนหนึ่ง มิเสียแรงที่หนทางยาวไกล 40 ปีของท่าน ได้ผ่านการต่อสู้ การเคี่ยวกรำ การปะทะ และรับแรงเสียดทานมาอย่างมาก จนประมาณมิได้ แม้ว่าเหตุปัจจัยในตอนท้ายๆ จะมิได้บ่งบอกเลยว่า ท่านจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมืองในระบอบนี้ แต่อย่างสำนวนจีนกล่าวว่า คนลิขิตหรือจะสู้ฟ้าลิขิต

ดังนั้น วันนี้คุณสมัคร สุนทรเวช จึงขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทยอย่างสมภาคภูมิ ในสถานการณ์ที่ใครต่อใครเรียกว่า “วิกฤต”

ต้องยอมรับว่า การตั้งรัฐบาลผสมขึ้นในภาวะวิกฤต ย่อมเท่ากับการพายเรือรั่วออกสู่ทะเลยามคลื่นลมแรง แต่นั่นมิใช่หรือ ที่จะเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ความสามารถของกัปตันเป็นฉันใด

นับตั้งแต่ย่างก้าวแรกบนตำแหน่งใหญ่นี้ คุณสมัคร สุนทรเวช ได้แสดงให้เราเห็นว่า ท่านแสดงบทบาทนี้ได้ดี และแสดงได้เนียน ไม่มีอะไรผิดพลาดถึงขนาดที่จะตำหนิกันได้เลย แม้ว่าบรรดาสารพัดสื่อ จะพากันสร้างกระแสตั้งแต่แรกว่าท่านเป็นเพียงนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น และถึงแม้ว่าตัวท่านจะไม่ปฏิเสธ แต่การกระทำหลายอย่างหลายประการ มันชี้วัดว่าคนชื่อสมัคร สุนทรเวช เป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องตีฆ้องร้องป่าว

การออกมาบอกกับสื่อว่า ครม.ชุดนี้ขี้เหร่นิดหน่อย เพราะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง ไม่อาจเลือกตั้งได้ดั่งใจ เป็นการยอมรับความจริงกับประชาชนในเบื้องต้นว่า โลกในอุดมคติเป็นอย่างไร โลกแห่งความเป็นจริงเป็นอย่างไร ดูเหมือนประชาชนคนไทยก็เข้าใจได้ถึงปัญหานี้ และไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ ถึงขนาดที่จะไม่ยอมรับ ครม.ชุดใหม่ ดูเหมือนทุกฝ่ายจะยอมรับว่า พร้อมที่จะพิสูจน์โดยผลงานตามกาลเวลา

แต่ต่อมา เมื่อถึงขั้นตอนการแต่งตั้งที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ก็ปรากฏว่าพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มสำแดงธาตุแท้ขึ้นมาก่อนเวลาอันสมควร คือเริ่มประมาท คิดว่า เมื่อได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว จะสามารถวางใครไว้ตรงไหนก็ได้ตามใจชอบ นักการเมืองบางคน เริ่มไม่แคร์ความรู้สึกประชาชน คิดดังนั้นแล้วก็เลยเสนอชื่อบุคคล ที่ชาวบ้านสงสัยในความรู้ความสามารถ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี บ้างก็เสนอบุคคลที่มีปัญหาเรื่องด้อยอาวุโส และภาพลักษณ์ที่สังคมรังเกียจ ให้เป็นเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญที่จะต้องทำงานร่วมกันกับข้าราชการประจำ ซึ่งทำราชการมายาวนาน เป็นเหตุให้หลายคนเบือนหน้าหนีด้วยความอิดหนาระอาใจ เรื่องดังกล่าวนี้เปรียบไปแล้ว ก็เหมือนจุดดับในดวงอาทิตย์ คือถึงแม้จะใหญ่แสนใหญ่ปานใด หากละเลยต่อสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดก็จะต้องถึงจุดแตกดับเร็วเกินความจำเป็น แต่ปรากฏว่าเรื่องดังกล่าวนี้ หาได้หลุดรอดสายตาของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ สมัคร สุนทรเวช ไปได้ไม่

คุณสมัครแสดงบทบาทของผู้นำ ด้วยการเบรกคำสั่งแต่งตั้งที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรีทั้งหมดไว้เสียหนึ่งสัปดาห์ เพื่อขอให้ผู้เกี่ยวข้อง กลับไปทบทวนว่า รายชื่อที่เสนอเข้ามามีคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และมีภาพลักษณ์เหมาะสมกับตำแหน่งเพียงใด หากทบทวนกันแล้ว อีก 1 สัปดาห์ค่อยเสนอกลับเข้ามาพิจารณาใหม่ การเบรกคำสั่งสำคัญครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช ยังเป็นนักการเมืองที่เท้าติดดิน และมีหูที่แนบพื้นฟังเสียงรากหญ้าอยู่ เพราะถ้าหากท่านไม่ติดเบรกเรื่องนี้เสียตั้งแต่ต้น ปล่อยให้ใครทำอะไรก็ได้ อีกหน่อยนักการเมืองละอ่อนก็จะสนุกกันใหญ่ ต่างจะพากันเห็นว่า การชนะการเลือกตั้ง คือชัยชนะขั้นสุดท้ายแล้ว จากนั้นจะทำอะไรก็ได้ดังว่ามาแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ และการพังทลายของฝ่ายประชาธิปไตย

นักการเมืองละอ่อนไม่ได้ตระหนักดอกว่า ที่ผู้คนเขาเอาชีวิตไปต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตย และให้ได้การเลือกตั้งนั้น เขาสู้เพื่อระบอบและเขาต้องการคนดี คนมีคุณภาพมารักษาระบอบ คนห่วย คนละอ่อน คิดอะไรตื้นๆ นั้น ประชาชนเขาจะไม่โอบอุ้มเป็นอันขาด

บ้านเมืองเรายังต้องการคนดี คนมีวิสัยทัศน์ และมีจุดยืนต่อต้านเผด็จการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย และที่สำคัญต้องเป็นคนแข็งและกล้าหาญเช่นท่านนายกฯนี่แหละ มาช่วยกันอีกมาก

ผู้เขียนสนับสนุนท่านนายกรัฐมนตรี ให้แข็งกับเรื่องเหล่านี้ต่อไปครับ อย่าอ่อนให้ เดี๋ยวจะยวบกันทั้งระบบ.




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 10:52:30 น.
Counter : 327 Pageviews.  

ระบบรัฐบาลเงาและข้อคิดบางประการ

นอกจากข่าวคราวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างนายสมัคร สุนทรเวช ถือว่าได้ระบบ “รัฐบาลเงา” ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำเสนอผ่านสื่อนั้นก็เรียกความสนใจจากประชาชนได้เป็นอย่างมากไม่แพ้กัน แต่อย่างไรก็ดี ระบบดังกล่าวอาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมักคุ้นเท่าใดนักในประเทศไทย ดังนั้น จึงเป็นการดี หากจะได้ทราบว่าระบบรัฐบาลเงานี้คืออะไรและมีไว้เพื่อการใด



“รัฐบาลเงา” (The Shadow Cabinet หรือ The Shadow Front Bench) เป็นแนวความคิดทางการเมืองที่หลายประเทศได้นำเอาไปประยุกต์ใช้ในการเมืองของตน อาทิเช่น ประเทศต่างๆ ในเครือสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส แคนาดา นิวซีแลนด์ ฯลฯ เป็นต้น ระบบรัฐบาลเงานี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และในที่สุดแนวความคิดดังกล่าวได้เป็นที่ยอมรับนับถือและรู้จักกันของนานาประเทศในฐานะจารีตประเพณีทางการเมืองของประเทศอังกฤษในช่วงปี ค.ศ. 1880-1889



โดยส่วนใหญ่แล้วระบบรัฐบาลเงาจะใช้เพียงในกลุ่มประเทศที่มีระบบการเมืองแบบรัฐสภา (Parliamentary System) อาทิเช่น ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ในกลุ่มประเทศที่มีระบบการเมืองแบบประธานาธิบดี (Presidential System) เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นไม่มีระบบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงระบบรัฐบาลเงาโดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ระบบรัฐบาลเงากลับมีความหมายไปในทางลบ (bad connotation) ซึ่งหมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลที่กำลังดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้นๆ



ระบบรัฐบาลเงาเป็นมาตรการหนึ่งของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน (Opposition Parties) ที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดเพียงพรรคเดียวหรือ พรรคการเมืองฝ่ายค้านหลายพรรครวมกัน เพื่อใช้ดำเนินการตรวจสอบรัฐบาลที่แท้จริงด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดินอันรวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในนโยบายและกฎหมายต่างๆ ที่ออกโดยรัฐบาลที่แท้จริงนั้นด้วย นอกจากการการตรวจสอบข้างต้นแล้ว ในบางโอกาส รัฐบาลเงาอาจจะมีการเสนอแนะฝ่ายรัฐบาลที่แท้จริงโดยการออกนโยบายหรือกฎหมายทางเลือก (alternative policies or legislation) ที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสมกับการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้รัฐบาลที่แท้จริงรับหรือนำไปปรับใช้หากเห็นสมควร ซึ่งมาตรการดังกล่าวทำให้การตรวจสอบของรัฐบาลเงาไม่เป็นการตรวจสอบแบบจับผิดฝ่ายตรงข้ามแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการตรวจสอบในเชิงสร้างสรรค์ กล่าวคือ มีการนำเสนอแนวทางแก้ไขให้กับรัฐบาลที่แท้จริงอีกด้วย



ในเรื่องของกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลเงานั้นจะเป็นไปตามหลักการที่ได้มีการตกลงกันเป็นการภายในของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด หรือพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดแล้วแต่กรณี กล่าวคือ อาจจะมีการตกลงโดยการออกเป็นมติพรรคให้มีการจัดการเลือกตั้งภายใน (Election) เพื่อทำการเลือกกลุ่มคณะบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเงาอันเป็นวิธีการที่พรรคแรงงาน (Labour Party) ในประเทศอังกฤษใช้ หรือจะให้สิทธิขาดในการจัดตั้งรัฐบาลเงาแก่หัวหน้าพรรคแต่เพียงผู้เดียวในการเลือกสรรบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเงา (Shadow Minister) เช่นเดียวกันกับพรรคอนุรักษ์นิยมในประเทศอังกฤษ (Conservative Party) ใช้ก็ได้



หลักเกณฑ์ในการคัดสรรตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง (Portfolios) ในรัฐบาลเงาไม่ว่าจะเป็นระบบเลือกตั้งก็ดี หรือการได้รับการแต่งตั้งโดยตัวหัวหน้าพรรคก็ดี จะอยู่บนพื้นฐานของความเชี่ยวชาญชำนาญการของบุคคลนั้นๆ ว่าจะเหมาะกับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเงาในกระทรวงใด ซึ่งการนี้เอง ระบบรัฐบาลเงาก็จะเป็นระบบที่จะทดสอบว่ารัฐมนตรีเงาต่างๆ นั้น มีศักยภาพเพียงพอในการที่จะเป็นรัฐมนตรีที่แท้จริงหากพรรคตนเองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคตหรือไม่อีกด้วย ส่วนกรณีของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเงานั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว หัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านจะเข้ามารับตำแหน่ง



ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นว่าระบบรัฐบาลเงาแท้ที่จริงก็คือ มาตรการหนึ่งของพรรคการเมืองฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่แท้จริงอย่างใกล้ชิด เรียกได้ว่าเป็นแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นายกฯ ต่อนายกฯ รัฐมนตรีต่อรัฐมนตรี” ซึ่งผู้เขียนก็เห็นว่าเป็นระบบที่ดีที่ควรจะได้นำมาปรับใช้ในการเมืองไทย ทั้งนี้ เพื่อประชาชนจะได้เข้าใจและเห็นภาพลักษณ์ทางการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่แท้จริงอย่างเป็นทางการในรัฐสภาผ่านการยื่นกระทู้ถาม หรือการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีการถ่ายทอดทางสื่อต่างๆ กล่าวคือ ประชาชนก็จะสามารถเปรียบเทียบและเห็นถึงความสามารถได้อย่างชัดเจนเมื่อรัฐมนตรีที่แท้จริงต้องออกมาชี้แจงต่อรัฐมนตรีเงาที่อยู่ในกระทรวงเดียวกันในกรณีที่ได้มีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายตัวรัฐมนตรีนั้นๆ



อนึ่ง ในประเทศนิวซีแลนด์ แม้ว่าในบางกรณีมิได้มีการยื่นกระทู้ถาม หรือมีการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี แต่ประชาชนก็ยังสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารการตรวจสอบการดำเนินกิจการของรัฐบาลได้ เนื่องจากจะมีจัดการอภิปราย (Debate) ในประเด็นต่างๆ ระหว่างรัฐมนตรีจริงและรัฐมนตรีเงาในกระทรวงต่างๆ อยู่บ่อยครั้งโดยการถ่ายทอดสดผ่านสื่อสาธารณะ



แต่อย่างไรเสีย คณะรัฐบาลเงาเองก็ต้องไม่ลืมว่าตนเองนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นรัฐบาลทางเลือก (Alternative Cabinet) ของประชาชนด้วย ดังนั้น การทำหน้าที่ต่างๆ จึงต้องเป็นไปตามขอบเขตที่ถูกต้องและเหมาะสมเสมือนหนึ่งรัฐบาลที่แท้จริงพึงต้องกระทำเยี่ยงเดียวกัน หากมีการกระทำเกินขอบเขตหรือไม่ถูกต้อง รัฐบาลเงาก็จำต้องรับผิดชอบทางการเมือง (collective responsibility) เยี่ยงรัฐบาลที่แท้จริงด้วยการลาออกด้วยเช่นเดียวกัน



ผู้เขียนยังมีความกังวลอยู่ว่า แม้โดยสภาพของระบบรัฐบาลเงาจะเป็นมาตรการการตรวจสอบที่ดีตามที่ได้พิเคราะห์ผลงานที่ปรากฎขึ้นในประเทศต่างๆ ก็ตาม แต่เพียงแค่นำเอาระบบที่มีประสิทธิภาพในต่างประเทศมาใช้ในประเทศไทยโดยมิได้มีการคำนึงถึงสภาพและมาตรฐานทางการเมืองที่ผิดแผกแตกต่างกันก็คงจะไม่ค่อยมีประโยชน์นัก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตราบใดที่ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนจิตสำนึกของนักการเมืองไทยก็เป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะนำเอาระบบรัฐบาลเงามาใช้



โดยระบบของรัฐบาลเงานั้น เป็นการตรวจสอบเชิงสร้างสรรค์ หาได้เป็นการ “ค้านแบบหัวชนฝา” ไม่ กรณีหากรัฐบาลที่แท้จริงดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินไปในแนวทางที่ดีแล้ว รัฐบาลเงาก็จะสนับสนุน ในทางกลับกัน กรณีหากรัฐบาลที่แท้จริงดำเนินกิจการไปโดยไม่เหมาะสมหรือถูกต้องนัก ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเงาที่จะโต้แย้งพร้อมทั้งให้การเสนอแนะ ซึ่งการนี้ทางรัฐบาลที่แท้จริงก็จะรับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบดังกล่าวทั้งหมดนี้คือระบบรัฐบาลเงาที่ต่างประเทศได้ปฎิบัติต่อเนื่องกันมาเป็นปกติประเพณี



ดังนั้น จะเป็นการเห็นได้อย่างชัดเจนว่าระบบรัฐบาลเงาที่แท้จริง มิใช่เป็นเพียงหน้าที่ของพรรคการเมืองฝ่ายค้านเท่านั้น หากแต่เป็นการร่วมมือร่วมใจกันทำงานของทั้งสองฝ่ายด้วย โดยในประเทศอังกฤษเองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเงาในบางกรณีจะมีการประชุมร่วมกันเพื่อปรึกษาหารือในการออกกฎหมายหรือแนวนโยบายต่างๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินเสียด้วยซ้ำ



เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของมาตรการรัฐบาลเงา จึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักการเมืองเดิมๆ ที่มีต่อการเมืองซึ่งมองว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูตลอดเวลา เมื่อใดอีกฝ่ายหนึ่งดำเนินการใดๆ ก็จะถือว่าไม่ถูกต้องอยู่เสมอ ทัศนคติเช่นนี้ไม่เพียงแค่ไม่สามารถที่จะแก้ไขวิกฤติการณ์ทางการเมืองได้ แต่ยังอาจก่อให้เกิดความแตกแยกกันทางการเมืองอีกด้วย ความสมานฉันท์ที่เรียกร้องกันคงมิอาจบังเกิดได้ ท้ายที่สุด ระบบรัฐบาลเงาเองก็เป็นเพียงแค่นโยบาย (Campaign) การหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านนอกฤดูการเลือกตั้งเท่านั้น และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ระบบดังกล่าวกลับเป็นชนวนส่งผลให้เกิดแนวความคิดที่ขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนทางการเมืองไทยในท้ายที่สุดนั่นเอง
พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์

มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ






 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2551 11:53:29 น.
Counter : 396 Pageviews.  

"เฮงซวย"

เมื่อถามว่า นายสัก กอแสงเรือง คณะกรรมการ คตส. ระบุว่า ต้องการหนังสือมอบอำนาจเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

นายวัยวุฒิ กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า นายสัก มาจากทนายเอกชน ไม่รู้เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน

ผมได้รับแต่งตั้งจาก อสส. ตามหนังสือเลขที่ 590/2550 ให้เป็นประธานคณะทำงานอัยการพิจารณาสำนวนคดีของ คตส. ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534

อยากถามว่า มีสิทธิอะไรมาตรวจสอบ อยากให้มองตัวเองเสียก่อน "เฮงซวย" ผมชักอยากเจอแล้วสิ

และที่ออกมาพูดว่า อัยการไม่ได้เปิดสำนวนต้นฉบับยังปิดผนึกเหมือนตอนที่ส่งไป ให้สัมภาษณ์ทุเรศเช่นนี้ได้อย่างไร

คตส.ส่งทั้งต้นฉบับและสำเนามาให้ อัยการก็พิจารณาจากสำเนา ส่วนตัวจริงตั้งใจจะเก็บไว้ส่งศาล แต่ขณะนี้ก็ส่งคืน คตส.แล้ว

ส่วนสำเนาที่ไม่ส่งคืน เพราะอัยการ สั่งให้ คตส.สอบเพิ่ม 5 ประเด็น จึงต้องเก็บไว้เป็นหลักฐาน หากภายหลัง คตส.เอาไปสอบเพิ่มเติมแล้วส่งฟ้องศาลเอง แล้วอัยการจะมีหลักฐานอะไร




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2551 10:39:02 น.
Counter : 300 Pageviews.  

ลูกเฉลิม กับภาระที่หนักอึ้ง ชองรัฐบาลสมัคร

ลูกเฉลิม กับภาระที่หนักอึ้ง ชองรัฐบาลสมัคร
ช่วง 2 – 3 วันนี้ข่าวเด่นประเด็นร้อน ตามสื่อต่าง ๆ ในบ้านเรา คงไม่มีข่าวใดที่ร้อนแรงไปกว่าการแต่งตั้ง ลูกหลานของรัฐมนตรีเข้าไปรับตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่า เลขา/ผู้ช่วยเลขาหรือที่ปรึกษารัฐมนตรีของรัฐบาลนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ข่าวนายวัน อยู่บำรุง บุตรชาย รมต.เฉลิม อยู่บำรุง หรือแม้แต่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายวัฒนา อัศวเหม น่าจะเป็นเหยื่ออันโอชะของสื่อมวลชนบ้านเรา ที่จะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญที่เปรียบประหนึ่งขึ้นอาจทำให้ชาติบ้านเมืองล่มจมได้ หากปล่อยให้ลูกนักการเมืองทั้งสองเข้ามาเป็นเลขา หรือผู้ช่วยรัฐมนตรี



ต้องไม่ลืมว่าหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ได้มีวาระสำคัญเร่งด่วนคือต้องสร้างภาพให้ทีมงานการเมืองต้องรูปหล่อ และเป็นที่ต้องใจของประชาชน ปัญหาทางเศรษฐกิจ สงครามกับความยากจน สงครามกับยาเสพติด ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ หรือการทำให้” สัญญาประชาคม “ เป็นไปตามที่หาเสียงไว้ต่างหาก ควรเป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศต้องจับตาดู และให้คะแนนการทำงานตามที่ตนเองคาดหวังไว้ วันนี้ต้องยอมรับว่าแต้มต่อทางภาพลักษณ์ของรัฐบาลนี้ อยู่ในระดับที่ติดลบ ทั้ง ๆ ที่หากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บว่า เพราะอะไรก็คงตอบคำถามเหล่านี้ได้โดยไม่ยาก ไม่ว่าจากกลไกอันแยบคายในรัฐธรรมนวยก็ดี การโดนสั่งขังจำนวน 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยก็ดี มันย่อมทำให้การทำงานทางการเมืองให้ถูกใจประชาชนทั้งประเทศทั้งภาพลักษณ์ตัวบุคคลหรือการทำงานที่มีประสิทธิผลเป็นไปได้ยาก หากจะเปรียบเทียบรัฐบาลสมัครกับทีมฟุตบอล แม้นจะมีผู้จัดการทีมที่เยี่ยมยอด แม้นจะมีโค้ชที่ดีเยี่ยมแต่หากโดนจำกัดตัวผู้เล่น สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นปัญหาในการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน



รัฐบาลผสม 6 พรรคการเมือง ย่อมมีขีดจำกัดในการกำหนดตัวบุคคลทางการเมืองบางตำแหน่งตามมารยาทของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ออกมาแถลงขอให้ทบทวน ตำแหน่งเลขา/ผู้ช่วยเลขารัฐมนตรี หรือที่ปรึกษา ต่าง ๆ นั้น ท่านฯ ก็บอกไว้ชัดเจนว่าให้ทบทวนเฉพาะในส่วนของพรรคพลังประชาชนเท่านั้น ข้อจำกัดเหล่านี้สื่อมวลชนก็รู้ ประชาชนก็ทราบ แต่จะยอมรับได้หรือไม่ คงต้องขอให้ประชาชนคนประกาศิต เป็นผู้พิจารณา หากมองมุมกลับ ผมว่าดีเสียอีก เมื่อภาพลักษณ์จากตัวบุคคลไม่สมใจอยากประชาชน รัฐบาลก็ต้องเอาผลงานมาเป็นสิ่งลบล้างแทน หรือที่เรียกว่าเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส



บอกตรง ๆ เรื่องเลขาฯ ห่าเหวทั้งหลายตามความรู้สึกของผมมันก็แค่ ตุ๊กตาที่เอามาแขวนตามท้ายรถ ที่แฟชั่นบ้านเราฮิตอยู่ช่วงหนึ่งมันไม่ใช่สาระสำคัญของเครื่องยนตร์ เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่แก่นหรือสาระสำคัญที่นำพาไปสู่ความล่มสลายของความเป็นชาติรัฐได้ ก็เป็นแค่การฟอกตัวของพฤติกรรมของบุคคลคนหนึ่งในอดีตว่าจะเปลี่ยนอุปนิสัยส่วนตัวจากดำเป็นขาว หรือจากโจรเป็นพระได้หรือไม่ หากทำไม่ได้จริง ไม่ต้องห่วงว่าเรื่องแบบนี้จะหลุดรอดสายตาสื่อไปได้หรอกครับ เรื่องแบบนี้ผมเชื่อมือสื่อ อย่าว่าแต่เรื่องพฤติกรรมเดิม ๆ ที่ว่าที่เลขา รมต.ทั้งหลายเคยทำมาเลย แค่หน้าไม่ยิ้มแย้ม วาจาไม่ไพเราะกับสื่อ หรือกินข้ามมูมมามแค่นี้ก็เป็นข่าวแล้ว เชื่อผมเหอะ เรื่องแบบนี้สื่อบ้านนี้เมืองนี้ชอบเอามาขยายประเด็น



เรื่องน่าท้าทายสำหรับรัฐบาลเหล่านี้ผมว่าดีนะ รัฐบาลจะได้ระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม เพราะว่ามีข้อตำหนิ ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำงานแล้ว ขนาดคุณมิ่งชวัญ แสงสุวรรณ ในในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มีประสบการณ์จากการทำงานจริง ไม่เคยไปวิจารณ์ใครให้เสียหาย ยังโดนกล่าวหาดูถูก จากดร.เศรษฐศาสตร์ อันโด่งดัง (จากการใช้ปากวิจารณ์อย่างเดียว) ทางวิทยุ 92.25 อยู่บ่อย ๆ นักการตลาดบ้างหละ นักสร้างภาพบ้างหละ ทำมาแค่ โตโยต้า กับแค่ช่อง 9 อสมท. รับรองว่าไปไม่รอดหรอก ชนิดที่ยังไม่ได้ลงมือทำงานด้วยซ้ำ รมต.คลัง ที่นักทำงานด้วยปากทั้งหลายพร้อมใจกันวิจารณ์ว่าผิดฝาผิดตัว โดยไม่เคยมองว่าปัญหาอันแท้จริงนี้ มันมาจากอะไรยังเป็นที่เอนจอยปากจากสื่อฯ บางค่ายและวิญญูชนจอมปลอมบางคน



วันนี้ผมค่อนข้างอยากให้ว่าที่ผู้ช่วยเลขา รมต. ทั้งสองเข้ารับตำแหน่งเพื่อพิสูจน์ตัวเองนะว่าจะกลับตัวกลับใจและโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นได้หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะกลายเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลสมัครต้องเร่งผลิตผลงานออกมาเพื่อลดกระแสเหล่านี้ให้ได้ ซึ่งผลงานที่ดี ก็ย่อมตกแก่ประชาชนทั้งประเทศในที่สุด เพราะมันจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลสมัครว่าจะสามารถทำงานล้มล้างภาพพจน์ ในทางลบได้ดีแค่ไหน โดยให้ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้ให้คำตัดสิน นั่นจะเป็นคำตอบที่สวยงาม และแสดงให้เห็นว่า สิทธิอันชอบธรรมในการมอบหมายให้ใคร หรือพรรคการเมืองใด เข้าไปทำงานให้ประชาชนนั้น ยังอยู่ในมือของประชาชนทั้งประเทศเสมอ....

บทความ โดย สายลมรัก




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2551 14:01:42 น.
Counter : 307 Pageviews.  

1  2  3  4  

แสนแสบ!!ทรวง!!
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แสนแสบ!!ทรวง!!'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.