สลายอารมณ์โลภได้...ใจเป็นสุข
กำหนดชีวิตให้ถูกทาง
สลายอารมณ์โลภได้.... ก็เป็นสุข เรามาดูผลการสำรวจประเทศที่ประชากรเขามีความสุขกัน ดูจาก (www.thaihealt.or.th.) ปี ๒๐๐๕.. (สสส.) ประเทศที่ชนะที่ ๑ ชื่อไม่คุ้นหูนักได้แก่ วานูอาตู (Republic of Vanuatus) ประเทศนี้เป็นหมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของออสเตรเลีย มีพื้นที่ ๑๒,๒๐๐ ต.ก.ม. (ใหญ่อันดับที่ 162) มีประชากร ๒๐๘,๘๖๙ คน มีข้อสังเกตว่าประเทศที่ได้อันดับดีๆ มักจะเป็นเกาะ ตามผลวิจัยนี้จึงเรียกได้ว่า สวรรค์มักอยู่บนเกาะ คือบรรยากาศถ่ายเทสะดวก อากาศดี ไม่ร้อน ไม่หนาวมาก ชีวิตก็เป็นสุขจิตใจก็สบาย ส่วนประเทศภูฏานของเจ้าฟ้าชายจิกมี ราชอาคันตุกะขวัญใจคนไทย ได้อันดับ ๑๓ ของโลก และได้อันดับ ๒ ของเอเชีย รองจากประเทศเวียดนาม ท่านผู้อ่านถ้าหากได้ดูตารางดรรชนีความสุขของประเทศทั้งหมด ๑๗๘ ประเทศแล้วก็น่าตกใจที่บรรดาประเทศร่ำรวย ส่วนใหญ่ตกไปอยู่อันดับกลางถึงล่าง เช่น เยอรมนี (อันดับ ๘๑) ญี่ปุ่น (๙๕) อังกฤษ (๑๐๘) ฝรั่งเศส (๑๒๙) สิงคโปร์ (๑๓๑) สหรัฐอเมริกา (๑๕๐) ส่วนประเทศที่รั้งท้ายสุด(คนทุกข์มาก) อยู่ในแอฟริกา ได้แก่ บุรุนดี (๑๗๕) สวาซีแลนด์ (๑๗๗) และ ซิมบับเว (๑๗๘) เป็นไง...? ถ้าเราคิดถึงแต่วัตถุนิยมกันมากๆ ความสุขมันไม่เกิด เพราะมันถูกตัดสินกันด้วยผลประโยชน์ พอผลประโยชน์ไม่ลงตัว ความขัดแยงมันก็เกิดทันที เมื่อคุณอ่านข้อความรายงานสั้นๆ ที่ยกมานี้แล้ว หลายคนคงจะงงงวยว่า เขาใช้เกณฑ์อะไรไปวัดความสุข..? เหตุใดชาวเกาะจึงดูจะมีความสุขมาก...! เหตุใดประเทศรวยๆ จึงได้อันดับกลางๆ ลงไปถึงท้าย? งานวิจัยนี้มันถูกต้องหรือเปล่า เราก็ต้องมาดูกันนะ...! งานวิจัยนี้เขามีเกณฑ์อย่างไร...? การวิจัยนี้ตั้งเกณฑ์วัดความสุขไว้ ๓ ปัจจัยหลัก ได้แก่ ๑. อายุขัย ๒. ความพึงใจกับชีวิต ๓. การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เขียนเป็นลำดับง่ายๆ ดังนี้
อายุยืน >>>> พอเพียง >>>> ไม่ทำลาย >>>> ธรรมชาติ >>>> อยู่ดีมีสุข อธิบายย่อๆ ว่า อายุยืนจะสุขมาก เพราะคนที่อายุยืนได้เพราะไม่เครียดมีความสุข ชีวิตพอเพียงมากจะสุขมาก เพราะไม่ต้องไปแสวงหา แต่หากทำลายสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติมากก็จะกลับบั่นทอนความสุขให้น้อยลง ธรรมชาติก็จะกลับมาทำลายเรา เกิดเป็นภัยธรรมชาติอย่างมาก จนกลายเป็นมหันตภัย ดูเถิด..!! ความสุขตามสูตรข้างต้นไม่มีคำว่า รายได้สูง เป็นองค์ประกอบสำคัญเลย เพราะรายได้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่า มีความสุข เพราะยิ่งรวยก็ยิ่งกลัว ยิ่งเป็นห่วงสมบัติหาความสุขยาก ในสภาพจิตใจที่แท้จริง ประเทศที่ร่ำรวยหลายราย จึงร่วงไปอยู่อันดับล่างๆ ด้วยข้อมูลบ่งบอกว่าผู้คนในประเทศร่ำรวยมัก ไม่พึงพอใจกับชีวิต เข้าทำนองว่า รวยเท่าไหร่ก็ไม่พอเพียง สาเหตุสำคัญกลับมักจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติกันมากยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ ประเทศร่ำรวยมักได้คะแนนดีอยู่ปัจจัยเดียวคืออายุขัยของประชากรยืนยาวซึ่งน่าจะเป็นด้วยปัจจัยด้านสวัสดิการ สวัสดิภาพ และสาธารณสุขที่ดีกว่า อย่างนี้ก็เป็นได้ ถ้าเราเอาวิถีพุทธ แบบอย่างพระพุทธเข้าไปจับ ยิ่งเด่นชัดมากสำหรับประเทศ ที่ได้รับอันดับหนึ่ง ซึ่งมีความสุขแบบธรรมชาติเพียงพอ ส่วนประเทศที่ยากจนแสนเข็ญในแอฟริกาหลายประเทศก็ตกอยู่ท้ายตารางเช่นกัน มิใช่จากมีรายได้น้อยโดยตรง แต่อายุสั้นจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงขาดแคลนแม้กระทั่งปัจจัยสี่ การแพทย์ สาธารณสุข ความเข้าใจที่จะเข้าถึงธรรมชาติ หลักการเมตตาต่อกัน อยู่กันด้วยความหวาดระแวง แย่งชิงกัน คิดถึงประโยชน์เป็นหลักสำคัญมากกว่าชีวิต สำหรับประเทศเกาะที่มักจะเป็นเกาะสวรรค์นั้นผู้คนมักเกื้อกูลช่วยเหลือกันในชุมชน เหมือนสมัยโบราณของบ้านเราคือ พลิกบ้านเหนือ เกลือบ้านใต้ หมูไปไก่มาคอยสอดคอยส่อง คอยมองคอยเมียงบ้านใกล้เรือนเคียงคอยเรียกขาน ถามไถ่สุขทุกข์ ข้าวสุขข้าวสาร ขาดเหลือเจือจานกันไปทำมี ช่วยเหลือกันอย่างมีน้ำใจไม่หวังสิ่งตอบแทน เข้าสุภาษิตพระพุทธเจ้าว่า เนกาสี ลภเต สุขํ กินคนเดียว ย่อมไม่มีความสุข ตลอดจนมีจิตสำนึกสูงที่จะเอื้ออาทรต่อธรรมชาติ ที่สำคัญอากาศ บรรยากาศดี มีมลพิษน้อย เพราะมีทะเล มหาสมุทร เป็นตัวช่วยในเรื่องของธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติดี จิตใจก็ต้องดีตามไปด้วย ผลวิจัยบ่งชี้ด้วยว่า ในโลกนี้ยังไม่พบประเทศใดเลยที่มีเหตุแห่งสุขทั้งสามตัวอยู่ในเกณฑ์ดีครบหมด แม้แต่เกาะสวรรค์วานูอาตู ก็ยังเสียคะแนน คือประชากรยังมีอายุไม่ยืนยาวเท่าที่ควร คงจะเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การกินอาหารให้ครบห้าหมู่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ผู้เขียนก็งงจนกระทั่งสะดุดกับคำถามในแบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับรายได้ ก็ยิ่งอ้าปากค้าง พบว่าเขาถามเหมือนกัน แต่แทนที่เขาจะถามว่าได้รายได้เท่าไร กี่บาท กี่เยน กี่ดอลลาร์ กี่ยูโร แต่เขากลับถามว่า รายได้ที่ได้รับอยู่นั้นพอเพียงกับการดำเนินชีวิตหรือไม่..? ทำให้คำถามนี้เป็นตัวตัดสินบางประการ เกี่ยวกับ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการตอบรับในระดับโลก เป็นหลักคำสอนของวิถีพุทธโดยแท้ พระพุทธเจ้าของเราสอน ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง มาถึงสองพันกว่าปีแล้ว พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัย ให้ภิกษุปฏิบัติอย่างพอเพียง โดยเฉพาะเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จีวร ใช้ก็ให้คุมค่ากับที่ธรรมชาติให้มาใช้ ไม่มากเกินไป การเป็นอยู่คือ กินเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อกิน อยู่เพื่อบำเพ็ญโยชน์กับมนุษย์ นำทางพ้นทุกข์ให้พวกเขา ไม่ใช้อยู่เพื่อวิ่งตามโลกไป มันจะทุกข์ตลอด เพราะโลกไม่เคยหยุดจนแม้นาทีเดียวเหมือนเวลานั่นเอง ทฤษฎีนี้เป็นการสลายอารมณ์ร้าย เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความโกรธแค้น ไม่พอใจ เกิดมาจากการที่เราไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักให้ความรักต่อกัน ไม่รู้จักมีเมตตา เอื้อเฟื้อต่อกัน จึงกลายเป็นทฤษฎีใหม่ คือ ทฤษฎีเศรษฐกิจบกพร่อง คือไม่ว่ามีเท่าไรก็พร่อง ไม่พอสักที ก็กลายเป็นทุกข์ เครียด ขาดความสุข อย่างนี้เรียกว่า จนเพราะไม่รู้จักพอ เวลาใดเราสามารถสลายอารมณ์ร้าย อันประกอบด้วย โกรธแค้น เคียดแค้น ไม่พอใจ ลงได้ ความสุขมันก็เกิดกับเราทันที สุดท้ายเราก็ต้องนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ละโลภ โกรธ หลง ลงได้เมื่อไหร่...? เราก็จะเป็นสุขตลอดกาล ว. ปัญญาวชิโร
Create Date : 19 กันยายน 2555 | | |
Last Update : 19 กันยายน 2555 16:24:41 น. |
Counter : 1113 Pageviews. |
| |
|
|
|