แยกจิตให้รู้ดีชั่วก่อนตาย

มองธรรมะใกล้ๆ ตัวให้ออกเสมอ




แยกจิตให้รู้ชั่วดีก่อนตาย

 


บางคนแอบรักเขาซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีๆ ลอยไปหาคนอื่น โดยไม่รักษาไว้กับตัวเอง บางทีอาจไม่ได้รับการตอบสนองคืน แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่อย่างเศร้าสร้อย ในความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกเวลา บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ ฉันแน่ ยึดถือตัวกู ของกู โดยไม่คิดว่า เราอาจตายเมื่อไรไม่รู้ แต่ถ้าว่า “ก่อนตายควรทำดีให้กันและกันบ้าง” จะได้ไม่เสียดายก่อนตาย

 


ภาษาการกุศลเรียกว่า “งอนการกุศลประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ ในทิฐิ” คิดๆ แล้ว “บ้า” กันไปหรือเปล่าหนอ...! ประหลาดใจจริงๆ

 


มีหลายคนนิยมกิจกรรม “ฆ่าเวลา” เอ๋..! มันอะไรกันแน่ “ก็เล่นไพไง...” มองดูให้ดีเหมือนฆ่าชีวิตเราไปด้วยนะ แต่เรามักโกหกตัวเองว่า “เล่นฆ่าเวลา” จิตใจมันว่างจัดขนาดต้องฆ่าเวลากันเลยบอกตรงๆ เห็นแล้วอยากเข็กกบาลตัวเอง ที่ไม่สามารถนำธรรมะไปให้คนเหล่านี้เข้าใจได้

 


บางคนปล่อยใจให้ทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนจะพึงมี จะพึงได้คือ “เวลาแห่งการพิจารณาให้รู้ลมหายใจเข้า-ออกอย่างมีสติ มีศีล สมาธิ ปัญญา” อีกหน่อยทุกคนคงต้องตายจากทุกสิ่ง แต่บางคนอาจไม่เข้าใจความจริงนี้เป็นแน่

 


คนบางคนแบบคิดได้ว่า ใช่แล้ว... เราจะเกิดความเสียดายเวลาแห่งความสุข สงบ เย็น ในการฝึกจิตให้อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เพราะชีวิตจริงๆ มีโอกาสน้อยมากในความเป็นมนุษย์ แต่โอกาสที่จะเป็นอย่างอื่น เหลืออีกเป็นหมื่นแสนล้านชาติที่เราจะต้องประสบในสังสารวัฏ

 


ชีวิตเรายังไม่ได้ทำความดีอะไรอีกมากมายรีบทำเสียนะ “อย่าได้ตายก่อน” หากฝันยังไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย แต่ให้เรารีบทำทุกอย่าง “ก่อนที่เราจะตาย” ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เรามาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า

 


ฝึกจิตให้รู้พร้อมว่า “เอาแบบตายวันตายพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตายตาหลับ” ใช้ชีวิตโดยคิดว่า พรุ่งนี้เราจะตายแล้ว ทำงานในสิ่งที่เรารักเสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบทำจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาโดยเร็ว เดี๋ยวเราจะตายแล้ว พิจารณาเสมอว่า “ที่ใดมี “รับ” ที่นั่นมี “ให้” ที่ใดมี “รัก” ที่นั่นมี “ทุกข์” ที่ใดมี “สุข” ที่นั่นมี “ทางพ้นทุกข์” นั่นเอง

 


คำเตือนเล็กๆ ฝากไว้ในใจเสมอ แล้วไงลองคิดให้ดีว่า “รักให้หมดใจ” แล้วเราได้อะไรจากรักนั้น เพราะพรุ่งนี้เราอาจจะตายอย่างไม่รู้ตัว รีบตัดสินใจโดยเร็ว ก่อนที่จะไม่ได้ทำ รีบทำเดี๋ยวนี้ให้ใจเรามี “รักและเมตตา” กับทุกคนเสียก่อนที่เราจะไม่ได้ทำ


ว. ปัญญาวชิโร






 

Create Date : 12 ตุลาคม 2555    
Last Update : 12 ตุลาคม 2555 7:47:19 น.
Counter : 962 Pageviews.  

สลายอารมณ์โลภได้...ใจเป็นสุข

กำหนดชีวิตให้ถูกทาง





สลายอารมณ์โลภได้.... ก็เป็นสุข

 


เรามาดูผลการสำรวจประเทศที่ประชากรเขามีความสุขกัน ดูจาก (www.thaihealt.or.th.) ปี ๒๐๐๕.. (สสส.) ประเทศที่ชนะที่ ชื่อไม่คุ้นหูนักได้แก่ “วานูอาตู (Republic of Vanuatus) ” ประเทศนี้เป็นหมู่เกาะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของออสเตรเลีย มีพื้นที่ ๑๒,๒๐๐ ต.ก.ม. (ใหญ่อันดับที่ 162) มีประชากร ๒๐๘,๘๖๙ คน มีข้อสังเกตว่าประเทศที่ได้อันดับดีๆ มักจะเป็นเกาะ ตามผลวิจัยนี้จึงเรียกได้ว่า สวรรค์มักอยู่บนเกาะ คือบรรยากาศถ่ายเทสะดวก อากาศดี ไม่ร้อน ไม่หนาวมาก ชีวิตก็เป็นสุขจิตใจก็สบาย

 


ส่วนประเทศภูฏานของเจ้าฟ้าชายจิกมี ราชอาคันตุกะขวัญใจคนไทย ได้อันดับ ๑๓ ของโลก และได้อันดับ ของเอเชีย รองจากประเทศเวียดนาม ท่านผู้อ่านถ้าหากได้ดูตารางดรรชนีความสุขของประเทศทั้งหมด ๑๗๘ ประเทศแล้วก็น่าตกใจที่บรรดาประเทศร่ำรวย ส่วนใหญ่ตกไปอยู่อันดับกลางถึงล่าง เช่น เยอรมนี (อันดับ ๘๑) ญี่ปุ่น (๙๕) อังกฤษ (๑๐๘) ฝรั่งเศส (๑๒๙) สิงคโปร์ (๑๓๑) สหรัฐอเมริกา (๑๕๐)

 


ส่วนประเทศที่รั้งท้ายสุด(คนทุกข์มาก) อยู่ในแอฟริกา ได้แก่ บุรุนดี (๑๗๕) สวาซีแลนด์ (๑๗๗) และ ซิมบับเว (๑๗๘) เป็นไง...?

 


ถ้าเราคิดถึงแต่วัตถุนิยมกันมากๆ ความสุขมันไม่เกิด เพราะมันถูกตัดสินกันด้วยผลประโยชน์ พอผลประโยชน์ไม่ลงตัว ความขัดแยงมันก็เกิดทันที

 


เมื่อคุณอ่านข้อความรายงานสั้นๆ ที่ยกมานี้แล้ว หลายคนคงจะงงงวยว่า เขาใช้เกณฑ์อะไรไปวัดความสุข..? เหตุใดชาวเกาะจึงดูจะมีความสุขมาก...! เหตุใดประเทศรวยๆ จึงได้อันดับกลางๆ ลงไปถึงท้าย? งานวิจัยนี้มันถูกต้องหรือเปล่า เราก็ต้องมาดูกันนะ...!

 


งานวิจัยนี้เขามีเกณฑ์อย่างไร...?

 


การวิจัยนี้ตั้งเกณฑ์วัดความสุขไว้ ปัจจัยหลัก ได้แก่

 


๑. อายุขัย

 


๒. ความพึงใจกับชีวิต

 


๓. การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เขียนเป็นลำดับง่ายๆ ดังนี้

 




อายุยืน >>>> พอเพียง >>>> ไม่ทำลาย >>>> ธรรมชาติ >>>> อยู่ดีมีสุข

 


อธิบายย่อๆ ว่า อายุยืนจะสุขมาก เพราะคนที่อายุยืนได้เพราะไม่เครียดมีความสุข ชีวิตพอเพียงมากจะสุขมาก เพราะไม่ต้องไปแสวงหา แต่หากทำลายสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติมากก็จะกลับบั่นทอนความสุขให้น้อยลง ธรรมชาติก็จะกลับมาทำลายเรา เกิดเป็นภัยธรรมชาติอย่างมาก จนกลายเป็นมหันตภัย

 


ดูเถิด..!! ความสุขตามสูตรข้างต้นไม่มีคำว่า “รายได้สูง” เป็นองค์ประกอบสำคัญเลย เพราะรายได้ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่า มีความสุข เพราะยิ่งรวยก็ยิ่งกลัว ยิ่งเป็นห่วงสมบัติหาความสุขยาก ในสภาพจิตใจที่แท้จริง

 


ประเทศที่ร่ำรวยหลายราย จึงร่วงไปอยู่อันดับล่างๆ ด้วยข้อมูลบ่งบอกว่าผู้คนในประเทศร่ำรวยมัก “ไม่พึงพอใจกับชีวิต” เข้าทำนองว่า “รวยเท่าไหร่ก็ไม่พอเพียง” สาเหตุสำคัญกลับมักจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติกันมากยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ

 


ประเทศร่ำรวยมักได้คะแนนดีอยู่ปัจจัยเดียวคืออายุขัยของประชากรยืนยาวซึ่งน่าจะเป็นด้วยปัจจัยด้านสวัสดิการ สวัสดิภาพ และสาธารณสุขที่ดีกว่า อย่างนี้ก็เป็นได้ ถ้าเราเอาวิถีพุทธ แบบอย่างพระพุทธเข้าไปจับ ยิ่งเด่นชัดมากสำหรับประเทศ ที่ได้รับอันดับหนึ่ง ซึ่งมีความสุขแบบธรรมชาติเพียงพอ

 


ส่วนประเทศที่ยากจนแสนเข็ญในแอฟริกาหลายประเทศก็ตกอยู่ท้ายตารางเช่นกัน มิใช่จากมีรายได้น้อยโดยตรง แต่อายุสั้นจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงขาดแคลนแม้กระทั่งปัจจัยสี่ การแพทย์ สาธารณสุข ความเข้าใจที่จะเข้าถึงธรรมชาติ หลักการเมตตาต่อกัน อยู่กันด้วยความหวาดระแวง แย่งชิงกัน คิดถึงประโยชน์เป็นหลักสำคัญมากกว่าชีวิต

 


สำหรับประเทศเกาะที่มักจะเป็นเกาะสวรรค์นั้นผู้คนมักเกื้อกูลช่วยเหลือกันในชุมชน เหมือนสมัยโบราณของบ้านเราคือ “พลิกบ้านเหนือ เกลือบ้านใต้ หมูไปไก่มาคอยสอดคอยส่อง คอยมองคอยเมียงบ้านใกล้เรือนเคียงคอยเรียกขาน ถามไถ่สุขทุกข์ ข้าวสุขข้าวสาร ขาดเหลือเจือจานกันไปทำมี” ช่วยเหลือกันอย่างมีน้ำใจไม่หวังสิ่งตอบแทน

 


เข้าสุภาษิตพระพุทธเจ้าว่า “เนกาสี ลภเต สุขํ กินคนเดียว ย่อมไม่มีความสุข” ตลอดจนมีจิตสำนึกสูงที่จะเอื้ออาทรต่อธรรมชาติ ที่สำคัญอากาศ บรรยากาศดี มีมลพิษน้อย เพราะมีทะเล มหาสมุทร เป็นตัวช่วยในเรื่องของธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติดี จิตใจก็ต้องดีตามไปด้วย

 


ผลวิจัยบ่งชี้ด้วยว่า ในโลกนี้ยังไม่พบประเทศใดเลยที่มีเหตุแห่งสุขทั้งสามตัวอยู่ในเกณฑ์ดีครบหมด แม้แต่เกาะสวรรค์วานูอาตู ก็ยังเสียคะแนน คือประชากรยังมีอายุไม่ยืนยาวเท่าที่ควร คงจะเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การกินอาหารให้ครบห้าหมู่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง

 


ผู้เขียนก็งงจนกระทั่งสะดุดกับคำถามในแบบสอบถามที่เกี่ยวข้องกับรายได้ ก็ยิ่งอ้าปากค้าง พบว่าเขาถามเหมือนกัน แต่แทนที่เขาจะถามว่าได้รายได้เท่าไร กี่บาท กี่เยน กี่ดอลลาร์ กี่ยูโร แต่เขากลับถามว่า “รายได้ที่ได้รับอยู่นั้นพอเพียงกับการดำเนินชีวิตหรือไม่..?”

 


ทำให้คำถามนี้เป็นตัวตัดสินบางประการ เกี่ยวกับ “ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง” ได้รับการตอบรับในระดับโลก เป็นหลักคำสอนของวิถีพุทธโดยแท้

 


พระพุทธเจ้าของเราสอน “ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง” มาถึงสองพันกว่าปีแล้ว พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัย ให้ภิกษุปฏิบัติอย่างพอเพียง โดยเฉพาะเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จีวร ใช้ก็ให้คุมค่ากับที่ธรรมชาติให้มาใช้ ไม่มากเกินไป การเป็นอยู่คือ “กินเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อกิน” อยู่เพื่อบำเพ็ญโยชน์กับมนุษย์ นำทางพ้นทุกข์ให้พวกเขา ไม่ใช้อยู่เพื่อวิ่งตามโลกไป มันจะทุกข์ตลอด เพราะโลกไม่เคยหยุดจนแม้นาทีเดียวเหมือนเวลานั่นเอง

 


ทฤษฎีนี้เป็นการสลายอารมณ์ร้าย เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความโกรธแค้น ไม่พอใจ เกิดมาจากการที่เราไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักให้ความรักต่อกัน ไม่รู้จักมีเมตตา เอื้อเฟื้อต่อกัน จึงกลายเป็นทฤษฎีใหม่ คือ “ทฤษฎีเศรษฐกิจบกพร่อง” คือไม่ว่ามีเท่าไรก็พร่อง ไม่พอสักที ก็กลายเป็นทุกข์ เครียด ขาดความสุข อย่างนี้เรียกว่า “จนเพราะไม่รู้จักพอ”

 


เวลาใดเราสามารถสลายอารมณ์ร้าย อันประกอบด้วย โกรธแค้น เคียดแค้น ไม่พอใจ ลงได้ ความสุขมันก็เกิดกับเราทันที สุดท้ายเราก็ต้องนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า “ละโลภ โกรธ หลง” ลงได้เมื่อไหร่...? เราก็จะเป็นสุขตลอดกาล


ว. ปัญญาวชิโร








 

Create Date : 19 กันยายน 2555    
Last Update : 19 กันยายน 2555 16:24:41 น.
Counter : 1113 Pageviews.  

ธรรมะข้างห้องน้ำ

ฝึกคิดดีๆ ใหม่ๆ ให้ใจเป็นสุข แล้วชีวิตจะสบาย




ธรรมะข้างห้องน้ำ

 


การใช้ห้องน้ำเป็นกิจวัตรประจำวันของทุกคน เพราะคงไม่มีใครไม่ขับถ่ายเป็นในแต่ละวัน เราต้องเข้าห้องน้ำกันหลายครั้งทีเดียว ถ้าเรามีโอกาสปฏิบัติธรรมกันในขณะเข้าห้องน้ำ ตรงนี้แหละง่ายดีจะได้เห็นความจริงของกายนี้ว่าสกปรกหรือสะอาดแค่ไหน...? ทำให้เราพิจารณาได้ว่า “อย่าทำชีวิตให้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ดูดีกว่า “จิตใจ” ที่แท้จริง” นั่นเอง

 


เราลองสังเกตดูเลยว่า ร่างกายมันคือ ถังขยะใช่หรือไม่..? ร่างกายนี้เป็นถังขยะที่ใส่ของเน่าเหม็นต้องขับออกทิ้งทุกวัน เป็นรังแห่งโรคที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “โรคนิทฺทํ ปภงฺคุณํ รูปคือ สังขารนี้เป็นรังแห่งโรค” บางทีก็ยากที่จะให้เชื่ออย่างนั้นก็เพราะเวลาดูเพศตรงข้ามสาวๆ หนุ่มๆ ยังไงๆ ก็แต่งสวย แต่งหล่อกันจริงๆ

 


มองที่ไรก็ดูดีไปเสียหมดหน้าตาก็ดี ผิวก็ดี ใครๆ เขาก็บอกว่า “สวยคอนเฟิร์ม หล่อสุดๆ” อย่างนี้จะให้ดูว่าเป็น “ถังขยะเน่า” ได้อย่างไร..?

 


มันจะยากไปหน่อยไหม..? ที่จะทำใจให้พิจารณาสังขารอย่างแท้จริง เอาเถอะอย่างไรก็ตามที สังเกตดูเลย ว่า “ร่างกายอันงดงามของเรานี้มันขับถ่ายอะไรออกมา” เมื่อถ่ายออกมาแล้ว เราเห็นสิ่งปฏิกูลแล้ว เรามีความรู้สึกอย่างไร มีท่าทีอย่างไร..? ปลงได้ เข้าใจได้หรือว่า “เกลียด ขยะแขยง” เพิ่มมากขึ้น

 


ร่างกายนี้ขับถ่ายอะไรออกมา...? ทำไมเราต้องเกลียดด้วย ลองพิจารณาใหม่สิว่า เข้าห้องน้ำทุกครั้งท่องไว้ว่า “ร่างกายนี้เป็นถังขยะชัดๆ” มีแต่ของไม่ดี ถ่ายแล้วเหม็น น่าเกลียด แต่เราก็หนีไม่พ้น พิจารณาอย่างนี้ให้เป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกคนต้องประสบทำอย่างงี้บ่อยๆ จะทำให้ความยึดติดในความงามเสน่ห์ทั้งหลาย หลุดไปได้ทีละเปราะจนทะลุออกจากเปลือกแห่งการยึดติดได้ในที่สุด

 


ธรรมะช่วยเหลือกันในห้องน้ำ

 


ตัวอย่าง... คุณผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลายวันก่อนช่วงเย็นๆ ไปเข้าห้องน้ำห้างแถวๆ ลาดพร้าว ก็มีคนเข้าเต็มทุกห้องพอดี ห้องน้ำมีประมาณ ๗-๘ ห้อง เธอเข้าไปห้องตรงกลางๆ สักพักก็ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนคุยกันหน้าห้องน้ำอย่างสนุกสนาน แล้วก็ได้ยินห้องทางฝั่งซ้ายมือเธอมีคนเปิดเข้า สักพักก็ได้ยินห้องทางขวามือเธอมีคนเปิดเข้า แล้วเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนกันและคุยกันแบบสนทนาข้ามห้องกันอย่างเมามัน โดยไม่คิดว่ามีคนข้างๆ ได้ยินเสียงคุย ลืมไปว่า “มนุษย์เราต้องเกรงใจคนอื่น เข้าใจคนอื่นบ้าง” ระวังไว้เป็นดี

 


สักพักห้องทางซ้ายมือเธอก็ตะโกนถามขึ้นมาว่า จะเอาทิชชู่ไหม..? คือ เขาถามเพื่อนเขาที่อยู่ห้องทางขวาว่าเอาทิชชู่ไหม..? ทางห้องเพื่อนด้านขวาก็ตอบว่า เอา..! แล้วเธอก็เหลือบมองเห็นมือจากห้องทางด้านซ้ายยื่นกระดาษทิชชู่เข้ามาทางห้องเธอและก็หันไปทางด้านขวาก็เห็นมือเปล่าๆ ยื่นเข้ามา แล้วเขาสองคนก็พูดกันว่า อ้าว...! ส่งไปให้แล้วทำไมไม่รับละ..รับสิ..!

 


อีกฝ่ายทางห้องขวาก็บอกว่าก็นี่ไง ยื่นมือไปแล้วไม่เห็นได้เลย ห้องทางซ้ายก็บอกนี่ไง ยื่นมืออยู่นี่ ไอ้เธอเองเป็นคนตรงกลางก็งงว่า พวกเขาไม่รู้เลยเหรอว่า เธอทั้งสองเข้าห้องน้ำไม่ได้ติดกันมันมีห้องตรงกลางอยู่อีกห้อง แล้วมีคนอยู่ด้วย ทั้งสองคนก็ยื่นกันไปมาเก้ๆ กังๆ แบบควานไปทั่วจนเธอคิดว่า เธอคงต้องบอกอะไรแล้วล่ะ เพราะถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้อาจมีการก้มเกิดขึ้นซึ่งเราจะเดือดร้อนแน่ ถ้าการก้มมองผ่านมา

 


ลองคิดดูมีมือยื่นออกมาในห้องน้ำเธอเอง เธอก็ไม่กล้าพูดกลัวเขาจะอายคิดว่า เขาน่าจะคิดได้ แต่เขาก็ไม่เอะใจกันสักที จนสุดท้ายเธอต้องพูดออกไปว่า พี่ๆๆ พอดีพี่ทั้งสองอยู่ห้องน้ำไกลกัน มีห้องตรงกลางขั้นอีกห้องอ่ะค่ะ เมื่อจบคำพูดเธอ มือทั้งสองรีบดึงกลับทันทีแบบตกใจๆ เหมือนฉุกคิดได้

 


เธอคนพูดเองก็แบบขำๆ นะ และก็ได้ยินเสียงทั้งสองห้องขำๆ แล้วสักพักเธอก็ถามเขาว่า ตกลงพี่ยังจะเอาทิชชู่อยู่ไหมค่ะ เขาก็ตอบว่าเอาค่ะ เธอก็เลยบอกเขาว่า นั้นพี่ยื่นมือมาเดี๋ยวหนูส่งให้ แล้วมือทางซ้ายก็ค่อยๆ ยื่นทิชชู่เข้ามาและมือทางขวาก็ค่อยๆ ยื่นมารับ แล้วเรื่องก็จบด้วยพี่สองคนนั้นพอออกจากห้องน้ำได้ก็รีบเดินออกไปเลยส่งสัยจะอายๆ ใครจะเคยเจอเรื่องแบบนี้บ้าง ถ้าคิดให้ดีมันอาจเป็น “ธรรมจัดสรรให้คนสามคนได้มาช่วยเหลือกันในห้องน้ำก็เป็นได้” แปลกดีกับธรรมะข้างห้องน้ำ


ว.ปัญญาวชิโร







 

Create Date : 14 กันยายน 2555    
Last Update : 14 กันยายน 2555 15:55:30 น.
Counter : 1914 Pageviews.  

ใจร้าย...น่ากลัวกว่าความตาย

พิจารณาให้ดีๆ ว่า ใจเราร้ายหรือป่าว




ใจร้าย... น่ากลัวกว่าความตาย

 


วันนี้ผู้เขียนนั่งรถไปตามทางถนนสายอิสาน ขณะนั้นรถเริ่มติดก็รู้ทันทีว่า ข้างหน้ามีอุบัติเหตุ รถจึงเคลื่อนตัวไปช้าๆ บรรยากาศไม่ค่อยเป็นสุขนัก เพราะรถวิ่งไม่ได้อย่างใจคนขับ เสียงคนขับบ่นว่า อีกแล้วนี่หนอเมืองไทยรถอุบัติเหตุเสียชีวิตกันบ่อยมาก ทันใดนั้นก็เห็นภาพคนตาย ที่รถเก๋งชนรถหกล้อ ศพกระเด็นออกมานอกรถศีรษะแตกเลือดไหลกองบนพื้นถนนอย่างน่าหวาดเสียว ทำให้คิดว่า “ระวังชีวิตให้ดี เพราะ “บ้าวูบ” เดียว...! อาจเสียใจทั้งชีวิต” นั่นเอง

 


แต่รถเรายังดีที่มีช่องทางให้วิ่งผ่านไปได้ ทำให้ในใจอดคิดปลงไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอนจริงๆ จะตายเมื่อไร..? ไม่มีใครรู้ ความตายเป็นสิ่งน่ากลัว แต่พอคิดถึงความตายอีกที กลับฉุกคิดขึ้นได้ว่า “สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย คือ ใจที่คิดร้าย” เมื่อทำกรรมแล้วมันจะติดตามข้ามภพข้ามชาติ

 


ในยามที่ต้องเผชิญเหตุการณ์อันเป็นจุดสะเทือนใจที่สุด ความคิดเรามักจะย้อนกลับไปในอดีตอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่ห้องแห่งความทรงจำที่มีความเศร้าโศก ตรอมตรมและขื่นขม อดีตที่เจ็บปวดไม่ให้อะไรแก่เรา นอกจากความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง สูญเสียพลังที่จะก้าวไปข้างหน้า เราต้องเตือนตัวเองเสมอว่า “เราจะไม่เปลี่ยนตัวเอง “ให้ดี” เพราะใคร...แต่เราจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง” ใจจะได้เป็นสุข

 


แต่ถ้าเรามองให้ดี เรากลับทำใจให้ไปสู่การพัฒนาศักยภาพทางจิตใจของตนเองได้อีกครั้งเมื่อคิดว่าอดีตที่แสนลำบากเรายังผ่านมาได้ ลองคิดให้ดีว่า “มรดกแห่งขันติธรรมที่แข็งแกร่งเท่านั้น จะทำให้คุณสามารถยืนหยัดเพื่ออนาคตได้” น่าสนใจนะ

 


เวลานั้นเราจะมองเห็นสิ่งที่ทำให้ดวงใจซึ่งสลดหดหู่ แต่กลับใช้มันเป็นเส้นทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิตก็ยาวไกลสุดสายตาจะแลเห็น ความรู้สึกกายเหนื่อยล้า ใจร้อนรุ่ม กลุ้มแทบไม่อยากย่างก้าว ไฟแห่งชีวิตริบหรี่ดุจแสงเทียนไขซึ่งใกล้จะหมดเล่มกลับเริ่มติดขึ้นมาอีก

 


ชีวิตคนเราเหมือน “ทรายเม็ดเล็กๆ ในทะเลทราย สุดแต่ลมจะหอบไปทางไหน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ต้องร่วงหล่นและจมหายไปกับพื้นทรายด้วยกันทั้งสิ้น” แต่ถึงแม้จะถือกำเนิดในแหล่งเดียวกัน แต่บางคนก็เป็นเพียงเม็ดทรายในทะเลทรายเท่านั้น

 


ในขณะที่บางคน เป็นทรายที่ถูกหล่อหลอมให้เป็นเครื่องแก้วเจียระไน คงจะมีสักวันอันเป็นวันที่ชื่นใจ คงจะมีสักวันอันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ อยู่บนทางที่เราเคยหวั่น แต่เป็นวันที่คอยเราอยู่...ไม่ไกล มันคือ ปริญญาแห่งชีวิต ไม่ใช่ใบประกาศปริญญาที่เขาได้กัน

 


หากเราจะหยุดครุ่นคิดถึงอดีตที่สุดเศร้า ดวงใจเรายามนี้จะไม่หมองหม่น ทว่าจะสดใสมีชีวิตชีวา มีพลังที่จะก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความสำเร็จดังที่วาดหวัง ไปสู่ความหลุดพ้นจากวังวนแห่งชีวิตที่แสนเศร้า ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ บนโลกใบนี้ ได้สัมผัสคืนวันที่ดีกว่า

 


ความโกรธทำให้ใจร้าย

 


ตัวอย่าง.. หญิงสาวกลางคนๆ หนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า “ใจร้าย” ทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข วันหนึ่งเดินชนคนชายแปลกหน้า เธอเอ่ยขอโทษไม่ตั้งใจ เขากลับตอบ “ขออภัย ผมเองไม่ทันระวัง” เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัยแสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกัน แต่ที่บ้านเย็นวันนั้น เธอทำอาหารอยู่ในครัว ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืนข้างหลัง ไม่ทันระวังเธอหันกลับมาชนเธอล้มลง

 


เธอดุด้วยความไม่พอใจว่า “อย่ามายืนเกะกะฉัน” ลูกสาวเดินจากไป ด้วยหัวใจอันปวดร้าว คืนนั้นเธอได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจว่า “เธอใจร้าย” จัง เวลากับคนแปลกหน้าเธอสุภาพได้ แต่กลับลูกรักชิดใกล้ทำไมทำใจร้ายได้ลงคอ

 


เธอนึกถึงภาพดอกไม้หลากสีสวยในบ้าน ที่ลูกอุตส่าห์เก็บมาหวังให้เธอแปลกใจ วางอยู่ตรงหน้า น้ำตาเธอไหล เหตุใดไม่แลเห็นความรักน้อยๆ นี้ เธอเพิ่งรู้ตัวว่า “เจ้าใจร้าย” มันทำลายความสุขจริง เธอเลยค่อยๆ ย่องเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างเตียงลูก “ตื่นเถิดคนดีดอกไม้นี่ลูกเก็บมาให้แม่หรือ” สวยจัง

 


ลูกตอบ ใช่ค่ะ...! หนูเห็นดอกไม้บานสวยงามเหมือนคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ต้องชอบโดยเฉพาะดอกสีชมพู

 


เธอตื้นตันใจนัก ลูกรัก แม่ขอโทษจริงๆ ที่เอ็ดหนู เพราะแม่เผลอใจให้ความร้ายมันเกิดในใจนะลูก

 


ลูก : แม่จ๋า...! ไม่เป็นไรค่ะ ลูกรักแม่...

 


แม่: แม่ก็รักลูก แม่ชอบดอกไม้ของลูกมาก โดยเฉพาะดอกไม้สีชมพู

 


หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้ แล้วเจ้าความใจร้ายที่เราทำไว้เราจะได้มีโอกาสแก้คืนไหม ถ้าหากนึกถึงที่ทำงานหากเราตายอีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้ แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจโศกเศร้าเสียใจไปชั่วชีวิต ลองคิดดูว่าคุ้มไหม? หากเราจะทุ่มเทตัวเองให้กับงานและสิ่งอื่นมากกว่าชีวิตและครอบครัว ด้วยจิตใจเคร่งเครียดจนลืมคิดถึงความดีให้กันและกัน


ว. ปัญญาวชิโร








 

Create Date : 21 สิงหาคม 2555    
Last Update : 21 สิงหาคม 2555 13:38:45 น.
Counter : 915 Pageviews.  

ไม่มีเงิน...ก็ทำบุญได้อย่างเป็นสุข

การคิดหาวิธีแก้ปัญหา เป็นหน้าที่ของชีวิต





ไม่มีเงิน...ก็ทำบุญได้อย่างเป็นสุข

 


หลายคนคงเคยได้ยินแต่เพียงว่า การทำบุญต้องมีเงินทองมากๆ จึงจะทำบุญได้ที่ละเยอะๆ แล้วได้บุญมากๆ แต่พอมาอ่านถึงตรงนี้บอกว่า “ไม่มีเงิน สามารถทำบุญได้อย่างเป็นสุข” มันจะจริงหรือเปล่า..! มันแปลกและน่าสงสัยจังเลย ถ้าไม่เชื่อลองมาพิสูจน์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงแค่ปฏิบัติตาม “ศีล สมาธิ ปัญญา” ก็เป็นบุญทุกขณะมากกว่าทานใดๆ เสียอีก

 


เมื่อใดก็ตาม ถ้าเรามีแรงกระตุ้นใจที่จะทำดีแล้วลงมือกระทำด้วยแรงกระตุ้นของกิเลส ตัณหาและเจตนา ถ้าเป็นการทำดีแล้วเป็นประโยชน์ตนและผู้อื่นแล้วเป็นความดีทั้งหมด ตามปกติคนเราจะลงมือกระทำสิ่งใดๆ เกิดขึ้นได้สามทาง คือ

 


มโนกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นทางใจ มีแรงกระตุ้นจากปัจจัยทำให้โกรธมากๆ โลภมากขึ้น แล้วอยากทำให้เขาเจ็บช้ำใจมากๆ คิดหาถ้อยคำและวิธีการที่จะด่า ให้เขาเจ็บใจตลอดเวลาที่คิดอยู่ในใจนั้น “เขากำลังทำกรรมทางใจหรือมโนกรรมทำให้เกิดทุกข์ใจโดยไม่รู้ตัว”...อย่างนี้ขาดประโยชน์ตนไป เพียงแต่ยังไม่เกิดเป็นรูปธรรมที่เกิดกับคนอื่นเท่านั้

 


ความทุกข์ใจเพราะคิดแค้นมันเจ็บปวดมาก แต่เมื่อใดใจมีอภัยเกิดขึ้นทุกอย่างที่คิดจะเป็นสุขหมด ถ้าเรามีมโมกรรมดีๆ จะเกิดขึ้นสุขใจทันที มโนกรรมมีสองทาง แต่ตรงกันข้ามคือ “ดีกับชั่วหรือกุศลกับอกุศล” ทั้งเป็นบุญ เป็นบาปที่เกิดขึ้นกับผู้กระทำทุกครั้ง ถ้าใจเป็นกุศลเมื่อไร เป็นบุญทันที แต่ถ้าใจเป็นอกุศลเมื่อไร ก็เป็นบาปทันทีเหมือนกัน

 


วจีกรรม เกิดขึ้นทางวาจา... เราต้องรู้ว่า “ถ้าเรายอมที่จะเผชิญกับอันตรายครั้งเดียว ดีกว่าต้องกลัวไปตลอดชีวิต” เมื่อใจเป็นอกุศลจะคิดหาคำด่าได้เป็นที่พอใจแล้วก็เปล่งเสียงด่าออกมาจริงๆ กรรมทางวาจาจึงเกิดขึ้นทันทีโดยเจตนาจากใจ อาศัยการประทุษร้ายทางวาจาเป็นตัวกระทำ เมื่อเกิดเป็นผลขึ้นมาเมื่อไร เป็นบาปทันที แสดงว่ากรรมนั้นสำเร็จแล้ว เป็นอกุศลกรรมแน่นอน ในทางกลับกันถ้าใจดี วาจาดีก็จะกลายเป็นบุญทันที วจีกรรมจึงเป็นบุญหรือบาปได้ง่ายนิดเดียว

 


กายกรรม เกิดจากการกระทำทางกายทุกชนิด เราต้องพิจารณาว่า “อย่าใช้คำพูดใหญ่โตกับเรื่องเล็กนิดเดียว เพราะมันจะกลายเป็นสงครามชีวิตได้ที่ออกมาทางกาย” เมื่อด่าเขาแล้ว ยังไม่พอใจยังไม่หายโกรธ จึงลงมือตบเตะ ตีเขาอีกเป็นการกระทำทางกาย ถ้าหนักมากก็ถึงกับฆ่ากัน อย่างนี้เป็นผลกรรมติดตามบางครั้งก็ตอบสนองทันที เพราะญาติเขามาทำร้ายเรากลับคืนบ้าง หรือเขาเกิดหึดสู้ขึ้นมา กลับมาฆ่าเราได้ทันที หรือจะเป็นเวรกรรมไปภายหน้าได้ เห็นไหม ไม่ต้องใช้เงินก็ทำบาปได้

 


ตรงกันถ้าเราทำดีก็เป็นบุญทันที แรงกระตุ้นใจกับพลังใจของแต่ละบุคคล ถ้าแรงกระตุ้นใจไม่พอ ก็จะเหลือเพียงแค่โกรธเล็กน้อย คิดด่าเขาอยู่ในใจแล้วก็หยุดเพียงแค่นั้น ผลแห่งกรรมจริงๆ จึงไม่เกิด เพราะมันเป็นเพียงแค่คิด ถ้าเป็นแรงกระตุ้นใจขนาดกลางๆ คิดด่าเขาแล้วยังไม่จุใจ ออกปากด่าเขาจริงๆ แต่แล้วก็หยุดเพียงแค่นั้น มีผลกรรมเป็นของตัวเองเกิดแล้ว แต่ยังไม่รุนแรงมาก เราควรใคร่ครวญว่า “ความท้าทายคือ การกระทำสิ่งที่ผู้อื่นบอกว่า เราทำไม่ได้ แต่ความพยายามกลับสร้างความสำเร็จได้” นี่สำคัญ

 


ถ้าเป็นแรงกระตุ้นใจรุนแรงมาก โกรธมาก คิดด่าแล้ว ด่าออกมาจริง ๆ แล้วยังไม่พอใจต้องลงมือตบตีเขาอีก บางทีถึงกับฆ่าเขา อย่างนี้องค์ประกอบของกรรมทั้งสามครบบริบูรณ์ ต้องรับผลเวรกรรมแน่นอน อย่างเป็นบาปที่ทำด้วยเจตนามีผลเป็นบาปมาก ควรคิดให้ดีว่า “โลกนี้เป็นของผู้มองโลกในแง่ดีแล้วจะมีความสุข แต่เป็นสิ่งเลวสำหรับผู้มองโลกในแง่ร้ายแล้วเป็นทุกข์” น่าคิดให้ได้

 


ถ้าโกรธแล้ว ยังมีสติสัมปชัญญะ มีขันติ ความอดทนระงับ ยับยั้งใจ คิดด่าในใจเพียงนิดหน่อยแล้วก็หยุดเพียงแค่นั้นผลกรรมยังไม่เกิด บางคนอาจจะไม่คิดด่าเลยกลับจะแผ่เมตตาแก่คนที่ทำให้ตนโกรธเสียอีก เกิดเป็นอภัยขึ้น ทำให้ใจเป็นกุศลโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหา ทำบุญเองด้วยการให้อภัยเป็นบุญที่สำคัญมากสุด


ว.ปัญญาวชิโร






 

Create Date : 15 สิงหาคม 2555    
Last Update : 15 สิงหาคม 2555 9:48:01 น.
Counter : 1206 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  
 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com