ขจัดโรคเครียดกันในครอบครัว

หัดมองธรรมะใกล้ๆ ใจเรา





ขจัดโรคเครียดกันในครอบครัว

 


ภายในบ้านหลังหนึ่ง คุณคิดว่าห้องไหนเป็นที่รวมของหัวใจ ความรัก เมตตาและกรุณา สำหรับบางคนคิดได้แล้ว “ห้องครัว” ไงละคือ คำตอบสุดท้าย ตรงนี้ถ้าคิดดีๆ สมัยโบราณเขาจะเป็นแหล่งสลายความเครียดได้ดีมาก เพราะเป็นจุดเริ่มของการสร้างความสามัคคี

 


ความสุขของทุกๆ คนในบ้านแบบไม่เครียด เริ่มต้นมาจากห้องครัวนี่เอง เพราะรสชาติที่ถูกปาก ถูกใจตอนเย็นๆ แม่เรียกพวกเราลูกๆ ให้ไปช่วยชิมน้ำแกง “อร่อยหรือยัง” ท่านจะถามที่จริงท่านรู้แล้วว่ามันอร่อยหรือไม่ แต่ท่านอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมนั่นเอง... ยังขาดรสใดหนอ ซึ่งหมายถึงควรจะเติมน้ำปลา น้ำตาลหรือว่าอะไรลงไปอีกเพื่อความอร่อยของลูกๆ ซึ่งสิ่งสำคัญคือ แม่อยากให้ลูกๆ รู้จักรสชาดของอาหาร พร้อมๆ กับได้รู้วิธีการปรุงและการแก้รสควบคู่กันไปด้วย แต่สิ่งสำคัญบ้านนั้นจะได้รับความผูกพันในความรักและเมตตาร่วมกันมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตย้อนกลับไปคิดถึงคำว่า นี่เอง“อย่าใช้อารมณ์เวลาแก้ปัญหา จะทำให้สิ่งที่ตัดสินได้มา มีแต่ความเสียใจ”

 


ถ้ามองให้ดีอีก คงเหมือนการปฏิบัติธรรมนี้หนา มันมีหลายอารมณ์ หลายสภาวะ พอเรามาอยู่รวมกันมากๆ ต่างคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน มีใจเมตตาต่อกัน ความสุขมันก็เกิด พยายามคิดให้พอดีว่า “อย่าหลงงมงายกับคำยอ อย่าท้อแท้กับปรามคำหยาบ อยู่ในเรือนกระจก อย่าคิดขว้างก้อนหิน” เราจะได้พิจารณาตัวเอง

 


ลองคิดดูว่า อาหารที่เราปรุง... เราปรุงเพื่ออะไร เพื่อใคร...เราปรุงก็เพื่อแบ่งปันกันกินร่วมกันกับทุกๆ คนในบ้าน รสชาดจึงต้องเฉลี่ย เพื่อให้ถูกปากของทุกๆ คน เรียกว่า “ธรรมจัดสรร...ที่เกิดใกล้ๆ ใจกันและกัน” ความสดชื่นจึงมาแทนที่ความเครียด ข้าวหนึ่งหม้อ...กับหนึ่งจาน ที่เราต้ม ผัด แกง ทอด จึงมิใช่เพื่อตัวเราเอง “แต่เกิดความคิดคำนึงถึงคนอื่น ในเวลาเดียวกันเสมอ” นี่แหละจุดเริ่มแห่งการปฏิบัติธรรมในการอยู่ร่วมกันอย่างเมตตาที่จะสร้างครอบครัวให้เป็นสุข

 


ครัวของแม่ที่เนืองแน่นไปด้วยลูกๆ โดยเฉพาะลูกที่มีหน้าที่จะต้องเป็นพ่อครัวแม่ครัวคนต่อไปในชีวิตข้างหน้า การสอนให้ลูกฝึกชิมอาหาร ไม่เพียงเป็นการถ่ายเทความรักผ่านความใกล้ชิด แต่ยังถ่ายทอด “วิชาดำรงชีวิต” อย่างมีสุขให้ลูกไปด้วย ห้องครัวกลายเป็นห้องเรียน...ไม่ใช่แค่วิชาโลก แต่เป็นวิชาศีลธรรมแห่งการอยู่ร่วมกัน ด้วยความสามัคคี มีเมตตาต่อกันโดยไม่ต้องรอให้ใครสอนซ้ำอีก โอ้...! น่าเสียดายสิ่งดีๆ ที่มันกำลังหายไปจากสังคมไทย

 


มองให้ดีแล้วเป็นการปฏิบัติธรรม “เรื่องเมตตา-กรุณาในครอบครัว” เป็นการแบ่งความสนใจจากความเครียดมาเป็น “เมตตาคือ รู้สึกดี ปรารถนาดีต่อผู้อื่น” ทำในสิ่งที่ดี เพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์จากความดีของสิ่งนั้นๆ ทำให้เขารู้สึกดี ด้วยความตั้งใจดี โดยมิหวังผลตอบแทนอย่างน้อยเริ่มที่คนใกล้ชิดเราเอง

 


อันที่จริง ครัวทำให้เราเห็นแก่ตัวก็ได้ ให้เรายักยอกอาหารจานอร่อยไว้กินเอง หรือดักกินก่อนคนอื่น แต่ทำไมเราจึงรอกินด้วยกันอย่างพร้อมหน้า “ลดน้ำตาล เติมน้ำปลา เพิ่มธรรมะในวงอาหาร” เพื่อให้ย่าได้กินด้วย หรือทำเพิ่มอีกสักจาน เป็นอาหารของน้องคนเล็กที่ยังกินเผ็ดกับเขาไม่ได้ เคี่ยวผักให้เปื่อยขึ้นอีกนิด เพื่อให้ยายเคี้ยวได้สะดวก หรือตักแบ่งอาหารไว้ สำหรับพี่ชายที่จะกลับบ้านดึก เห็นไหมสวรรค์ของครอบครัวที่รักกันมันจะสลายความเครียดในครอบครัวอย่างง่ายๆ ตั้งแต่โบราณมาแล้ว

 


ถ้าเรารู้จักทำครัวให้มีธรรมะ... ทำให้ใจของเรากว้างขึ้น จิตใจก็จะไม่เครียดถ้าได้เติมธรรมะแห่งความเอื้ออาทรลงไป เพราะเรารู้จักคิดคำนึงถึงคนอื่นมากกว่าคำนึงแค่ตัวเราเพียงลำพัง หลายคนอาจพูดว่า “ยากหนักที่จะหยั่งรู้ใจมนุษย์ เพราะบางคนยังไม่รู้จัก “ใจตัวเอง” ยังกำหนดได้ยาก

 


ความรักและความปรารถนาดีง่ายๆ เช่นนี้ หล่อหลอมให้เกิดธรรมะที่ดูยิ่งใหญ่ขึ้นในครอบครัว ธรรมะคือ “เรื่องเล็กๆ สิ่งเล็กๆ ที่เราทำเพื่อกันได้” ธรรมะคือ “ธรรมดาสามัญ เป็นสิ่งปกติสามัญที่เราเชื่อว่า ทุกคนควรทำเป็นหน้าที่” คือคุณงามความดีที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเพียงแต่ต้องมี “ขันติธรรม” อยู่ร่วมกัน

 


อยากตักเข้าปากสักคำ ก็ระลึกได้ว่า “แม่ยังไม่มา พ่อยังไม่ได้กิน” ทุกคนก็หิวเหมือนเรา นี่คือคุณธรรมเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ในความมีเยื่อใยต่อกันที่กำลังถูกหล่อหลอมขึ้นในใจ เท่ากับ “งดเว้นความอยากเสียจนชิน ปรามความตะกละตะกลามจนอยู่ตัว” เรื่องใดในโลกก็รู้จักปรามเป็น ข่มได้ กลั้นไว้ มิให้ความอยากชวนเราละเมิดกรอบเกณฑ์ที่ควรยึดถือ โอ้...! นี่แหละธรรมคายเครียด ที่หลายคนลืมไป


ว.ปัญญาวชิโร






Create Date : 27 กรกฎาคม 2555
Last Update : 27 กรกฎาคม 2555 21:27:39 น. 3 comments
Counter : 1003 Pageviews.

 
อ่านแล้วเห็นภาพดีมากคะ


โดย: piti IP: 101.108.21.7 วันที่: 28 กรกฎาคม 2555 เวลา:1:07:10 น.  

 
ถูกตรงประเด็นเห็นด้วยมากเจ้าค่ะ


โดย: dada IP: 62.195.234.241 วันที่: 29 กรกฎาคม 2555 เวลา:3:08:53 น.  

 
.. บ้าน..
.. หลายคนมองว่าบ้าน คือ รอยต่อ รอยเชื่อม ให้ความอบอุ่น ปลอดภัย เป็นจุดเริ่มต้นของการพักปัญหา เพื่อวันรุ่งขึ้น.. ตามวิสัยการดำเนินชีวิตของมนุษย์..
.. บ้าน จึงเป็นที่เก็บทุกสิ่งทุกอย่าง..ที่ไม่เว้นไว้..แม้กระทั่ง..ความทรงจำ..
.. บ้านได้รับการออกแบบให้มีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ และส่วนประกอบย่อยเพื่อความพอใจของผู้เป็นเจ้าของ และผุ้อาศัย ที่ตกลงยินดียอมรับร่วมกัน..
.. บ้านจึงแตกต่างกันไปตามแต่วิสัยของผู้เป็นเจ้าของ บ้านที่ดี สะอาด เรียบร้อยก็มี บ้านที่สกปรกรกรุงรังก็มี.. ก็ไม่แปลกหากว่า ผุ้อาศัยจะมีความสะอาดเรียบร้อย เพราะผู้เป็นเจ้าของแนะนำ อบรม บอกสอนให้ช่วยกันจัดวางสิ่งตางๆ ให้เหมาะสม เป็นระเบียบ ในขณะที่ อาจมีผู้อาศัยมีนิสัยสกปรก..เพราะผู้เป็นเจ้าของไม่อบรม ไม่มีระเบียบ วางของระเกะระกะ ไม่ทำความสะอาด ก็มี..เหมือนกัน..
แต่ความยากลำบาก..มันคงไม่เกิดขึ้น หากวาผู้มีนิสัยสกปรก ไปพักอาศัยอยู่ในบ้านสะอาด และผู้มีนิสัยสะอาด ต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านสกปรก.. เพราะมันต่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงอย่างนั้น..
.. ในทางพระพุทธศาสนา.. พระพุทธองค์ได้เปรียบเทียบความหมายของบ้านไว้อย่างน่าเจริญวิปัสสนายิ่งนักว่า.. บ้านนี้เป็นรังที่สร้างตัณหา เป็นรังที่อยู่ของตัณหา เป็นที่เกิดแห่งชาติ ภพ หรือวัฏฏะสงสาร.. แม้พระองค์ยังตามหาว่าอะไรหนอที่ได้สร้างตัณหา หรือบ้านนี้ มานานนับชาติไม่ได้.. แต่เราโชคดี..ที่ขบคิดสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงขบคิดความหมายนี้ไว้ให้แล้ว..โดยไม่ต้องใช้เวลาอีกหลายแสนกัลป์เพื่อตามค้นหาว่า บ้าน หรือ ตัณหานี้ คืออะไร..ในเวลาไม่นานนัก.. แค่ลองมองดูบ้านที่เราอาศัยอยู่ขณะนี้.. ว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง สีสรรอย่างไร ... เราจะรู้จักตัวเองยังชัดเจนแจ่มแจ้งว่า..เรามีโลภะ โทสะ โมหะ ราคะมากเพียงใดแล้ว.. ในทางเดียวกัน.. เรายังจะสามารถรู้ด้วยว่า โลกนี้มีโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ.. มากเพียงไร เช่นกัน..เพราะข้าวของที่เราซื้อมาประดับประดานั่น ก็ไม่ได้เกิดจากอะไรเลย..นอกจากโลภะ โทสะ โมหะ และราคะของผู้ขายนั่นแหละ.. กิเลสนี้เหมือนลูกโซ่นะ..ตัวหนึ่งมาได้แล้ว..ที่เหลือก็จะติดตามมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย.. ดังนั้น เมื่อตัวหนึ่งถูกกำจัดลงได้อย่างราบคาบ.. ที่เหลือก็จะทยอยดับตามไป..
ด้วยเหตุอย่างนี้..พระพุทธองค์จึงทรงได้รำพึงกับตัวเองว่า.. เรานี้เฝ้าติดตามตัวสร้างเรือน คือตัณหามานานนับชาติไม่ถ้วน..พอพบแล้ว พระองค์จึงรื้อเสียซึ่งเรือน (บ้าน) หรือตัณหาทิ้งเสีย.. ดังนั้นจึงเห็นว่า..เหล่าพระอริยทั้งหลายไม่ยินดีในการตั้งบ้านเรือน.. เพราะบ้านเรือนนี้เป็นของผุ้ยังมีเหตุเป็นปุถุชนคนธรรมดา..ที่ยังมีหน้าที่เวียนว่ายตายเกิดไปตามแต่เหตุ ปัจจัยที่ยังมีจนกว่าจะจบธุระเสียก่อน..
.. แต่..บ้านก็ยังเป็นเสมือนอ้อมแขนอันอบอุ่น..อยู่ดี..
จึงสมควรจะมองบ้านให้เป็นที่อาศัยอันสะอาด ให้ความอบอุ่น ปลอดภัย ร่วมใจกันรักษาดุแล กำจัดของไม่สะอาด เพื่อให้เป็นรอยต่อ เป็นรอยเชื่อมให้ผู้มาเป็นเจ้าของคนใหม่ ให้ผุ้อาศัยรุ่นต่อๆ กัน ได้สานต่อความเจริญอย่างสะอาดสืบไป.. รักบ้านจัง..



โดย: sanya.. IP: 74.100.157.122 วันที่: 3 สิงหาคม 2555 เวลา:1:10:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com