อุบาย… กำจัดความเบื่อ

คนเรายิ่งคิดยิ่งเบื่อ ลองหยุดคิดดูสิ เราจะมองเห็นตัวเอง



อุบาย… กำจัดความเบื่อ


การที่เราดำรงชีวิตอยู่บนโลกกลมๆ ใบนี้ ในสังคมมนุษย์ที่เป็นอยู่นี้ มีหลายต่อหลายครั้งในชีวิตที่เราได้พบและสัมผัสกับบางอย่างที่เราไม่ต้องการ แต่เรากลับต้องทนอยู่กับมัน ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์เช่นไร ในบางครั้งเราต้องทำเรื่องเดิมๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เบื่อแล้วเบื่ออีกหรือเบื่อหน่ายอย่างที่สุด จนร้องออกมาว่า “เบื่อมากมายหลายล้านเหตุการณ์เบื่อ” แต่เจ้าความเบื่อมันก็เดินตามเรามาอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แม้จะพยายามผลักไสซักแค่ไหนก็ตามหรือบ่นว่า “เบื่อเหลือเชื่อเบื่อได้ไม่จำกัด” นั่นเอง


ลองคิดดูดีๆ สิ..! เขาว่ากันว่า “การชอบหนังสือสักเล่ม ไม่ได้หมายความว่า หนังสือเล่มนั้น เนื้อหาดีทุกหน้า เหมือนการรู้สึกดีกับใครสักคน ไม่จำเป็นว่าเขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย” ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ บางทีความเบื่อมากๆ อาจลดลงได้ เพราะแบ่งใจย่อมรับได้สิ่งดีๆ เข้ามาในใจ


สิ่งสำคัญในชีวิตที่เราต้องกำจัด คือ “ความเบื่อหน่าย” ซ้ำซาก จำเจ ถ้าเราปรับให้มันเป็นธรรมดาไม่ได้ เมื่อเรากำจัดมันออกจากใจไม่ได้จึงเป็นที่มาของแหล่งบันเทิง แหล่งอบายมุขนานาชนิด ผับ บาร์ โรงหนัง ห้างสรรพสินค้าฯ ที่ผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อสนองตัณหาแทนความเบื่อในใจมนุษย์ ให้พบกับความตื่นเต้นอันเป็นความสุขชั่วคราว ให้บันเทิงใจไปเป็นขณะๆ เพื่อลืมความเบื่อ


พวกเขาทำขึ้นมาเพื่อหาผลประโยชน์จากความเบื่อหน่ายของมนุษย์ ไม่เพียงแหล่งอบายมุข ที่กล่าวถึงข้างต้น ยังมียาเสพติดตัวร้ายที่เพิ่มทวีคูณความร้ายกาจเข้าไปอีก มีข่าวการจับกุมผู้ค้า ผู้เสพ อย่างไม่หยุดหย่อน มีรูปแบบของการซุกซ่อนที่พิสดาร ล้ำลึกมากขึ้น เพื่อประโยชน์แห่งการมีวัตถุนิยมมากๆ จนลืมไปว่า “ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อเราสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาเราจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง” น่าคิดให้ดีๆ นะ


ทุกสิ่งล้วนแต่มีต้นเหตุมาจากความเบื่อหน่าย มันเป็นต้นตอของปัญหาทุกประการ เยี่ยงนั้น จงมาร่วมใจกัน “กำจัดความเบื่อหน่ายในใจให้ออกไปจากชีวิต” ด้วยการทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งดีๆ เข้าในใจเรา ในสังคม หากเป็นคนเรียบร้อย ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง วันดีคืนดีลองร้องเพลงด้วยเสียงดัง ๆ และเต้นให้สุดๆ ไปเลย ไม่ต้องรักษากิริยาอาการกันแล้ว เพื่อออกกำลังกาย เต้นแอโรบิค มันจะช่วยได้ผ่อนคายได้ในบางอารมณ์ เมื่อหาทางออกอื่นไม่ได้ อย่างนี้ไม่เดือดร้อนใครสบายใจเรา


พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำในสิ่งที่แปลกใหม่ให้กับชีวิต เพื่อลดใจไม่ให้วิ่งเข้าไปหาอบายมุข เมื่อก่อนเคยย่างเท้าขวา ลองเปลี่ยนมาย่างเท้าซ้ายก่อนบ้าง เพราะความเบื่อๆ อยากๆ เบื่อหน่าย ซ้ำๆ ซาก ๆ มันจะค่อย ๆจากเราไป แต่อย่าชะล่าใจ เพราะมันกลับมาได้ทุกเมื่อ ถ้าใจเรายังไม่มีธรรมะพอเพียง มันจะคอยรับความเบื่อกลับมาเสมอ


หากหาธรรมะแก้เบื่อไม่เจอ


ชายกลางคนหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ส่วนตัวเขานั้น เบื่อหน่ายกับเรื่องโลกๆ สังคมที่มีแต่แย่งกันไม่หยุด มีแต่การแข่งขันกันไม่สิ้นสุด จึงคิดว่า “เขาอยากได้ธรรมดีๆ” เพื่อจะได้บรรลุธรรมเร็วๆ เขาจึงเดินทางไปเกือบทุกจังหวัด เริ่มจากเหนือสุด สู่แดนใต้สุด เพื่อเสาะหาธรรมะ หาครูอาจารย์ที่เก่งที่สุด เพื่อกำจัดความเบื่อหน่าย ออกจากใจให้ได้


ถ้าพบอาจารย์ดีๆ จะได้สอนเขาให้นิพพานเร็วๆ เพราะเบื่อหน่ายเหลือเกิน แต่ยิ่งค้นหายิ่งไม่ได้ผล เพราะจริงๆ แล้ว แค่พิจารณา “กายกับใจ” ก็สามารถบรรลุได้ ตามหลักสติปัฏฐานสี่ แต่ที่บรรลุไม่ได้เพราะควบคุมกายใจไม่ได้นั่นเอง ต้องทรมานสังขาร หมดเปลืองเงินทองมากมายแล้วก็ไม่ได้ผลในทางธรรมเลย เพราะเอาชนะใจตนเองไม่ได้


แต่ดันไปได้ความรู้ทางเทวาวิทยามาเป็นของแถมด้วย แบบนี้ต้องเรียกว่า “เสียเปล่า” ไม่ได้ธรรมแต่กลับไปได้ความยึดมั่นถือมั่น ที่จะเข้าถึงธรรมโดยเร็วยากขึ้น เรียกว่า พบอุปสรรคอย่างไม่รู้ตัว


ใครบอกว่า พระรูปไหนดีก็ไปหา อาจารย์ไหนดีก็ไปหา เทพองค์ไหนดีก็ไปหา เขากลับไปรู้เรื่องเทพบำเพ็ญความดีอย่างไร..? แล้วเจ้าจิตตอนถูกยกย่อง “มันดีจริงๆ” บางคนอาจบอกว่า “เออไอ้นี่มันบ้าเรื่องเทพหรือเจ้า” แต่คนส่วนใหญ่กลับชอบ ไม่ชอบเปล่าๆ กลับยกย่องอีกต่างหาก ชอบคนใจกล้า บ้าอภินิหารหรือบ้าบอ เรื่องลี้ลับ แบบว่า คนไม่มีที่พึ่งนะ เขาพูดอะไรที่ลี้ลับ มหัศจรรย์เป็นเชื่อหมด คิดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นะเชื่อได้ ช่วยเขาได้เป็นที่พึ่งเขาได้


แล้วคุยต่ออีกว่า เรื่องธรรมะ ใจเย็นๆ มีอีกเยอะ กว่าจะถึงจุดนั้นได้ ยิ่งกว่าฝ่าด่านสิบแปดอรหันต์ ขนาดเขายังไม่ได้บวช พระที่เป็นเพื่อนกันถามว่า หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร ?


เขาตอบได้ทันทีว่า “ปฎิจจสมุปบาท” ธรรมะที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เป็นห่วงโซ่การเกิดดับของจิต พระทั่วไปอย่าว่าแต่เข้าใจเลย บางรูปก็ไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำไป นี่แหละโลกที่ผู้เขียนผ่านพบบ่อยๆ ต้องใช้ปัญญาคิดกันไป พิจารณากันไปทีละขั้น เพราะ “คนรู้ธรรมมักอวดอ้าง แต่คนมีธรรมจะนิ่ง เพราะรู้จริง ปฏิบัตจริง” คนรู้ธรรมนั้น รู้หมดทุกอย่างแต่อดไม่ได้สักอย่าง มักชอบอวดให้คนเชื่อ


ผู้เขียนจึงคิดว่า คนที่เบื่อหน่าย กลับไม่เบื่อจริง บางทีคนยิ่งงมงายไปอีก บางคนก็ยอมโง่เพื่อหวังผลประโยชน์เท่านั้น คิดว่า “หลอกใครก็ได้ที่โง่กว่า” เพื่อสนองตัณหา ความโลภของตัวเองให้มีอยู่มีกินอย่างสบายเท่านั้น นี่เป็นเพียงคำเตือนเล็กๆ เก็บเอาไว้คิดเองพิจารณาเองนะ เพราะชีวิตมันไม่แน่นอนบางคนอาจจะต้องเผชิญอย่างนี้ก็ได้


ว. ปัญญาวชิโร







Free TextEditor




 

Create Date : 17 ธันวาคม 2554    
Last Update : 17 ธันวาคม 2554 6:24:41 น.
Counter : 1384 Pageviews.  

เมื่อถึงสถานีสุดท้าย

ชีวิตไม่ได้เริ่มต้นที่ตอนจบ แต่มันอยู่ช่วงของการดำเนินชีวิตว่า ดีหรือชั่วสำคัญกว่า



Smiley เมื่อถึงสถานีสุดท้า

คนเราเกิดมาเคยถามตัวเองถึงชีวิตเราเองบ้างไหม..ว่า “เหนื่อยไหม..?” ที่เรามีชีวิตเป็นมนุษย์ บางคนอาจตอบจากใจว่า “เหนื่อยมาก” จากการงาน ความเข้าใจกัน...จากทุกข์ที่เวียนวนเข้ามาในชีวิตมันทำให้เหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้า เพราะเจ้ารูป-นามที่สนองตอบกับเจ้าความโลภ โกรธ หลง เมื่อเกิดอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่งดุจนอนอยู่บนหนามแหลมคม ดุจนอนอยู่ในกองไฟที่เร่าร้อน เผ่าไหม้ด้วยโลกีย์ของกามคุณ มันไหม้ไล้โลมเลียในชีวิตมนุษย์ต้องสุข-ทุกข์ต่อไป


ชีวิตเราเองเคยทำไมว่า “ได้อะไร...ใครใคร่อยากรู้” บางทียิ่งรู้มาก ยิ่งทุกข์มาก เพราะจิตใจเราได้แต่รู้ แต่ปฏิบัติไม่ได้ พอเห็นแล้วล้วนผ่านเข้ามาแล้วสร้างความหดหู่กับห้วงแห่งการสูญเสีย ซึมซับโศก เศร้าโยกยับจับคลอเคลีย เพราะเจ้าทุกข์ทำร้ายจิตใจด้วย อำนาจแห่งความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ ในโลกีย์นี้


คนบางคนอาจรู้ว่า “ไม่มีเราไม่มีเขา” แต่ใจเราสิยังหลงอยู่ในโลภ โกรธ หลง แล้วยังขาด ศีล สมาธิ ปัญญา “ยอมให้บางสิ่งยื้อยุดดุจชิงชัง” ภายในจิตใจ จึงไม่มีสิ่งใดให้ใครได้ เพราะขาดความเข้าใจอย่างจริงจังธรรมชาติที่แท้จริงในจิตใจเราเป็นอย่างไร..? เคยถามใจเราไหม..?


ถามว่าเหนื่อยไหม...? เมื่อโดนเวลาที่เป็นวัน เดือน ปี และวัยไล่ต้อนย้อนให้เหลือน้อยลง สุดท้ายยิ่งตอบยิ่งนาน ยิ่งเหนื่อยกับชีวิตบนโลกกลมๆ ใบนี้ เพราะใจเรายังมีกิเลสเร่าร้อนตัดรอนชีวิตไปทีละน้อย แล้วเมื่อไหร่ชีวิตเราจะหายเหนื่อย


ชีวิตใครๆ ก็รู้ว่า “เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป” นิยามชีวิตง่ายๆ ที่ว่า “ชีวิตคือ ความเปลี่ยนแปลง ความตายคือ สถานีสุดท้าย” เป็นสภาวะหรือธรรมชาติที่ไม่เคยรับฟังคำวิงวอนหรือขู่ตวาดของใครๆ แล้วหยุดมัจจุราชได้ ไม่มีศาสดา ผู้วิเศษคนใดในโลกจะใช้อำนาจความวิเศษของตนเปลี่ยนแปลงกฎของธรรมชาติให้โลกมีกลางวันตลอดกาลได้


นิยามธรรมชาติง่ายๆ “ดวงตะวันขึ้นทางตะวันออกแล้วก็ตกทางตะวันตก เหมือนชีวิตเกิดแล้วก็ตาย” คนเราได้เห็นได้เจอยู่ทุกวัน ไม่เคยรู้สึกประหลาดใจ เพราะลืมพิจารณาความจริงในโลกนี้ บางคนอาจไม่เคยถามว่า ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร..?


การที่เราไม่ตกใจหรือเสียใจ ที่เห็นดวงตะวันตกดิน เพราะเจ้าความเคยชินมันทำให้จิตใจแปรเปลี่ยนไปตามความเคยชิน ดังนั้นคำสอนของพุทธเจ้าจริงๆ แล้ว มุ่งหมายที่จะเข้าถึง “ความเป็นธรรมดา” อันเป็นแก่นแห่งความหลุดพ้น การเรียนจึงต้องอาศัยการปฏิบัติบ่อยๆ เพื่อให้ใจเข้าถึง “รรมชาติของความเป็นธรรมดา” พอถึงแก่นแห่งวิชาแล้วก็เกิดเป็นปกติ คือ สงบ เย็น เพราะเห็นหลักธรรมดาแล้วนั่นเอง พอเห็นบ่อยๆ รู้บ่อยๆ จึงมีประโยชน์มาก


คำของปราชญ์ที่ว่า “คนกล้าตายครั้งเดียว คนขี้ขลาดตายหลายครั้ง” ทำไมละ เพราะเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียว แล้วทำไมถึงตายหลายครั้ง เพราะมันตายจากความจริงใจไปแล้ว พระพุทธเจ้าสงสารพวกเราเกรงว่า พวกเราจะตายซ้ำตายซากกัน แล้วก็ต้องทนทุกข์ทรมากันอยู่อย่างไม่รู้จักจบสิ้น จึงสอนให้หมั่นนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เป็นการเจริญ “มรณานุสสติกรรมฐาน” เป็นเครื่องพิจารณาอย่างมีสติรู้ทัน


ว.ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2554    
Last Update : 9 ธันวาคม 2554 13:06:58 น.
Counter : 459 Pageviews.  

ฝึกสร้างบารมีกับกายใจ

บารมีทุกคนสร้างได้ ถ้าใจเราปรารถนาจะทำ



ฝึกสร้างบารมีกับกายใจ


การที่เราได้ทำอะไรบ่อยๆ จะกลายเป็นอุปนิสัย โกรธบ่อยๆ ก็เป็น “นิสัยเครียด” คิดอะไรไม่ออกหัวเราะบ่อยๆ ก็เป็น “นิสัยร่าเริง แจ่มใส” ทุกอย่างที่ทำบ่อยๆ เข้าก็กลายเป็นอุปนิสัย ที่เรียกว่า “สันดาน” ติดตามตัวเราไป โดยผ่านกิจวัตร ความคุ้นเคยที่ทำ กิจกรรมที่เราทำซ้ำๆ จนกลายเป็นนิสัย ถ้าเราให้ “ใจที่ดีคุมกาย” บ่อยๆ ก็จะทำให้เราสบงกาย เย็นใจได้อย่างคาดไม่ถึง


ถ้าเราใช้ “นิสัยร้ายๆ คุมใจ” บ่อยๆ ทำซ้ำ ๆ จนกลายเป็นอุปนิสัยร้าย มันจะทำร้ายจิตใจเราเอง ถ้าเป็นฝ่ายดีเรียกว่า “สร้างบารมี” ถ้าเป็นฝ่ายร้ายเรียกอีกว่า “สันดานชั่ว” ตรงนี้เราต้องเลือกเอง ใครเลือกแทนเราไม่ได้ พยายามฝึกใจเราให้เป็นที่นิสัยรักดี มีเมตตาเสมอแล้วเราจะพบกับสุขภาพที่ดี จิตใจที่เป็นสุข


อุปนิสัยคือ “พื้นฐานของชีวิต” ที่เกิดจากความผูกพันกับการดำเนินชีวิตโดยตรง ถ้าเราฝึก “เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ของคนอื่น เราก็จะได้เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์จากคนอื่น” เหมือนกัน เพราะเป็นคุณธรรมพื้นฐานแห่งความดี ด้วยการสร้างศีล สมาธิ ปัญญา ให้พร้อมในใจตัวเอง


ถ้าเรามี “วินัยต่อตนเอง ต่อสิ่งของ ต่อบุคคล ต่อเหตุการณ์” เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างมหัศจรรย์ ไม่เชื่อลองทำดูสิ เพราะชีวิตที่เป็นสุข มันไม่สำคัญว่า เราจะก้าวไปได้ไกลแค่ไหนบนวัตถุนิยม แต่สิ่งที่สำคัญคือ “เราจะต้องก้าวบนความถูกต้องทุกก้าว” จึงเป็นบารมีความดีนั่นเอง


การฝึกฝนตนเองเพื่อสร้างบารมีผ่านห้องนอน ผ่านชีวิตก่อนนอน เริ่มต้นขณะชีวิตตื่นนอน “สร้างนิสัยสัมมาทิฐิ” ตื่นเช้าทำอารมณ์ให้ยิ้มแย้ม แจ่มใส พับผ้า จัดที่นอนอย่างมีสติสัมปชัญญะ ทำให้ใจมี ศีล สมาธิ ปัญญา สะอาด สว่าง สงบ เย็นจากความโลภ โกรธ หลง ความสุขมันจะเกิดทันที


เมื่อถึงเวลาไปห้องอาหาร ฝึก “นิสัยรู้จักประมาณตน” ในการทานข้าวร่วมกัน แบ่งปันกัน คุยกันรู้และตรวจสอบความเป็นอยู่ของทุกคนอย่างมีสติเสมอ เอาใจใส่กันแล้วรู้ว่า ทุกคนทำงานมาเหนื่อย ฝึกพูดจาไพเราะ นิสัยไม่โอ้อวด เกินจริง ตรงนี้แหละเป็นบ่อเกิดแห่งความดีที่คนส่วนใหญ่ลืมไป จงคิดเสมอว่า “ถ้าเราพลาดโอกาสสักครั้ง อย่าไปร้องไห้เสียใจไป เพราะน้ำตามันจะบดบังโอกาสครั้งต่อไปของเราไปหมด” น่าคิดนะ


ขณะแต่งกาย ให้ฝึกมหาวิริยะคือ “ความอดทนชั้นสูง” ในการใช้เวลา รู้จักเสียทรัพย์ให้น้อยในการซื้อเสื้อผ้า รู้จักแต่งกายตามกาลเทศะ ตามสภาพการเป็นอยู่ เท่ากับเราฝึกการยอมรับความจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่อย่างอดทนมีสติ


เมื่อถึงเวลาทำงานให้ฝึกใช้ “มหาปัญญา” คือ ใคร่ควรงานอย่างรอบคอบมีระบบ มีเหตุ มีผล รู้เรื่องทรัพย์สิน ทุกอย่างสามารถตรวจสอบได้ ฝึกให้รู้เรื่องคนว่า “ทุกคนต้องปฏิบัติตามกติกา กฏระเบียบร่วมกันอย่างชัดเจน” ตามระบบงาน มีแผนชัดเจน


เปิดโอกาสตัวเอง ในการที่จะแสวงหาความดี ในการทำบุญกุศล จะทำให้เรารู้ว่า “ผู้ชนะสงครามภายในได้ จึงจะได้ชื่อว่า ผู้ชนะที่แท้จริง” สามารถรบกับความโลภ โกรธ หลงที่อยู่ในใจเราได้อย่างองอาจ จิตใจไม่สั่นคอนตรงนี้เป็นการสั่งสมบารมี


ว.ปัญญาวชิโร






Free TextEditor




 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2554 21:20:58 น.
Counter : 556 Pageviews.  

อยากเลือก.. แบบชีวิตเอง

ชีวิตเรา ไม่มีใครเลือกแทนเราได้ นอกจากเราเลือกออกแบบเอง




Smileyอยากเลือก.. แบบชีวิตเอง


                Smileyวันนี้ผู้เขียนมีโอกาสได้ขึ้นไปบนตึกสิบชั้น ซึ่งมันอาจจะไม่สูงมากสำหรับคนกรุงเทพฯ แต่มันทำให้ผู้เขียนได้เห็นชีวิตจริงในบางเรื่อง เมื่อมองไปจนไกลสุดสายตา นึกถึงกิจกรรมมากมาย ภารกิจอันแสนสับสนของชีวิตผู้คนมากมาย ทำให้คิดว่า “เรายอมอยู่อย่างสันโดษ สงบ เย็นดีกว่า ยอมเป็นควายให้กิเลสหลอกใช้” อย่างไม่สิ้นสุด


                ทำไม..? ผู้คนส่วนใหญ่จึงกลัวชีวิตโสดกันหนักหนา “ไม่มีอะไรน่ากลัวในความจริง เพราะความจริงในใจที่แท้จริง ได้ขจัดความกลัวสิ้นไปจากใจแล้วด้วยศีล สมาธิ ปัญญา” ถ้าเราเข้าใจชีวิตบนโลกกลมๆ ใบนี้ อย่างสะอาด สว่าง สงบ เย็น แต่ที่น่ากลัวจริงๆ เพราะใจเราคิดไปเอง ในโลกแห่งการปรุงแต่ง


ตลกไหมที่ว่า วันหนึ่งๆ เราต้องตื่นตั้งแต่เช้า ฝืนใจตื่นก่อนเวลาที่อยากจะตื่น แล้วออกจากบ้าน ขับรถ นั่งรถไปเรียน ไปทำงาน หรืออาจไปที่ไหนสักแห่ง เพื่อเรียน เพื่อทำงาน เพื่อธุรกิจ หรือทำอะไรที่บางครั้งก็ไม่ทราบตัวเองว่า ความจริงแล้วสิ่งที่ทำนั้น ทำเพราะตนต้องการทำหรืออะไรกันแน่


อาจจะเป็นสิ่งที่สังคมบังคับให้ทำ หรือความจำเป็นอย่างอื่นจึงต้องทำ ลองคิดไปสิว่า “จริงๆ แล้วกิเลสตัณหา จะรู้ทันได้เพราะมีสติสัมปชัญญะ จะละได้เพราะปัญญา ทำให้รู้ใน รู้นอก รู้ยึดถือ รู้ปล่อย” เคยคิดไว้บ้างไหม พอตกเที่ยงก็ทานอาหารมื้อหนึ่ง บางคนก็เป็นมื้อแรก ทั้งๆ ที่ชีวิตอาจจะเรียบง่ายได้กว่านี้ แต่เพราะการปล่อยไปตามความต้องการ


บางคนก็เป็นมื้อที่สอง อย่าว่าแต่สารอาหารในจานข้าวที่ซื้อมานั้นครบห้าหมู่หรือไม่ บางทียังไม่ถึงสองหมู่ดีเลย แต่ก็ต้องทานเพราะมีทางเลือกแค่ว่าจะซื้อข้าวจานนั้นที่ดูก็ไม่ได้บำรุงสุขภาพสักเท่าไร หรือจะไม่กินอะไรเลยไปตลอดจนถึงเย็น บางทีก็อาจจะเป็นไปได้เพราะความรีบร้อน จนลืมอาหารตัวเอง เพราะปล่อยชีวิตไปกับการงานมากเกินจริง ลองคิดสักนิดว่า “ชีวิตไม่เคยถูกกำหนดไว้ในแผนผัง ไม่เคยมีใครเคยพบลายแทงกับดักชีวิตจริง เท่ากับใจเรารู้ใจเราเอง” น่าคิดนะ


ชีวิตที่ใจติดวัตถุนิยม


โอ้... ชีวิตคนเมืองที่ขาดอิสระทางจิตใจ ในชีวิตจริงๆ แล้วนำชีวิตไปผูกไว้กับเงื่อนไขทางสังคมที่ต้องมีเหมือนกับเขา ตรงนี้บางคนอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ที่เรียนมาตอนประถมนั้นเจ้าอาหารห้าหมู่นี่มีอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ที่หลายคนบริโภคเป็นประจำก็ต้องเป็นเหล้า ดื่มมันได้ทุกคืนเลยให้ตายสิ อย่างนี้มันก็คงมีสารอาหารอะไรบ้างล่ะ หรือว่าใจเราลืมจริงๆ แค่หลอกตัวเองว่า “สุรา บุหรี่เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้” แล้วจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะคนจำนวนไม่น้อยก็ไม่ดื่มเหล้า แต่ก็อยู่ได้อย่างปกติสุข


ผู้คนมากมายกำลังที่จะลืมรักตัวเองไปแล้ว จนวันนี้บางคนก็ยังไม่ป่วย ไม่ตาย แต่ความจริงก็ไม่กล้าไปตรวจร่างกายเหมือนกัน กลัวเขาเจออะไรแล้วเสียเงินเสียทองไปรักษาอีกให้วุ่นวาย เสียเวลาทำงาน เสียเวลาพักผ่อน เสียเวลาเข้าวงเหล้าหมด นี่คือ “คนรักตัวเองในรูปแบบสนองกิเลส ตัณหา” แล้วจะพบสุขไหม...? เพราะสิ่งที่หามาอาจไม่มีเวลาได้เชยชมเลย บางคนถึงกลับไม่รู้ว่า “ครอบครัวที่พร้อมหน้ากันมีความสุขแค่ไหน..?”เพราะไม่เคยใส่ใจเลย


หลังจากทานข้าวกลางวันก็กลับไปทำสิ่งที่ต้องทำต่อจนถึงเย็น บางคนก็จนถึงค่ำ ก่อนจะเดินทางกลับมาที่บ้าน ถ้าไม่มีใครชวนไปตระเวนตอนกลางคืนให้เหนื่อยมากขึ้น แถมบางทีถ้าวันต่อไปเป็นวันหยุดก็เมาจนวันรุ่งขึ้นตื่นมาก็ปวดหัวอีก อย่าลืมคำเตือนว่า “อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์เพียงแค่ผ่านๆ แต่จงนำไปใช้ด้วย” เพราะจริงๆ แล้ว ชีวิตคนเราไม่ได้ทำกันอยู่แค่นี้เท่านั้น แต่ชีวิต...! ยังมีทางเลือกดีๆ อีกมาก


สาระดีๆ อะไร..? ที่ว่า “ต้องรู้จักตัวเองให้ดีก่อน... ก่อนที่จะอยากรู้จักใครสักคนให้ดี” อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้ใจเราสงบเย็นมีบ้างไหม..? ตื่นนอนออกจากบ้าน ทำงาน เรียน หรือทำธุระ บางทีก็เที่ยว แล้วก็กลับบ้านนอน ก่อนที่จะตื่นอีกครั้งแล้ววกเข้าสู่วงจรเดิมคล้ายหนูติดจั่นรีบจริงๆ นะ พอถึงเวลาก็วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง แต่ก็ไม่ได้ไปไหน วนอยู่ที่เดิม กลับมาที่เดิม เคยคิดที่จะทำให้ใจเป็นสุขอย่าง “สุขตอนตื่น สดชื่นตอนสาย สบายตอนกลางวัน สุขสันต์ตอนเย็น จิตใจเยือกเย็นตอนค่ำ ชีวิตร่มเย็นชุ่มฉ่ำตลอดไป” อย่างนี้บ้างไหม...แทนที่จะอยู่แค่ในวงเวียนไม่ได้ออกไปไหนไกล


อย่าว่าแต่จะไปพักผ่อนหย่อนใจที่ไหน จะขอแค่ได้ทำใจเย็นๆ สบายๆ บางทีก็ยังไม่มี กระทั่งบางครั้งไม่ได้มองทิวทัศน์รอบกรงใหญ่ๆ ที่ขังชีวิตไว้ให้อยู่เลยด้วยซ้ำว่ามีอะไรบ้าง ถ้าฉุกคิดบ้างว่า “คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ ถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระคนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด” แล้วลองมองอีกทีอะไรรอบตัวเปลี่ยนไปบ้าง


วันไหนเป็นวันหยุดก็อาจดูดีขึ้นหน่อย หรืออาจแย่ลงสำหรับบางคน ส่วนนี้แล้วแต่คนบางคนก็ยืนยัน นั่งยัน และนอนยันที่จะนอนต่อ เพราะตื่นขึ้นมาก็ไม่ลุกไปไหน ข่มตานอนลงไปเสียอีก หรือบางคนก็ออกไปข้างนอก ออกไปเที่ยว เมาจนเหนื่อยกว่าไปเรียนไปทำงานตั้งหลายเท่า เหมือนคนไม่รักชีวิต แล้วก็บอกว่า “ทำงานมามากแล้วพักผ่อนเสียบ้าง” แต่บางคนเป็นการพักผ่อนเพิ่มทุกข์ด้วยสิ่งเสพติด ลองพิจารณาอีกทีว่า “หลอกผู้อื่นได้...หลอกตัวเองได้...หลอกพระผู้เป็นเจ้าได้ในบางขณะ แต่ไม่มีใครหลอกความเจ็บป่วยและความตายได้” เพราะนี่เป็นความจริง


ว. ปัญญาวชิโร







Free TextEditor




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2554 20:37:16 น.
Counter : 673 Pageviews.  

กลับบ้านป่ากันเถิดเรา

ชีวิตจะเป็นสุข เมื่อคิดอย่างธรรมดา เป็นอยู่อย่างสามัญ





กลับบ้านป่ากันเถิดเรา


อุปมาชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้เหมือนคนบางคนมาเมืองกรุงแล้วต้องกลับบ้านด้วยเหตุผล เพราะความอ้างว้างจากเมืองใหญ่มีคนอยู่มากมายแต่เหมือนไม่มีคนอยู่เลย เป็นข้อคิดแปลกๆ แต่มันเป็นจริง เห็นไหมว่า ความสำคัญจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ความเจริญทางวัตถุนิยมอย่างเดียว แต่อยู่ที่เราทำใจหรือปฏิบัติใจได้แค่ไหน โลกนี้เป็นธรรมชาติที่ให้ความเสมอภาคกันเสมอ เพราะบาดแผลแห่งน้ำใจ ในชุมชนเมืองมันเจ็บปวดเกินจริง “ในช่วงเวลาที่ไม่มีน้ำใจให้กัน จากผู้คนที่บอดใบ้ไม่ใยดี” ไร้น้ำใจ หลอกลวงกันเอง ใส่ร้ายกัน เพื่อผลประโยชน์เท่านั้น บางทีเราต้องทำใจให้รู้ว่า “เราต้องอยู่อย่างร่มเย็น ท่ามกลางความวุ่นวายให้ได้” เพียงได้คิดเราก็จะมีสติมากขึ้นเห็นทางแก้ไขใจเราได้


บางคนจึงกลับมาแนบซบกับวิถีชีวิตเดิมๆ ที่เป็นสุขกว่าวัตถุนิยม ที่คนส่วนใหญ่แสวงหากัน ลองคิดสิว่า “บัณฑิตคิดถึงว่า ทำอย่างไรจะเพิ่มพูนคุณธรรมของตนได้ พาลชนคิดถึงว่า ทำอย่างไรจึงจะเห็นความเป็นอยู่ของตนสะดวกสบายขึ้น โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม” แต่มนุษย์ด้วยกันขาดเมตตากันย่อมมีแต่สิ่งเบียดเบียนกันอย่างไม่สิ้นสุด


จริงๆ แล้ว บ้านป่าคือ ความเบิกบานอันแนบสบกับธรรมชาติ มองชีวิตอย่างธรรมดาสามัญอันมีน้ำใจแก่กันและกัน อันมีอดีต วันนี้ และพรุ่งนี้ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะธรรมชาติรอบข้างให้ความจริงเสมอ มีคำตอบใดๆ ในดวงใจของเราบ้าง ยิ่งโตยิ่งเดินทางหลากหลายแห่ง ลองมองสิ... “หมื่นล้านหลักชัยในความคิด มันแสดงถึงบทเรียนราคาแพงทิ่มแทงใจ” ในเมืองใหญ่ให้กลับคนบ้านนอก ที่ไม่คุ้นเคยกับคำหลอกลวง มันคล้ายกลับชีวิตที่เกิดมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น แล้วก็กลับคืนสู่ธรรมชาติเดิมของชีวิตบนโลกนี้ อาจเห็นธรรมชาติจริงอีกมากมาย


คำสอนมีมานาน ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วพระพุทธเจ้าสอนถึงธรรมชาติ ธรรมดาสามัญ แต่คนบางพวกอาจหูหนวกตาบอดไม่ใส่ใจไปบ้าง ถ้าลองนำไปประพฤติปฏิบัติดูสิจะรู้เอง แต่มิหนำใจ ซ้ำยังเอามูตรเอาคูถ “ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ราคะตัณหา เข้าไปทับถมใจ” แทนพระธรรมของพระพุทธเจ้าจนไม่มีเหลือ เวลานี้ธรรมไม่คอยมีอยู่ในใจมนุษย์ส่วนใหญ่แล้ว โลกจึงถูกไฟอันเป็นกิเลสเผาทั้งเป็นอย่างไม่รู้ตัว


เราฝึกดูอย่างอื่นมามากมายทั้งสนุกสุดๆ หรือเบื่อสุดๆ ในชีวิตนี้ “ลองฝึกดูใจตัวเองบ้างซิ” ชาวพุทธเราส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธแบบขาดการใส่ใจ ไม่เคยดูหัวใจตัวเอง พยายามหลอกตัวเองเสมอ จิตตภาวนาเป็นยังไง เพราะใจมันดิ้นไปตามโลกตามสังสารวัฎ จึงมองจุดสงบไม่เจอ เพราะใจมันเผลอนั่นเอง บางทีก็หลอกตัวเองว่า แก่แล้วค่อยปฏิบัติดี ปฏิบัติธรรม บางทีเราอาจไม่มีโอกาสครั้งต่อไปก็ได้






Free TextEditor




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2554 12:18:16 น.
Counter : 401 Pageviews.  

1  2  3  4  
 
 

samuellz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชอบชีวิตอิสระที่สุด
รักทุกคนที่มีธรรมะ
[Add samuellz's blog to your web]

MY VIP Friend


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com