ชีวิตจับกังในโรงงานญี่ปุ่น ตอนที่ ๒ พี่ให้หนูช่วยงานจัดซื้อนะจ๊ะ

ในเมื่อจังหวะของชีวิตอิชั้นมันต้องดำเนินไปแบบนี้ อิชั้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้แหละค่ะ ดวงคนมันจะเป็นจับกัง ต่อให้เดินลอดใต้ท้องช้างทุกตัวในเขาดินเพื่อสะเดาะเคราะห์ ยังไงๆ มันก็หนีไม่พ้นต้องมาเป็นจับกังอยู่ดี Smiley


 


นึกๆ ดูก็สมน้ำหน้าตัวเองเหมือนกันที่ใจไม่เคยนึกอยากจะประกอบอาชีพในฝันของสาวๆ อย่างเช่น แอร์โฮสเตส เหมือนเพื่อนๆ คนอื่นๆ เพื่อนอิชั้นเป็นแอร์กันตั้งหลายคน พวกมันทั้งลากทั้งฉุดยังไง หัวเด็ดตรีนขาดอิชั้นก็ไม่ยอมไปสมัครเป็นแอร์กับพวกมัน ด้วยคิดว่าตัวเองไม่เหมาะ ไม่ชอบงานบริการ ไม่ชอบโดนใครจิกหัวใช้ ไม่ชอบก้มหัวให้ใคร และเหตุผลหลักก็คือ ติดบ้านและติดแฟน ไม่อยากจากบ้านจากแฟนไปไหนไกลๆ แล้วเป็นไงล่ะ สุดท้ายก็หนีงานประเภทที่ไม่อยากทำนี้ไม่พ้น ซ้ำหนักกว่าก็อิตรงที่ เพื่อนที่ไปเป็นแอร์ล้วนแล้วแต่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่งตัวสวย เริ่ดๆ เชิ่ดๆ ได้ไปเที่ยวประเทศโน้นประเทศนี้แล้วก็มาคุยให้อิชั้นฟังว่าที่โน่นที่นี่เป็นยังไงบ้าง (แม้ว่าตอนทำงานบนเครื่องจะเหนื่อยแทบอ้วกก็ตาม) อิชั้นก็ได้แต่อิจฉา ทำไงได้ ก็ชีวิตมันมาทางนี้แล้วนี่คะ


 


 


จะว่าไป อิชั้นก็คิดว่า ที่อิชั้นเลือกทางเดินชีวิตในแบบนี้มันก็เหมาะกับนิสัยอิชั้นดีอยู่แล้ว ถ้าหากว่าอิชั้นเลือกเดินทางอื่น (อย่างเช่น เลือกไปเป็นแอร์แบบเพื่อนๆ) อิชั้นอาจจะไม่มีชีวิตที่สงบสุขอย่างนี้ ไม่ได้แต่งานกับคุณสามี (เพราะคงเลิกกันไปนานแล้ว) และไม่มีลูกที่น่ารักอย่างนี้ก็เป็นได้ คิดได้อย่างนี้แล้วก็รู้สึกว่าพอใจแล้วแหละ กับชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ Smiley


 


 


สมมุติว่าถ้าเลือกไปเป็นแอร์ ต่อให้อิชั้นแอ๊บหวานจนเค้ารับอิชั้นเข้าทำงาน อิชั้นก็คงอยู่ไม่ทนหรอกค่ะ ไม่ลาออกเองก็คงโดนเค้าไล่ออก ก็ผู้โดยสารแต่ละคน ผู้ร่วมงานแต่ละนางที่เพื่อนๆ ที่เป็นแอร์เอามาเล่าให้ฟังน่ะ ร้ายน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่ แค่ฟังมันเล่าอิชั้นยังของขึ้น อิชั้นยิ่งวีนๆ อยู่ด้วย วันดีคืนร้ายโดดเตะผู้โดยสารงี่เง่า หรือจิกหัวเพื่อนแอร์ขี้อิจฉาที่มาหาเรื่องโขกกับพื้นเคบินขึ้นมาจะลำบาก Smiley นิสัยห่ามๆ แบบนี้ เป็นจับกังไปแหละดีแล้ว


 


อย่างที่อิชั้นเล่าเอาไว้ในหน้าที่แล้วว่า อิชั้นระบุตำแหน่งงานไว้กับ Recruite ไว้ว่าอยากทำงานเลขา ล่าม ทีนี้มาดูกันนะคะว่า งานแรกในชีวิตของอิชั้นจะใช่อย่างที่เคยระบุไว้หรือเปล่า


 


 


งานแรกในชีวิตของอิชั้น คนที่บริษัทนั้นเค้าเรียกว่า งานจัดซื้อค่ะ ฟังดูโก้ดีไหมคะ งานจัดซื้อ ฟังแค่ชื่อก็ดูเหมือนจะมีความสำคัญกับบริษัทไม่น้อยเลยทีเดียว เอาวะ...ถึงไม่รู้ว่า ไอ้งานหน้าที่จัดซื้อเนี่ยเค้าทำอะไรกัน แต่อย่างน้อย เวลาไปบอกพ่อบอกแม่ว่าทำงานอะไร คำว่าจัดซื้อมันก็ดูเท่ดีแหละวะ ถึงจะไม่ได้ตรงตามสาขาที่เรียนมาก็เหอะ แต่อยู่บริษัทที่มีคนญี่ปุ่นแบบนี้ ยังไงๆ ก็คงได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น ได้แปลอะไรกับเค้าบ้างหรอกน่า


 


 


วันแรกที่เข้าไป อิชั้นได้ทำงานจัดซื้อ ด้วยการนั่งมองคนโน้นคนนี้เค้าทำงานกัน แต่ก็เอาเถอะ ตอนนั้นอิชั้นคิดว่าคงเป็นเพราะตัวเองยังใหม่ เรียนเพิ่งจบ ยังไม่เคยจับงานใดๆ ประกอบกับพี่ๆ เค้าคงยุ่งเลยไม่มีเวลามาสอนงาน ให้ อีกหน่อยก็คงจะได้ทำงานมากขึ้นเองแหละ  อิชั้นมองโลกในแง่ดีแบบสาวน้อยไร้เดียงสา Smiley


 


กาลเวลาผ่านไป อิชั้นก็ได้สัมผัสกับงานจัดซื้อ (ตรงไหนฟะ) แบบเต็มๆ นั่นก็คือ การคอยช่วยลุงโต้ (นามสมมุติของคนที่อยู่ในฐานะเจ้านายชาวญี่ปุ่นหนึ่งในสองคนของอิชั้น) และพี่คนไทยชื่อพี่แอ๋ว (นามสมมุติเช่นกัน) เรียงเอกสาร Invoice ลงแฟ้ม เอาข้อมูลที่ลุงโต้ออก P/O ไปแล้วมาจิ้มๆ เครื่องคิดเลขว่า เดือนที่ผ่านมาออก P/O ไปแล้วเท่าไหร่ (ซึ่งจะว่าไป เพราะงานนี้ทำให้อิชั้นเป็นคนที่กดเครื่องคิดเลขได้เร็วมากกกกมาจนบัดนี้) ช่วยพี่แอ๋วเช็ครายการของที่รับเข้า คีย์ข้อมูลลงโปรแกรมออก P/O แล้วปริ๊นท์มันออกมา ส่วนงานแปลภาษาญี่ปุ่นน่ะเหรอ.... นานๆ จะเข้ามาหาอิชั้นซักที ทั้งที่จริงแล้วมีงานที่ต้องแปลมาก และมีทุกวัน แต่เหตุใดอิชั้นจึงไม่ค่อยได้ทำงานเหล่านี้ มันมีสาเหตุซึ่งเอาไว้จะเล่าให้ฟังในคราวหลังค่ะ


 


ที่ว่ามาข้างต้นนั่นงานหลักนะคะ นอกเหนือจากงานที่ว่ามา ก็คือการทำมันทุกตำแหน่งที่มี (ยกเว้นล่ามกับเลขา และผู้บริหาร) ตั้งแต่ชงกาแฟให้แขก ขัดส้วม  Smiley ขัดจริงๆ นะไม่ได้โม้ เพราะบริษัทนี้มีแม่บ้าน แต่แม่บ้านมักจะลาหยุดบ่อย บางวันทะเลาะกะผัว โดนผัวเตะซี่โครงรวนก็ไม่มาทำงานเป็นอาทิตย์ๆ ฉะนั้น พวกเราก็ต้องมาชงกาแฟ ล้างห้องน้ำกันเองโดยเปลี่ยนเวรกันทำ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะตกอยู่ที่อิชั้นกะเจ๊แก้ว (นามสมมุติ) กะเทยเพื่อนรักที่อยู่ฝ่ายบัญชีนั่นแหละค่ะ เพราะอาวุโสน้อยที่สุด คนอื่นๆ เค้าจะออกแนว พวกเจ๊แก่กันแล้วน้องเอ๊ย เอ็งกะไอ้แก้วนั่นแหละ ยังเด็กๆ กันอยู่ก็ทำกันไปเหอะ.... Smiley  


 


และเนื่องจากในเวลานั้นพนักงานในโรงงานยังมีน้อย บางทีที่ผลิตไม่ทัน พวกอิชั้นก็ต้องลงไปในไลน์ประกอบแล้วช่วยคนในไลน์ประกอบหน้ากากแอร์ บางทีก็ช่วยลุงโต้ซึ่งควบตำแหน่งผู้จัดการโรงงานพ่นสีหน้ากากแอร์ในไลน์เพ้นท์ติ้ง เป็นเจ้าหน้าที่สโตร์คอยรับของที่บรรดา Maker นำมาส่ง เอาหน้ากากแอร์ที่ทำเสร็จแล้วแพ็คลงกล่อง จากนั้นก็ทำตัวเป็นเด็กท้ายรถ กระโดดขึ้นรถบรทุกไปส่งของให้ลูกค้า (ทั้งๆ ที่ใส่ชุดสาวออฟฟิศสวยหรูนั่นแหละ) คอยควบคุมดูแลเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด  วันไหนมีพนักงานมาสมัครงานก็แปลงร่างเป็นฝ่ายบุคคล ไปช่วยพี่เข่ง (นามสมมุติ) ที่ทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคล (เป็นผู้จัดการเพราะว่าทั้งฝ่ายมีคนเดียวคือพี่แก) สัมภาษณ์พนักงาน คำถามก็เบสิคๆ บางทีอิชั้นหมดมุกไม่รู้จะถามอะไรก็มั่วๆ ถามไปก็มี แล้วก็เอาเอกสารใบสมัครไปส่งต่อให้พี่เข่งเพื่อพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับ (ส่วนใหญ่ก็รับแหละ การสัมภาษณ์ไม่ค่อยมีผลหรอกบริษัทนี้ ทำไปพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ) Smiley


 


วันดีคืนดี เจ้านายนึกยังไงไม่รู้ โยกอิชั้นไปช่วยงานบัญชี (แอร๊ยยย.... พอได้ยินว่าต้องไปทำบัญชี อิชั้นก็อยากจะบ้า Smileyก็อิชั้นอ่ะบวกเลขสองหลักยังจะไม่ถูกเลย ดันเจือกโดนใช้ให้ทำงานบัญชีก็คิดดูแล้วกันเหอะ) หรือวันไหนพี่ที่ทำงานติดต่อชิปปิ้งกับ BOI นึกอยากจะมีคนช่วยงาน (ซึ่งดูเหมือนจะเยอะ แต่จริงๆ ไม่) ก็จะมาปะเหลาะขอเอาอิชั้นนั่งรถไปติดต่องานกับพี่แกด้วย


 


เมื่อกี้ในกรณีวันดีคืนดีก็จะโดนมอบหมายงานอย่างที่เล่ามาให้ทำ ส่วนถ้าวันไหนเป็นวันร้ายคืนร้ายหรือศุกร์ 13 อิชั้นก็ต้องไปนั่งให้พี่รหัสสมัยเรียนอักษรด่าในฐานะ Sale เนื่องจากบังเอิญว่าพี่รหัสอิชั้นทำงานอยู่ที่บริษัทลูกค้าในฐานะจัดซื้อ และไอ้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทนี้ส่งให้เค้าก็มีปัญหาประจำ และเนื่องจากทุกคนที่นี่รู้ว่า อิชั้นเป็นน้องรหัสพี่เค้า ก็เลยพร้อมใจกันถีบอิชั้นให้ไปรับหน้าและรับคำด่าแทน ด้วยความเชื่อผิดๆ ว่าพี่จะไม่ด่าน้อง หรือถ้าด่าก็คงจะด่าน้อยกว่าด่าคนที่ไม่มีความสนิทชิดเชื้อกันมาก่อน Smiley


 


นับไปนับมาแล้ว ดูเหมือนว่างานในตำแหน่งที่อิชั้นไม่เคยทำในบริษัทนี้ จะมีแค่ยามกับคนขับรถกระมังคะ Smiley


 


 

นี่แหละค่ะ งานที่คนที่รับอิชั้นเข้าทำงานบอกกับอิชั้นว่า “พี่จะให้หนูช่วยงานจัดซื้อ”...ตรงไหนวะคะ ตรงไหน ใครช่วยบอกอิชั้นที




Free TextEditor



Create Date : 31 กรกฎาคม 2551
Last Update : 31 กรกฎาคม 2551 13:59:19 น.
Counter : 610 Pageviews.

4 comment
ชีวิตจับกังในโรงงานญี่ปุ่น ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของการเป็นจับกัง (ต่อ)
ตอนแรกว่าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการสมัคร Recruite ทีหลัง แต่วันนี้อยู่ๆ ก็เกิดอาการคันปากอยากเล่าขึ้นมา งั้นก็ขอเล่าเลยละกัน สิ่งที่อิชั้นเจอนี่คือระบบการทำงานและกลั่นกรองคนของบริษัท Recruite ที่อิชั้นเจอกับตัวเองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนะคะ เป็นไปได้ว่า เวลาผ่านมาเนิ่นนานนับสิบปี ระบบการทำงานอาจจะเปลี่ยนไปจากนี้ มีการกลั่นกรองที่ดีขึ้นจากเมื่อก่อนแล้วก็ได้ เพราะสมัยนี้คู่แข่งธุรกิจประเภทนี้มันเยอะอ่ะ ขืนทำเช้าชามเย็นชามแบบเมื่อก่อน ก็คงจะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน


ตอนที่ไปสมัคร พอได้ข่าวว่าจะมีการสัมภาษณ์เบื้องต้น เรากะเพื่อนๆ ก็เตรียมตัวติวภาษาญี่ปุ่นกันไว้ดิบดี Keigo, Kenjougo (คำประเภทยกท่านขึ้นสูง กดและจิกหัวตัวเองลงต่ำ) ศัพท์หรูหราไฮโซว ใบเพ็ด เอ๊ย....ใบแสดงหลักฐานเกี่ยวกับการสอบวัดระดับ เมนี่ติงจิงกะเบล พวกเราเตรียมไปหมด ด้วยความที่ยังอ่อนต่อโลก ใจก็เต้นตึ๊กตั๊ก ไม่รู้ว่าจะโดนถามหรือทดสอบความรู้ภาษาญี่ปุ่นอะไรบ้าง จะโดนทำสอบข้อเขียนไหม จะโดนถามศัพท์ยากๆ หรือเปล่า


พอถึงวันนัด พวกเราก็แต่งชุดนักศึกษานี่แหละค่ะไปสัมภาษณ์ (ก็ตอนนั้นยังมีสถานภาพเป็นนักศึกษากันอยู่เลย) ถ้าจำไม่ผิด เราไปกันเกือบยกห้องเลยได้มั้ง (ประมาณยี่สิบกว่าคน) จินตนาการของเด็กน้อยอ่อนต่อโลก ณ ตอนนั้น เราจะต้องไปเจอกับออฟฟิศใหญ่ๆ มีคนญี่ปุ่นเดินกันให้ว่อน หน้าตาเคร่งเครียดจริงจัง เราจะต้องเตรียมพร้อมกันไว้ให้ดี จะได้คุยกันรู้เรื่อง....


แต่พอไปถึง ออฟฟิศใหญ่โตที่พวกเราวาดฝันกันไว้ เป็นเพียงห้องให้เช่าเล็กๆ แคบๆ ในตึกสูงที่มีอีกหลายออฟฟิศอยู่รวมๆ กันในนั้น บางบริษัทที่เราเดินผ่านไปดูใหญ่โตกว้างขวางมีหลายคูหา แต่ออฟฟิศ Recruite ของพวกเรา มีแค่คูหาเดียวเจ้าค่ะ และเป็นคูหาเดียวที่มีอะไรต่อมิอะไรแออัดยัดทะนานอยู่ในห้องเดียวแคบๆ นั้น


คนญี่ปุ่นที่เราคาดหวังว่าจะเห็นเดินกันขวักไขว่ เอาเข้าจริงก็มีอยู่แค่คนเดียว และยังเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดไทยเก่งซะด้วย ส่วนพนักงานที่เหลือเป็นคนไทยทั้งหมด หมดกัน...ภาษาญี่ปุ่นที่พวกช้านตั้งใจมาพูด.... ฮ่วย....


เรากับเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปกรอกเอกสารต่างๆ ที่พนักงานเอามาให้กรอก รายละเอียดที่กรอกก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเอกสารสมัครงานทั่วไป มีที่แปลกไปหน่อยก็คือ จะมีช่องให้ระบุพื้นที่ที่สะดวกปฏิบัติงาน อิชั้นระบุว่าชลบุรี (เท่านั้น..เพราะต้องการกลับมาอยู่ที่บ้าน) ในส่วนของตำแหน่งที่ต้องการ อิชั้นระบุ ล่าม เลขา จำตำแหน่งงานที่อิชั้นระบุนี้ไว้ให้ดีๆ นะเคอะ แล้วมาเปรียบเทียบกันทีหลังว่า งานที่อิชั้นทำที่บริษัทแรกเนี่ย ตรงกับเศษเสี้ยวของที่อิชั้นระบุไว้บ้างไหม


พอกรอกเสร็จแล้วก็ไปเข้าคิวให้พี่คนญี่ปุ่นคนนั้นแหละสัมภาษณ์ เย้ๆๆ จะได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นซะที ตื่นเต้นๆ ท่องกันอีกครั้ง อย่าลืมใช้ Keigo กับเค้านะแก อาจารย์สอนมา ไหนๆ มาทวนศัพท์กันอีกทีซิ เอาละ..โอเค..พร้อม... เข้าห้องสัมภาษณ์ทีละคน


พอถึงคิว อิชั้นก็เข้าไป คำถามที่ถูกสัมภาษณ์ (เป็นภาษาญี่ปุ่น) ก็มีแค่ ชื่ออะไร เรียนที่ไหน ที่บ้านทำอาชีพอะไร มีพี่น้องกี่คน สอบได้ระดับอะไรมา ต้องการไปทำงานที่ไหน เริ่มงานได้เมื่อไหร่ ทำที่อื่นได้ไหม อยากได้งานตำแหน่งอะไร ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ แค่เนี้ยะ........แล้วก็จบการสัมภาษณ์ ไม่มีศัพท์ยาก ไม่ต้องแสดงความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นมากมายอย่างที่คิด ไม่ต้องสอบข้อเขียน เสร็จแล้วก็ปล่อยตัวออกมา บอกว่าแล้วจะติดต่อไปถ้ามีงานที่เข้ากันกับที่อิชั้นต้องการ


ตอนนั้นก็คิดว่า เออ...ง่ายดีเนอะ ดีจัง สัมภาษณ์งานง่ายๆ แบบนี้ ตังค์ค่านายหน้าก็ไม่เสีย (เพราะบริษัท Recruite จะไปเรียกเก็บกับบริษัทที่ใช้บริการ โดยคิดตามเปอร์เซ็นต์) กรูต้องได้งานโดยไม่ชักช้าเป็นแน่แท้ หารู้ไม่ ว่าคุณภาพของงานที่บริษัทนี้จะป้อนให้อิชั้นเนี่ย มันก็สะท้อนให้เห็นจากคุณภาพการสัมภาษณ์เนี่ยแหละ เสร็จแล้ว อิชั้นก็กลับไปเรียนต่อจนใกล้จบ (ตอนนั้นก็อยู่ราวๆ ช่วงเดือนมกรา กุมภา)


และแล้วประมาณเดือนกุมภา ระหว่างที่ยังสอบปลายภาคไม่เสร็จดี บริษัท Recruite เจ้านี้ก็ติดต่อมา บอกว่ามีบริษัทหนึ่งที่ชลบุรีสนใจอิชั้น ให้เข้าไปสัมภาษณ์ด่วนจี๋ อิชั้นก็ดีใจสิ เพราะได้รับการติดต่อกลับเร็วกว่าที่คิด (เพื่อนบางคนที่ไปด้วยกันยังไม่ได้รับการติดต่อเลยด้วยซ้ำ) รีบกลับบ้านที่ชลบุรี และให้พ่อพาไปสัมภาษณ์ที่บริษัทนั้นทันที


ประการหนึ่งที่อิชั้นได้รับการติดต่อเร็วกว่าที่คิดก็อาจจะเป็นเพราะ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมเพิ่งจะบูมใหม่ๆ นิคมอุตสาหกรรมหลายนิคมในภาคตะวันออกเพิ่งจะเริ่มสร้าง มีบริษัทเพิ่งตั้งใหม่ๆ มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่เพิ่งย้ายฐานการผลิตมาทางบ้านเรา อย่างที่ชลบุรีเองก็มีหลายนิคมฯ และบริษัทตั้งใหม่เหล่านี้ก็กำลังต้องการคนทำงานอย่างมาก ซึ่งคนที่สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ ณ ตอนนั้นยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการ เรียกได้ว่าเป็นสาขาขาดแคลน (ต่างจากสมัยนี้) ประกอบกับการที่อิชั้นระบุพื้นที่ปฏิบัติงานไว้ว่าเป็นชลบุรี ในขณะที่เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เลือกกรุงเทพกัน ก็เลยอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อิชั้นได้งานเร็วก็เป็นได้


อันที่จริง อิชั้นเคยตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบว่า หลังจากเรียนจบ จะยังไม่ทำงานทันที แต่จะขอเที่ยวยาวๆ ขอพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะหลังจากที่ทำงานแล้ว ก็คงไม่มีเวลาได้เที่ยวมากนัก แต่โอกาสของคนเรา บทจะมาก็มา และไม่ได้หาได้ง่ายๆ ดังนั้น เมื่อโอกาสของอิชั้นมาเร็วกว่าที่คิด ในขณะที่อีกหลายๆ คนกำลังหามันอยู่ แต่ไม่เจอ อิชั้นก็ควรคว้ามันไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยคิดทีหลัง (พ่ออิชั้นเองก็อยากให้อิชั้นคว้างานไว้ก่อนด้วยแหละ ตามประสาผู้ใหญ่ที่กลัวว่าถ้าลูกเลือกงานมากแล้วจะตกงาน)


ตอนไปสัมภาษณ์ที่บริษัท อิชั้นตื่นเต้นมาก เตรียมตัวไปเต็มที่เหมือนเคย บริษัทแรกของอิชั้น ณ วันนั้นยังเป็นโรงงานเล็กๆ เป็นโรงงานทำชิ้นส่วนประเภทหน้ากากแอร์ส่งให้กับบริษัทผลิตแอร์ยี่ห้อหนึ่ง (ตอนนี้ได้ข่าวว่าผลิตให้หลายยี่ห้อแล้ว) มีพนักงาน (รวมส่วนของออฟฟิศและคนญี่ปุ่น) ไม่ถึง 50 คน มีคนญี่ปุ่น 2 คน ซึ่งอิชั้นก็ได้รับการต้อนรับจากอดีตเจ้านายเป็นอย่างดี การสัมภาษณ์ก็เป็นไปแบบง่ายๆ ถามแค่เรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป ถามอะไรอิชั้นก็ตอบได้หมด (ไม่ใช่เพราะว่าอิชั้นเก่งนะคะ แต่เป็นเพราะเป็นเรื่องทั่วไปมากๆ คำศัพท์ที่พูดกันก็เป็นศัพท์พื้นๆ ต่างหาก) พูดเสร็จ ก็ถามว่าอิชั้นจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ อิชั้นเองอย่างที่บอกว่าห่วงเที่ยว ห่วงเล่นก็บอกไปว่าอยากจะเริ่มงานหลังเมษา แต่ทางบริษัทก็บอกว่ามันนานเกินไป ยังไงให้มาตั้งแต่เดือนมีนาเลยได้ไหม เพราะรอบปีทำงานญี่ปุ่นจะเริ่มตั้งแต่เดือนเมษาเป็นต้นไป เลยอยากให้อิชั้นเริ่มงานให้พอดีกัน ที่จริงแล้วบริษัทต้องการคน และอยากให้อิชั้นเริ่มงานทันทีเลยด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าอิชั้นยังเรียนไม่จบดี ก็เลยจะรอถึงเดือนมีนาให้อิชั้นเรียนให้จบซะก่อนก็ได้


ที่จริงเดือนมีนาเป็นเดือนที่อิชั้นเพิ่งจะสอบเสร็จและเพิ่งจะกลับมาอยู่บ้าน ความตั้งใจเดิมก็คือว่าอยากจะเที่ยวเล่นซักพักหนึ่งก่อนค่อยเริ่มงาน แต่ก็อีกนั่นแหละค่ะ ด้วยความที่กลัวว่า ถ้าอิชั้นละทิ้งโอกาสนี้ไปก็อาจจะไม่มีเข้ามาอีก (ที่จริงอิชั้นน่าจะใจเย็นให้มากกว่านี้หน่อย แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย ใจมันกลัวแต่ว่าถ้าเลือกมากแล้วจะไม่ได้งานเท่านั้นเอง)


อิชั้นคิดอยู่ไม่นานก็ตอบตกลงว่าจะเริ่มงานเดือนมีนา (อารมณ์ประมาณว่า เอาก็เอาฟะ เป็นไงเป็นกัน ดีกว่าไม่ได้งาน) เสร็จแล้วก็กลับไปมหาลัย คุยโม้กับเพื่อนว่า ชั้นได้งานแล้วเฟร้ยยย จบไปไม่ต้องไปเดินเตะฝุ่นแย้ว ฮิฮิ้ววววว.....


ที่จริงในตอนนั้น อิชั้นเองก็มีอีกที่หนึ่งที่เรียกให้ไปสัมภาษณ์นะคะ เป็นบริษัทที่อยู่ในนิคมฯ เดียวกับที่อิชั้นอยู่ ณ ปัจจุบันนี่แหละ ตอนนั้น บริษัทนี้ก็เพิ่งมาตั้งเหมือนกัน อิชั้นเห็นประกาศรับคนในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ห้องสมุดก็ส่งใบสมัครไปทันที แต่เนื่องจากในตอนนั้น นิคมฯ ที่อิชั้นอยู่นี้ยังเป็นนิคมฯ บ้านนอก ไร้ซึ่งความเจริญ ห่างไกลและดูกันดารสุดกู่ ทำให้พ่อของอิชั้นซึ่งหวงและห่วงลูกสาวม้ากกมากถึงขนาดขับรถมาดูสถานที่ด้วยตัวเอง ถึงกับสั่งห้ามไม่ให้อิชั้นมาโดยทันที แม้แต่จะมาสัมภาษณ์ก็ไม่ให้ โดยหารู้ไม่ว่า ไอ้นิคมฯ กันดารๆ เนี่ยแหละ ที่สวัสดิการมันโคตรจะดี มีรถรับส่งรอบรัศมีของนิคมฯ เกือบร้อยกิโลเมตรชนิดเกยถึงประตูบ้าน มีอาหารกลางวันให้กินฟรีอย่างน้อยวันละหนึ่งมื้อ (ถ้าอยู่โอทีก็มีให้กินอีกหนึ่งมื้อ) มีเบี้ยกันดาร มีฐานเงินเดือนดีกว่าบริษัทที่อยู่ในนิคมฯ ซึ่งเจริญแล้วไม่รู้กี่เท่า


ในขณะที่อิชั้นซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆ บ้านแท้ๆ แต่กลับต้องโหนรถเมล์ ต่อรถบัส เดินอีกสามเฮือกใหญ่ เลิกงานเย็นมาก กลับถึงบ้านค่ำ ผอมบักโกรก (เพราะได้ออกกำลังโหนรถเมล์และเดินมาราธอนทุกวัน) คุณสามีซึ่งมาทำงานที่บริษัทปัจจุบันของอิชั้นตั้งแต่แรกกลับอ้วนเอ๊า อ้วนเอาเพราะสบายจัด แถมเก็บตังค์ได้เยอะกว่าอิชั้นซะอีก เพราะวันๆ แทบไม่ได้ใช้อะไรเลย ค่ารถไม่ต้องเสีย ค่าข้าวไม่ต้องจ่าย พกตังค์วันละยี่สิบก็อยู่ได้ แหม.... มันช่างน่าอิจฉาจริงๆ โว้ยย....


อินโทรมานาน วันต่อไปจะเข้าสู่เรื่องของชีวิตจับกังแบบเต็มๆ แล้วค่ะ



Create Date : 30 กรกฎาคม 2551
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 14:44:23 น.
Counter : 494 Pageviews.

1 comment
ชีวิตจับกังในโรงงานญี่ปุ่น ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของการเป็นจับกัง
จากประสบการณ์ทำงานโรงงานสัญชาติญี่ปุ่นมาสิบกว่าปี (ไม่อยากพูดเป็นจำนวนปีเลย รู้สึกว่าตัวเองแก่... แต่เอาเหอะ ยอมแก่เพื่อฟามน่าเชื่อถือ...กร๊ากก) ทำให้อิชั้นซึมซับวิธีการคิด วิธีการทำงานในแบบของคนญี่ปุ่นมาโดยไม่รู้ตัว มันคุ้นเคยจนอยู่ในสายเลือดไปแล้ว ชนิดที่ว่า ถ้าให้ลาออกไปอยู่บริษัทสัญชาติอื่น (แม้แต่สัญชาติไทย) ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปรับตัวให้เข้ากับวิธีคิดของเค้าได้มั้ย


สิบกว่าปีที่ผ่านมา อิชั้นเปลี่ยนงานแค่ครั้งเดียว ทำอยู่บริษัทแรกได้แค่สองปีก็ลาออกมาอยู่ที่ปัจจุบัน


สาเหตุที่ลาออก เพราะหนึ่ง รำคาญคน สองรำคาญที่ไม่มีอะไรทำ ประกอบกับที่นี่กำลังขาดคน ประกอบกับคุณสามีก็ทำอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าอิชั้นประสบปัญหาชีวิตก็เลยลากอิชั้นมาให้เจ้านายดูตัว เอ๊ย... สัมภาษณ์ พอเจ้านายตกลงรับ อิชั้นก็เก็บกระเป๋าเชิ่ดออกมาจากที่เก่าทั้งน้ำตา...


ถามว่าทำไมต้องเชิ่ดทั้งน้ำตา ก็เนื่องจาก ที่จริงอิชั้นมีเพื่อนมีพี่ที่สนิทกันมากๆ อยู่ที่บริษัทเก่า ใจนึงก็ไม่อยากจากเพื่อน แต่อีกใจก็ทนความกดดันหลายๆ อย่างไม่ไหว ถึงจะอาลัยอาวรณ์เพื่อนแค่ไหน แต่เมื่อมีทางไปที่ดีกว่า อิชั้นก็ต้องตัดใจจากมา


และที่ต้องเชิ่ด ก็อารมณ์ประมาณว่า ตอนที่ชั้นอยู่ ไม่มีใครเห็นคุณค่า ปล่อยให้ชั้นโดนอิพวกผีบ้ารุมแทะ นั่งหง่าวเก็บใบปลิวลงแฟ้มอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำอย่างอื่นมาเป็นปีๆ แต่พอชั้นจะไปขึ้นมาจริงๆ จะมาฉุดแข้งฉุดขาชั้นว่าอย่าไปเลยจ้ะ เดี๋ยวจะขึ้นเงินเดือนให้ เดี๋ยวจะยังงั้นยังงี้.... เชอะ...เมินซะเถอะ


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อิชั้นก็ต้องให้เครดิตที่บริษัทแรกเช่นกัน ถือไว้ว่า เป็นเบ้าหลอมแห่งแรก ที่ทำให้อิชั้นเป็นคนที่เหยียบขี้ไก่ฝ่อ สู้งาน และมีแบบแผนในการทำงาน มีวิธีการคิดเฉกเช่นทุกวันนี้


ถึงชีวิตที่นี่จะสุขปนเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไรก็ตาม แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดี ที่ทำให้ทุกวันนี้อิชั้นก็ยังคิดถึงบริษัทนี้อยู่เสมอ แม้ว่าจะจากมาหลายปีแล้วก็ตาม


---------------------------------------------------------------------


ชีวิตการทำงานในโรงงานญี่ปุ่นที่ผ่านมาของอิชั้น ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนจับกังดีๆ นี่เองแหละค่ะ แต่เป็นจับกังที่มีใบปริญญา ส่งผลให้มีรายได้ดีกว่าจับกังแบกข้าวสารหน่อย แต่ยังไงๆ จับกังก็คือจับกังนั่นแหละ จะให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอกค่ะ


อันตัวอิชั้นนั้น ตั้งแต่เด็กจนโต พ่อแม่ประคบประหงมให้เป็นคุณหนูบนหอคอยอยู่ดีๆ อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาดิบดีก็เพราะอยากให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน ที่ไหนได้ ชีวิตจับกังของอิชั้น เริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่ได้รับใบปริญญาเลยค่ะ


ช่วงที่เรียนปี ๔ ด้วยความร้อนวิชา และหวังว่าจะได้ทำงานในสาขาที่เรียนมา อิชั้นก็ตามเพื่อนไปหย่อนใบสมัครไว้ตามที่ต่างๆ ซึ่งในตอนนั้น สถานที่หนึ่งที่พวกเราชาวนักศึกษาภาษาญี่ปุ่นอย่างเราต้องไม่พลาดที่จะไปหย่อนใบสมัครไว้กันก็คือ บริษัทจัดหางานสัญชาติญี่ปุ่น หรือ Recruitement ค่ะ


ซึ่ง Recruitement พวกนี้แหละ ที่พวกเราฝากความหวังเอาไว้ว่า จะทำให้เราเข้าไปทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นทั้งหลายได้ ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปในสมัยนั้นซึ่งเพิ่งจะเป็นช่วงที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนด้านอุตสาหกรรมใหม่ๆ บริษัท Recruite ญี่ปุ่นต่างๆ ยังไม่ขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วหัวระแหงเหมือนสมัยนี้ เท่าที่อิชั้นรู้จักและจำได้ในเวลานั้นมีไม่น่าจะเกินสามเจ้า และเจ้าที่อิชั้นและเพื่อนเลือกไปสมัครก็คือ เจ้าที่ดูดีมีชาติตระกูลที่สุดในสมัยนั้น มีออฟฟิศอยู่ในตึกแห่งหนึ่งย่านอโศกค่ะ


ซึ่ง Recruite เจ้านี้ รู้สึกว่าตอนนี้ก็ยังเปิดให้บริการอยู่นะคะ แต่ว่าจะอยู่ที่เดิม หรือย้ายที่ตั้งไปอยู่ที่อื่นแล้วหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ในส่วนของการไปสมัครงานกับ Recruite เจ้านี้มีเรื่องจะเม้าท์นิดหน่อย แต่อยากจะเล่าเรื่องอื่นก่อน ถ้าไม่ลืม ไม่ขี้เกียจ และไม่ตายซะก่อน อิชั้นจะกลับมาเจาะและจิกเป็นท็อปปิคเฉพาะในวันหลังค่ะ


ที่จริงแล้ว Recruite เจ้านี้ จะดีหรือเปล่าอิชั้นไม่รู้ แต่ที่อิชั้นรู้ก็คือ อิชั้นแค้นมันมากค่ะ ที่ส่งอิชั้นให้กับบริษัทแรกที่ไปทำงานด้วย แค้นถึงขนาดที่ว่า ทุกวันนี้มีเอกสารใบปลิวจาก Recruite เจ้านี้มาทีไร อิชั้นโยนลงถังขยะทุกที...


เป็นคุณหนูใส่เดรสขาวฟูฟ่องสยายผมพริ้วสลวยเป็นนางแบบโฆษณาแชมพูอยู่ดีๆ ต้องกลายมาเป็นจับกังในโรงงานก็เพราะไอ้ Recruite เจ้านี้เนี่ยแหละค่ะ



Create Date : 30 กรกฎาคม 2551
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 14:43:28 น.
Counter : 430 Pageviews.

0 comment

แรมโบ้มัม
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



บ้านเราชอบเดินทางท่องเที่ยวที่สุดในโลก...

บ้านเราใช้บริการจองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด จองตั๋วรถทัวร์ รถเช่าทั่วไทยออนไลน์ที่ FAMILYLOVETRIP.COM จองโรงแรมที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถทัวร์ เช่ารถ ค่ะ







Color Codes และวิธีแต่ง Blog คุณ ป้ามด

Color Codes และวิธีแต่ง Blog คุณ lozocat

BG สวยๆ และวิธีแต่ง Blog คุณ paradijs

โค้ดง่ายๆ สำหรับ Blog คุณ ป้ามด