โรงแรมหรรษนันท์ จังหวัดพิษณุโลก
โรงแรมหรรษนันท์ จังหวัดพิษณุโลก
โรงแรมหรรษนันท์ ตั้งอยู่ ตำบลบ้านคลอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
พิกัด : https://goo.gl/maps/xAA1tRLRimydSrEF7 



วันนี้เป็นสัปดาห์ ที่ 3 ของเดือน ก็ถึงคิวแนะนำโรงแรม,ที่พักกันแล้วนะครับ
วันนี้ผมจะมาแนะนำที่พักของ จังหวัดพิษณุโลก กันครับ คือ
"โรงแรมหรรษนันท์" เดียวไปชมกันเลย ครับ



เดียวผมพามาชมบรรยากาศในห้องพักกันครับ วันที่ผมไปพัก 
ผมไปพักแบบเตียงคู่ เพราะว่าไปกับพี่ชายสองคนนะครับ



ห้องพักสวยมากๆครับ เตียงนอนสบายมากๆ เอาซะผมแทบตื่นไปกินอาหารเช้าไม่ทันเลยครับ
และที่สำคัญที่ผมชอบมากๆคือ มีกระจกเยอะมากๆ



และมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบคันมากๆครับ
ทั้งตู้เย็น แอร์ กาต้มน้ำร้อน ที่เป่าผม ฯลฯ เดียวเราไปดูห้องน้ำกันครับ



ห้องน้ำดูดีมากๆครับ สะอาด ตกแต่งด้วยโทนสีขาวสบายตามากๆ



และมีกระจกกันผมชอบมากๆ เพราะว่าผมเป็นคนชอบการตกแต่ง
แบบมีกระจกเยอะ ความชอบส่วนตัวนะครับ



และที่ขาดไม่ได้เลยที่ทุกโรงแรมต้องมีคือ เครื่องทำน้ำอุ่น คือฟินมากๆครับโรงแรมนี้
เดียวเราไปดูอาหารเช้ากันดีกว่าครับว่าโรงแรมนนี้มีอาหารเช้าอะไรบ้าง



อาหารเช้ามีแบบอาหารตะวันตก คือ ไช่ดาว ผมชอบตรงที่เป็นไข่แดงไม่สุก



ไส้กรองไก่ และแอมไก่



ขนมปัง มีทั้งเนย แยม และน้ำสลัด ให้บริการ



ใครเป็นสายข้าวก็มีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวย และขาวผัด มีข้าวต้มด้วยนะครับ



กับข้าวก็มีเป็น คั่วกลิ่งไก่



ต้มจืดหัวไชเท้าไก่



และยังมีสลัดผัก 



และผลไม้ตามฤดูกาลให้บริการครับ 



ใครเป็นสายชา กาแฟ ก็มีให้บริการครับ



ใครที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านบล๊อก สักการะ หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ
ณ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 
สามารถกดที่นี่ได้เลยครับ



ฝากกด like Facebook นายแว่นขยันเที่ยว : 
https://www.facebook.com/นายแว่นขยันเที่ยว-110467381183341



ฝากกดติดตาม YouTube กูรูเอมมี่ แชลแนล : 
https://www.youtube.com/channel/UCRYXqGydbgKYciPr2Kilw3g
ขอขอบคุณ อาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ โหราเวทย์ศรีธนญชัย



ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้ผม
"นายแว่นขยันเที่ยว"



ขอบคุณเพลง : พิษรักพิษณุโลก
ศิลปิน : สีหนุ่ม เชิญยิ้ม
ร้องโดย : จิ๋ว The Voice
Vote : ท่องเที่ยวไทย




Create Date : 22 กรกฎาคม 2565
Last Update : 29 สิงหาคม 2565 9:52:47 น.
Counter : 1427 Pageviews.

7 comment
รีวิว ภาพยนตร์ใหม่ "The Black Phone" สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 📞💀
รีวิว ภาพยนตร์ใหม่ "The Black Phone" สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 📞💀
วันนี้ผมขอหยิบภาพยนตร์ใหม่ที่ทำให้ชวนคิดถึงวัยเด็กที่เคยดูช่อง mono29 ครับ
ผมขอให้คะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ 8.6/10 คะแนน เพราะอะไรเดียวเราไปอ่านกันเลย



หนัง The Black Phone หรือชื่อไทยว่า สายหลอน ซ่อนวิญญาณ ผู้กำกับสก็อต
เดอร์ริคสัน หวนคืนสู่รากเหง้าความสยองของเขาอีกครั้ง เพื่อร่วมมือกับบลัมเฮาส์
แบรนด์ดังของภาพยนตร์แนวนี้ ในทริลเลอร์สยองขวัญเรื่องใหม่ ฟินนีย์ ชอว์ เด็กชายขี้อาย
แต่ชาญฉลาดวัย 13 ขวบ ถูกฆาตกรซาดิสต์ลักพาตัวไปขังอยู่ในห้องใต้ดินเก็บเสียง



ที่ซึ่งการกรีดร้องไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดๆ ในตอนที่โทรศัพท์ไร้สัญญาณที่ติดอยู่ตรงผนัง
เริ่มส่งเสียงดังขึ้นมา ฟินนีย์ก็ค้นพบว่าเขาสามารถได้ยินเสียงของเหยื่อคนก่อนๆ ของฆาตกร
รายนี้ และเหยื่อเหล่านั้นก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจะต้อง
ไม่เกิดขึ้นกับฟินนีย์ อีธาน ฮอว์ค ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สี่สสมัย
นำแสดงในบทที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในอาชีพนักแสดงของเขา



และแนะนำเมสัน เธมส์ ในผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา The Black Phone
อำนวยการสร้าง กำกับและร่วมเขียนบทโดยสก็อต เดอร์ริคสัน มือเขียนบทและผู้กำกับ
จาก Sinister, The Exorcism of Emily Rose และภาพยนตร์มาร์เวลเรื่อง Doctor Strange
บทภาพยนตร์เขียนโดยเดอร์ริคสันและซี. โรเบิร์ต คาร์กิล
(Doctor Strange และแฟรนไชส์ Sinister)



จากเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลโดยโจ ฮิลจากผลงานนิวยอร์ก ไทม์ เบสต์เซลเลอร์เรื่อง
20th Century Ghosts ของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยครุ้กเค็ด
ไฮเวย์ของเดอร์ริคสันและคาร์กิลและได้รับการนำเสนอโดยยูนิเวอร์แซลและบลัมเฮาส์
โดยมีเจสัน บลัม, สก็อต เดอร์ริคสันและซี. โรเบิร์ต คาร์กิล รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง
ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ภายใต้การควบคุมงานสร้างโดยไรอัน ทูเร็คและคริสโตเฟอร์ เอช. วอร์เนอร์



The Black Phone เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวในช่วงยุค 70s เป็นยุคที่มีคดีการลักพาตัวเด็ก
อย่างมากมายทั่วอเมริกา จนกระทั่งมีคดีของจอมฉุดหรือ The Grabber (Ethan Hawke)
เกิดขึ้น เด็กถูกลักพาตัวไปและไม่ได้เห็นหน้าพ่อแม่อีก แต่มีอยู่รายหนึ่ง Finney
(Mason Thames) เด็กคนนี้ไม่เป็นอย่างที่มันคิด เพราะเด็กคนนี้ได้รับการช่วยเหลือ
จากเหล่าวิญญาณเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ที่โดนจอมฉุดฆ่าไป!



หนังมีกลิ่นอายความเป็น Stephen King ไม่น้อยนะ แถมช่วงแรกยังเนือย ๆ
ชมนกชมไม้ไปเรื่อยกว่าจะเข้าเรื่องเหมือนกันอีก เพราะหลายฉากหลายอย่างมันก็
ไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ ถ้าไม่มีก็ไม่ได้ให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปเลย



น่าชื่นชมความสร้างสรรค์ที่ผสมผสานหนังแนวระทึกขวัญ หนังเชือด หนังเอาตัวรอด
ในห้องปิดตาย และความสยองขวัญได้อย่างลงตัว มีความชวนอึดอัด มีจังหวะให้ลุ้น
ให้ตื่นเต้น อยู่เป็นระยะ ๆ ส่วนทางด้านความสยองใครที่แบบกลัวผีก็ดูได้
เพราะมันไม่ใช่หนังผีจ๋าขนาดนั้น มีจังหวะ Jump Scare มีผีก็จริง
แต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก (มั้ง)



แต่สัดส่วนแต่ละอย่างมันไม่ได้มากมารวมกันแล้วมันเป็นหนังที่สนุกเลยแหละ
และต้องชื่นชมพวกเสียงและดนตรีประกอบที่สร้างความระทึก สร้างอารมณ์ร่วมให้กับหนัง
ไม่น้อยเลย แต่ถึงกระนั้นบทมันก็ค่อนข้างจะธรรมดา ไม่ได้มีจุดพลิก จุดหัก
การเอาตัวรอดของเด็กน้อยก็ดูราบรื่นเกินไปเสียหน่อย



เหมือนกับว่าเวลากำลังหาทางหนีมันไม่มีจังหวะให้จอมฉุดโผล่มาแล้วแบบ
"เห้ย ทำอะไรของแกอยู่น่ะ" พอมาถึงตอนจบมันก็เลยดูง่ายไปสักหน่อย
แต่ก็เป็นตอนจบที่ถือว่าเท่และมันก็สมเหตุสมผลกับการปูเรื่องเนือย ๆ ตอนแรกแหละ



อีกจุดน่าสังเกตคือหนังเหมือนจะลืมให้น้ำหนักและเหตุผลไปว่าไอ้เรื่องราวทั้งหมด
ที่เกิดขึ้น The Grabber หรือจอมฉุดเนี่ย มันทำทำไมกันนะ จุดประสงค์คืออะไร เพื่ออะไร
และการฆ่าเด็กวิธีฆ่าแต่ละคนคือยังไง ถ้ามีมันอาจจะส่งเสริมมิติให้ตัวละครกับบทและ
เปิดพื้นที่การแสดงให้ Ethan Hawke ได้ดูจิตมากกว่านี้แน่นอน



ทางด้านการแสดงถือว่า Mason Thames แสดงในบท Finney ได้ดี แต่รู้สึกว่าการพัฒนา
ตัวละครมันก้าวกระโดดไปสักหน่อย ดูเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือรวดเร็วมาก
บทน้องสาว Gwen ที่แสดงโดย Madeleine McGraw ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร
บางซีนแอบเล่นใหญ่ไปด้วยซ้ำ



ที่น่าชื่นชมที่สุดก็คือ Ethan Hawke ในบท The Grabber หรือจอมฉุดนี่แหละ
ที่ไม่คุ้นภาพความเป็นตัวเขาเลย แถมท่าทางการพูดการจายังดูโรคจิตไม่ใช่น้อย
แต่น่าเสียดายที่หนังมีพื้นที่ให้เขาโชว์ศักยภาพน้อยเกินไปอย่างที่ได้กล่าวไปย่อหน้าที่แล้ว



สรุปแล้ว The Black Phone - สายหลอนซ่อนวิญญาณ เป็นหนังทุนต่ำที่สร้างสรรค์
ผสมผสานหนังหลายแนวได้อย่างลงตัว ทั้งระทึกขวัญ ทั้งสยองลงเหมาะเหม็งมาก
ไม่ได้เน้นหนักไปทางใดทางนึง แต่ก็ถือว่าเหมือนกั๊ก ๆ เลยให้ความรู้สึกไม่สุดสักทาง
เหมือนกัน แต่ก็ดำเนินเรื่องราวได้อย่างสนุก ลุ้น ตื่นเต้น น่าเอาใจช่วยได้ดีเลย 



สามารถชมภาพยนตร์ "The Black Phone" สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 📞💀
ได้ในโรงภาพยนต์ทั่วประเทศไทย



ใครที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านบล๊อก ภาพยนตร์ "Thor: Love and Thunder"
ธอร์ : ด้วยรักและอัสนี
 
สามารถกดที่นี่ได้เลยครับ



ฝากกด like Facebook นายแว่นขยันเที่ยว : 
https://www.facebook.com/นายแว่นขยันเที่ยว-110467381183341



ฝากกด like กด แชร์ด้วยนะครับ 🙏
ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้ผม
 #นายแว่นขยันเที่ยว 😎📷



ขอบคุณตัวอย่าง :  "The Black Phone" สายหลอน ซ่อนวิญญาณ 📞💀
กำกับการแสดงโดย : สก็อตต์ เดอร์ริคสัน
Vote : ภาพยนตร์




Create Date : 20 กรกฎาคม 2565
Last Update : 20 กรกฎาคม 2565 0:19:27 น.
Counter : 1281 Pageviews.

3 comment
สักการะ หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ ณ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
สักการะ หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ ณ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วัดสะแก ตั้งอยู่ ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พิกัด : https://goo.gl/maps/GDXMFLykYKPJsCra9 



ก่อนอื่นเรามารู้ประวัติ "หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ" กนก่อนครับ
หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ มีชาติกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เดิม ชื่อ ดู่
เกิดเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2447 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง
ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พุ่ม ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 3 คน
ท่านเป็นบุตรคนสุดท้าย มีโยมพี่สาว 2 คน



ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาด ความอบอุ่นอยู่มาก
ด้วยกำพร้าบิดา มารดาตั้งแต่เยาว์วัย นายยวง พึ่งกุศล ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่าน
ได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดา ของท่านมีอาชีพทำนา โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนม
ไข่มงคลขาย เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กทารก มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้
คือในคืนวันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำ ขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอด“ขนมมงคล”อยู่นั้น
ท่านซึ่งถูก วางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว



มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่ ต่อมาบิดาของท่านก็จากไปอีก
ขณะท่านมีอายุได้เพียง 4 ขวบเท่านั้น ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก
จำความไม่ได้ ท่านได้อาศัยอยู่กับยายโดยมีโยมพี่สาวที่ชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่
และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม
และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ



สู่เพศพรหมจรรย์ เมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเมื่อ
วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ตรงกับวันอาทิตย์แรม 4 ค่ำ เดือน 6
ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อกลั่น
เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหลวงพ่อ แด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก
ขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อ ฉาย วัดกลางคลองสระบัว
เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า "พฺรหฺมปญฺโญ" 



ในพรรษาแรกๆ นั้น ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรมซึ่งในสมัยนั้น
เรียกว่าวัดประดู่โรงธรรมโดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือท่านเจ้าคุณเนื่อง
พระครูชม และ หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น



ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น ท่านได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์
และหลวงพ่อเภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน
เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่สองประมาณปลายปี พ.ศ. 2469 หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ
ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภา เป็นสำคัญ



นอกจากนี้ท่านยัง ได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้าง
และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
จากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสระบุรี



นิมิตธรรม อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณก่อนปี พ.ศ. 2500 เล็กน้อย หลังจาก
หลวงปู่ดู่สวดมนต์ทำวัตรเย็น และปฏิบัติกิจส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็จำวัด
เกิดนิมิตไปว่า ได้ฉันดาวที่มีแสงสว่างมาก 3 ดวง ในขณะที่กำลังฉันอยู่นั้นก็รู้สึกว่า
กรอบๆ ดี ก็เลยฉันเข้าไปทั้งหมด แล้วจึงตกใจตื่น



เมื่อท่านพิจารณาใคร่ครวญถึงนิมิตธรรมที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจขึ้น ว่าแก้ว 3 ดวงนั้น
ก็คือพระไตรสรณาคมน์นั่นเอง พอท่านว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ,
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” 
ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในจิตท่าน พร้อมกับอาการปีติอย่างท่วมท้น
ทั้งเกิดความรู้สึกลึก ซึ้งและมั่นใจว่า พระไตรสรณาคมน์นี้แหละเป็นรากแก้วของ พระพุทธศาสนา
ท่านจึงกำหนดเอามาเป็นคำบริกรรมภาวนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเน้นหนักที่การปฏิบัติ



หลวงปู่ดู่ท่านให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนา
ท่านว่า "ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ)เป็นเถ้าเสียดีกว่า" ในสมัยก่อนเมื่อตอนที่ศาลาปฏิบัติธรรม
หน้ากุฏิท่านยังสร้างไม่เสร็จนั้น ท่านก็เมตตาให้ใช้ห้องส่วนตัวที่ท่านใช้จำวัด
เป็นที่รับรองสานุศิษย์และผู้สนใจได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งนับเป็นเมตตาอย่างสูง 



สำหรับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่านบ่อยๆ หรือมีโอกาสได้ฟังท่านสนทนาธรรม
ก็คงจะได้เห็นกุศโลบายในการสอนของท่านที่จะโน้มน้าว ผู้ฟังให้วกเข้าสู่การปรับปรุง
แก้ไขตนเอง เช่นครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้ให้ท่านฟังใน เชิงว่ากล่าวว่า
เป็นต้นเหตุของปัญหาและความยุ่งยาก



แทนที่ท่านจะเออออไปตามอันจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลายออกไป ท่านกลับปรามว่า
"เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก
แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม"




คำสอนของหลวงปู่ดู่จึงสรุปลงที่การใช้ชีวิตอย่างคนไม่ประมาทนั่นหมายถึงว่าสิ่งที่จะต้อง
เป็นไปพร้อมๆ กัน ก็คือ ความพากเพียรที่ลงสู่ภาคปฏิบัติ ในมรรควิถีที่เป็นสาระแห่งชีวิต
ของผู้ไม่ประมาท ดังที่ท่านพูดย้ำเสมอว่า “หมั่นทำเข้าไว้ๆ”



ขอขอบคุณข้อมูล : https://th.wikipedia.org/wiki/หลวงปู่ดู่_พฺรหฺมปญฺโญ 



ใครที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านบล๊อก กินอาหารธรรมดาๆ ณ ร้าน Benny's
จังหวัดนครสวรรค์
 
สามารถกดที่นี่ได้เลยครับ



ฝากกด like Facebook นายแว่นขยันเที่ยว : 
https://www.facebook.com/นายแว่นขยันเที่ยว-110467381183341



ฝากกดติดตาม YouTube กูรูเอมมี่ แชลแนล : 
https://www.youtube.com/channel/UCRYXqGydbgKYciPr2Kilw3g
ขอขอบคุณ อาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ โหราเวทย์ศรีธนญชัย



ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้ผม
"นายแว่นขยันเที่ยว"



ขอบคุณเพลง : หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
ศิลปิน : เชิดชัย วัชราภรณ์ ปาดเนื้อ
Vote : ท่องเที่ยวไทย




Create Date : 18 กรกฎาคม 2565
Last Update : 29 สิงหาคม 2565 9:53:16 น.
Counter : 1691 Pageviews.

9 comment
กินอาหารธรรมดาๆ ณ ร้าน Benny's จังหวัดนครสวรรค์
กินอาหารธรรมดาๆ ณ ร้าน Benny's จังหวัดนครสวรรค์
ร้าน Benny's ตั้งอยู่ ริมถนนพหลโยธิน ใกล้กับร้านนครสวรรค์พันธุ์ไม้
ขาเขากรุงเทพฯ ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ 
พิกัด : https://g.page/bennysrestaurant?share 



เป็นร้านอาหาร และร้านกาแฟ ที่จอดรถง่ายเเพราะติดถนนพหลโยธิน
ใครมาจังหวัดนครสวรรค์ไม่มารองชิมถือว่าพาดมากๆครับ



ข้างน้องร้านบรรยากาศดีมากๆ ถ้ามากินอาหารช่วงเวลากลางคืนบอกเลยว่าฟินมากๆ



ข้างในก็บรรยากาศดีถูกจัยวัยรุ่น 



และมีโต๊ะให้ลูกค้าเลือกหลายมุมมากๆ คือมาหลายครั้งก็ไม่นั่งมุมเดิมแน่นอนครับ



ชั้นหนังสือตกแต่ด้วยกระป๋องเครื่องดืมต่างๆ ทั้งของประเทศไทย และต่างประเทศ
ดูแปลกตาและหาชมได้ยากมากๆในประเทศไทยครับ



บรรยากาศคือสวยมากๆ ผมชอบถ่ายภาพเลยถูกใจร้านนี้เป็นพิเศษ เดียวเราไปดูอาหารกันเลยครับ



ผมแวกพักรถกับพี่ชายที่นี่เลยกินอาหารง่ายๆ หรืออาหารสิ้นคิด อย่าง
ผัดกระเพราหมูยอ และไข่ดาว ผมบอกเลยว่าอาหารธรรมดาแต่รสชาติคือสุดยอด



ของพี่ชายผมก็เป็น ผัดกระเพราไส้กรอกไก่ ไข่ดาว แต่พี่ชายผมสั่งเผ็ดมาก
ผมกินทีอ้าปากค้างเลยครับ เพราะผมกินเผ็ดไม่เก่ง แต่ที่พิเศษคือใส่พริกไทยอ่อนด้วยครับ



ต่อกันด้วยยำปลาทูน้า อร่อยมากๆ เผ็ดไม่มากและไม่เหม็นคาว ใครที่ชอบสายยำ
บอกเลยว่าห้ามพาดเมนูนี้ครับ



มาร้านกาแฟ ก็ต้องสั่งน้ำด้วยใช่ไหมครับก็คือ น้ำฮันนี่เลม่อน
ไนโตร โคลด์บรู คอฟฟี่ รสชาติหวานอมเปรี่ยว อร่อยมากๆ ครับ



ร้าน Benny's มีอาหารอีกหลายอย่างมากๆครั้ง ทั้งอาหารตะวันตก อาหารจีน
อาหารอิสาน หรือจะเป็นแบบ ขาหมูเยอรมัน ก็มีให้บริการครับ



ร้าน Benny's เปิดทุกวันทั้งแต่ 09:30 - 20:30 น. ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ 09:00 - 21:00 น.
สามารถโทรสอบถามเพิมเติมที่เบอร์ 063-874-4105



ใครที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านบล๊อก ลอดอุโบสถล้างอาถรรพ์ ที่
วัดท้ายหาด จังหวัดสมุทรสงคราม
 
สามารถกดที่นี่ได้เลยครับ



ฝากกด like Facebook นายแว่นขยันเที่ยว : 
https://www.facebook.com/นายแว่นขยันเที่ยว-110467381183341



ฝากกดติดตาม YouTube กูรูเอมมี่ แชลแนล : 
https://www.youtube.com/channel/UCRYXqGydbgKYciPr2Kilw3g
ขอขอบคุณ อาจารย์เอมมี่ เทพนิมิตต์ โหราเวทย์ศรีธนญชัย



ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้ผม
"นายแว่นขยันเที่ยว"



ขอบคุณเพลง : โต๊ะริม
ศิลปิน : นนท์ ธนนท์
Vote : ท่องเที่ยวไทย




Create Date : 15 กรกฎาคม 2565
Last Update : 29 สิงหาคม 2565 9:53:34 น.
Counter : 1461 Pageviews.

3 comment
รีวิว ภาพยนตร์ใหม่ "Thor: Love and Thunder" ธอร์ : ด้วยรักและอัสนี
รีวิว ภาพยนตร์ใหม่ "Thor: Love and Thunder" ธอร์ : ด้วยรักและอัสนี
วันนี้ผมขอหยิบภาพยนตร์ที่ตอนนี้ใครๆก็ต้องพูดถึง อย่าง "ธอร์เทพเจ้าสายฟ้า"
ผมขอให้คะแนนอยู่ที่ 8/10 คะแนน ผมบอกเลยว่าสนุกมากๆ ห้ามพลาด



หนัง Thor Love and Thunder หรือชื่อไทยว่า ธอร์ ด้วยรักและอัสนี
ธอร์ (คริส เฮมส์เวิร์ธ) จะได้ไปผจญภัยในแบบที่ไม่เหมือนครั้งไหนที่เขาเคยเจอมาก่อน
ภารกิจในการค้นหาความสงบสุขภายใน แต่การเกษียณของเขาถูกรบกวนโดยนักฆ่า
ข้ามจักรวาลนามว่า กอร์ นักเชือดเทพเจ้า (คริสเตียน เบล)



ผู้แสวงหาการสูญพันธ์ของเทพเจ้าทั้งมวล เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามนี้
ธอร์ควานหาความช่วยเหลือจาก ราชาวัลคีรี่ (เทซซ่า ทอมป์สัน), คอร์ก (ไทก้า ไวตีติ)
และแฟนเก่าของเขา เจน ฟอสเตอร์ (นาตาลี พอร์ตแมน)



ผู้ที่ทำให้ธอร์ตกใจจนตาค้าง เมื่อเธอกำลังถือครองค้อนโยเนียร์ของเขา
ในฐานะของ The Mighty Thor พวกเขาต้องร่วมมือกันผจญภัยข้ามจักรวาล
ไปเพื่อค้นหาความลับเบื้องหลังความแค้นของนักเชือดเทพเจ้าคนนี้
เพื่อหยุดยั้งเขาเอาไว้ก่อนที่มันจะสายจนเกินไป



เป็นภาคที่ 4 แล้วสำหรับหนังเดี่ยวของ Thor ที่แสดงโดย Chris Hemsworth
ซึ่งนี่จะเป็นเรื่องราวต่อจากใน Avengers: Endgame (2018) ที่ Thor ได้เดินทาง



ไปกับทีม Guardians of the Galaxy ออกปกป้องจักรวาล
ในคราวนี้เขาต้องออกเดินทางอีกครั้ง
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับ Gorr ผู้ที่ได้สมญานามว่า the God Butcher



(ผู้สังหารเทพเจ้า) รวมถึงการได้พบเจอกับรักอย่าง Jane Foster อีกครั้ง
แต่ในคราวนี้เราจะได้ เห็นเธอในฐานะ Mighty Thor 



บอกตรง ๆ ว่าจากตัวอย่างทำให้เราตื่นเต้นที่จะดูมาก ทั้งการได้เห็น Natalie Portman
กลับมารับบท Jane Foster อีกครั้งและแถมยังมาเป็น Mighty Thor อีก รวมถึงการได้เห็น



Christian Bale ในบทวายร้ายโคตรร้ายอย่าง Gorr ด้วย ผนวกกับความบ้าบอของผู้กำกับ
อย่าง Taika Waititi ที่ได้ทำ Thor: Ragnarok (2017) ออกมาได้โบ๊ะบ๊ะและจังหวะดีมาก
หวังว่าในภาคนี้จะจัดเต็มกว่าเก่า แต่พอได้ดูจริงกับน่าผิดหวังอย่างน่าเสียดาย



อันดับแรกเลยคือความคาดหวังเราเองแหละ ต้องบอกก่อนว่าจริง ๆ เราไม่ได้ชอบภาค
Ragnarok มากขนาดนั้น เพราะมันค่อนข้างจะหลุดธีมจาก Thor สองภาคแรกพอสมควร
แต่จังหวะการเล่า จังหวะมุกมันดี ถึงแม้มันจะเยอะไปเสียหน่อยก็ตาม



ฉากแอ็คชันก็ดีสุด มีจังหวะเฮให้ได้สนุกได้ตื่นเต้น มันพอทำให้เราได้เห็นว่าผู้กำกับอย่าง
Taika Waititi เขามีแนวทางในการทำหนังยังไง และพอมาภาคนี้เราจึงกะปล่อยจอย
เข้าไปเสพความฮา ความบ้าความบวมของผู้กำกับที่จะใส่มาในเนื้อเรื่อง



ทั้งการออกมาบอกว่าภาคนี้จะโคตรปั่นบ้าบอกว่าที่ผ่านมาก็ยิ่งทำให้เกิดความคาดหวัง
แต่ผลมันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ เรื่องความฮาก็มีหยอดมาเป็นช่วง ๆ แต่จะให้เทียบกัน
ก็ต้องบอกว่าภาค Ragnarok ฮากว่ากันเยอะ



จังหวะมุกดีกว่ากันเยอะเลย ภาคนี้มันก็ยังฮา แต่เป็นช่วง ๆ และจังหวะไม่ได้ดีเท่า
หลายมุกก็ฝืดเสียด้วยซ้ำ ฮาสุดขอยกความดีงามให้ไอ้แพะอวกาศสองตัวเท่านั้นเลย



และด้วยความที่หนังมันไม่ได้มามู้ดซีเรียสขนาดนั้น มันจึงทำให้ฉากต่าง ๆ
ที่ต้องใช้อารมณ์ร่วมมันทำได้ไม่ถึงเลย มันลงดราม่าไม่ได้เลย ซึ้งก็ไม่ได้ ยิ่งฉากท้าย ๆ
ของเรื่องทำได้ไม่ถึงไม่อินจริง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องราวระหว่าง Thor กับ Jane หรือเรื่องของ
Gorr ก็ตาม ฉากแอ็คชันในภาคนี้ก็ยังสู้ไม่ได้ ภาค Ragnarok ลงตัวกว่าเยอะ 



เอาจริง ๆ มันมีวัตถุดิบหลายอย่างที่ทำให้มันออกมาแปลกแหวกแนวและสนุก
ได้มากกว่านี้อีกเยอะเลยอะ มันดูผิดที่ผิดทาง กั๊ก ๆ ไม่กล้าเล่น เพลเซฟอีกต่างหาก
ตัวบทเลยแบนมาก เนื้อเรื่องมันเลยกลายเป็นเบาหวิวไปเลย



ไม่ได้หวือหวา หลายเหตุการณ์มาไวไปไวมาก ถึงแม้หนังจะพยายามยัดเยียดพลัง
ความรักเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ให้มีผลต่อเรื่อง แต่มันเบาเหลือเกิน กลายเป็นเหมือนองค์ประกอบ
ที่น่ารำคาญของหนังไปเลย เส้นเรื่องตรงแหน่ว เล่าแบบเบสิค ทุกอย่างดูง่ายดายไปหมดเลย



ฉากแอ็คชันในเรื่องนี้ก็จัดว่าเฉย ๆ มาก ด้วยความที่ตัวละคร Thor มันจัดหนักจัดเต็ม
ความเท่ไปแล้วทั้งใน Ragnarok หรือ Endgame ภาคนี้มันจึงไม่ได้มีอะไรโดดเด่น
ไม่ได้รู้สึกทึ่งหรือว้าวกับการออกแอ็คชันใด ๆ 



ของตัวละครนี้เลย แม้กระทั่ง Last Fight ก็ไม่ได้รู้สึกเท่อะไรสักนิด
ความเท่ทั้งหมดดันตกไปอยู่ในตัวละคร Jane Forster ที่ซีนปรากฏตัวในฐานะ Mighty Thor
ครั้งแรก โคตรเท่เลย เท่จริง ๆ และบอกตรง ๆ ว่าแย่งความโดดเด่นความเท่จากตัว Thor
ไปหมดเลย ส่วนฉากแอ็คชันอื่น ๆ จัดว่าเฉย ๆ มาก



ทางด้านตัวละครอย่างที่กล่าวไปย่อหน้าที่แล้ว เราไม่ได้รู้สึกว่า Thor จะแตกต่าง
จากการปรากฏตัวภาคที่ผ่าน ๆ มาเท่าไหร่ ยังคงเป็น Thor ที่คุ้นเคย ไม่ค่อยมีการพัฒนาการ
ทางตัวละครเท่าไหร่เลย ถึงแม้ Jane Foster ในร่างของ Mighty Thor



จะเท่แค่ไหนก็ตาม แต่การเขียนเส้นเรื่องให้ตัวละครนี้กลับมาปรากฏตัวผนวกเรื่องราว
มาเจอกับ Thor เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันดูรวบรัดตัดตอนง่ายดายไปเสียหมด ส่วน Valkyrie
ก็ยังคงความเท่ แต่น่าเสียดายสุด ๆ ที่เธอเหมือนกลายเป็นตัวประกอบไปเลย
โดนลดความสำคัญลงไปอย่างเห็นได้ชัด



ส่วนทางด้านตัวร้ายอย่าง Gorr ต้องขอชมเลยว่า Christian Bale เล่นได้ดูร้าย น่ากลัวจริง ๆ
แต่บทไม่ส่งเลย ไม่ได้เอื้อความโหดให้ตัวละครนี้เลย ถ้ามีฉากการฆ่าเทพแสดงพลัง
ของตัวละครนี้มากกว่านี้ก็คงจะดีกว่านี้มาก ๆ



และถือว่าน่าเสียดายอีกเช่นกันที่ตัวละครนี้กลายเป็นแค่ตัวร้ายในระดับกลาง ๆ
ที่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นในตอนต่อสู้กับ Thor ในฉากท้าย ๆ เลย เพราะไม่ได้มีความรู้สึกว่า
ตัวละครนี้จะชนะได้ยังไงยังงั้น 



สิ่งที่ดีงามที่สุดขอยกให้เพลงและดนตรีประกอบเลย โคตรเข้ากับทุกฉากที่เลือกสรรค์
และมันยกระดับให้ฉากนั้น ๆ มันมีอะไรมากกว่าที่มันเป็นเสียอีก 



ไม่รู้ว่าที่ภาคนี้มันสนุกน้อยลงเพราะขาดเสน่ห์ของ Loki และเคมีที่เข้ากันของเขากับ Thor
ด้วยหรือเปล่า แต่ภาพรวมมันสนุกน้อยกว่า Ragnarok อย่างเห็นได้ชัดเลย ตัวเนื้อเรื่องก็เบา



ความฮาก็ไม่ได้จัดเต็มขนาดนั้น แอ็คชันก็ธรรมดา หากไม่ได้เหล่านักแสดงช่วยไว้
หนังมันจะแย่กว่านี้เอามาก ๆ เลย จัดว่าผิดหวังพอสมควร



สามารถชมภาพยนตร์ "Thor: Love and Thunder" ธอร์: ด้วยรักและอัสนี
ได้ในโรงภาพยนต์ทั่วประเทศไทย



ใครที่ยังไม่ได้เข้าไปอ่านบล๊อก ภาพยาตร์"Minions: The Rise of Gru" มินเนี่ยน 2
สามารถกดที่นี่ได้เลยครับ



ฝากกด like Facebook นายแว่นขยันเที่ยว : 
https://www.facebook.com/นายแว่นขยันเที่ยว-110467381183341



ฝากกด like กด แชร์ด้วยนะครับ 🙏
ขอบคุณที่เข้ามาเป็นกำลังใจให้ผม
 #นายแว่นขยันเที่ยว 😎📷



ขอบคุณตัวอย่าง : "Thor: Love and Thunder" ธอร์: ด้วยรักและอัสนี
กำกับการแสดงโดย : ไทกา ไวทีที
Vote : ภาพยนตร์




Create Date : 13 กรกฎาคม 2565
Last Update : 14 กรกฎาคม 2565 21:53:46 น.
Counter : 1442 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  

นายแว่นขยันเที่ยว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]



All Blog