Your Grace.Blog : เรื่องราวเล็กๆ ของคนที่รักและเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ
 

Present No Past ปัจจุบันกาล




Present No Past ปัจจุบันกาล


จงทำให้ชีวิตของเรา เป็นเรื่องของวันนี้ เพื่อจัดเตรียม สู่พรุ่งนี้ และ อนาคตนิรันดร ไม่ใช่เรื่องในอดีต

เดมาสก็เคยรักพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ได้หลงรักโลกไปเสียแล้ว

2 ทิโมธี 4:10  เพราะว่าเดมาสหลงรักโลกนี้ และทิ้งข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกาแล้ว ส่วนเครสเซนส์ไปที่แคว้นกาลาเทีย ทิตัสไปที่แคว้นดาลมาเทีย

หลายสิ่งในอดีตเคยดีงาม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป กลับถอยหลังหรือย่ำแย่ลง อย่าลืมว่า วันเวลาที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ย่อมมีวาระ มีสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนไปและพัฒนาการขึ้น ในขณะที่บางคนหรือบางสิ่งเพียงแค่หยุดอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาไปตามกาลเวลา หรือวาระที่เดินไปข้างหน้า ย่อมทำให้ตนเองหรือสิ่งเหล่านั้นถดถอยลง อย่างไม่รู้ตัว 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า จากเดิม มีความใหญ่ มีความแข็งแรง มีความอึดและทน แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีเหล่านี้ ปรับเปลี่ยนแปลงเป็นความรวดเร็วตอบสนองความสะดวกสบาย ในขณะที่ผู้พัฒนาสินค้าให้เหมาะกับยุคสมัย แต่ยังคงรักษา concept เดิม คงความแข็งแรง ความอึด ความทนไว้ได้  ย่อมได้เปรียบกว่า

อย่ายอมปล่อยให้ชีวิตของตน เป็นเรื่องของในอดีต หมายถึง ในอดีตเคยดีแต่ปัจจุบันกลับถดถอย หรือหลงลืมซึ่งสิ่งที่เคยดีในอดีตไปเรียบร้อยแล้ว อันเนื่องจากไม่ได้รักษาสิ่งดีอันนั้นไว้ หรือว่าพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปกติแล้ว สิ่งใดที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อความมั่นคง ในขณะที่ หากชีวิตมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผล ต่อการสูงขึ้นเป็นลำดับขั้น ... ในทางตรงข้าม คนที่ปล่อยให้ความขี้เกียจเข้าบดบังหรือแทรกแซง จะต้องใช้แรงฮึด มากกว่าปกติ อันเนื่องจากทุกครั้งที่ปล่อยเกียร์ว่าง หรือผ่อนปรน  เนื้อหนังย่อมแทรกแซง เมื่อความขี้เกียจเกาะกิน การจะนำตนเองมายืนอยู่ในจุดปกติหรือจุดเดิมก็เป็นเรื่องยากและเหนื่อยเสียแล้ว ดังนั้นการจะพูดถึงเรื่องการพัฒนาไปข้างหน้าจึงเป็นเรื่องที่ดูเหมือนไกลตัวและเกินคาดหวัง

การรักษาชีวิตจึงเป็นเรื่องของความต่อเนื่อง เป็นเรื่องของปกติที่ต้องทำจนเป็นธรรมชาติชีวิต จนไม่รู้สึกว่าเข็นตนเอง ไม่รู้สึกลำบากหรือยากเย็นอีกต่อไป

อย่ายอมให้ตนเองเป็นคริสเตียน ที่เคยรักพระเจ้า เคยร้อนรน เคยเอาจริงเอาจัง  เคยหมั่นเพียรในการศึกษาพระคำของพระเจ้า เคยสละสิ่งสารพัดต่างๆ เพื่อพระคริสต์ ... แต่วันนี้ กลับกลายเป็นว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่อดีตที่เคยทำหรือเคยผ่านมาเท่านั้น แต่จงเป็นคริสเตียนที่ พัฒนาตนเองจากพื้นฐานเหล่านั้นในอดีต ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น มีมุมมองที่กว้างและลึกขึ้น มีความเข้าใจที่กว้างขึ้น  มีความลึกซึ้งในความสัมพันธ์กับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น  มีพระพร ที่สามารถส่งต่อได้อย่างมากมาย  

แน่นอนว่าในแต่ละวัน แต่ละเวลา ในชีวิตของเราที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงกระทำ สามารถผันเปลี่ยนไปตาม พระประสงค์ของพระเจ้า บางเวลาเราอาจเคยทำบางสิ่งแต่บัดนี้หมดเวลาแล้ว  บางสิ่งเราอาจ มีส่วนเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ... แต่ถึงกระนั้น ทุกสิ่งย่อมเป็นพื้นฐาน ในการทำให้เราเติบโตมากยิ่งขึ้น  พัฒนาตนเองมากยิ่งขึ้นในความสัมพันธ์กับพระคริสต์ มีความรู้แจ้งมากขึ้น มีประสบการณ์ตรง มีความเข้าใจที่มากกว่าคำบอกเล่า

สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดว่าตนเองยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้ คือ การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างลึกซึ้งมากยิ่งๆ ขึ้น 

ตัวอย่างเช่น อับราฮัม เมื่อแก่ชราแล้ว เขาเป็นคนที่มีพระพรในชีวิตอย่างมาก บางคนรับใช้พระเจ้าจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แต่บางคนก็อาจทำสำเร็จเสร็จสิ้นก่อน ก็เป็นไปได้  

การรับใช้ เป็นเพียง รูปแบบหนึ่ง ของการพัฒนาตนเองในการเดินกับพระเจ้า แต่แก่นแท้ คือการมีชีวิตเป็นคริสเตียนแท้ หมายถึง ทุกท่วงท่า ทุกช่วงเวลา ทุกนาที ดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์กับพระเจ้าของตน  เสมือนว่า พระองค์ประทับอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา ซึ่งย่อมทำให้ ...
  • มีความยำเกรงพระเจ้า 
  • มีความรักที่มั่นคง 
  • มีความซาบซึ้งในพระคุณ 
  • มีความอิ่มหนำด้วยสันติสุข 
  • มีความมั่นคงภายในจิตใจ 
  • มีความลึกลงในความสัมพันธ์มากยิ่งๆ ขึ้น 
  • มีความหิวและกระหายหาพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า 
  • มีความเคร่งครัดในการรักษาชีวิตให้อยู่ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา 
  • มีความใส่ใจ สนใจและแคร์ ในองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นที่สุด 
  • มีความจดจ่อ อยู่กับแผ่นดินนิรันดร

1. การพบกับความรักของพระคริสต์เป็นเรื่องของพระคุณที่พระเจ้าทรงมอบให้ แต่การรักษาชีวิตให้สดใหม่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าเสมอๆ เป็นเรื่องของความสัตย์ซื่อส่วนบุคคลที่พึงมีต่อตนเองและพระเจ้า

2. อย่ายอมปล่อยให้พระพร หรือ ประสบการณ์ตรง เป็นเพียงเรื่องในวันวาน แต่ควรให้มีความสดใหม่อยู่เสมอๆ (พระพรที่เราแบ่งปัน เป็นพระพรสดใหม่เพียงใด?)

3. อย่าตกหล่นไปจากความรักดั้งเดิมของพระคริสต์ เพราะพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกวันเวลา

4. หากหมดใจ จงร้องขอหัวใจที่สดใหม่จากพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงประทานสิ่งที่หัวใจแสวงหาต่อพระพักตร์พระเจ้าเป็นแน่แท้














 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2559 15:24:34 น.
Counter : 644 Pageviews.  

มากที่ปรึกษา




มากที่ปรึกษา


การมากที่ปรึกษาโดยที่ตนเองปราศจากรากฐานของพระคำ ย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้อวดรู้ และฟาริสี

มากที่ปรึกษา คือ การเสริมสร้างส่วนที่ขาดความรู้ ความเข้าใจ ไม่ใช่การว่างเปล่าแบบไม่มีอะไรเลย แม้แต่กรอบล้อมรั้วชีวิตตน

หากเป็นเช่นนั้น... จงนำความไปปรึกษาพระเจ้า พระองค์มีวิธีการสอนเราแต่ละคนอย่างแน่นอน เพราะทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่และประทับอยู่ด้วย

ตัวอย่างเช่น ... ขันทีที่อ่านพระคำเอลียาห์ไม่เข้าใจ พระเจ้าจึงส่งฟีลิปมา เพื่อเสริมสร้างเขา = พระเจ้าไม่ละทิ้งและปล่อยให้ผู้ที่แสวงหาพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ต้องขาดสิ่งใดๆ โดยเฉพาะความเข้าใจในพระคำ

กจ.8:26-40
26 แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงกาซา” (ซึ่งเป็นทางเปลี่ยว)
27 ฟีลิปก็ลุกไป และนี่แน่ะ มีขันทีชาวเอธิโอปคนหนึ่ง เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสีพระราชินีของชาวเอธิโอป และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีองค์นั้น ท่านมานมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม
28 ขณะนั่งรถม้ากลับไปนั้น ท่านกำลังอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่
29 พระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปชิดรถม้าคันนั้นเถิด”
30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจสิ่งที่อ่านหรือไม่?”
31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบาย จะเข้าใจได้อย่างไร?” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งบนรถม้ากับท่าน
32 พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้
“ท่านถูกนำไปฆ่าเหมือนอย่างแกะ
ลูกแกะนิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันอย่างไร
ท่านก็ไม่ปริปากของท่านอย่างนั้น
33 ในเวลาที่ท่านถูกเหยียดหยาม ท่านไม่ได้รับความยุติธรรม
ใครจะเล่าถึงเชื้อสายของท่าน?
เพราะชีวิตของท่านถูกตัดขาดจากแผ่นดินโลก”  
34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวนี้เล็งถึงใคร เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงคนอื่น? ขอบอกข้าพเจ้าเถิด”
35 ฟีลิปจึงเริ่มเล่าโดยตั้งต้นจากพระคัมภีร์ตอนนั้น ท่านประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูกับขันทีผู้นั้น
36 ขณะกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่ที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “นี่แน่ะ ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”
37 ฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” ขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
38 แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถ คนทั้งสองก็ลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปให้ท่านรับบัพติศมา
39 เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไป และขันทีคนนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี
40 แต่มีคนพบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อท่านเดินทางไป ท่านก็ประกาศข่าวประเสริฐทั่วทุกเมืองจนกระทั่งท่านไปถึงเมืองซีซารียา

1.    หน้าที่ของเราแต่ละคน คือ ต้องรับผิดชอบตนเองในการแสวงหาพระเจ้า และศึกษาพระคำ อย่าผลักภาระนี้ไปฝากไว้ที่การรอให้คนมาสอน หรือ รอคำเทศนา เท่านั้น เพราะมันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตจริงบนโลกนี้

2.    ในส่วนที่ยังขาดความเข้าใจ จงร้องขอและแสวงหาจากพระเจ้าในการสำแดง และฝึกฝนตนเองจนเกิดความเข้าใจมากขึ้น

3.    ส่วนของความรู้เป็นเรื่องของการค่อยๆ สะสมมากยิ่งขึ้น จนเข้าใจรอบด้านมากขึ้น ปีนี้เข้าใจเท่านี้ ปีหน้าจะเข้าใจมากขึ้น เพราะโตขึ้น ขอบเขตชีวิตถูกขยายมากขึ้น ความเข้าใจจึงมากขึ้นตามประสบการณ์ตรงด้วย

4.    อย่าฉวยโอกาสชักจูงผู้ที่อ่อนกำลัง หรืออ่อนแอให้โอนอ่อนตามความคิด หรือ ทัศนคติของตนเอง เพราะผู้สอนก็ต้องรับผิดชอบกับพระเจ้าด้วยเช่นกัน

5.    การมีที่ปรึกษามากๆ ยิ่งดี เพราะจะเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจที่ตนเองไม่มี อีกทั้งยังเสริมสร้างส่วนที่ตนเองขาด หรืออ่อน แต่หากปราศจากซึ่งรากฐานพระคำในชีวิตตน ย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่อาจไม่โตจริงก็เป็นไปได้ แท้จริงเราแต่ละคนต่างพิสูจน์กันและกันได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ที่ปรึกษาสูงสุด และผู้ที่เราควรแสวงหาคำตอบ ควรเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของตน เป็นที่ 1

6.    อย่าเปิดช่องหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมมากที่ปรึกษา เพื่อควานหาคำตอบที่โดนใจตน หรือเข้าข้างตนเอง เพราะนอกจากจะผิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงแล้ว ยังเป็นการทำร้ายตนเองทั้งที่รู้อยู่แล้ว แท้จริงไม่มีที่ปรึกษาคนใดรับผลร่วมกับเราได้ ดังนั้น ผลเหล่านั้นตกแก่ตนอย่างเต็มที่เพียงลำพังเท่านั้น





//www.panarat.com 

https://www.facebook.com/panarat2013

https://www.facebook.com/cthearten

//www.harpandbowlministry.com







 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2559 13:41:35 น.
Counter : 785 Pageviews.  

เสาเมฆและเสาเพลิง




เสาเมฆและเสาเพลิง


พระเจ้าทรงนำอิสราเอลประชากรของพระองค์ด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน ในถิ่นทุรกันดารที่เริ่มต้นออกจากอียิปต์มุ่งสู่แผ่นดินคานาอัน เมื่อมีการนำของพระเจ้าอิสราเอล รื้อถอน เต้นท์ที่พักของตนเอง เพื่อเคลื่อนไปตามการทรงนำของพระเจ้าในทันที แต่เมื่อไม่มีการทรงนำของพระเจ้า พวกเขาพักและดื่มกินอยู่ในบริเวณนั้น โดยที่สายตาจับจ้องไปที่เสาเมฆและเสาเพลิงอยู่เสมอ เพื่อจะไม่พลาดจากการทรงนำของพระเจ้า

การทรงนำของพระเจ้าจะชัดเจนโดดเด่น เพื่อให้ประชากรของพระองค์เห็นอย่างชัดเจน เพื่อทำให้เห็นหนทางการตอบสนองพระเจ้าอย่างชัดเจน เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความชัดเจน ไม่ทรงคลุมเครือ ... ดังนั้นการทรงนำของพระองค์ก็เช่นกัน จะทรงนำอย่างชัดเจน เพียงแต่คนของพระเจ้า ต้องจับจ้องและจดจ่อไปที่เสาเมฆและเสาเพลิงนั้น หมายถึงการทรงนำนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ไม่ว่าจะมืดหรือสว่าง พระองค์ทรงมีวิธีและหนทางในการทรงนำให้แก่เรา

อพยพ 13:21-22
21 พระยาห์เวห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในเวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้พวกเขามีแสงสว่างเพื่อจะเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
22 พระองค์ไม่ได้ทรงให้เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนคลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย


1.    อิสราเอลเคลื่อนย้ายตนเองอย่างทันที เมื่อมีการทรงนำของพระเจ้ามาถึง พวกเขาไม่อิดออด ไม่บิดเบือน ไม่ต่อรอง หรือไม่ยืดเวลาออกไป ลักษณะการสร้างเต้นท์เพื่ออยู่อาศัยของพวกเขา จึงต้องพร้อมเสมอสำหรับการเคลื่อนย้าย… การดำเนินชีวิต ของเราเองก็เช่นกัน ควรเตรียมพร้อมเสมอ เมื่อการทรงนำของพระเจ้ามาถึงเรา อย่างเจาะจง ควรพร้อมในการก้าวและเคลื่อนไปกับพระเจ้าอย่างทันท่วงที อย่าพยายามสร้างสิ่งใดที่สามารถถ่วงหรือหยุดตนเองเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองพระเจ้าอย่างทันที หรือต้องยืดเยื้อออกไป รวมไปถึงการผ่านเลยที่จะไม่ตอบสนองพระเจ้า

2.    เมื่อไม่มีการทรงนำของพระเจ้า อิสราเอลก็ใช้ชีวิตตามปกติ พักผ่อน จากความเมื่อยล้าที่ผ่านมา แต่จะไม่ไปไกลห่างจากบริเวณนั้นๆ เพื่อจะเห็น เสาเมฆและเสาเพลิงอย่างชัดเจน … ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน ในเวลาปกติสุข ที่ไม่มีการทรงนำใดๆ จากพระเจ้า เราก็สามารถพักสงบ ได้อย่างเต็มที่ (ไม่ต้องรู้สึกผิด) หากไม่มีการเคลื่อนใด เราเองก็ไม่เคลื่อนตัวด้วยเช่นกัน เพราะการทำสิ่งใดๆ โดยปราศจากการทรงนำจากพระเจ้า นั่นหมายถึง ปราศจากการรับรองจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน

3.    ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆ  หากจะมีวันเวลาและวาระแห่งการหยุดพัก เพียงแต่ท่ามกลางการพักเหล่านั้น สายตาของเราต้องจดจ้องไปที่พระเจ้าเสมอ เป็นการเตรียมตนเองให้พร้อมที่จะเคลื่อนตัวอีกครั้งทันทีที่มีการทรงนำจากพระเจ้า แต่การเคลื่อนตัวออกไปโดยปราศจากการทรงนำจากพระเจ้า หากหนทางข้างหน้าผิดก็ต้องย้อนกลับมา ณ จุดเริ่มต้น ตรงนี้ใหม่อีกครั้งเช่นกัน ดังนั้นเราควรหยุด อยู่กับที่ จนกว่าพระเจ้าจะทรงนำดีเสียกว่า เพื่อจะไม่เป็นการเหนื่อยเปล่า หรือเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ เสียเวลาโดยใช่เหตุ

4.    พระเจ้าไม่เคยช้าในการทรงนำ พระองค์ทรงรู้กาลเวลา อย่างครบถ้วน ทุกมิติ ด้วยพระลักษณะแห่งความสัพพัญญูของพระองค์เอง ดังนั้นจึงทรงรู้ว่า เมื่อใดควรมีการเคลื่อนตัว และเมื่อใดควรหยุดอยู่กับที่เพื่อพัก และสะสม สิ่งต่างๆ ทั้งพลังงาน กำลัง ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ … เมื่อใด ที่ไม่มีการทรงนำให้เคลื่อนตัว นั่นหมายถึง เป็นการดี ที่จะหยุดอยู่ตรงนั้น และรอคอยอย่างจดจ่อสำหรับ การทรงนำของพระเจ้าที่จะมาถึง อีกทั้งเป็นการดี สำหรับการเตรียมตนเองให้พร้อม เพื่อจะก้าวใน step ต่อไป

5.    การอยู่ในวาระของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่เราควรเรียนรู้ เพื่อจะมีความสุขในแต่ละช่วงชีวิต ในทุกเวลา เพราะในแต่ละวาระ มีสิ่งที่ต้องสะสม เรียนรู้จากพระเจ้า เพื่อให้เติบโตขึ้นสู่ความไพบูลย์ อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ ในทุกๆ ด้านของชีวิตบนแผ่นดินโลกนี้




//www.panarat.com 

https://www.facebook.com/panarat2013

https://www.facebook.com/cthearten






 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2559    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2559 15:05:03 น.
Counter : 661 Pageviews.  

วิถีของนก




วิถีของนก

นกไม่กลัวฝน ในยามที่ฝนตก มันจะเกาะกิ่งไม้และทำความสะอาดขนของมัน พร้อมทั้ง รับความชุ่มฉ่ำ จากสายฝน แต่หากฝนตกหนัก ลมแรง นกจะบินไปหาที่หลบซ่อน แล้วรอจนกว่าฝนจะซาลง เพื่อออกมาเล่นน้ำฝน รับความสดชื่นชำระล้างปีกของมัน ไซร้ตามซอก รายละเอียดของปีกให้สะอาด

นกไม่พร่ำบ่นเวลาแห้งแล้ง เมื่อถึงเวลาที่ที่ประจำของมันแห้งแล้ง ไม่มีอาหารจะกิน หรือไม่เพียงพอ มันจะย้ายถิ่น เพื่อหาอาหารดำรงชีวิต มันไม่พร่ำบ่นต่อสิ่งเลวร้ายหรือแย่ๆ แล้วทนอยู่ตรงนั้น แต่มันจะขวนขวายออกหาที่ใหม่ๆ ที่มีอาหาร เพียงพอต่อการดำรงชีพของมัน

บทเรียนจากนก

1.    มันไม่บ่นพร่ำเพรื่อ มันมีชีวิตอย่างมีสุขได้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อม ของมันเอง
•    เมื่อใดก็ตามที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย >> มันจะเพิ่มความขยัน เพื่อหาแหล่งใหม่ๆ ในการดำรงชีพของมันเอง
•    เมื่อใดก็ตามที่สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย >> มันจะใช้ชีวิตแบบชิวๆ เพื่อเก็บกินสิ่งเหล่านั้นด้วยความสวยงาม
•    เสียงนกร้องจึงเป็นเสียงแห่งความไพเราะของธรรมชาติ อีกทั้งยังสะท้อนถึงสภาพ รอบๆ ด้วยซ้ำ

2.    มันไม่จำกัดตนเอง โดยการขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม แต่มันเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางทุกสภาพ ได้อย่างดี

3.    มนุษย์จำนวนมาก ติดนิสัยการพร่ำบ่น และบ่นพร่ำเพรื่อ กับสภาพแวดล้อม หรือ สภาพการณ์ที่เผชิญอยู่ โดยไม่คิด ที่จะหาวิธีหรือหนทางแก้ไข หรือทางออก เพื่อจะสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางสภาวะการณ์เหล่านั้น

4.    แท้จริงพระเจ้าใส่แต่ละวาระ ฤดูกาล มาให้แก่แผ่นดินโลกนี้ อย่างมีวัตถุประสงค์ที่สวยงามและดี ไม่ผิดพลาด … ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะ มีความสุข ท่ามกลางสภาวะการณ์ต่างๆ ในแต่ละฤดูกาลของชีวิต เท่ากับเป็นการพัฒนาตนเอง ให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะพระเจ้าใส่เมล็ดพันธุ์ต่างๆ  ให้แก่เราแต่ละคน รวมถึงสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกนี้ด้วย ตัวอย่างเช่น สัตว์ต่างๆ มีวิธีการดำรงชีพแตกต่างกันออกไป เช่น ต้นไม้บางชนิด ดูเหมือนตายในบางฤดูกาล แต่มันจะกลับฟื้นคืนชีพเมื่อถึงฤดูกาลของมันอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การทรงสร้างของพระเจ้า ทรงวางไว้อย่างบรรจบเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

5.    พระเจ้าไม่มีวัตถุประสงค์ ที่จะให้มนุษย์ตายลง ด้วยสภาวะแวดล้อม แต่อุปสรรคและปัญหา เหล่านั้น เป็นเหมือนอุปกรณ์ของพระเจ้า ที่จะพัฒนาบุคคลและปลดปล่อยศักยภาพ บางด้านของเราเอง  ในทางกลับกัน หากว่ามนุษย์คนใด มองอุปสรรค เป็นดั่ง มีดที่จี้คอตนอยู่ ย่อมทำให้อึดอัด หายใจไม่ออก และไม่คิดจะหาทางออก นั่นคือ การยอมแพ้ ต่อสภาวการณ์ แม้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ก็ยังมีเมล็ดพันธุ์ แห่งการต่อสู้ดิ้นรนและพัฒนาการที่พระเจ้าฝังไว้ให้  จึงเห็นได้ว่า คนที่มีพื้นฐานหัวใจเช่นนี้ ย่อมผ่านแต่ละเหตุการณ์ไปได้อย่างดี และไม่ขมขื่น ไม่รู้สึกว่าชีวิตถูกทำร้าย ไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งใดๆ จนเกินไป

ลองมองดูนก แล้วสะท้อนชีวิตตนจะทำให้เห็นทางออก หลายๆ ทางที่เป็นไปได้ และนอกเหนือจากสุดกำลัง ความสามารถของตนเองนั้น คือ ฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าที่คอยรับรองและอวยพรอยู่อย่างเป็นแน่




//www.panarat.com 

https://www.facebook.com/panarat2013


https://www.facebook.com/cthearten







 

Create Date : 26 กันยายน 2559    
Last Update : 26 กันยายน 2559 14:33:02 น.
Counter : 1042 Pageviews.  

วิถีชีวิตกำหนดพระพร




วิถีชีวิตกำหนดพระพร

•    มีคนจำนวนมากที่เชื่อพระเจ้า แต่มีคนจำนวนน้อยที่เชื่อฟังพระเจ้า
•    มีคนจำนวนมากอ่านพระคัมภีร์  แต่มีคนจำนวนน้อยที่ทำตามพระคัมภีร์
•    มีคนจำนวนมากอยากได้รับการอวยพร แต่มีคนจำนวนน้อย ที่ดำเนินชีวิต ให้เข้าเงื่อนไขพระพร
•    มีคนจำนวนมากไม่อยากถูกแช่งสาบ แต่มีคนจำนวนน้อยที่ดำเนินชีวิต ไม่เกี่ยวข้องกับคำแช่งสาป

การไม่ได้ระวังรักษาชีวิตเป็นอย่างดี การทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ได้คิดคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หรือการดำเนินชีวิตโดยขาดการยั้งคิด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อพระพร ทั้งด้านปริมาณ และด้านคุณภาพ

พระพรด้านปริมาณ หมายถึง จำนวนพระพร ความถี่ของพระพร

พระพรด้านคุณภาพ หมายถึง ขนาดของพระพรที่ได้รับเมื่อเทียบกับพระสัญญา หมายรวมถึง ความครบถ้วนทั้งด้านกายภาพ จิตใจ และจิตวิญญาณ


มัทธิว 13:1-9
1 ในวันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ชายทะเลสาบ
2 มีมหาชนมาหาพระองค์ พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และฝูงชนทั้งหมดก็ยืนอยู่บนฝั่ง
3 แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมาหลายเรื่อง เป็นต้นว่า “นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย
5 บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก
6 แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี
7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย
8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
9 ใครมีหูจงฟังเถิด”

มาระโก 4":1-9
1 แล้วพระองค์ทรงสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีก ฝูงชนจำนวนมากพากันมาเฝ้าพระองค์ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือที่ทะเล และประชาชนอยู่บนฝั่ง
2 พระองค์จึงตรัสสั่งสอนพวกเขาหลายประการเป็นอุปมา และในการสอนนั้นพระองค์ตรัสว่า
3 “จงฟังเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย
5 บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก
6 แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป
7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล
8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”
9 แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”


1.    พระพรเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตให้เข้าเงื่อนไขของการรับพระพรจากพระเจ้า

2.    พระคุณมีมากเสมอและมากล้น อันเนื่องจากความรักของพระเจ้าไม่ขึ้นอยู่กับการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ... แต่พระพรจะมากน้อย ตามเงื่อนไขของชีวิต

3.    วิถีการดำเนินชีวิตแปรผันตรงกับพระพร

•    ดำเนินชีวิตชอบธรรมพระพรมาก ไม่ขาดสาย
•    ดำเนินชีวิตสุ่มเสี่ยงหรือเฉียดใกล้ความอธรรมเสมอๆ พระพรย่อมลดหาย
•    ดำเนินชีวิตอธรรม ย่อมไม่มีพระพร ตกมาถึง





//www.panarat.com  

https://www.facebook.com/panarat2013

https://www.facebook.com/cthearten







 

Create Date : 15 กันยายน 2559    
Last Update : 15 กันยายน 2559 14:32:06 น.
Counter : 764 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Your Grace
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




* Blog นี้ สร้างเพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ข้อคิดสะกิดใจ เพื่อหนุนจิตชูใจคริสตชนด้วยกัน อีกทั้งแบ่งปันประสบการณ์เล็กๆ ของคนที่รักพระเจ้าอย่างสุดใจคนหนึ่ง ที่กำลังพัฒนาตนเองให้เติบโตมากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน

* เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งของคนเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ได้มีประสบการณ์ตรงจากพระเจ้า อาจยังไม่สมบูรณ์ เพราะต้องการพัฒนาต่อไปในน้ำพระทัยพระเจ้าจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์

* เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้จำกัดวงหรือขอบเขต เพียงแค่คริสตชนเท่านั้น แต่สำหรับทุกๆ คนที่ต้องการกำลังใจ และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ต่อกันและกัน

* คาดหวังเพียงแค่จะเป็นส่วนหนึ่งที่่สามารถจรรโลงโลกนี้ให้น่ารักและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

*** ขอพระเกียรติสิริทั้งสิ้นมอบแด่พระเยซูคริสต์เจ้าแต่นามเดียว เท่านั้น ขอเพียงพระพรตกแก่ข้าพเจ้าและครัวเรือน อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน ***
[Add Your Grace's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com