Your Grace.Blog : เรื่องราวเล็กๆ ของคนที่รักและเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ
 

ย้อนกลับ


ย้อนกลับ


บางคนได้แล้ว กลับละทิ้ง
บางคนมีแล้ว แต่กลับยอมละทิ้งทั้งสิ้น

หารู้ไม่ว่าเป็นการย้อนกลับไปยังจุดเดิมๆ

การปล้ำสู้เพื่อให้ได้มาแต่ละสิทธิอำนาจ หมายถึง กาต่อสู้กับเนื้อหนัง จุดอ่อน และหนามของตนเอง จนกระทั่งหันและดึงสายตาของพระเจ้ามาที่ตน ในเรื่องนั้นๆ เพื่ออวยพร......  เป็นการต่อสู้แม้แต่ความดื้อรั้นของตนเองที่ต่อสู้พระเจ้า ความหยิ่งผยอง จนในที่สุด ก็ได้พบพระเจ้า ได้รับการสัมผัสแตะต้อง จนกระทั่งรู้เป็นแน่แท้ว่าสู้พระเจ้าไม่ได้ กายยอมจำนนจึงเกิดขึ้น >>  การอวยพรของพระเจ้าจึงมาถึงด้วยเหตุแห่งการจำนนนี้

ปฐก.32:24-27
32:24 และยาโคบอยู่แต่ผู้เดียว และที่นั่นมีบุรุษผู้หนึ่งมาปล้ำสู้กับเขาจนเวลารุ่งสาง
32:25 และเมื่อพระองค์เห็นว่าพระองค์จะเอาชนะเขาไม่ได้ พระองค์จึงถูกต้องที่เบ้ากระดูกต้นขาของเขา และเบ้ากระดูกต้นขาของยาโคบก็เคล็ด เมื่อเขาปล้ำสู้กับพระองค์อยู่นั้น
32:26 และพระองค์ตรัสว่า “ปล่อยให้เราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว” และเขาพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ไป นอกจากพระองค์จะอวยพรแก่ข้าพเจ้า”
32:27 และพระองค์ได้ตรัสกับเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร” และเขาพูดว่า “ยาโคบ”

แต่พอนานวันเข้า ซ้ำร้ายบางครั้งผ่านไปแค่เพียงชั่วครู่ ก็กลับหลงลืมสิ่งเหล่านั้นที่ได้มา ยอมละทิ้ง เพื่อแลกกับสิ่งที่ไม่คู่ควร

- ตำแหน่ง
- ความอยากได้
- การยอมรับ
- ความไม่รู้อันอ้างไม่ขึ้น
- การไม่กล้าก้าวต่อไป

+ ทำให้หลงลืมการทุ่มอย่างสุดตัว 
+ หลงลืมประสบการณ์ในวันยากที่ผ่านได้
+ หลงลืมพระคุณของพระเจ้า
+ หลงลืมการอวยพร และละทิ้งพระพรในมือไปเสีย

แท้จริงเมื่อพระเจ้าให้พระพรกับเรา ไม่ทรงยึดคืนง่ายๆ ไม่ทรงเอาคืนเป็นว่าเล่น แต่เมื่อทรงให้ นั่นหมายถึง สิทธิการครอบครองร่วมกับพระองค์โดยชอบธรรม.... แต่น่าเสียดายที่ยอมปล่อยละสิทธินั้นไปง่ายดาย ดั่งการสละสิทธิบุตรหัวปีของเอซาว ได้แล้ว มีในครอบครองแล้ว แต่ยินดีแลกด้วยถั่วแดงต้มเพียงถ้วยเดียว เพราะความหิวโหย เพราะตัวเร้าตรงหน้าสะกิดเนื้อหนัง บดบังจิตวิญญาณ

การทำเช่นนั้นหลายครั้ง ไม่ทันยั้งคิดอะไร แต่หารู้ไม่ว่า ได้สละละทิ้งสิทธิและพระพรในมือไปเรียบร้อยแล้ว.... 

ชีวิตมักมีการเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จิตวิญญาณที่มีชีวิต ย่อมต้องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่หากไม่สามารถโตได้ รวมถึงการย่ำอยู่กับที่ นั่นคือ การย้อนกลับเสียแล้ว

1. อย่าหลงลืมประสบการณ์การพบกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หากเป็นตราประทับที่มาถึง มันย่อมไม่ถูกลบเลือนออกไปง่ายๆ

2. ไม่มีเหตุใดสมควร หรือมีน้ำหนักเพียงพอ สำหรับการละทิ้งพระเจ้า หรือตราประทับนั้น เพราะแท้จริงตราประทับลบเลือนไม่ได้ (ภาพรอยสัก) แม้ในความอ่อนแอของมนุษย์จะอยู่ในตัวเรา แต่เมื่อรู้ตัวก็ได้สูญเสียไปเสียแล้ว.....ที่เรียกว่า “ย้อนกลับ”

3. การย้อนกลับ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดร้ายแรงจนพระคริสต์อภัยให้ไม่ได้ เพียงแต่มันเป็นการเดินย้อนกลับไปยังจุดเดิมก่อนการปล้ำสู้เท่านั้นเอง สิ่งที่ทำได้ คือ เริ่มต้นใหม่จนกว่าจะมาถึงจุดนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่หากย้อนกลับบ่อยๆ ชีวิตก็วนเวียนอยู่ที่เดิมและถอยหลัง ไปมา ไม่การพัฒนาหรือก้าวไปข้างหน้าเสียที 

ตัวอย่าง  เดินมาได้ก้าวที่ 7 แต่ย้อนกลับไปก้าวที่ 4 ก็แค่เสียเวลาเดินใหม่เท่านั้นเอง

4. ไม่อยากเสียเวลาควรรักษาไว้ให้มั่น ว่าทรงตราตรึงสิ่งใดไว้ในชีวิต 

มธ.10:28   และอย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถที่จะฆ่าจิตวิญญาณได้ แต่แน่นอนทีเดียวจงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถที่จะทำลายทั้งจิตวิญญาณทั้งกายในนรกได้

ลก.12:4   มิตรสหายของเราเอ๋ย เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก

5. ชีวิตมีขึ้นลงเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ขอเพียงอย่างเดียว คือ ไม่หลงลืมปลายทาง เช่นนี้แล้วต่อให้ล้มลง ต่อให้หยุดพัก หรือย้อนกลับ ก็จะมุ่งหน้าตรงสู่เป้าหมายอีกครั้ง.... เป้าหมาย คือ ความไพบูลย์ของพระคริสต์










 

Create Date : 11 มีนาคม 2558    
Last Update : 11 มีนาคม 2558 14:24:05 น.
Counter : 1146 Pageviews.  

รากของการไม่เชื่อฟัง


รากของการไม่เชื่อฟัง


1. การไม่สามารถไว้วางใจพระเจ้าได้ = ขาดความเชื่อ

- ผู้ที่ไม่สามารถวางใจพระเจ้าได้ จะยินดีเชื่อฟังพระองค์ได้อย่างไร ??
ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องถูกสร้างให้มั่นคงก่อน การเชื่อฟัง คือ ความไว้วางใจในพระเจ้า
เราจะสามารถวางใจพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อ … >> มีความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับพระองค์เป็นอย่างดี เราสนิทกับใครก็ย่อมวางใจคนนั้นได้อย่างง่ายดาย

- ในขณะที่ยังไม่สามารถวางใจได้ สิ่งสำคัญคือความเชื่อ การเชื่อในบุคคลนั้นๆ ย่อมทำให้เราสามารถละความกังวลและคลายปมลง เช่นเดียวกับผู้ที่เชื่อในพระลักษณะพระเจ้าว่า "ทรงเป็น..."  ในชีวิตย่อมทำให้คลายจากสิ่งที่บีบรัดลง และสามารถสร้างความวางใจได้มากขึ้น

- เป็นที่แน่นอนว่ายิ่งผู้ที่เติบโตในความเชื่อมากเท่าไร ยิ่งมีความวางใจในพระเจ้าได้มากเท่านั้น , ยิ่งผู้ที่มีความสัมพันธ์แนบสนิทกับพระองค์มากเท่าไร ความเชื่อวางใจยิ่งมากเท่านั้น และต้นสายของความเชื่อวางใจคือความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับพระองค์ เป็นตัวแปรที่ผันตามกันโดยตรง


2. ดูหมิ่นพระเจ้า

- ผู้ที่ละเลยไม่สนใจในคำสั่งของพระเจ้า ที่ไม่ได้มาจากขาดความเชื่อวางใจ อีกแง่หนึ่ง … คือการดูหมิ่นพระเจ้า

- การให้เกียรติ ย่อมมีผลที่เห็นชัดเจนในความยำเกรงและนอบน้อม เราให้เกียรติผู้ใด ย่อมอยากจะทำตาม เดินตาม สนับสนุนเป็นที่สุด อย่างสุดความสามารถ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่ให้เกียรติพระเจ้าย่อมมุ่งตรงไปที่น้ำพระทัยและคำสั่งของพระองค์ ที่มาถึงเราเป็นการส่วนตัวอย่างที่สุด แม้สิ่งอื่นใด หรือใครก็ตาม ย่อมไม่มีผลเทียบเท่าหรือสั่นคลอนได้ เพราะการให้เกียรติและยำเกรงที่เด่นชัด

- การให้เกียรติมักสะท้อนออกมาเป็น การเอาใจใส่อย่างดี พยายามอย่างดีในทุกๆ ทางด้วย

*** ทุกครั้งที่เราไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้ ต้องกลับมาหาคำตอบให้ได้ ว่าเพราะอะไร เพื่อการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ***











 

Create Date : 08 มีนาคม 2558    
Last Update : 8 มีนาคม 2558 19:52:07 น.
Counter : 938 Pageviews.  

พระเจ้าไม่เคยลืม แม้เราหลงลืมไปแล้ว


พระเจ้าไม่เคยลืม แม้เราหลงลืมไปแล้ว


ในทุกคำตรัสของพระองค์จะเป็นจริงเป็นแน่ แม้วันเวลาผ่านไปแสนเนิ่นนานสักเพียงใด มันจะถูกทำให้ปรากฏและเห็นว่าเป็นจริงในที่สุด

เมื่อพระเจ้าทรงตรัสสิ่งใดกับเราไว้ หรือทรงสัญญาไว้  สิ่งนั้นไม่ได้เลือนหายไปตามวันเวลา แต่จะเป็นจริงอย่างแน่นอน...  แม้วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งตัวเราเองก็ลืมไปแล้ว ถึงสิ่งที่ทรงตรัส ทรงสัญญา หรือแม้แต่สิ่งที่ร้องขอต่อพระเจ้าไว้ในอดีต ... 

แต่แผนการณ์ของพระเจ้ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านการดำเนินชีวิตที่แสนเรียบง่ายอย่างสัตย์ซื่อของเราในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา... และเมื่อถึงวาระเวลากำหนดมาถึง เราจะค้นพบว่าทุกสิ่งที่ทรงตรัสได้บังเกิดขึ้นและมันไม่สูญหายไปตามกาลเวลาหรือสถานการณ์

พระเจ้าจะนำพาเรากลับมายืนในจุดที่ทรงตรัสไว้ล่วงหน้าแล้ว (ตั้งแต่ในอดีต)

- ชีวิตโยเซฟ

พระเจ้าสำแดงถึงแผนการในชีวิตเขา ผ่านความฝันในวัยเด็ก ใช้เวลากว่า 40 ปีจึงบังเกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาเหล่านั้นต้องผ่านการขัดเกลาจน เติบโต ผ่านความอดทน เรียนรู้ ยอมจำนน ... แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใด สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้มันบังเกิดขึ้นจริง


- ชีวิตอับราฮัม

จะมีลูกหลานดั่งเม็ดทรายในทะเล คำตรัสของพระเจ้าเป็นจริงจวบจนทุกวันนึ้ แต่อับราฮัมได้เห็นแค่รุ่นลูกหลานเพียงไม่กี่คน แต่เขามั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้า บัดนี้เป็นจริงตามถ้อยคำตรัสของพระองค์


- การพยากรณ์จากพันธสัญญาเดิม (OT) เกิดขึ้นในพันธสัญญาใหม่ (NT)
.....
.....
.....


- ในชีวิตเรา >> สักกี่เหตุการณ์ กี่ครั้ง ที่สิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นเป็นจริง... เคยนับพระพรเหล่านั้นกันบ้างหรือเปล่า ???

*** พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่รักษาพระสัญญาของพระองค์เสมอเป็นนิตย์ ***












 

Create Date : 02 มีนาคม 2558    
Last Update : 2 มีนาคม 2558 17:31:34 น.
Counter : 947 Pageviews.  

ชีวิตคริสเตียนกับสิ่งที่ต้องเติบโตขึ้น 3 ด้าน


ชีวิตคริสเตียนกับสิ่งที่ต้องเติบโตขึ้น 3 ด้าน

แท้จริงชีวิตคริสเตียนต้องเติบโตขึ้นอย่างสมดุลย์ทั้ง 3 ด้านนี้ การโตเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นผลฉุดรั้งให้หยุดการเจริญเติบโตส่วนอื่นๆ ด้วย

ภาพ : ต้นไม้ต้องเกิดผล ทั้ง 3 ส่วน
1. ราก
2. ต้นและใบ
3. ดอกและผล

หากการโตเป็นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งย่อมมีผลดึงส่วนอื่นๆ ไม่ให้โตด้วย หากใบและต้นโตแต่รากไม่โตย่อมส่งผลให้จำกัดขนาดการเกิดผลด้วย , หากรากเติบโตแข็งแรงย่อมส่งผลต่อส่วนอื่นๆ ด้วย , แต่หากส่วนอื่นๆ ไม่รับไม่ดูดซึมก็จำกัดการเกิดผลเช่นกัน

สิ่งที่ต้องเติบโตขึ้น 3 ด้าน ของชีวิตคริสเตียน

1. ความเชื่อ

คนที่ไม่ยอมเติบโตขึ้นในความเชื่อ ก็เปรียบเสมือนเฒ่าทารกฝ่ายวิญญาณ แม้รู้มาก เดินกับพระเจ้านานวัน เคยมีประสบการณ์มามากมาย แต่ก็ไม่ส่งผลให้ความเชื่อเติบโตขึ้น โดยปกติวันเวลาย่อมทำให้คนเราเติบโตขึ้น ขนาดต่างๆ ย่อมต้องพัฒนามากขึ้น เช่น อายุ , ความรู้ความเข้าใจ , อายุความเชื่อ , ความรู้จากปกติชีวิต (ผ่านคำเทศน์ , สถานการณ์ที่ต้องเผชิญ , ประสบการณ์ชีวิต , ...)  
แต่หากความเชื่อยังคงเท่าเดิม ไม่มีการเติบโตหรือพัฒนาขึ้นย่อมไม่สมดุลย์ต่อการขยายปกติ ทำให้เกิดภาวะเฒ่าทารกฝ่ายวิญญาณ = นับวันยิ่งเชื่อนานวัน แต่ความเชื่อเท่าเดิมหรือเด็กลงอีก , ส่วนอื่นๆ โต แต่ความเชื่อไม่โตด้วย เป็นผลให้ส่วนที่โตไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง 
ตัวอย่างเช่น โตด้านความรู้ แต่ความเชื่อไม่โตตาม ไม่สัมพันธ์ตาม >> ทำให้ความรู้ที่มี ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง ไม่สามารถเกิดผลจริงกับชีวิตของตนเอง

2. ความวางใจ

ความสัมพันธ์ที่เป็นคุณสมบัติของความไว้วางใจ ซึ่งมักแปรผันตรงกับขนาดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ยิ่งใกล้ชิดมากเท่าไร ยิ่งวางใจได้มากเท่านั้น ... 
คนเรามักไว้เนื้อเชื่อใจ คนสนิทชิดใกล้เสมอ
ยิ่งมีความสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ไว้วางใจพระเจ้าได้มากเท่านั้น ด้วยความสนิทชิดเชื้อจึงทำให้เกิดการไว้เนื้อเชื่อใจกัน เพราะมันตราตรึงจนเป็นประสบการณ์ตรงของเราเอง

3. การเชื่อฟัง

ความยำเกรงเป็นคุณสมบัติของการเชื่อฟัง
เมื่อเรายำเกรงพระเจ้ามากเท่าไร เราย่อมเชื่อฟังมากเท่านั้น ... *** ยิ่งมีเงื่อนไขในการเชื่อฟังมากเท่าไร ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความยำเกรงที่ต่ำมากเท่านั้น ***
สภษ.1:7 ความยำเกรงพระเยโฮวาห์เป็นบ่อเกิดของความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน
ความยำเกรงทำให้เกิดปัญญา และด้วยปัญญานี้เอง ทำให้เรามาถึงความจริงที่เปิดตาให้สว่าง การเชื่อฟังจึงเกิดขึ้นง่ายดายเมื่อเรายำเกรงพระเจ้า เป็นปกติที่คนเราเมื่อรู้ความจริงแบบสว่างแจ้ง ย่อมง่ายต่อการตัดสินใจเชื่อฟังเดินตาม

*** เราไม่สามารถหยุดโตในด้าน ความเชื่อ ความวางใจ การเชื่อฟังพระเจ้าได้ หากเราปรารถนาหาถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์










 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2558 16:19:16 น.
Counter : 531 Pageviews.  

จริยธรรม


จริยธรรม

ความหมายของจริยธรรม = ศีลธรรม , ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ

จริยธรรม เป็นสิ่งที่มนุษย์บัญญัติขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการประพฤติที่ดี ในขอบเขตที่ดีงามในการดำเนินชีวิตในสังคมนั้นๆ

ในพระคัมภีร์กล่าวถึงบทบัญญัติ เพื่อให้เราเดินตามซึ่งมีระบุชัดเจนว่าอะไรถูก อะไรผิด (ลนต. , ฉธบ. , กดว.) ที่ชัดเจนคือบัญญัติ 10 ประการ ต้องถือรักษา ไม่สามารถบิดพลิ้วได้

ประเภทของจริยธรรมที่ต้องเกี่ยวข้อง

1. จริยธรรมขั้นพื้นฐาน (การดำเนินชีวิต)

เป็นข้อปฏิบัติที่คนทั่วๆ ไป ทุกคนต้องผ่าน
หากเป็นคริสเตียน ก็เป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปที่พึงกระทำ ตามหลักการพื้นฐานของพระคัมภีร์ เช่น การให้เกียรติผู้อาวุโส , การไม่พูดโกหก , การไม่ทำร้ายผู้อื่น , การเอื้อเฟื้อต่อผู้ที่อ่อนกำลังกว่า , ....
จริยธรรมพื้นฐาน ย่อมเป็นไปตามที่คนเดินตามพระคัมภีร์สามารถมองเห็นได้โดยทั่วไปว่า เป็นมาตรฐานเดียวกัน

2. จริยธรรมองค์กร (มารยาททางสังคม)

ในแต่ละองค์กร ชุมชน จะมีข้อประพฤติปฏิบัติร่วมกัน เป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก เพื่อให้เป็นระเบียบแบบแผน เช่น การเข้าแถว , การปฏิบัติตามกฏระเบียบที่ตั้งไว้แต่ละองค์กร สังคม,...
องค์กรในที่นี้ หมายถึง ครอบครัว , ประเทศ , เมือง , ที่ทำงาน , โรงเรียน , สาธารณะ จนกระทั่งคริสตจักร
เป็นแบบแผนที่มนุษย์ตั้งขึ้นเอง โดยอ้างอิงจากคนหมู่มาก หรือหลักที่ควรยึดในองค์กร หากเป็นคริสตจักรก็อ้างอิงจากพระคัมภีร์ แต่ไม่ใช่ข้อกำหนดจากพระเจ้าอย่างเจาะจงทั้งหมด

3. จริยธรรมน้ำพระทัยพระบิดา (การทรงเรียกเจาะจง)

คือ การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงเรียกร้องเจาะจงในชีวิตของเรา แม้ขัดกับระบอบต่างๆ ซึ่งพระเจ้าไม่ได้ตั้งขึ้น แต่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อป้องกันความวุ่นวายเอง ดังนั้นบางครั้งอาจขัดกับขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติ หรือรูปแบบเดิมๆ แต่ทั้งนี้ก็เป็นทิศทางรวมและแนวร่วมเดียวกันได้ ในกรอบพระวจนะ
*** ดังนั้นหากจะยึดจริยธรรมแท้จริง ให้ถามว่าพระเจ้าเรียกร้องเราเจาะจงในเรื่องใด และการตอบสนองอย่างครบถ้วนเจาะจง นั่นคือ จริยธรรมที่ต้องยึดและเดิน ***
เป็นกฏหมายจากพระเจ้าถึงเราโดยตรงเช่น บัญญัติ 10 ประการ , ทุกสิ่งอ้างอิงพระคัมภีร์ 100% อย่างครบถ้วน
แท้จริงจะเรียกว่า “จริยธรรม” ก็ไม่ครบถ้วน เพราะสิ่งสำคัญ คือ บัญญัติของพระเจ้าที่เราต้องเดินตาม ดังนั้นจริยธรรมน้ำพระทัยพระบิดา คือ การตอบสนองต่อเสียงของพระเจ้าที่มาถึงเราอย่างเจาะจงด้วย แน่นอนว่าต้องผ่านกระบวนการคัดกรองจากพระคัมภีร์ คือ ไม่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์เลย แต่ไม่จำเป็นต้องอิงกับข้อ 1-2 ทุกครั้งไป เพราะเป็นไปได้ที่พระเจ้าจะเรียกอย่างเจาะจง โดยยังไม่มีข้อกำหนดหรือขัดแย้งในข้อ 1-2  เพราะข้อ 1-2 เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้นเท่านั้น
แต่หากเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสเจาะจง หรือเรียกร้องเจาะจง ให้ยึดกรอบพระวจนะ และการให้เกียรติผู้อื่น ร่วมด้วย


ภาพเปรียบ :  ระบอบประชาธิปไตย คือ ข้อ 1-2 , แต่ข้อ 3 คือ เอกสิทธิ์ของพระเจ้าต่อชีวิตเราแต่ละคนอย่างเจาะจง

*** จริยธรรมของคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของอีกคนหนึ่งก็ได้ หากมันเป็นการเรียกร้องของพระเจ้าเจาะจง และไม่มีใครสามารถกล่าวว่าผิดจริยธรรมได้ เพราะการตอบสนองพระเจ้าไม่เคยผิดจริยธรรม!!! ไม่ผิดพระคัมภีร์ ไม่ผิดต่อตนเอง ไม่ผิดต่อผู้อื่นและที่สำคัญไม่ผิดต่อพระเจ้า .... แม้หลายครั้งจะผิดใจมนุษย์ ไม่ตรงกับระบบธรรมเนียมปฏิบัติที่มีอยู่... (*** แน่นอนว่าต้องไม่ผิดจากพระคัมภีร์ เพราะอย่างน้อยที่สุดตัวชี้วัดบนพระคำก็ชัดเจน)

*** การให้เกียรติกันและกัน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากเป็นพระเจ้าเรียกร้องคนๆ นั้นส่วนตัวอย่างเจาะจง ย่อมหมายถึง = การให้เกียรติพระเจ้าด้วย... 

หลายคนพลาดในการให้เกียรติพระเจ้า ด้วยการหมิ่นประมาทหรือลบหลู่ผู้อื่น เพราะพระเจ้าก็ทรงทำงานเหนือคนๆ นั้นด้วยเช่นเดียวกับที่ทรงทำงานในเรา... เพียงแค่เรายืนคนละจุด คนละตำแหน่ง คนละบทบาท คนละเวลา เท่านั้นเอง แต่ท้ายที่สุดย่อมบรรจบครบถ้วนในแผนการณ์น้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่ออาณาจักรของพระองค์

♥ ♥ ♥ การศึกษาพระคำเป็นการส่วนตัว จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับชีวิตคริสเตียนแต่ละย่างก้าว ♥ ♥ ♥














 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2558 16:04:23 น.
Counter : 890 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Your Grace
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




* Blog นี้ สร้างเพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ข้อคิดสะกิดใจ เพื่อหนุนจิตชูใจคริสตชนด้วยกัน อีกทั้งแบ่งปันประสบการณ์เล็กๆ ของคนที่รักพระเจ้าอย่างสุดใจคนหนึ่ง ที่กำลังพัฒนาตนเองให้เติบโตมากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน

* เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งของคนเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ได้มีประสบการณ์ตรงจากพระเจ้า อาจยังไม่สมบูรณ์ เพราะต้องการพัฒนาต่อไปในน้ำพระทัยพระเจ้าจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์

* เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้จำกัดวงหรือขอบเขต เพียงแค่คริสตชนเท่านั้น แต่สำหรับทุกๆ คนที่ต้องการกำลังใจ และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ต่อกันและกัน

* คาดหวังเพียงแค่จะเป็นส่วนหนึ่งที่่สามารถจรรโลงโลกนี้ให้น่ารักและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

*** ขอพระเกียรติสิริทั้งสิ้นมอบแด่พระเยซูคริสต์เจ้าแต่นามเดียว เท่านั้น ขอเพียงพระพรตกแก่ข้าพเจ้าและครัวเรือน อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน ***
[Add Your Grace's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com