Your Grace.Blog : เรื่องราวเล็กๆ ของคนที่รักและเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ
 

อยากได้สิ่งยิ่งใหญ่


อยากได้สิ่งยิ่งใหญ่


โดยปกติธรรมชาติของมนุษย์มักมีความปรารถนาอยากได้ อยากครอบครอง สิ่งต่างๆ ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่จบสิ้น

แต่ทุกความปรารถนาที่ประสบผลสำเร็จ มีหลายปัจจัยที่ข้องเกี่ยว โดยเฉพาะปัจจัยของการหว่าน เมื่อเราหว่านสิ่งใดลงไป ย่อมได้เก็บเกี่ยวผลจากสิ่งนั้นๆ

2 คร.9:6-7
9:6 นี่แหละ คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก
9:7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี


พระเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะประทานให้แก่คนของพระองค์อย่างเต็มที่เป็นที่ตั้งอยู่แล้ว แต่เราแต่ละคนได้รับแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากขนาดของการหว่าน

แบบอย่างที่น่าเรียนรู้

1.    อยากได้ความมั่งคั่งแบบโยบ ต้องผ่านจุดวิกฤตอย่างที่สุดแบบที่โยบผ่าน

กว่าจะทวีคูณความมั่งคั่งที่มีอยู่ โยบถูกเขย่าจนกระทั่งหมดสิ้นทุกสิ่ง และในขณะที่หมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง เขายังคงยืนหยัดและติดตามพระเจ้าเป็นอย่างดี ไม่ต่างจากในวันเวลาที่เขามีเลย ดังนั้น พระพร ฟ้าหลังฝนจึงยิ่งทวีคูณความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามายังชีวิตของเขามากกว่าเดิมเสียอีก ฐานเดิมถูกเปลี่ยนเป็นฐานใหม่ที่กว้างใหญ่มากขึ้นเป็นเท่าตัว จากวิกฤตการณ์กลับกลายเป็นจุดแห่งการรื้อฟื้นอย่างมาก ด้วยหัวใจที่ขอบพระคุณพระเจ้าต่อทุกสถานการณ์ที่เขาได้รับและต้องเผชิญ

โยบ 1:1-2
1:21 ท่านว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเยโฮวาห์ทรงประทาน และพระเยโฮวาห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเยโฮวาห์”
1:22 ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้นโยบมิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้าอย่างโง่เขลา

โยบ 2:9-10
2:9 แล้วภรรยาท่านเรียนว่า “ท่านยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของท่านอีกหรือ จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ”
2:10 แต่ท่านตอบนางว่า “เธอพูดอย่างหญิงโฉดจะพึงพูด อะไรกัน เราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และจะไม่รับของชั่วบ้างหรือ” ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้นโยบมิได้กระทำบาปด้วยริมฝีปากของตน


ผลที่โยบได้รับแบบทวีคูณกว่าฐานเดิม

โยบ 42:10-17
42:10 และพระเยโฮวาห์ทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่าน และพระเยโฮวาห์ประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน
42:11 และบรรดาพี่น้องชายหญิงของท่าน และบรรดาผู้ที่รู้จักท่านมาก่อนได้มาหาท่าน และรับประทานอาหารกับท่านในบ้านของท่าน และเขาทั้งหลายสำแดงความเห็นอกเห็นใจและเล้าโลมท่าน ด้วยเรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงนำมาเหนือท่าน และต่างก็ให้เงินแผ่นหนึ่งกับตุ้มหูทองคำอันหนึ่งแก่ท่าน
42:12 และพระเยโฮวาห์ทรงอวยพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าข้างต้นของท่าน และท่านมีแกะหนึ่งหมื่นสี่พัน อูฐหกพัน วัวผู้พันคู่ และลาตัวเมียหนึ่งพัน
42:13 ท่านมีบุตรชายเจ็ดคน และบุตรสาวสามคนด้วย
42:14 และท่านเรียกชื่อคนแรกว่า เยมีมาห์ และชื่อคนที่สอง เคสิยาห์ และชื่อคนที่สาม เคเรนหัปปุค
42:15 และในแผ่นดินนั้นทั้งสิ้นไม่มีหญิงใดงดงามเท่าบรรดาบุตรสาวของโยบ และบิดาของเขาได้ให้มรดกแก่เธอพร้อมกับพวกพี่ชายและน้องชายของเธอ
42:16 ต่อจากนี้ไป โยบมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งร้อยสี่สิบปี และได้เห็นบุตรชายของท่าน หลานเหลนของท่านสี่ชั่วอายุ
42:17 และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว


(อ่านเพิ่มเติมในพระธรรมโยบทั้งหมด)

2.    โยเซฟ ถูกขาย แต่พระเจ้าให้ความมั่งคั่งอย่างที่สุด

ชายผู้เล็กน้อยอย่างที่สุด แม้พระเจ้าจะให้นิมิตแก่เขาใหญ่โต ซึ่งในสภาวะนั้นสวนทางกับความเป็นจริงชนิดไม่ติดฝุ่น นำความเกลียดชังของคนรอบข้างมาถึงเขา เพราะเมื่อเทียบกับกายภาพที่เป็นอยู่ มันกลับกลายเป็นเหมือนความหยิ่งยโสที่โอ้อวดอย่างไร้การประเมินตน แน่นอนทีเดียวว่า... ผู้ที่มั่นใจในพระเจ้าอย่างที่สุด คือ ตัวของโยเซฟเอง แม้เขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อย

โยเซฟผ่านทุกช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากอย่างที่สุด เพียงลำพัง ในขณะที่ยังเด็กอยู่ จนกระทั่งเติบโต แต่สิ่งที่เขาตอบสนองต่อพระเจ้า คือ ยึดไว้ซึ่งการสำแดงที่เด่นชัดของพระเจ้าในชีวิตเขา แม้ดูเหมือนจะริบหรี่ หรือเป็นไปไม่ได้เลยในสายตาของมนุษย์โดยเฉพาะเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ขมขื่นต่อพระเจ้าถึงสิ่งที่ต้องเผชิญ กลับกลายเป็นความหวังใจและสัตย์ซื่อในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างดี แม้จะเล็กน้อยหรือตกต่ำสักเพียงใด การช่วยกู้ของพระเจ้าไม่เคยพรากไปจากโยเซฟแม้ต้องเผชิญสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง แม้ในคุกมืด หรือแม้แต่คนที่ริษยาพยายามปรักปรำเขา โยเซฟเติบโตมาอย่างไม่โดดเดี่ยวด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเขา แทนที่ความขมขื่น คือ ความหวังใจและยึดพระสัญญาของพระเจ้าไว้ ความโปรดปรานของพระเจ้าเป็นที่สัมผัสได้ต่อตัวของเขาเอง และคนรอบข้าง จนกระทั่งเวลาแห่งการสุกงอมมาถึง การยกชูเกิดขึ้นเพียงข้ามคืน

ปฐก.37:4-11
37:4 และเมื่อพวกพี่ชายของเขาเห็นว่าบิดาของพวกเขารักโยเซฟมากกว่าบรรดาพี่ชาย พวกเขาก็เกลียดชังโยเซฟ และพูดดีกับเขาไม่ได้
37:5 และโยเซฟได้ฝัน และเขาเล่าถึงความฝันนั้นให้พวกพี่ชายของเขาฟัง และพวกพี่ชายยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้น
37:6 และโยเซฟพูดกับพวกพี่ชายว่า “ข้าพเจ้าขอพวกพี่ฟังความฝันนี้ซึ่งข้าพเจ้าฝันเห็น
37:7 เพราะ ดูเถิด พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในทุ่งนา และดูซิ ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้าตั้งขึ้น และยืนตรงด้วย และดูเถิด ฟ่อนข้าวของพวกพี่มายืนห้อมล้อมและกราบไหว้ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้า”
37:8 และพวกพี่ชายของเขาได้พูดกับเขาว่า “เจ้าจะปกครองเหนือพวกเราอย่างนั้นหรือ เจ้าจะมีอำนาจครอบครองเหนือพวกเราหรือ” และพวกพี่ชายก็ยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้นอีกเพราะบรรดาความฝันของเขา และเพราะบรรดาคำพูดของเขา
37:9 และเขาฝันอีก และได้เล่าความฝันให้พวกพี่ชายของเขาฟัง และพูดว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าฝันอีกครั้งหนึ่ง และดูเถิด ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ และดวงดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ข้าพเจ้า”
37:10 และเขาเล่าความฝันให้บิดาของเขาและพวกพี่ชายของเขาฟัง และบิดาของเขาก็ว่ากล่าวเขา และพูดกับเขาว่า “ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาของเจ้าและพวกพี่ชายของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้าอย่างนั้นหรือ”
37:11 และพวกพี่ชายของเขาก็อิจฉาเขา แต่บิดาของเขาก็นิ่งตรองเรื่องนี้อยู่แต่ในใจ


โยเซฟร่ำรวยและมั่งคั่งเป็นอย่างมาก ชนิดที่แม้แต่บรรพบุรุษที่ว่ารวยอยู่แล้ว ยังเทียบไม่ติด เพราะเขาสามารถล่วงรู้วาระเวลาล่วงหน้าถึง 14 ปี 7 ปีของการเก็บเกี่ยวอาหารเพื่อยามกันดาร 7 ปีของการกันดารอาหารที่เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย แต่กลับเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้คนทั่วแผ่นดิน รวมไปถึงการกลับคืนดีกับครอบครัวด้วยซ้ำ

ปฐก.41:38-44
41:38 และฟาโรห์ตรัสกับบรรดาข้าราชการของพระองค์ว่า “เราจะหาคนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ”
41:39 และฟาโรห์ได้ตรัสกับโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องนี้ทั้งสิ้นแก่เจ้า จะหาผู้ใดที่มีความคิดดีและมีปัญญาเหมือนเจ้าก็ไม่ได้
41:40 เจ้าจะดูแลราชสำนักของเรา และประชาชนทั้งหลายของเราจะถูกปกครองตามคำของเจ้า เว้นแต่ฝ่ายพระที่นั่งเท่านั้นเราจะเป็นใหญ่กว่าเจ้า”
41:41 และฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “ดูเถิด เราตั้งเจ้าให้เป็นผู้ดูแลทั่วแผ่นดินแห่งอียิปต์แล้ว”
41:42 และฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ และสวมที่มือของโยเซฟ และให้ท่านสวมเสื้อผ้าป่านเนื้อละเอียด และสวมสร้อยทองคำให้ที่คอของท่าน
41:43 และพระองค์ทรงให้ท่านใช้รถหลวงคันที่สองซึ่งพระองค์มีอยู่ และมีพวกคนร้องประกาศข้างหน้าท่านว่า “คุกเข่าลงเถิด” และพระองค์ทรงตั้งท่านให้เป็นผู้ดูแลทั่วแผ่นดินแห่งอียิปต์
41:44 และฟาโรห์ได้ตรัสกับโยเซฟว่า “เราคือฟาโรห์ และไม่มีคนทั่วแผ่นดินแห่งอียิปต์จะยกมือของเขาหรือยกเท้าของเขาได้เว้นแต่เจ้าจะอนุญาต”


(อ่านเพิ่มเติม ปฐมกาล บทที่ 37-50)

ความยุติธรรมของพระเจ้า และการรับรองในหลักการหว่านของพระเจ้านั้นเที่ยงตรงเสมอ ผู้ที่สัตย์ซื่อในส่วนของตนเองอย่างดี และเต็มที่ ย่อมได้เก็บเกี่ยวจากผลที่ออกมาเป็นแน่ และหว่านผลใด ย่อมได้เก็บเกี่ยวผลนั้น

มธ.7:17-20
7:17 ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
7:18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
7:19 ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
7:20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา


1.    อย่ากลัวการลงแรง เมื่อพระเจ้าขับเคลื่อน หรือเรียกร้องสิ่งใดๆ จากเรา จงใช้ความกล้าหาญ + ความเชื่อ เพื่อก้าวออกไปด้วยการเชื่อฟัง ซึ่งทันทีที่ก้าว นั่นคือ การหว่านเมล็ดลงดินแล้ว หลังจากนั้นรอคอยการเก็บเกี่ยวผลที่เกิดขึ้นด้วยความหวังใจ

2.    การนั่งรอคอยคาดหวังสิ่งที่เกินตัว จากการไม่ลงทุน ลงแรง ใดๆ เลย...  ไม่แม้แต่จะใช้ความเชื่อ หรือขยับเขยื้อนตนเองไปตามการทรงนำของพระเจ้า เรียกว่า “การมโนภาพ” แน่นอนว่าพระเจ้าสามารถอวยพรเราได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ใช่วิถีทางที่จะทรงทำในชีวิตของเรา

3.    บรรพบุรุษทางความเชื่อ บุคคลต่างๆ ที่ได้ปรากฏในพระคัมภีร์ ที่เห็นการอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ากระทำผ่าน ต่างก็เริ่มต้นด้วยการตอบสนองพระเจ้าอย่างง่ายๆ และสุดใจกันทั้งนั้น ... ส่วนกำลัง ความสามารถ ส่วนประกอบที่ยังขาดอยู่ หรือเล็กน้อยอยู่นั้น เป็นส่วนที่พระเจ้าจะทรงช่วยและอยู่เคียงข้าง จนกระทั่งสำเร็จได้ และระหว่างทางนั้น ผู้ที่เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อหน้าต่อตา ไม่ใช่แต่เพียงตนเอง แต่ยังรวมไปถึงผู้คนรอบข้างมากมายด้วย

4.    พระเจ้าทรงกระทำส่วนของพระองค์อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย (*เพราะทรงเป็นพระเจ้า) เราก็มีส่วนของตนเองที่ต้องทำด้วยเช่นกัน เช่นนี้จึงเรียกว่า “เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์” คือ การเคลื่อนตัวไปพร้อมๆ กับพระองค์อย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน วิถีแห่งการอวยพรที่เกินขนาดความจำกัดของเรา ก็จะเกิดขึ้น สิ่งที่เกินความคาดหมายไว้ ก็จะเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าทรงฤทธิ์อาญทำทุกสิ่งได้ และเพราะความชอบพระทัยของพระองค์ จึงโปรดปราน ประทานสิ่งที่เกินกว่าความคาดหมายไว้ เป็นรางวัลอันชุ่มฉ่ำและชื่นใจให้กับเรา

5.    บางครั้งเราอาจไม่รู้ว่า ปริมาณและขนาดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรามันมากมายขนาดไหน แต่ที่เราสามารถมั่นใจและวางใจได้ คือ มันจะไม่มีทางน้อยไปกว่าที่เราคาดหวังไว้เป็นแน่ๆ ขออย่างเดียว คือ อย่าให้มันหล่นหายไป เพราะการหละหลวมของตนเอง...  การดำเนินชีวิตกับพระเจ้าในแต่ละวันคืนอย่างสัตย์ซื่อ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด และควรรักษาไว้ดุจดั่งของมีค่าที่ปล่อยให้หายหรือห่างกายไปไม่ได้เลย

6.    ในความเป็นจริงเราแต่ละคนมีฐานชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้าน กายภาพ หน้าที่การงาน การเงิน หรืออื่นๆ ซึ่งการรักษาสถานะนั้นอาจเป็นเรื่องที่ต้องออกแรงอย่างพอตัวอยู่แล้ว...  แต่การยกระดับไปอีกจุดหนึ่ง ย่อมมีจุดหักเห ที่นำความแตกหักสิ่งเก่าๆ ของตน เพื่อการรองรับสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มขนาดมากขึ้น ใหญ่มากขึ้น อยู่ที่ว่า เราเองจะเลือกเช่นไร? รักสิ่งเดิมด้วยการรักษาสภาพ หรือไปต่อให้มากขึ้น เท่าที่พระเจ้าจะทรงทำ ซึ่งนั่น หมายถึงขนาดและปริมาณของพระพรที่จะมาถึงด้วยเช่นกัน




//www.panarat.com

https://www.facebook.com/panarat2013

https://www.facebook.com/cthearten






 

Create Date : 16 มีนาคม 2559    
Last Update : 16 มีนาคม 2559 18:07:37 น.
Counter : 862 Pageviews.  

โลกแห่งการปรุงแต่ง


โลกแห่งการปรุงแต่ง


โลกนี้ได้มีพัฒนาการต่างๆ มากมาย ความเจริญของบางสิ่งเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับความเสื่อมบางด้าน

วัตถุที่เจริญก้าวหน้ามากขึ้นก็เติบโตขึ้นพร้อมๆ กับความเสื่อมจริยธรรมและสิ่งดีงามเดิมๆ จนบางครั้งมันบดบัง หรือแม้แต่เปลี่ยนสิ่งแรกเริ่มจนไม่เห็นเงาเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเราสามารถรับความเจริญก้าวหน้าของสิ่งรอบตัวได้อย่างไม่ต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ เพราะท่ามกลางความเจริญเหล่านั้น ย่อมอยู่ใต้การควบคุมของพระเจ้า เพียงแต่เราต้องคำนึงและยอมรับว่า ... บางสิ่งที่หายไป ได้ถูกทดแทนจนกระทั่ง ชีวิตของมนุษย์ก็อยู่บนเปลือกแห่งการปรุงแต่งเสียมากกว่า

แท้จริงพระเจ้าสร้างและใส่สิ่งที่เรียกว่า “ดียิ่งนัก” ในตัวของเราเองอยู่แล้ว เราจึงสามารถเรียนรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าได้จากธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ อาทิเช่น
เมื่อหิว  > ก็ต้องกิน
เมื่อง่วง > ก็ต้องนอน
เมื่อเสียใจ > ก็สามารถร้องไห้
เมื่อดีใจ > ก็แสดงออกเป็นร้องเพลง
.
.
.
สิ่งที่น่ากลัว คือ หลายครั้งการดำเนินชีวิตของเราได้ขาดหายไปจากวัตถุประสงค์แรกเริ่มด้วยการให้เหตุผลของความเจริญเหล่านั้นมาบดบังความดียิ่งนักที่พระเจ้าใส่ไว้ให้ ทำให้เริ่มปกปิด ปิดบัง และสร้างภาพบางอย่างขึ้นมาทดแทนธรรมชาติชีวิตที่พระเจ้าสร้าง ก่อให้เกิดความทุกข์ใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเสรีภาพที่เคยและควรได้รับ กลับถูกจำกัดหรือตีกรอบให้บิดเบี้ยวไป

1.    แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าสร้าง และมอบให้แก่เราแต่ละคนนั้นดีอยู่แล้ว และมันจะค่อยๆ ถูกพัฒนา เพื่อสร้างเราสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์มากขึ้นในแต่ละวันเวลา เพื่อให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตอย่างเด่นชัด

2.    โลกที่พัฒนาอย่างไม่ที่สิ้นสุด เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถล้มล้างหรือหักล้าง สิ่งที่ทรงตั้งไว้แต่แรกอยู่ดี

3.    พึงระมัดระวังชีวิตตนเป็นอย่างดี ที่จะไม่หลงไปจากวิถีทางของพระเจ้า ในขณะที่สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พระองค์ยังทรงดำรงอยู่นิรันดร เฉกเช่นเดียวกับพระสัญญาที่ทรงตั้งไว้แล้ว ย่อมไม่แปรเปลี่ยน

4.    อะไรที่เป็นสิ่งดีควรค่าแก่การรักษา ก็อย่าหลงลืมไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรักดั้งเดิม อย่าให้นับวันยิ่งถดถอยไป เพราะสิ่งต่างๆ เข้ามามากขึ้น ทำให้หลงลืม สิ่งสำคัญหลักไป ... แต่ให้ยิ่งนับวัน ยิ่งรักษาสิ่งที่ล้ำค่าได้อย่างไม่ลดละ หรือลดเลือน

5.    แม้สิ่งต่างๆ จะปรุงแต่งเพียงใดก็ตาม แต่ชีวิตกับพระเจ้ายิ่งต้องรักษาความบริสุทธิ์ให้คงอยู่ รับการชำระจากโลหิตบนกางเขนเสมอๆ เพื่อจะไม่ถูกบิดเบือนไปจากความจริง





//www.panarat.com 

https://www.facebook.com/panarat2013


https://www.facebook.com/cthearten







 

Create Date : 08 มกราคม 2559    
Last Update : 8 มกราคม 2559 16:26:48 น.
Counter : 642 Pageviews.  

สะท้อนกลับ


สะท้อนกลับ


การแช่งด่าอันไม่สมเหตุสมผล ไม่มีผลใดๆ ต่อผู้ชอบธรรม

ด้วยความรักและหวงแหนของพระเจ้าที่มีต่อผู้ชอบธรรม จะทรงลุกขึ้นปกป้องต่อสู้ผู้ที่ทำร้ายบุตรอันเป็นที่รักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ ยิ่งผู้นั้นตอบสนองอย่างดีและถูกต้อง ด้วยการไม่โต้ตอบกลับในทางที่ร้าย ยิ่งเหมือนสุมไฟในทรวงกับศัตรู เพราะไม่เป็นไปตามคาดหมายของเขา

กฎการหว่านมีอยู่ว่า : ผู้ใดหว่านสิ่งใด ย่อมได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น หากใครหว่านการร้ายต่อผู้อื่น ย่อมต้องเก็บเกี่ยวการร้ายนั้น

กรณีหว่านแล้ว ผู้อื่นตอบแทนร้ายกลับมา แน่นอนว่าผลจะต้องเก็บกินทั้ง 2 ฝ่าย คือ การแตกหัก ชิงชัง พ่ายทั้งคู่
แต่หากใครทำร้ายเรา แล้วเรานิ่งเฉยและสงบ การร้ายนั้นจะไม่เป็นผลมาถึงเรา โดยเฉพาะคำแช่งสาป เพราะพระเจ้าจะปกป้องเราเป็นแน่ อีกทั้งผลแห่งการหว่านของศัตรูจะนำความชอกช้ำตกแก่เขาเอง ด้วยกฏแห่งการหว่านโดยที่เราไม่ต้องเปลืองตัว ออกแรงใดๆ ... แค่สงบใจให้ได้เป็นพอ

1.    จงดำเนินชีวิตให้พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา เมื่อมีการร้ายเข้ามา << การหวงแหนของพระองค์จะเป็นดั่งป้อมปราการ ที่มากกว่าการปกป้อง แต่จะเป็นดั่งโล่ที่สะท้อนลูกธนูของศัตรูยิงมาให้กลับออกไปยังเขาเอง

2.    พระเจ้าจะลุกขึ้นต่อสู้และแก้ต่าง แทนผู้ชอบธรรมในเวลาอันสมควร เป็นแน่ ...  

-    แต่ผู้ที่อดทนไม่ไหว ลุกขึ้นจัดการศัตรูด้วยมือตนก่อน จะไม่ได้เห็นการนั้นจากพระเจ้า เพราะการตอบสนองที่ทำให้พระเจ้าอยู่ฝ่ายเราไม่ได้...
-    อย่าลืมว่าพระองค์บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ทรงยุติธรรมต่อทุกฝ่าย
-    หากตอบแทนการร้ายด้วยการร้าย ก็แสดงว่า ตนเองไม่ได้ชอบธรรมเช่นเดียวกันกับศัตรู


3.    พึงระลึกเสมอและจำไว้ว่า!!! พระเจ้าทรงยุติธรรมต่อเรา ดังนั้น จงเชื่อวางใจในพระลักษณะของพระเจ้า และมอบการทั้งปวงแด่พระองค์

4.    เมื่อพระเจ้าให้โอกาสผู้ทำผิด ... ก็เป็นการดีสำหรับเราเอง หากแต่วันหนึ่งวันใดเราทำผิดต่อพระองค์ ก็จะทรงให้โอกาสแก่เราเช่นเดียวกัน เพราะโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด หรือไม่เคยทำผิดบาป


5.    ไม่มีคำแช่งสาปใดๆ เป็นผลต่อผู้ที่ไม่ยินยอมรับมัน และบนกางเขนทุกพันธนาการถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดสามารถกักขัง ในสิ่งที่พระเยซูทรงปลดปล่อยได้

6.    ยิ่งถูกทำร้าย ถูกผู้อื่นใส่ร้ายมากเท่าไร ... หากเรานิ่งสงบ และถอยห่างที่จากเขาเท่าไร

-    ทุกครั้งที่ผู้คิดการร้าย การบุกรุกไล่ล่านั้น สิ่งนั้นจะคอยกัดกินและไล่ล่า จิตใจภายในเขาเอง หาใช่ตัวเราไม่
-    ไม่มีใครเป็นสุขได้ ในขณะทำร้ายผู้อื่น แต่ก็ไม่มีใครแย่งความสงบสุขไปจากเราได้ ต่อให้ศัตรูอยู่ตรงหน้าก็ตาม


7.    ภาพ : ธนูของศัตรูที่ยิงออกมา หากเราอยู่ในโล่ ๆ นั้น จะป้องกันศร ไม่ให้มาถึงตัวและยังสะท้อนศรนั้นกลับไป แต่หากเรายิงตอบโต้ นั่นหมายถึงการปล่อยมือจากโล่และโอกาสการโจมตีนั้น จะตกเป็นของศัตรู ด้วยมือเราหลุดจากโล่ >>โล่ในชีวิตของเรา คือ “ยึดองค์พระเยซูไว้ให้มั่น”

8.    ไม่ว่าเราหว่านสิ่งใดลงไป ย่อมต้องเก็บเกี่ยวทั้งสิ้น จะช้า , เร็ว , ทันที , หรือใช้เวลานาน … ท้ายที่สุดผลนั้นจะเกิดขึ้น แม้จะนานถึงรุ่นลูกรุ่นหลานมันก็จะเกิดเป็นแน่... แล้วลูกหลานได้เก็บเกี่ยวสิ่งใดจากการหว่านของเรา ดีหรือร้าย?





//www.panarat.com


https://www.facebook.com/panarat2013

https://www.facebook.com/cthearten






 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2558 16:28:38 น.
Counter : 685 Pageviews.  

กระบวนการชำระและสร้างใหม่


กระบวนการชำระและสร้างใหม่


ตัวอย่าง
เวลาอาบน้ำ ไม่มีกำหนดกฎบังคับว่าต้องอาบกี่ขัน อาบกี่ครั้ง >> แต่อาบจนกว่าจะสะอาดหมดจด
เวลากิน ไม่มีกำหนดว่ากินกี่คำ >> แต่กินจนกว่าจะอิ่ม
เวลานอน ไม่มีข้อบังคับว่าต้องนอนมากน้อยแค่ไหน >> แต่พักจนกว่าจะมีแรงและสดชื่น

การชำระและสารภาพบาปก็เช่นกัน ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ว่า ต้องอธิษฐานกี่ครั้ง >> แต่ให้อธิษฐานจนกว่าตนเองจะมั่นใจว่า สะอาดแล้ว

อิสยาห์ 1:18 พระ‍ยาห์‌เวห์ตรัสว่า“มา‍เถิด ให้พวก‍เราสู้‍ความกันถึงบาปของเจ้าเป็นเหมือนสี‍แดง‍เข้มก็จะขาวอย่างหิมะถึงมันจะแดงเหมือนผ้า‍แดงก็จะเป็นอย่างขน‍แกะ

แท้ที่จริงฤทธิอำนาจโลหิตของพระเยซูบนกางเขนนั้นเปี่ยมพลัง สามารถยกโทษชำระเราแต่ละคนได้อย่างหมดจด ตั้งแต่ครั้งแรกและครั้งเดียว แต่เนื่องจากเราแต่ละคนมีขนาดความมั่นคงทางจิตใจ ในแต่ละเรื่องที่แตกต่างกัน ประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ความเปราะบางและความเข้มแข็งในแต่ละด้านที่ต่างกัน

ดังนั้นความมั่นใจในการชำระแต่ละคนจึงต่างกัน แม้ในตัวคนๆ เดียวกัน ก็อาจต่างกันในแต่ละเรื่อง แต่ละเวลาด้วยซ้ำ

จึงไม่ควรท้อแท้ หรือปรักปรำตนเอง ในการใช้เวลารับการชำระจากพระเจ้า หากยาวนานกว่าคนอื่น หรือไม่ทันใจตนเอง >>> เพราะในขณะนั้นเรากำลังอยู่ในกระบวนการสร้าง การเยียวยา และการรื้อฟื้น ไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะมีชีวิตใหม่ได้อย่างแท้จริง

ตัวอย่าง  พระเยซูสอนเปโตรให้ยกโทษ 7x70 ครั้ง

มัทธิว 18:21-22
21 ขณะนั้นเป‌โตรมาทูลพระ‍องค์ว่า “องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า ข้า‍พระ‍องค์ควรยกโทษให้พี่‍น้องที่ทำผิดต่อข้า‍พระ‍องค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?”
22 พระ‍เยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่‍ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ด‍สิบครั้งคูณเจ็ด


เพราะคนที่ยังคงมีคำถามแบบนั้น คือ คนที่ไม่พร้อมจะยกโทษอย่างแท้จริง
-    แค่ทำเพราะต้องทำ
-    แค่ทำเพราะรู้ว่าเป็นหลักการของพระเจ้า แต่ปราศจากใจที่จำนนอย่างแท้จริง

ในระหว่างเวลา 7x70 = 490 ครั้งนั้น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นต่อผู้ที่มีใจรักและปรารถนาจะติดตามพระเจ้า เพราะพระเยซูทรงรู้ภายในจิตใจ ความคิด และเข้าใจความเป็นมนุษย์ รวมถึงลักษณะส่วนตัวแบบเจาะจงของเปโตรอย่างถ่องแท้ ทำให้คำตอบของพระองค์เป็นเช่นนั้น

1.    อย่าท้อแท้สิ้นหวังในขณะที่ตนเองกำลังอยู่ในกระบวนการของพระเจ้า อาจจะรู้สึกว่ายาวนาน ไม่ทันใจ แต่อย่าลืมว่า พระเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุด ชนิดที่เหมาะสมกับตัวเราอย่างเจาะจง ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดกระบวนการจะพบว่า “ช่างชื่นใจ แสนหวานและดีเกินคาดด้วยซ้ำ”

2.    หลายสิ่งหลายอย่าง ไม่อาจวัดปริมาณ เป็น การชั่ง ตวง วัด ได้แบบเป๊ะๆ เพราะล้วนแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ในขณะที่พระเจ้ากลับเปิดกว้าง เพื่อให้โอกาสแก่เรา ด้วยพระทัยที่เมตตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การสารภาพบาป การกลับใจใหม่ การชำระ การเริ่มต้นใหม่ จึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและเสมอๆ

หากแต่พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งและตรวจวัดจิตใจภายใน เมื่อยังทรงหยิบยื่นโอกาสให้ ก็แสดงว่า … เราสมควรแก่โอกาสนั้น และแน่นอนว่า ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมส่วนใดๆ ที่หลบซ่อนจากพระเนตรพระกรรณพระเจ้าได้ เหตุนี้เองคนอธรรมที่คิดร้ายภายใน จึงไม่เหนือกว่าพระเจ้าด้วยช่องแห่งพระเมตตา





//www.panarat.com

https://www.facebook.com/panarat2013

https://www.facebook.com/cthearten






 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2558    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2558 16:26:31 น.
Counter : 628 Pageviews.  

ระดับการตอบสนอง 2 แบบ


ระดับการตอบสนอง 2 แบบ


1 คร.10:13 ไม่‍มีการทด‍ลองใดๆ เกิด‍ขึ้นกับท่าน‍ทั้ง‍หลาย นอก‍เหนือการทด‍ลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระ‍เจ้าทรงซื่อ‍สัตย์ พระ‍องค์จะไม่ทรงให้พวก‍ท่านต้องถูกทด‍ลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทด‍ลอง พระ‍องค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวก‍ท่านจะมีกำลังทนได้

1.    ไม่รู้หนทางข้างหน้า

•    เมื่อมีสถานการณ์ใดๆ ที่ต้องเผชิญแม้ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้มาก่อนว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่รู้ว่าหนทางในการตอบสนองจะเป็นอย่างไร คำตอบของพระเจ้าคืออะไร สิ่งที่ต้องตอบสนองคือ... วางใจ
•    พระเจ้าจะทดสอบเรื่องความวางใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ว่าหนทางข้างหน้าเป็นอย่างไร สิ่งที่ตอบสนองจะถูกหรือไม่ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่พระเจ้าจะทรงทอดพระเนตรที่จิตใจภายในของเราว่าเต็มที่หรือยัง ไว้วางใจและร่วมผจญภัยไปกับพระเจ้า ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาคำตอบและทางออกในการก้าวเดินจากพระเจ้า ระมัดระวังโดยมีพื้นฐานพระคัมภีร์เป็นหลัก เพื่อตีกรอบในการตอบสนองอย่างดี
•    ระดับการตอบสนองจุดนี้ พระเจ้าวัดว่าภายในเราผ่านแค่ไหน? เพื่อสร้างความแกร่งและความเข้าใจพระองค์มากขึ้น แม้ตอบสนองถูกบ้างผิดบ้าง ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นหลักคือ เราต้องผ่านเรื่องความวางใจพระองค์และพึ่งพาพระองค์ ซึ่งหนทางข้างหน้าพระองค์จะเป็นผู้กระทำเอง

•    *** สรุป ตอบสนองเต็มที่ที่สุด เพราะพระเจ้าวัดเส้นผ่านแค่ใจผ่าน เมื่อใจผ่านสิ่งอื่นจะตามมาเอง ***


2.    พระเจ้าเปิดเผยให้รู้ล่วงหน้า

•    รู้ทุกอย่างว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาใดๆ เพื่อเตรียมรับมือ รวมถึงรู้ด้วยว่าต้องตอบสนองอย่างไร และรู้แม้กระทั่งคำตอบของพระเจ้าด้วยว่าต้องการให้เราตอบสนองอย่างไร
•    ดังนั้นสิ่งที่ต้องตอบสนองคือการเชื่อฟังที่ต้องสูงมาก เพราะรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เผชิญตรงหน้าจะจบลงอย่างไร เคลื่อนไปอย่างไรต่อ มองเห็นผลของแต่ละสิ่งที่เกี่ยวข้อง มองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งตลอดเส้นทาง
•    พระเจ้าวัดการผ่านจุดนี้ด้วยการเชื่อฟังเท่านั้น ส่วนที่เราต้องต่อสู้และจัดการเพื่อตอบสนองให้ได้ตามที่พระเจ้าเปิดเผย จึงเป็นการบ้านและหนทางของเรา แม้จะต้องต่อสู้กับบาปและเนื้อหนังที่เกาะติดเพียงใดก็ตาม อาจเป็นทุกข์หนักเพราะสิ่งที่รู้
•    การฝึกในมิตินี้จะทำให้เราต้องเข้มงวดกับตัวเองและถูกพระเจ้าเข้มงวดเป็นอย่างมาก เพื่อเค้นศักยภาพภายในที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดออกมา ซึ่งมันอาจถูกกดทับจนเรามองไม่เห็นในสภาวการณ์อื่นๆ
•    ตัวอย่างเช่น ดาวิด เรื่องการถูกพระเจ้าประหารลูกชายคนแรกที่เกิดจากการล่วงประเวณีกับนางบัทเชบา นาธันได้เปิดเผยถึงสิ่งที่พระเจ้าจะกระทำอย่างละเอียดแก่เขา

•    *** สรุป รู้ทุกสิ่งอย่าง ดังนั้นจุดวัดว่าผ่านคือต้องตอบสนองตามเท่านั้น แต่มิตินี้จะถูกเริ่มด้วยความไว้วางใจของพระเจ้าที่มีต่อเราดังเช่นอับราฮัมที่พระเจ้าเปิดเผยทุกสิ่งอย่าง ***

*** หมายเหตุ ชีวิตคนเราเผชิญข้อ 1 เป็นปกติ แต่ใครจะมาถึงข้อ 2 และบางเวลาพระเจ้าอนุญาตสำหรับคนที่มาถึงข้อ 2 ให้เผชิญทั้ง 2 อย่าง เพื่อพักหายใจบ้าง ซึ่งมิติจะสูงขึ้นเรื่อยๆ





//www.panarat.com

https://www.facebook.com/panarat2013

https://www.facebook.com/cthearten






 

Create Date : 24 ตุลาคม 2558    
Last Update : 24 ตุลาคม 2558 15:16:59 น.
Counter : 729 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Your Grace
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




* Blog นี้ สร้างเพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ข้อคิดสะกิดใจ เพื่อหนุนจิตชูใจคริสตชนด้วยกัน อีกทั้งแบ่งปันประสบการณ์เล็กๆ ของคนที่รักพระเจ้าอย่างสุดใจคนหนึ่ง ที่กำลังพัฒนาตนเองให้เติบโตมากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน

* เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งของคนเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ได้มีประสบการณ์ตรงจากพระเจ้า อาจยังไม่สมบูรณ์ เพราะต้องการพัฒนาต่อไปในน้ำพระทัยพระเจ้าจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์

* เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้จำกัดวงหรือขอบเขต เพียงแค่คริสตชนเท่านั้น แต่สำหรับทุกๆ คนที่ต้องการกำลังใจ และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ต่อกันและกัน

* คาดหวังเพียงแค่จะเป็นส่วนหนึ่งที่่สามารถจรรโลงโลกนี้ให้น่ารักและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

*** ขอพระเกียรติสิริทั้งสิ้นมอบแด่พระเยซูคริสต์เจ้าแต่นามเดียว เท่านั้น ขอเพียงพระพรตกแก่ข้าพเจ้าและครัวเรือน อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน ***
[Add Your Grace's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com