Your Grace.Blog : เรื่องราวเล็กๆ ของคนที่รักและเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ
 

ไม่ใช่ทุกปัญหาคือการโจมตี


ไม่ใช่ทุกปัญหาคือการโจมตี


มารวนเวียนอยู่รอบกายดุจสิงคำราม

1 ปต.5:8  ท่านทั้งหลายจงเป็นคนใจหนักแน่นจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือพญามาร วนเวียนอยู่รอบ ๆดุจสิงโตคำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้

แท้จริงมารคอยวนเวียนอยู่รอบๆ กายเรา เพื่อมองหาช่องว่างของจุดอ่อนที่เรามีอยู่ 

เมื่อมันโจมตีมันใช้จุดอ่อนเหล่านั้นของเรา ไม่ใช่เพราะเราทำสิ่งใดๆ….  การมีจุดอ่อนเป็นการเปิดช่องโหว่ที่มารมองเห็น ซึ่งหลายอย่างเรามองไม่เห็นหรือแม้แต่ไม่ยอมรับด้วยซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่มารซาตานยังคงโจมตีเราได้ แสดงว่าเรายังคงมีจุดอ่อนที่เปิดช่องโหว่ไว้อยู่  สะท้อนให้เห็นว่า เราต้องเร่งปิดช่องโหว่นั้น ด้วยการรับจากพระเจ้า (เยียวยา , ความคิดใหม่ , การสร้างใหม่ , ความรู้ความเข้าใจใหม่ , ...) เพื่อให้ช่องโหว่นั้นถูกปิดลง ให้จุดอ่อนนั้นถูกแก้ไข

*** มารไม่ได้โจมตีเมื่อเรารับใช้พระเจ้า แต่โจมตีเพราะเรามีจุดอ่อนต่างหาก ส่งผลทำให้

หนีการรับใช้ >> จุดอ่อนก็ยังคงอยู่ แม้ไม่ทำอะไรเลย ก็โดนโจมตีอยู่ดี
สู้กับมัน >> แต่แพ้ เพราะจุดอ่อนยังคงอยู่

แท้จริงพระเจ้าใส่ความล้ำลึกสุดๆไว้ในแผนการณ์พระเจ้าโดยใช้ แม้แต่มารเองในการชี้จุดกลับใจใหม่ให้แก่เรา (แต่คนเรามักมองพระเจ้าผิด เพ่งตรงไปที่มาร ซึ่งมารมันฉลาดหลอกเราให้หลงไปจากความเข้าใจอันแท้จริงของพระเจ้า) >> ดังนั้นทุกครั้งที่เราจะรับใช้ หรือจะทำบางอย่าง จึงดูเหมือนว่า โดนขัดขวาง , โดนโจมตี , โดนรบกวน

แท้จริงพระคัมภีร์บอกว่ามารซาตานทำงานโดยการวนเวียนอยู่รอบกายเรา มันจะไม่ออกแรงของมัน เมื่อเราไม่มีช่องโหว่ แต่หากมันเห็นช่องนั้นเมื่อไร เมื่อนั้นแหละมันจะจัดเต็ม โดยการใช้ช่องที่เราเปิดแง้มไว้

ตัวอย่าง คนทำประกันภัยรถยนต์ ไม่ค่อย เจออุบัติเหตุ แต่พอประกันหลุดปุ๊บเจออุบัติเหตุปั๊บ เพราะมีช่องโหว่... แท้จริงหากเรามีประกันภัยรถยนต์อยู่ ไม่ขาด แม้เกิดอุบัติเหตุ เราก็ปลอดภัย เพราะบริษัทประกันจะดูแลรับผิดชอบความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นเอง แต่เมื่อประกันขาด ความรับผิดชอบจึงตกเป็นของเราเอง ความหนักและความลำบากจึงต่างกัน

ลองสังเกตดูว่า จริงไหม? เวลาเผลอทีไร สิ่งต่างๆ มักเข้ามารุมเร้าจนบางครั้งหนักหน่วงเกินตั้งตัว ... 

ดังนั้นการโจมตีไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรารับใช้ (เสมอไป หรือทุกครั้งไป)  ในทางกลับกัน แม้เราไม่ได้ทำอะไรเลย การโจมตีก็ยังมีได้ ... นั่นแสดงว่า... การโจมตีมาจากทางอื่น และมันสะท้อนให้เห็นว่า หากการโจมตีมา แทนที่จะหาทางแก้โน่นแก้นี่ไปเรื่อยเปื่อย  เราต้องจัดการเหตุแห่งการโจมตีนั้น ด้วยการหาให้เจอว่า...

- จุดอ่อนของเราคืออะไร 
- เรากำลังเปิดช่องอะไรอยู่  
- อะไรที่เป็นช่องโหว่ในขณะนั้นกันแน่ ... 

ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราจะรู้ตัวภายในลึกๆ  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์มักบอกเรา เตือนเราก่อนแล้ว แต่หลายครั้งมักไม่ใส่ใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง คิดว่าไม่เป็นไรบ้าง บางทีก็มีข้อแก้ตัวและสารพัดเหตุผลทำให้น้ำหนักที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนนั้นดูเบาบางจนกระทั่งไร้น้ำหนัก... จนไม่ยอมจัดการมัน ปล่อยผ่านมันไปและรอจนกระทั่งมารใช้จุดนั้นโจมตี 

หากจัดการแต่แรก การกลับใจใหม่ การรับการช่วยเหลือ การแก้ไข ก่อนการโจมตีย่อมเกิดขึ้นได้  .... 

เมื่อเราอธิษฐานขอการปกคลุมมาอย่างดี มีหรือ????? พระเจ้าไม่ทำส่วนของพระองค์ พระเจ้าจะไม่ฟังคำร้องทูลนั้นจากใจ (แต่บางครั้งยังขาดส่วนของเราต่างหาก) เก๊ตเร็วจัดการเร็ว , เก๊ตช้าก็โดนนานหน่อย , เก็ตแล้วยังต้องปล้ำสู้อีก ใช้เวลาอีกกว่าเราจะผ่าน อยู่ที่ยอมเร็วแค่ไหน???

แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทิ้งเรา ทั้งเตือน ทั้งคอยช่วย ทั้งเคียงข้าง แต่ประเด็นคือ เราไม่เคยคิดว่ามันเกี่ยวโยงกัน ไม่เคยเห็นว่ามันมีผล เหตุนี้เองเพราะเนื้อหนังจึง ไม่อยากเปลี่ยน ไม่ยอมสู้ แต่อยากจะได้การช่วยกู้ เอาแต่พระพร ... ทีนี้ก็ทำให้ได้รับการช่วยกู้เพราะเราเรียกหาพระเจ้า แต่ไม่ชนะขาดสักที เจอซ้ำๆๆๆๆ อยู่ร่ำไป

การโจมตีที่เกิดจากการเปิดช่องโหว่ไว้ ... มีวิธีการจัดการอย่างไร

1. ทบทวนว่าช่วงนี้พระเจ้าพูดอะไร เน้นย้ำเรื่องอะไร มีเหตุการณ์อะไร ที่เราทำเมิน ทำเฉย ต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้ทรงตรัสแล้ว แต่เรามักบอกว่า “ไม่เป็นไร” “ช่างมันเหอะ” “คนอื่นไม่เห็นเป็นไรเลย” “ไม่น่าจะเกี่ยวเลย”....

2. จัดการให้หมด สารภาพบาป กลับใจใหม่ รับการเยียวยา ขอกำลัง 

3. ขอการปกป้อง และสั่งไม่อนุญาติให้มารยุ่งเกี่ยว แม้ในเวลาที่อ่อนแอ... แน่นอนมารมันไม่ฟังเราหรอก ขนาดพระเจ้ามันยังไม่ฟังเลย แต่สิทธิอำนาจของโลหิตพระคริสต์บนกางเขนจะตีกรอบชีวิตเราไว้ ในขณะที่เรากำลังต่อสู้อยู่  แต่หากเราไม่คิดจะกลับใจใหม่  ไม่คิดจะปล้ำสู้ อันนี้แหละช่องโหว่ใหญ่บิ๊กบึ้มกว่าจุดอ่อนหรือช่องโหว่อื่นๆ เสียอีก

4. ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะ หลายๆ เรื่อง 90% ไม่ได้ชนะในครั้งเดียว ดังนั้นต้องจัดการไปจนกว่าจะชนะ

*** เมื่อเราปิดทุกช่องโหว่ มารจะทำได้เพียงวนเวียนอยู่รอบๆ และทำอะไรเราไม่ได้เลย อย่าเปิดประตูเชิญชวนมันเข้ามา และอย่าคิดออกจากประตูแห่งการปกคลุมของพระเจ้า เพราะในการปกคลุมของพระเจ้านำมาซึ่งความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ ***

คำอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยจากการเปิดช่องโหว่ให้ถูกโจมตี

“ข้าแต่พระเจ้า...
ข้าพระองค์ของกลับใจใหม่ สารภาพบาป ที่ไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีมาถึงอย่างสุดใจ
บัดนี้ขอพระองค์ทรงโปรดชำระและให้อภัย 
ขอทรงนำการรื้อฟื้นและเริ่มต้นใหม่มาถึง
ขอปกคลุมด้วยพระโลหิตบนกางเขน
ขอทรงช่วยกู้ออกจากสภาวการณ์ที่ถูกโจมตี และรบกวนอันเกิดจากการเปิดช่อง
ขอกำลังใหม่ในการปล้ำสู้และต่อสู้กับเนื้อหนัง เพื่อให้มีชัยชนะในย่านฟ้า
ขอประกาศไม่อนุญาตให้มารซาตานโจมตี หรือรบกวน ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน บุคคลที่รัก
ขอพระองค์ทรงอวยพรและเสริมกำลัง ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน”









 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2558 15:36:11 น.
Counter : 795 Pageviews.  

สหายเลิศ


สหายเลิศ


การมีเพื่อนเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน เพราะพระเจ้าให้เรามีปฏิสัมพันธ์กันและกัน ตั้งแต่แรกเริ่มในสวนเอเดน... แต่นั่นก็มาหลังจากการมีความสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระบิดาทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์แล้วจึงสร้างเอวาให้กับอาดัมอีกที

แต่หลายครั้งมนุษย์เรียกหามนุษย์ด้วยกันเองมากกว่าเรียกหาพระเจ้า เหตุนี้จึงมีความเหงา โดดเดี่ยว เศร้าและทุกข์ หากต้องอยู่เพียงลำพัง มองไปรอบกายหาใครไม่เจอ

แน่นอนว่าเราควรมีเพื่อน และการเลือกเพื่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อนดีย่อมส่งผลดีต่อเรา เพราะการได้ใกล้ชิดกันย่อมส่งผลต่อ ทั้งอารมณ์ ความคิด ค่านิยม ความชอบ ไม่ชอบ...

แต่พระเยซูทรงปรารถนาให้เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ในรูปแบบเพื่อนด้วยเช่นกัน ตัวอย่าง อับราฮัม โมเสส ดาเนียล ยอห์น

เพื่อนย่อมเปิดเผยสิ่งต่างๆ ให้แก่กัน สามารถสื่อสารความคิดต่อกันและกัน แสดงความคิดเห็นต่อกันและกันด้วยและในขณะแสดงความคิดเห็นจะไม่มีใครถูกผิด มีแต่ยอมรับซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกันและกัน สะท้อนสิ่งที่เป็นความคิดและตัวตนภายในของแต่ละฝ่าย

เฉกเช่นเดียวกันพระเจ้าก็ปรารถนาจะให้เรามีมุมที่รับรู้ความคิดของพระองค์ และทรงมีมุมที่อยากให้เราแสดงความเป็นตัวเรากับพระองค์ด้วย แน่นอนว่าทรงรู้จักเรา แม้เราไม่พูดอะไร แต่การได้มีอิสระในการแสดงความเป็นตัวตนกับพระองค์ นั่นหมายถึง เราได้ใกล้ชิดและวางใจพระองค์เป็นแน่

น่าเสียดายคนจำนวนมากกลับไม่อยากเป็นเพื่อนกับพระเยซู อาจด้วยวัฒนธรรมบางอย่างที่คิดว่า เพื่อนนั้นต้องระดับเดียวกันเท่านั้น ดูเหมือนจะถ่อมต่อผู้ที่สูงกว่า แต่ก็ใช้โอกาสนี้อ้างเพื่อข่มต่อผู้ที่ด้อยกว่าเช่นกัน และกรณีหากใครมองว่าตนคือผู้ด้อยกว่าก็จะไม่คิดตีสนิทเลยทีเดียว

แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือกาลเวลาและประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติของชนทุกชาติ เรื่องของความสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวางได้ เว้นเสียแต่การวางตัวอย่างไรของเราเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หลายต่อหลายคนจึงพลาดเพื่อนที่แสนดีไป หรืออาจทิ้งมุมนี้ที่พระเจ้าปรารถนาจะมีต่อเราไป และมอบให้เรามัน ไม่ใช่ความถ่อมเลยสักนิด แต่เป็นกำแพงหนาที่เราตั้งไว้เองต่างหาก ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุอันใดก็ตาม

ในเมื่อพระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มและเริ่มต้นก่อน ทั้งบุคคลต่างๆ ในพระคัมภีร์ต่างก็มีประสบการณ์ในการเป็นเพื่อนกับพระเจ้ามากมายให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่นนี้แล้วจะผิดได้อย่างไรที่เราจะรับเมตตานี้จากพระเจ้า ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้ แต่พระองค์ทรงเป็นสหายที่ดีเลิศแสนประเสริฐต่อเราได้

มนุษย์นั้นจำกัด ดังนั้นการคาดหวังจากมนุษย์ไม่ว่าจะด้านใด ทางใดก็ตามย่อมมีความจำกัดหรือขีดสุดความสามารถอย่างแน่นอน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไม่จำกัด ไม่ว่าจะมิติเวลา ความสัพพัญญู พระปัญญา ความรัก ความสามารถ สิทธิขาด และนานัปการที่ไม่อาจกล่าวได้หมด เพราะพระนาม "เราเป็น" จึงสะท้อนพระลักษณะว่า "ทรงเป็น...ในชีวิตเรา" เช่นนี้แล้วจะพลาดพระสหายเลิศแสนประเสริฐได้อย่างไรกัน????

การได้มีพระเยซูเป็นสหายเลิศย่อมดีกว่าสิ่งอื่นใด





//www.panarat.com/

https://www.facebook.com/panarat2013





 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2558 18:15:32 น.
Counter : 839 Pageviews.  

การรอคอย


การรอคอย


เป็นที่รู้กันอยู่แก่ใจของบรรดาผู้เชื่อว่า เราทุกคนต่างรอคอยวันเวลาที่จะได้กลับสู่สวรรค์สถาน สถานที่นิจนิรันดร ที่เต็มไปด้วยความสุขแท้ชนิดที่ความเศร้าโศกใดๆ ไม่สามารถปรากฏได้ และที่สำคัญที่นั่นเราจะได้อยู่ต่อหน้าบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และในบางเวลาพระเจ้ามักส่งสถานการณ์ต่างๆ ให้เราได้ฝึกฝนวิถีแห่งการรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์

1.    เฝ้ารอคอยด้วยใจจดใจจ่อ

  • การที่คนเราจะใจจดจ่อได้นั้น นั่นหมายถึง สิ่งนั้นต้องมีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้มาหรือครอบครองซึ่งสิ่งที่รอคอย
  • การรอคอยนั้นไม่ได้หมดไปวันๆ แต่เป็นการเฝ้ารอคอยด้วยความหวังใจและเชื่อเสมอว่า วันนั้นจะมาถึงโดยเร็ว วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้า เป็นความสดชื่นที่หวนระลึกถึงอย่างไม่สั่นคลอน

2.    ไม่รู้วันเวลา

  •  การเฝ้ารอคอยบางอย่างเราก็ไม่รู้วันเวลาเอาเสียเลย ว่ามันจะมาถึงวันไหน? เวลาใด? กันแน่.... แต่เราแน่ใจ มั่นใจในพระองค์ที่เราเชื่อว่า จะทรงมอบให้ ประทานให้เราเป็นอย่างแน่นอน
  • ซึ่งการเฝ้ารอคอยอย่างไม่รู้วันเวลานี้เป็นการกระตุ้นให้ความเชื่อยิ่งมั่นคงและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นบทพิสูจน์ความวางใจ ความเชื่อใจที่เรามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
  • แน่นอน!! ที่พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่ผิดพลาด ดังนั้นสิ่งที่ทรงสัญญาย่อมจะมาถึงอย่างแน่นอน เพียงแค่เราไม่รู้ว่าวันไหนเวลาใด แต่มันจะมาอย่างกระทันหัน ดังนั้นเราจึงต้องรอคอยแบบเฝ้าระวัง แบบพร้อมจะรับเสมอ ไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม เมื่อเวลานั้นมาถึง จะไม่มีเวลาสำหรับการจัดแจง การเตรียม หรือยืดเยื้ออีกต่อไป

3.    เฝ้าระวังและรักษาชีวิตเป็นอย่างดี

  • ในระหว่างการเฝ้ารอคอยนั้น เราจำเป็นต้องเฝ้าระวังและรักษาชีวิตเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เปลี่ยนทิศหรือเป้าหมายในระหว่างรอคอย เนื่องจากการรอคอยเป็นการรอ ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคต (ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับ หรืออาจยังมองไม่เห็นแม้แต่วี่แวว)
  • นอกจากความเชื่อแล้ว ความมั่นคงก็เป็นสิ่งที่เราต้องยึดไว้ บางครั้งความอดทนที่ไม่เพียงพอทำให้เรายอมละทิ้งเป้าหมายและรับเอาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่สามารถฉวยได้เลยในทันที ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการรอคอยนั้นก็นับว่าล้มเหลว เพราะแทนที่เราจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้สำหรับเรา ก็กลับจะได้รับสิ่งที่ผ่านเข้ามาเพื่อล่อให้หลงไป
  • ดังนั้นการรักษาชีวิตและเฝ้าระวังชีวิตอยู่สม่ำเสมอ จะทำให้เราลดอัตราความเสี่ยงในการหลงไป เมื่อพระเจ้ามอบพระสัญญาให้กับเรา พระองค์จะให้อย่างชัดเจน แปลว่าเป้าหมายของเราย่อมชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นการรอคอยนั้นแล้ว
  • แต่หากระหว่างการรอคอยนั้นเราไม่ได้เฝ้าระวังอย่างดี ด้วยวิถีรอบข้างที่เต็มไปด้วยการล่อให้หลง เหตุผลจอมปลอม หรือแม้แต่คนอื่นที่มีให้เราเห็นและเปรียบเทียบ(ซึ่งมันผิดตั้งแต่เริ่มเปรียบเทียบแล้ว)  มักจะบั่นทอนความอดทนด้านการรอคอยของเราเป็นแน่แท้ ดังนั้นการตั้งตาให้ตรงไปยังเป้าหมาย การรักษาชีวิตให้มั่น การเฝ้าระวังในทุกย่างก้าวจึงสำคัญอย่างยิ่ง

เมื่อพระเจ้าให้เรารอคอยในสิ่งใดๆ พระองค์ย่อมมอบให้เราอย่างแน่นอน หลายครั้งเรากลับลืมไปเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อถึงเวลานั้นพระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อและสัตย์จริงจะมอบให้เราอย่างไม่บิดพลิ้ว และเราจะได้เห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์เป็นเช่นไร

ยก 5:7  เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ดูเถิด ชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน และเพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู

สดด 27:14  จงรอคอยพระเยโฮวาห์ จงเข้มแข็ง และพระองค์จะทำให้จิตใจของท่านกล้าหาญ เออ จงรอคอยพระเยโฮวาห์เถิด

สดด 33:20  จิตวิญญาณของเราทั้งหลายรอคอยพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์และเป็นโล่ของเรา

สดด 37:7  จงสงบอยู่ต่อพระเยโฮวาห์ และเพียรรอคอยพระองค์อยู่ อย่าให้ใจของท่านเดือดร้อนเพราะเหตุผู้ที่เจริญตามทางของเขา หรือเพราะเหตุผู้ที่กระทำตามอุบายชั่ว





//www.panarat.com/

https://www.facebook.com/panarat2013





 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2558 17:41:03 น.
Counter : 1097 Pageviews.  

โลทกับการตัดออกจากบาป


โลทกับการตัดออกจากบาป


ในนาทีที่โลทต้องเผชิญหน้ากับการช่วยเหลือของพระเจ้าที่มาถึงชีวิตและครัวเรือนของเขา ผ่านคำอธิษฐานของอับราฮัม  ...

การแยกตัวออกจากถิ่นฐานที่ตั้งมั่นของเขา เพราะเป็นที่ที่เต็มไปด้วยบาปที่ถึงเวลาและวาระแห่งการพิพากษาของพระเจ้ามาถึงแล้ว มากกว่าทรัพย์สินความมั่นคงที่เป็นของเขาและแหล่งทำกินแล้ว เขาจำต้องละสารพัดสิ่งที่พันผูก ไม่ว่าจะเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ญาติพี่น้องในครัวเรือนของเขาเองด้วยซ้ำ

แท้จริงครอบครัวของเขามีกัน 10 คน แต่ที่ออกจากโสโดมโกมาราได้จริงๆ มีแค่เพียง 4 คนเท่านั้น... คือ ... ตัวโลทเอง ภรรยา และลูกสาวอีก 2 คน ส่วนคนที่เหลือเขาจำต้องทิ้งไว้กับการพิพากษาของพระเจ้า แม้ความเจ็บปวดจะมาถึงจิตใจภายในของเขาและเห็นตำตา รู้เต็มอก ก็ตามที ...

*** แต่เมื่อถึงเวลาของพระเจ้า หากโลทไม่ก้าวออกมาพระเจ้าก็จะนำเขาออกมา เหตุที่โลทไม่กล้าก้าวเพราะรักและเป็นห่วงญาติที่เหลือไม่ยอมไปด้วย ทำให้การตัดสินใจของโลทลดระดับลงจากที่ควร...  เหตุนี้เองพระเจ้าจึงเข้าแทรกแซงดึงเขาออกมาจากโสโดม  แต่สาเหตุที่ญาติๆ และคนในครัวเรือนที่เหลือของโลทไม่ได้รับการช่วยเหลือนี้จากพระเจ้า เพราะพวกเขาตัดสินใจเองที่จะอยู่กับบาป ปฏิเสธโอกาสและพระหัตถ์แห่งการช่วยกู้ที่มาถึง ผ่านชีวิตของโลทและการวิงวอนของอับราฮัม

1.    แม้พระเจ้าจะให้โอกาสเพียงใด แต่หากคนนั้นเลือกที่จะอยู่กับบาปและจมอยู่เช่นนั้น ก็ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะช่วยได้ เพราะพระลักษณะของพระเจ้าอีกด้านคือ ทรงเข้มงวดกับความบริสุทธิ์

2.    เมื่อถึงเวลาแห่งการพิพากษาของพระเจ้ามาถึง *** สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือ … ออกจากจุดที่เป็นอยู่และห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ ด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้าเราจะสามารถผ่านจุดนั้นมาได้แน่นอน ขอเพียงแค่เรายอมออกจากบาปนั้นก็พอ

3.    บางครั้งเราจำเป็นต้องตัดซึ่งความสัมพันธ์ลง หากสิ่งนั้นเป็นบาป แม้หัวใจเราจะเจ็บปวด เพราะเห็นแก่ผู้ที่เรารักเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่สามารถทิ้งชีวิตของเราด้วยการไม่ไปต่อกับพระเจ้าได้ การตัดสายสัมพันธ์กับบาปก็เช่นกัน เราต้องตัดแบบไม่หันหลังกลับไปดู เพราะไม่เพียงเราจะเจ็บปวดมาก ยิ่งเห็นผู้ที่เรารักต้องรับผลนั้น ดังเช่น ภรรยาโลท ก็ไปต่อไม่ได้ เขากลายเป็นเสาเกลืออยู่ตรงนั้นที่ๆ เขาหันกลับไปมองดู เพราะอาจถูกแช่แข็งในที่ๆ เราหันกลับไปมองดูก็เป็นไปได้ สายตาของเราจำเป็นต้องมุ่งหน้าตรงไปยังเป้าหมายที่พระเจ้าสั่งไว้เท่านั้น เราจึงจะสามารถผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้

4.    หลายครั้งโอกาสที่เราได้รับ ไม่ใช่เพราะทำเอง แต่เพราะพระเมตตาของพระเจ้าที่มีมาถึง ผ่านบุคคลคนหนึ่งที่คอยคร่ำครวญวิงวอนขอต่อพระเจ้าแทน และการเห็นแก่เขาเพื่อเรา เฉกเช่นเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตแบบรักษาทางของตนจนกระทั่งพระเจ้าเห็นแก่เราได้ เมื่อเราร้องขอ แต่พระเจ้า เพื่อใครสักคนที่เรารัก ก็จะเป็นเหตุให้พระเจ้าช่วยกู้เขาได้เช่นกัน




//www.panarat.com/

https://www.facebook.com/panarat2013





 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2558 17:03:48 น.
Counter : 548 Pageviews.  

บทพิสูจน์ที่ผ่านแล้ว


บทพิสูจน์ที่ผ่านแล้ว


พระบิดาผู้ทรงขัดเกลาและสร้างเราให้แข็งแกร่งนั้นเป็นอีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่พระเจ้าหยิบยื่นให้กับบุคคลที่แสวงหาการเติบโตและก้าวไปอย่างไม่รู้จักพอ อยากและปรารถนาจะเรียนรู้จักพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น

แน่นอนว่าชีวิตของเราแต่ละคน ย่อมต้องผ่านบทพิสูจน์ต่างๆ มากมาย และการพิสูจน์ตนเองว่าเป็นที่ใช้การได้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เวลาเหล่านั้น คือ ช่วงเวลาที่ไม่มีมนุษย์คนใดโปรโมท ไม่มีใครให้การสนับสนุน ตรงข้ามกัน... กลับมีแต่เสียงคัดค้าน...
*** แต่มีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ชัดเจนหรืออาจแผ่วเบาคือ เสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า***

มนุษย์น้อยคนนักที่จะมองจากภายใน หรือบางเวลาอาจหาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มองภายนอก มองสิ่งที่ตาเห็น ประเมินจากความคิดและจินตนาการของเขาเองว่า... มันควรเป็นเช่นไร มันน่าจะเป็นอย่างไร เอาประสบการณ์ตนเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งก็น้อยคนเหลือเกินที่จะนั่งลงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รอบด้าน หรืออธิษฐานถามพระเจ้าว่า “สิ่งที่เห็นในผู้อื่นนั้นคือสิ่งใด”

เป็นไปได้ว่าพระเจ้าอาจกำลังทำบางอย่าง แต่ก็นั่นแหละ เราต่างก็เคยเป็นทั้งผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์และผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยกันทั้งนั้น

ในสังคมทั่วไปการพูดเพื่อโต้แย้งหรืออธิบายดูจะเป็นทางออกที่ดี แต่ในทางกลับกัน พระเจ้ามักปรารถนาให้เราพิสูจน์ชีวิตเสียมากกว่า เพราะบทพิสูจน์มักทำลายคำครหาโดยสิ้นเชิง

กว่าจะผ่านในแต่ละช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ชีวิตได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก ความเชื่ออย่างสูง เราต้องยึดเสียงของพระเจ้าไว้และเดินตามไปทีละก้าวๆ เพราะการพิสูจน์ชีวิตย่อมต้องใช้เวลา บางบทพิสูจน์อาจใช้เวลาแค่ 1 ปี , 3 ปี , 5ปี ... หรืออาจตลอดชีวิตก็เป็นได้  ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเราและแผนการณ์ของพระเจ้า

แท้จริงเมื่อเราจดจ่อในการเดินกับพระเจ้า การพิสูจน์ชีวิตจะเริ่มเปลี่ยนมุมมองทัศนคติ จากความต้องการการยอมรับจากมนุษย์ จนเป็นการที่เราไม่สนไม่แคร์ เลยว่ามนุษย์จะว่าอย่างไร...  แต่ที่เราแคร์ ที่สนใจ เอาใจใส่และพยายามหนักหนาที่จะไม่ให้พลาดคือน้ำพระทัยพระเจ้า และท้ายที่สุดเมื่อถึงวันเวลาเหล่านั้นที่ต้องอาย คือคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา แต่ที่ถูกยกขึ้นคือเราเองที่ผ่านแล้ว...

พระเจ้าทรงยุติธรรมเสมอ พระองค์จะไม่ทำให้คนที่รักพระองค์อย่างสุดใจต้องอาย
แต่ทำไม? หลายต่อหลายคนยังคงได้รับความอายนั้นเสมอๆ ... ก็แน่หละการเริ่มต้นดีเป็นสิ่งดี แต่การเลิกลากลางทางก็เป็นตัวบ่งชี้ว่า ... ความสำเร็จไม่ใช่ของผู้ที่เริ่มต้นดีเสมอไป  ไม่มีใครสามารถกำหนดเส้นทางทางเดินชีวิตของเราได้ นอกเสียจากพระบิดาผู้ทรงสร้างและรักเราเท่านั้น หากเราเดินตามพระองค์อย่างเหนียวแน่น การจะผ่านสิ่งต่างๆ นั้น พระองค์ย่อมทรงรับรองเป็นแน่แท้ พระเจ้าไม่ทรงขัดกับพระลักษณะของพระองค์เองเลย

การพิสูจน์ชีวิตที่ผ่านแล้วนั้น เป็นความหอมหวานที่เกินคุ้มราคาที่จ่ายออกไป และเป็นการเชิญชวนให้เรากล้าที่จะก้าวเข้าสู่บทพิสูจน์ต่อๆ ไป ... เพราะทุกครั้งที่เราผ่านมันสะท้อนให้เห็นว่า เราได้ก้าวขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว ไม่ใช่จุดเดิม ไม่ใช่แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ...

สิ่งที่ได้รับก็จะไม่ใช่ขนาดเดิมอีกต่อไป
-    ยิ่งอยากรับมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องรับการขยายมากเท่านั้น
-    ยิ่งการขยายมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องมีบทพิสูจน์มากเท่านั้น

นอกจากที่เราจะได้เห็นพระหัตถ์และพระคุณของพระเจ้าแล้ว เราจะได้เห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่รักและทนุถนอมเรามากเพียงใด

ตลอดเส้นทางการพิสูจน์ชีวิตนั้นจะมีเพียงแค่เรากับพระองค์เท่านั้น การได้รับการยกขึ้นจากพระองค์ก็เป็นการแสดงการยอมรับจากพระองค์ด้วยว่าเราผ่านแล้ว เราเป็นที่ใช้การได้และเราสามารถถวายเกียรติพระองค์ผ่านชีวิตของเราได้
-    ศัตรูและฝ่ายตรงข้ามจะอับอายเพราะคำหมิ่นที่มีก่อนหน้านี้
-    มนุษย์จะตกตะลึงในสิ่งที่พระเจ้าทำในเรา พวกเขาจะหน้าแตกพร้อมๆ กับยอมรับและยินดีกับเรา
ด้วยทุกสิ่งได้ถูกพิสูจน์จนสามารถล้มกำแพงคำครหาได้ ... อีกทั้งใครจะต่อสู้การโปรโมทขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้หรือ??

คำอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้า

"ข้าแต่พระเจ้าทุกวันนี้ที่มาจนถึงจุดนี้ ก็โดยพระองค์ เพื่อพระองค์และขอมอบพระเกียรติทั้งสิ้นแด่พระองค์ขอบพระคุณที่ไม่ทรงเลยผ่านชีวิตเล็กๆ ที่ด้อยค่านี้ แต่ทรงกลับให้คุณค่าและนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพระองค์เท่านั้น อธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน"




//www.panarat.com/

https://www.facebook.com/panarat2013






 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2558 16:45:37 น.
Counter : 729 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Your Grace
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




* Blog นี้ สร้างเพื่อแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ข้อคิดสะกิดใจ เพื่อหนุนจิตชูใจคริสตชนด้วยกัน อีกทั้งแบ่งปันประสบการณ์เล็กๆ ของคนที่รักพระเจ้าอย่างสุดใจคนหนึ่ง ที่กำลังพัฒนาตนเองให้เติบโตมากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน

* เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงมุมมองมุมหนึ่งของคนเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ได้มีประสบการณ์ตรงจากพระเจ้า อาจยังไม่สมบูรณ์ เพราะต้องการพัฒนาต่อไปในน้ำพระทัยพระเจ้าจนถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์

* เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้จำกัดวงหรือขอบเขต เพียงแค่คริสตชนเท่านั้น แต่สำหรับทุกๆ คนที่ต้องการกำลังใจ และเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ต่อกันและกัน

* คาดหวังเพียงแค่จะเป็นส่วนหนึ่งที่่สามารถจรรโลงโลกนี้ให้น่ารักและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

*** ขอพระเกียรติสิริทั้งสิ้นมอบแด่พระเยซูคริสต์เจ้าแต่นามเดียว เท่านั้น ขอเพียงพระพรตกแก่ข้าพเจ้าและครัวเรือน อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน ***
[Add Your Grace's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com