|
เรือนขนมปังขิง
สวัสดีค่ะ ทุก ๆ ท่าน ขา
หลายวันก่อน นู๋เองค่ะ แวะเข้าร้านหนังสือ พบหนังสือ เรื่อง แบบแผนบ้านเรือนในสยาม โดย น. ณ ปากน้ำ เป็นหนังสือความรู้เกี่ยวกับเรือนไทย ทั้งรูปแบบและพัฒนาการของเรือน ไม่ว่าจะเป็นเรือนฝาปะกน เรือนแพ เรือนปั้นหยา เรือนขนมปังขิง เรือนในภาคเหนือและภาคใต้ เป็นต้น พร้อมภาพประกอบเรือนไทยแบบต่างๆ มากมายกว่า 300 ภาพ //www.sarakadee.com/bookstore/modules.php?op=show&sop=detail&bookid=362
นู๋เองค่ะ สนใจบ้านไทยมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยิน เรือนขนมปังขิง ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่จะต้องทราบให้ได้ว่า คืออะไรกันแน่ และก็ไม่ผิดหวังสำหรับหนังสือเล่มนี้ รู้สึกอิ่มเอมเปรมใจเมื่อเห็นภาพบ้านเรือนต่าง ๆ แม้จะเป็นภาพขาวดำ และเป็นบ้านเรือนในสมัยต่าง ๆ ที่ผ่านมา เกิดความรู้สึกแบบที่เรียกว่า Art Appreciate เอ
ไม่ทราบว่า นู๋เองค่ะ ใช้คำที่ถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่
Art Appreciation เคยเป็นวิชาเลือกวิชาหนึ่งในสมัยเรียนปริญญาตรี นู๋เองค่ะ กลัวจะเรียนไม่จบจึงเลือกเรียน Art Appreciation แทนวิชา Computer
ว่าแต่ คุณ ๆ ท่าน ๆ ขา ทราบไหมคะ ว่าเรือนขนมปังขิง คืออะไร เรือนขนมปังขิง คือ เรือนมะนิลา มีการฉลุลวดลาย เช่น ครีบ ช่องลม หน้าจั่ว ลูกกรง ไม้แบน เป็นลายฉลุต่างๆดูวิจิตรพิสดาร หรูหราแบบขนมปังขิงของยุโรป //www.huso.buu.ac.th/cai/Sociology/Eastern%20Thai%20House/glossary.html
คำว่า "ขนมปังขิง" แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Gingerbread ซึ่งเป็นคำใช้เรียกลวดลายตกแต่งสถาปัตยกรรม ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรียที่ ๒ แห่งอังกฤษ ซึ่งมีลักษณะหงิกงอเป็นแง่งคล้ายขิง อันมีหน้าตาเหมือนกับขนมปังโบราณชนิดหนึ่งของชาวตะวันตก จึงนำชื่อขนมปังนั้นมาเรียกขานลวดลายดังกล่าว //www.sarakadee.net/knowledge/2002/05/doyouknow_gingerbread.htm
รายละเอียดของหนังสือดังกล่าวข้างต้น รู้สึกจะมีผู้ปรารถนาดี นำบางส่วนมาทำเป็นเว็บ ลองติดตามชมได้ที่ //www.huso.buu.ac.th/cai/Sociology/Eastern%20Thai%20House/content.html
เผื่อคุณ ๆ ท่าน ๆ ขา จะมีความรู้สึก ชื่นชมในศิลป Art Appreciated แบบเดียวกับ นู๋เองค่ะ บ้าง นะคะ

Create Date : 20 ตุลาคม 2548 | | |
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2550 20:55:51 น. |
Counter : 1436 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มุมมองจากประสบการณ์
สรุปสาระสำคัญจากหนังสือ มุมมองจากประสบการณ์ บุญคลี ปลั่งศิริ
มุมมองด้านการบริหาร สิ่งที่ CEO ต้องมี 1. รู้จักธุรกิจอย่างดี ต้องบอกรายได้ รายจ่าย โครงสร้างของธุรกิจทั้งหมดได้ 2. มีความรู้ด้านการเงิน 3. สร้าง Teamwork ได้ ซึ่งคำว่า Teamwork หมายถึง Team กับ Work ไม่ใช่ พรรคพวก 4. มีความเร็ว ถ้าผมไม่ใส่สปีด 100 ข้างล่างจะได้ไม่ถึง 50 ถ้าผมสปีดแค่ 50 ข้างล่างก็จะได้แค่ 30 5. ต้องมี EQ (วุฒิภาวะทางอารมณ์) เพราะไม่มีทางได้ทุกอย่างเต็มร้อย อาจได้แค่ 50-60% 6. ต้อง คิด และ ตัดสินใจ ถ้ามีอะไรที่ต้องตัดสินใจ แล้วยังมีทางเลือกเดียว ผมจะยังไม่หยุดคิด เพราะทุกอย่างมีทางเลือกมากกว่าหนึ่งทางเสมอ
องค์กรต้องมีคน 2 พันธุ์ คือ พวกชอบคิด และพวกชอบทำ และองค์กรต้องให้ความสำคัญกับคน ทั้ง 2 ประเภทด้วยความเป็นธรรม เห็นคุณค่าเท่ากัน ผมจะชอบมากเวลาที่ลูกน้องเรียนรู้ได้เร็ว โดยเฉพาะการเรียนรู้อะไรที่ไม่ได้อยู่ในสายงานของตัวเอง ความเร็วในการเรียนรู้ เป็น ตัววัด ที่สำคัญว่าคนนั้นจะเติบโตในองค์กรได้หรือไม่
ผู้บริหารต้องตื่นกลัว ต้อง พารานอยด์ ถ้าไม่มีตรงนี้ เราจะอยู่ใน Economy of Speed ลำบาก
องค์กรที่มีความสุขกับการเติบโต จะไม่ค่อย Sensitive กับต้นทุน แต่ไม่เกิน 2 ปี จะถูกบีบด้วยต้นทุนแรงมาก
การเปลี่ยนแปลงในองค์กร ต้องเริ่มที่โครงสร้าง (Rock the boat) เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ถ้า ทำตามตำราด้วยการใช้วิธีเขียน Vision แล้วค่อยไปทำรายละเอียดเพื่อกำหนดทิศทาง แล้ว ถ่ายทอดให้พนักงาน จะเปลี่ยนแปลงได้ช้า
ถ้าไม่มีการวัดผล ก็จะไม่มีการจัดการ
การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องทำให้เกิด Dissatisfaction คือ ต้องไม่พอใจสิ่งใดนาน ๆ
มุมมองด้านการตลาด / การขาย
เราอยากให้ Call Center ของ AIS เป็นอะไรที่โทรเข้ามาแล้ว เขาได้มากกว่าบริการที่เรามีอยู่ ได้มากกว่าสิ่งที่เขาคาดคิด ถ้าเราสร้าง Surprise ให้เขาได้ ก็จะเกิดความประทับใจตามมา
ถ้าท่านอยู่ในองค์กรใด และคิดว่าเราอยู่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ผมขอเตือนว่าท่านกำลัง เชื้อเชิญคู่แข่งให้เข้ามา
กลยุทธ์ที่ดีต้องเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถตามทันได้ระยะเวลาอันสั้น ยกตัวอย่างการแข่งขันที่ใช้ กลยุทธ์ด้านราคา คู่แข่งจะตามทันได้ภายในวันเดียว แต่ถ้าใช้ความพึงพอใจองลูกค้า คู่แข่งจะตาม ได้ยาก
การใช้งบการตลาดแบบ Flexible Budget คือ จะไม่ดูตัวเลขว่าเป็นเท่าไร แต่ดูว่าต้องไม่เกิน 5% ของยอดขาย เป็นต้น
ในการแข่งขันทางธุรกิจ เราต้องสร้างเกมใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อ 10 ปีก่อนจะ ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำ จากนั้นก็เปลี่ยนมาบอกว่ามีเครือข่ายคลอบคลุมทั่วประเทศ จากนั้นจึง หันมาเน้นในเรื่องคุณภาพ เป็นบริการต้องดี ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่พูดถึงเรื่องเครือข่ายอีกแล้ว
ทฤษฎีการทำธุรกิจ มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1. ต้องเลือกระหว่าง Hi-end กับ Low-end อย่าทำ Low-end เพราะคิดว่าวันหนึ่งข้างหน้า จะเป็น Hi-end 2. อย่าทำธุรกิจที่ In between คือ การวางตำแหน่งของเรา ต้องไม่อยู่ตรงกลาง ไม่ต่ำไปเลย ก็ต้องสูงเลย 3. ต้องลดราคาวันที่มันกำลังโต ถ้าลดราคาวันที่มันไม่โต ก็คือตาย
มุมมองด้านการบริหารงานบุคคล
ผมอยากเห็นคนได้ Bonus 1 เดือน กับ 8 เดือน ไม่ใช่มีแค่ 3 กับ 4 เดือน เพราะถ้ายังไม่มีน้อยสุด กับมากสุด แสดงให้เห็นว่าคุณยังไม่สามารถแยกแยะ Good กับ Excellent ได้ ถ้าคุณแยกไม่ได้ และไม่เห็นความแตกต่าง อย่าหวังว่าเขาจะพยายามทำจาก Good เป็น Excellent บริษัทก็จะเสียเงิน Bonus ไปเปล่า ๆ
ธรรมชาติของคน ถ้าได้ Bonus 1 เดือนก็มีความสุขแล้วถ้าคนที่ไม่ทำงานไม่ได้อะไรเลย แต่ถึงแม้ได้ Bonus 5 เดือน ก็จะไม่มีความสุขอยู่ดี ถ้าคนไม่ทำงานได้ Bonus 4.5 เดือน
การสร้าง Learning Organization มี 3 เรื่อง คือ 1. การพยายาม Encourage ทุกคนให้แสดงหรือเสนอความเห็น ลดการ Discourage ลง แม้ลูกน้องพูดอะไรที่ไม่เข้าทาง 2. ต้อง Openness ต้องใจกว้างที่จะรับฟังความคิดเห็น แม้ตัดสินใจไปแล้ว ถ้ามีคนทักท้วง เห็นว่าไม่ดี ก็ต้องพร้อมแก้ไข 3. สนับสนุนการคิดสร้างสรรค์ เชื่อหรือไม่ว่า เรื่องความคิดสร้างสรรค์ มักมาจากคนที่อยู่นอกสายงาน หรือ นอก Line 4. ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ทำงาน (Empower)
ผมทำงานมา 25 26 ปี พบว่ายิ่งต้องอ่านหนังสือมากขึ้นเรื่อย ๆ อ่านมากกว่าที่เคยเรียนในมหาวิทยาลัยทั้งหมด และเป็นการอ่านโดยไม่มีอาจารย์สอนเลย ผมรู้สึกหงุดหงิดเวลาลูกน้องบ่นว่าบริษัทไม่เคยสอนเขา แสดงว่าเราต้องสอนก่อนจึงจะทำได้ ไม่ชอบเรียนรู้ด้วยตนเอง
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้คนเรียนรู้ 1. แรงผลักดันในตัวเอง 2. ต้องถูกวัดและตรวจสอบ 3. เมื่อถูกวัด ก็ต้องมีแรงจูงใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่รวมถึงลาภ ยศ ขวัญกำลังใจ
ถ้ายังลงโทษคนเลวไม่ได้ ต้องให้รางวัลคนดีไว้ก่อน ถ้าไม่ลงโทษคนเลว และไม่ให้รางวัลคนดีด้วย คนดีจะหนีจากองค์กร
ข้อคิดจาก Peter Senge
การลดค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสถานภาพทางการเงิน โดยไม่ยอมกระทั่งการลงทุน ไม่ยอมพัฒนาบุคลากร ก็ทำให้บริษัทเดินต่อไปไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าสามารถ Financial Restructuring ได้ แต่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

Create Date : 26 พฤษภาคม 2548 | | |
Last Update : 26 พฤษภาคม 2548 13:56:11 น. |
Counter : 639 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
###คำว่า "บริบท" หมายความว่าอย่างไรคะ###
1. บริ รายล้อม ข้างเคียง อ้อม บท กลุ่มคำ บริบท คำหรือข้อความแวดล้อมเพื่อช่วยให้เข้าใจความหมาย
จากคุณ : s.suk - [ 18 พ.ค. 48 01:29:57 ]
2. i.e. context
จากคุณ : ! o_o ! - [ 18 พ.ค. 48 02:20:57 ]
3. เวลาที่เราไม่สามารถทำความเข้าใจกับ "เป้าหมาย"ได้โดยตรง เช่น นักอักษรศาสตร์โบราณคดี พยายามแกะคำจารึกภาษาที่สูญหายไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถหาอะไรมาอ้างอิ่งได้
วิธีที่ทำให้เขาสามารถแปลความและเข้าใจได้ ก็จะใช้วิธีการศึกษา"บริบท" เช่น ข้อความรอบ ๆ บางคำอาจจะเป็นศัพท์ที่ใกฃ้เคียงหรือหาความหมายได้ในปัจจุบัน พอแปลออกมาแล้วได้ใจความ
อย่างนี้เขาก็เรียกว่า "บริบท"
หรือเวลาเราอ่านภาษาอังกฤษ เจอศัพท์ใหม่ ๆ ในประโยคที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เราก็จะดูรูปประโยคนั้น ดูคำศัพท์อื่น ที่ประกอบอยู่กับศัพท์นั้น ๆ เพื่อหาความหมายของมัน ซึ่งก็จะพอเดาได้ แม้จะไม่ตรงเป๊ะ ๆ ก็ตาม
นี่ก็เรียกว่า "บริบท"
หรือเวลาเราศึกษาประวัติศาสตร์รุ่นเก่า ๆ เช่นสมัยสุโขทัย หรือเอาแบบใกล้ ๆ ก็ได้ แต่บางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยได้ หรือได้ข้อมูลมาไม่ครบ หรือข้อมูลไม่ตรงกับความจริง เช่น จะให้รัฐธรรมนูญแล้ว กำลังเขียนอยู่
แบบนี้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาพูดจริงแล้วคิดจริงตามนั้นหรือเปล่า
เราก็ดู "บริบท" ของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนั้น เช่น บอกว่าจะเขียน แล้วมีคณะทำงานไหม ทำงานกันอย่างไร วาระประชุมถี่แค่ไหน ใครเข้าร่วมได้บ้าง ใครเสนอความเห็นได้บ้าง เร็จแล้วใครเป็นคนพิจารณาตัดสิน
และใช้เวลาไปแล้วแค่ไหน คืบหน้าไปอย่างไร
ผลก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนั้นใช้เวลาเขียนมาแล้ว 10 ปี ยังไม่เสร็จ
ก็เลยเกิดกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญและ 14 ตุลาขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อท่านผู้นำว่า จะมีรัฐธรรมนูญจริง ๆ
ไม่ใช่เพราะผู้นำสารภาพ แต่เป็นเพราะ"บริบท"มันบอก
หรืออย่างโครงการก่อสร้าง "โฮปเวลล์" ทั้งนักการเมืองไทยและเจ้าของสัมปทานต่างชาติ ยืนกรานเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำแน่ เสร็จแน่
เชื่อได้ไหม
ก็ต้องดูบริบท
เอาเงินลงทุนจากไหน แบงก์ปล่อยกู้หรือเปล่า ปักเสาได้วันละกี่ต้น เดือนละกี่กิโลก ระยะเวลาสัมปทานเท่าไร ถ้าจะให้เสร็จจริงตามนั้นต้องใช้เวลาเท่าไร เหลืออายุสัมปทานเท่าไร คุ้มต่อการลงทุนไหม
ผลออกมาปรากฎว่า หากใช้ระยะเวลาตามที่ปักเสาอยู่นี้ คงต้องรออีกเกือบร้อยปีถึงจะเสร็จ
ก็รู้ได้ว่า โกงกันแน่ ๆ โกหกกันแน่ ๆ ไม่ต้องรอให้เขาถอนโครงการหรือรอให้เหลือแต่ซากประจานอย่างทุกวันนี้
แบบนี้เขาก็เรยกว่า การดู"บริบท" ในการนำไปใช้จริงครับ
จากคุณ : แปดแฉก (สื่อศิลป) - [ 18 พ.ค. 48 09:40:12 ]

Create Date : 18 พฤษภาคม 2548 | | |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2548 14:32:10 น. |
Counter : 19160 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|