4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

ตุ๊กตาผีที่มีอยู่จริง พร้อมตำนานความเฮี้ยน






อันดับที่ 1. ตุ๊กตาผีสิงโรเบิร์ต
ชื่อตุ๊กตาผีตัวนี้อาจไม่เป็นที่คุ้นหูเท่าไร แต่มันเป็นตำนานที่เกิดขึ้นจริงของครอบครัวออตโต จากเกาะคีย์เวสต์ รัฐฟลอริดา เมื่อพี่เลี้ยงของเด็กชายโรเบิร์ต ยูจีน ออตโต หรือ จีน ได้มอบตุ๊กตาสูงสามฟุตตัวนี้ให้กับเขาในปี 1906 ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กชายถูกชะตากับตุ๊กตาดังกล่าวมากเพียงใด เพราะเขาได้ตั้งชื่อมันว่า "โรเบิร์ต" เหมือนกับชื่อตัวเองเปี๊ยบ แต่กระนั้นหลาย ๆ ปากก็บอกว่าพี่เลี้ยงคนนี้ตั้งใจมอบตุ๊กตาตัวพร้อมคำสาปตัวดังกล่าวให้กับเด็กชาย เพื่อแก้แค้นที่ครอบครัวนี้ใช้งานเธออย่างทารุณต่างหาก

จีนขลุกเล่นอยู่กับโรเบิร์ตตลอดเวลา แต่งตัวมันด้วยเสื้อผ้าตัวเดียวกับที่ตัวเองใส่ แต่แล้วก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่เด็กชายเริ่มพูดคุยกับตุ๊กตา และมีเสียงตอบกลับการพูดคุยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยซึ่งไม่ใช่เสียงของเขาโดยสิ้นเชิง ข้าวของในบ้านเริ่มหายไปจากที่ที่มันอยู่ หรือบ้างก็แตกหักเสียหาย กลางดึกบางคืนนายและนางออตโตตื่นขึ้นเพราะเสียงกรีดร้องของลูกชาย เมื่อรีบเข้าไปที่ห้องก็พบว่าข้าวห้องในห้องล้มกระจาย เด็กชายยูจีนยังอยู่บนเตียงด้วยท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด และบอกพ่อกับแม่เขาว่า "โรเบิร์ตเป็นคนทำ"

เพื่อนบ้านละแวกเดียวกันยังบอกว่า ยามเขาเดินผ่านบ้านขณะที่ครอบครัวออตโตไม่อยู่ และมองไปบนหน้าต่างบ้าน พวกเขาเห็นตุ๊กตาตัวนี้เคลื่อนไหวจากหน้าต่างบานหนึ่งสู่อีกบานหนึ่งได้เอง แขกที่มาเยี่ยมบ้านก็สาบานว่าเขาเห็นมันพยักหน้าและกะพริบตาได้จริง ๆ อย่างไรก็ดี หลังยูจีนเสียชีวิตลงในปี 1974 บ้านหลังนี้พร้อม ๆ กับตุ๊กตาโรเบิร์ตที่ถูกเก็บไว้บนห้องใต้หลังคา ก็ตกเป็นของผู้ซื้อรายถัดมา และตุ๊กตาตัวดังกล่าวก็ตกเป็นลูกสาวของวัย 10 ขวบของเจ้าของบ้าน ที่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เจอเหตุการณ์เดียวกับที่ครอบครัวออตโตเจอ สาวน้อยกรีดร้องขึ้นมากลางดึก ข้าวของกระจัดกระจาย และเธอบอกว่าโรเบิร์ตพยายามจะฆ่าเธอ 

ปัจจุบันนี้โรเบิร์ตนั่งอยู่ในตู้แก้วที่พิพิธภัณฑ์ฟอร์ท อีสต์ มาร์เทลโล ที่คีย์เวสต์ คอยเฝ้ามองผู้ที่มาเข้าเยี่ยมชม แม้จะถูกเก็บเอาไว้ในตู้กระจก แต่มันก็ยังคงแสดงความเฮี้ยนให้เห็น หากมันพึงใจที่จะถูกถ่ายภาพ ตุ๊กตาโรเบิร์ตจะตอบรับด้วยการเอียงคอไปด้านข้าง แต่หากว่ามันไม่เต็มใจจะถูกถ่ายภาพล่ะก็ คุณจะได้รับคำสาปกลับไปเป็นของฝากแน่นอน นอกจากนี้ โรเบิร์ต ยังเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์ตุ๊กตาผี ชัคกี้ ที่โด่งดังอีกด้วย (อ้างอิงข้อมูลจาก wikipedia)





อันดับที่ 2 แอนนาเบล ตุ๊กตาปิศาจ สู่ภาพยนตร์ The Conjuring
จากภาพยนตร์หลอนประสาทอย่าง The Conjuring ตุ๊กตาแอนนาเบลได้เข้าไปมีส่วนในการสร้างความเขย่าขวัญเป็นอย่างมาก และมันมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงปี 1970's เมื่อคุณแม่ท่านหนึ่งได้ซื้อตุ๊กตาเย็บจากผ้าให้เป็นของขวัญวันเกิดให้กับ ดอนน่า ลูกสาวนักศึกษาวิชาพยาบาลของเธอ 

ดอนน่าวางตุ๊กตาตัวนี้ไว้บนเตียง แต่แล้วเธอกับรูมเมทก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรแปลก ๆ เมื่อพบว่าแอนนาเบลมักเปลี่ยนท่าทางไปจากเดิมที่เคยเห็นทุกครั้ง จากท่านั่งเหยียดขาก็กลับกลายเป็นนั่งไขว่ห้างมือกอดอก เมื่อหนักข้อขึ้นก็ถึงกับเปลี่ยนที่อยู่ไปเสียเฉย ๆ เมื่อเธอพบว่ามันไปนอนอยู่บนเตียง ทั้ง ๆ ที่ก่อนออกไปเรียนเธอวางมันไว้นอกห้องนอน และปิดประตูเรียบร้อยดีแล้วด้วย

ดอนน่าและเพื่อนร่วมห้องตัดสินใจหาคำตอบไขความสงสัย ด้วยการใช้คนทรงช่วยสืบหาความเป็นมาของตุ๊กตา จึงได้คำตอบว่ามันถูกเข้าสิงโดยวิญญาณของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ตายลงในพื้นที่นี้ก่อนที่อพาร์ทเม้นท์จะถูกสร้างขึ้น และวิญญาณของเธอก็อยากจะอยู่กับพวกดอนน่าด้วย เมื่อได้ฟังเช่นนี้ดอนน่าก็รู้สึกผูกพันกับตุ๊กตา และยังคงเก็บครอบครองมันไว้ แต่เหตุการณ์แปลก ๆ ก็ยังคงไม่หายไป นอกจากท่าทางและการเปลี่ยนห้องที่อยู่ของตุ๊กตาโดยพลการแล้ว วันหนึ่งเพื่อนที่มาพักกับเธอก็ถูกจู่โจมโดยอะไรบางอย่าง จนเกิดรอยแผลเลือดซิบที่หน้าอก และยังพบว่ามีรอยคล้ายนิ้วมือเล็ก ๆ อีก 7 นิ้วปรากฏอยู่ด้วย

คราวนี้ดอนน่าจึงไปขอความช่วยเหลือกจากสองสามีภรรยาเอ็ด และลอเรน วอร์เรน ผู้เชี่ยวชาญในการสืบเสาะเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ และก็ได้คำตอบเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ที่แตกต่างไปจากเดิม มันไม่ได้ถูกสิงด้วยวิญญาณเด็กผู้หญิง แต่เป็นปิศาจต่างหากที่พยายามอาศัยร่างของตุ๊กตาเพื่อให้ได้ใกล้ชิดและเข้าครอบครองร่างของคนในที่สุด เอ็ดและลอเรนได้แนะนำให้ดอนน่าล้างความชั่วร้ายออกไปจากอพาร์ทเม้นนี้ จึงได้เชิญหลวงพ่อมาทำพิธี และตุ๊กตาแอนนาเบลนั้น ดอนน่าก็ได้มอบปนขอร้องให้คนทั้งสองช่วยรับไปดูแลแทน แม้อพาร์ทเม้นท์จะถูกล้างความเฮี้ยนไปแล้ว แต่แอนนาเบลก็ไม่วายแผลงฤทธิ์ให้คู่สามีภรรยาวอร์เรนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อขากลับรถเริ่มเสียการทรงตัวเมื่อเข้าโค้งทุกหัวถนน จนต้องนำแอนนาเบลที่วางไว้ตรงเบาะหลังมายัดใส่ถุง แล้วรดน้ำมนต์เป็นสัญลักษณ์รูปไม้กางเขน จึงไปถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพ

ปัจจุบันนี้ แอนนาเบล ถูกกักเอาไว้ในตู้กระจกที่สร้างขึ้นพิเศษ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ออคคัลท์ รัฐคอนเนคติกัต แหล่งรวมของแปลก เฮี้ยน หลอน ของนายและนางวอร์เรน อย่างน้อยก็ช่วยกันให้เธอไม่ออกมาเคลื่อนไหวเพ่นพ่านเองข้างนอกได้ แต่ความเฮี้ยนของเธอก็ยังคงอยู่ เมื่อมีผู้มาเที่ยวชมชายหญิงคู่หนึ่งพูดจาลบหลู่ แต่แล้วหลังจากกลับออกไปจากพิพิธภัณฑ์ได้ไม่กี่ชั่วโมง คนหนึ่งก็รถมอเตอร์ไซค์คว่ำเสียชีวิต ส่วนอีกคนที่ซ้อนมาก็เจ็บหนักต้องรักษาตัวอยู่นาน และจนปัจจุบันนี้ก็ยังมีรายงานว่า แอนนาเบลยังออกมาสร้างความสยองขวัญให้กับผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อยู่เนือง ๆ




อันดับที่ 3 แมนดี้ ตุ๊กตาเด็กหน้าร้าว
แมนดี้ ถูกมอบให้กับพิพิธภัณฑ์เควสเนล ในบริติชโคลอมเบีย ประเทศแคนาดา ตั้งแต่ปี 1991 โดย เมเรียนดา ผู้เจ้าของคนเก่า สภาพเดิมของมันมีเสื้อผ้าขาดวิ่นเก่าสกปรก ตามตัวมีรอยหักชำรุด โดยเฉพาะส่วนใบหน้าที่แตกร่อนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นมันมีอายุราว 90 ปีแล้ว และนั่นอาจทำให้มันดูไม่ต่างจากตุ๊กตาโบราณเก่าคร่ำครึทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้ แมนดี้ แตกต่างออกไปก็คือ เธอดูคล้ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาด ๆ อยู่เสมอ

เมเรียนดาบอกว่าเธอมักได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ตอนกลางดึกจากชั้นใต้ดินอยู่บ่อยครั้ง เมื่อลงไปสำรวจก็พบว่าหน้าต่างระบายอากาศบานที่อยู่ติดกับตุ๊กตาตัวนี้เปิดอ้าออก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอจำได้แม่นยำว่ามันปิดสนิทเรียบร้อยดี แต่หลังจากที่มอบมันให้กับพิพิธภัณฑ์แล้ว เหตุการณ์นี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย

ทว่าความแปลกประหลาดกลับมาเกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์แทน เมื่ออาหารบางส่วนหายไปจากตู้เย็น แล้วก็ไปพบว่ามันถูกซุกอยู่ในลิ้นชักอย่างผิดวิสัย ข้าวของเคลื่อนย้ายหายไปจากที่เดิม บางชิ้นก็หาเจอ บางชิ้นดูคล้ายจะหายสาบสูญไปตลอดกาล ส่วนตุ๊กตาแมนดี้เองที่เคยถูกวางอยู่ทางเดินด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ที่ซึ่งปะทะกับทุก ๆ สายตาของผู้มาเยี่ยมชม ก็ถูกย้ายเข้ามาให้ห้องแถมเก็บแยกไว้ต่างหากแยกจากตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ด้วยเหตุผลว่า "ไม่อยากให้มันทำอันตรายตุ๊กตาตัวอื่นๆ" นอกจากนี้ผู้เยี่ยมชมที่พยายามถ่ายภาพหรือวิดีโอของแมนดี้หลายรายยังรายงานว่า กล้องของเขาจะดับ ๆ ติด ๆ ทุก ๆ 5 วินาที จนแทบไม่สามารถบันทึกภาพหรือถ่ายวิดีโอเธอได้ (น่าแปลกใจที่เหตุการณ์เดียวกันนี้ก็ถูกรายงานมาจากผู้ที่เข้าไปเที่ยวชมตุ๊กตาโรเบิร์ตด้วยเช่นกัน) นอกจากนี้ยังรู้สึกเหมือนมีสายตาคอยจับจ้องตามตลอดทุกฝีก้าวอีกด้วย

แม้ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่จะเริ่มคุ้นชินกับความรู้สึกหรือเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับแมนดี้แล้ว แต่หากเป็นไปได้ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนอยากจะออกจากที่ทำงานเป็นคนสุดท้าย และกลายเป็นผู้ต้องปิดพิพิธภัณฑ์คนเดียวอยู่นั่นเอง




อันดับที่ 4 ตุ๊กตาวูดู
มนตร์ดำ ตุ๊กตาวูดู คำสาปที่ตามหลอกหลอน อย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล่น ๆ หากว่ายังไม่ได้ฟังเรื่องตุ๊กตาวูดูที่หญิงรายหนึ่งจากเมืองกาลเวสตัน รัฐเทกซัส ซื้อมันมาจากแหล่งซอมบี้วูดูอย่างรัฐนิวออร์ลีน ผ่านทางเว็บไซต์อีเบย์ เมื่อปี 2004 ที่ผ่านมา

ตุ๊กตาวูดูถูกส่งมาอย่างเรียบร้อยอยู่ภายในกล่องโลหะสีเงิน ลักษณะคล้ายโลงศพเล็ก ๆ ถ้าเพียงแต่เธอไม่เปิดโลงและหยิบมันออกมาล่ะก็ เรื่องราวหลอกหลอนเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น จากความตั้งใจที่จะลองของเก็บประสบการณ์มาเขียนหนังสือเกี่ยวกับการซื้อขายผีทางอีเบย์ หญิงรายนี้กลับต้องหัวปั่นแทบเสียสติเมื่อเธอบอกว่าวูดูตัวดังกล่าวตามหลอกหลอน ไม่ว่ายามตื่นหรือยามหลับฝัน

เธอพยายามนำมันไปเผา แต่มันก็ไม่ไหม้ไฟ จะทิ่มแทงทำลายด้วยกรรไกรหรือมีดก็ไม่เป็นผล จึงได้ตัดสินใจนำไปฝังไว้ที่สุสาน เพียงเพื่อจะพบว่าตุ๊กตาวูดูตัวนั้นกลับมานอนอยู่หน้าประตูบ้านในสภาพเลอะเปรอะดิน เธอนำมันออกขายทางอีเบย์อีกครั้ง แต่ผู้ที่ซื้อมันไปบอกว่าจู่ ๆ ตุ๊กตาก็หายไป ซึ่งไปปรากฏอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธออีกครั้ง หรือแม้กระทั้งผู้ซื้อรายที่สามบอกว่าพัสดุสินค้าที่เธอได้รับนั้นเป็นกล่องเปล่า และนั่นมันก็ถูกพบอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธออีกแล้วนั่นเอง ผู้ที่ประกาศขายเดิมที่โฆษนาขายมันทางอีเบย์นั้น บอกว่าผู้ที่ซื้อไปจะต้องทำตามกฎในการครอบครองตุ๊กตามนตร์ดำนี้อย่างเคร่งครัด คือเก็บมันไว้ให้พ้นจากสายตาใคร ๆ และต้องไม่นำตุ๊กตาออกมาจากกล่องเด็ดขาด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอทำพลาดไปแล้วจริง ๆ ไม่ว่าจะหาทางกำจัดตุ๊กตาวูดูตัวนี้ออกไปจากชีวิตอย่างไร เธอก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเสียที สุดท้ายหญิงรายนี้ได้แต่นำมันไว้ในกล่องตามเดิม แล้วเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังคา หวังเพียงแต่เมื่อเธอขายบ้านนี้ทิ้งไป หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น หากว่าเธอยังพอมีโชคอยู่บ้าง เธอคงจะหลุดพ้นจากการตามหลอกหลอนของตุ๊กตาวูดูตัวนี้ได้เสียที 



อันดับที่ 5 ฮาโรลด์ ตุ๊กตาผีสิงตัวแรกที่ถูกขายในอีเบย์ 
เรื่องของฮาโรลด์ ไม่ใช่ตำนานเก่าแก่ แต่มันเป็นที่รู้จักโด่งดังในฐานะตุ๊กตาผีสิงตัวแรกที่ถูกขายทางอีเบย์ ซึ่งถูกขายโดยชายที่ชื่อเกร็ก ในปี 2003

เชื่อกันว่าฮาโรลด์ถูกสร้างขึ้นมาราวปี ค.ศ. 1930 มันเคยถูกใช้ในการถ่ายหนังสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีคนเห็นว่ามันค่อย ๆ ขยับตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครไปสัมผัส จากนั้นฮาโรลด์ก็ถูกเปลี่ยนมือมาเรื่อย ๆ ทุกคนที่ครอบครองมันล้วน รายงานถึงเสียงประหลาด ๆ ที่ได้ยิน ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองทั้ง ๆ ที่ในห้องไม่มีใครนอกจากฮาโรลด์ ตุ๊กตาที่เหมือนจะขยับเปลี่ยนท่าทางได้เอง การแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงรายงานความเจ็บป่วยที่ประดังเข้ามาเมื่อได้เป็นเจ้าของฮาโรลด์ เรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ข้องเกี่ยวกับแฮโรลด์กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างในโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะตามเว็บบอร์ดเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ

อย่างไรก็ดี เจ้าของรายล่าสุดของฮาโรลด์ แอนโธนี ควินาตา ผู้ซื้อมันมาจากอีเบย์ในปี 2004 ยังคงครอบครองมันมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความพยายามที่จะพิสูจน์ว่าฮาโรลด์มีอาถรรพ์อย่างที่ใคร ๆ ร่ำลือเอาไว้จริงหรือไม่ แม้จนถึงวันนี้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ก็มีรายงานจาก ทีมนักพิสูจน์เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ที่แอนโธนีได้เชิญไปพิสูจน์เกี่ยวกับฮาโรลด์ว่า ผู้นำทีมพิสูจน์จู่ ๆ ก็เกิดป่วยขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวไมเกรนอย่างหนัก ปวดครั่นเนื้อตัวและหลังช่วงล่าง จนในที่สุดก็ต้องระงับการดำเนินการพิสูจน์เรื่องตุ๊กตาผีฮาโรลด์ไป และแอนโธนีเองก็เริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรแปลก ๆ บางอย่างเกี่ยวกับตุ๊กตาที่เขาเป็นเจ้าของ เมื่อเขาเขียนเล่าในบล็อกของตัวเองว่า รู้สึกเหมือนเห็นฮาโรลด์ขยับตัวได้ และได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเด็กทารก ... ว่าแต่เสียงประหลาดเหล่านั้นมาจากตุ๊กตาเก่า ๆ ตัวนี้จริงหรือไม่ ฮาโรลด์เป็นตุ๊กตาผีสิงจริงหรือ และมันจะถูกขายทอดต่อไปในอีเบย์อีกไหม ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ และติดตามกันต่อไป






อันดับที่ 6 ปูป้า ตุ๊กตาที่มีเส้นผมของคนจริง ๆ 
สำหรับนักทำตุ๊กตาแล้ว การสร้างตุ๊กตาให้ออกมาละม้ายคล้ายคนจริง ๆ นับเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับ "ปูป้า" ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่ทำจากผ้าสักหลาด มันมีผมสีบลอนด์เข้ม ซึ่งเป็นผมของคนจริง ๆ ที่ช่างทำตุ๊กตาซื้อต่อมาสำหรับการนี้โดยเฉพาะ หากแต่ผมที่ทำมาจากเส้นผมจริง ๆ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของตำนานตุ๊กตาผีสิงตัวนี้เท่านั้นเอง..

เจ้าของเดิมของปูป้า เป็นเด็กหญิงชาวอิตาเลียนอายุราว 5-6 ขวบ เธอได้ครอบครองมันเมื่อราวปี 1920's และอยู่ผูกพันกับมันยาวนานจนกระทั่งเธอเสียชีวิตลงเมื่อเดือนกรกฎาคม 2005 เด็กหญิงผู้อายุยืนยาวจวบจนแก่ชรายังเล่าให้หลาน ๆ ของตัวเองฟังว่า ปูป้า เป็นเพื่อนที่ดีของเธอในทุกสถานการณ์ เป็นทั้งเพื่อนเล่น เพื่อนแท้ และเคยแม้แต่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ มันเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตจริง ๆ !!

อย่างไรก็ดี หลังจากเจ้าของคนเดิมล่วงลับแล้ว ปูป้าถูกเก็บไว้ในกล่องกระจกใส แล้วคนที่เหลือในครอบครัวก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น หลังจากมันสูญเสียเจ้าของไปแล้วมันดูจะค่อย ๆ มีชีวิต และเหมือนอยากจะหลุดพ้นออกมาจากที่ที่มันถูกเก็บเอาไว้ หลายครั้งที่คนในบ้านรู้สึกได้ยินเสียงเคาะกระจกเบา ๆ เมื่อเดินผ่านตู้กล่องกระจกของปูป้า สังเกตเห็นสีหน้าของมันที่ดูเปลี่ยนแปลงไป หรือแม้กระทั่งท่าทางของมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ ที่มันถูกเก็บเอาไว้ในกล่องโชว์ไม่มีใครไปจับเลยแท้ ๆ ..และแม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังคงสังเกตเห็นสีหน้า และท่าทางของปูป้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้อยู่เรื่อย ๆ 



อันดับที่ 7 ตุ๊กตาอลิซ ผู้หลอกหลอน
อลิซ เป็นตุ๊กตาพอซเลนตัวสวยของมารี ฟอร์ด ผู้อาศัยอยู่ในรัฐวอชิงตัน อเมริกา หลานของเจ้าของเดิมบอกว่า มันเป็นตุ๊กตาที่มีวิญญาณเพื่อนสนิทของคุณย่าสิงอยู่ และนั่นเป็นที่มาของชื่อ อลิซ มันถูกเก็บอยู่ในกล่องเก็บตุ๊กตา ล็อกกุญแจไว้อย่างดี โดยไม่อาจทราบได้ว่าเหตุผลใดจึงต้องนำตุ๊กตาตัวนี้ไปเก็บไว้มิดชิดเช่นนั้น

เมื่อนำมันออกมาตั้งโชว์อีกครั้ง ความหลอนก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกว่าถูกอลิซมองตามอยู่ตลอดเวลา และหากมันไม่ชอบใจใครขึ้นมาล่ะก็ สีหน้าของตุ๊กตาตัวนี้จะเปลี่ยนไปได้ แต่ที่สยองที่สุดคือเมื่อลองนำหูไปแนบหูไปไว้ใกล้ ๆ ริมฝีปากของมัน จะได้ยินเสียงกระซิบที่เย็นยะเยือกตอบกลับมา และประโยคที่เลวร้ายและหลอนจับใจจากอลิซนั้นกล่าวว่า "ฉันอยากอยู่โดดเดี่ยวและทรมานอย่างนี้ต่อไป"




อันดับที่ 8 เอมิเลีย ตุ๊กตาพูดได้
เอมิเลีย มีอายุกว่าร้อยปี มันเป็นตุ๊กตาที่กษัตริย์อัมเบอร์โต แห่งอิตาลี (1878-1900) ได้มอบให้กับอัลวาโด เบลลินา นายทหารผู้ซื่อสัตย์ และเป็นสหายที่ดีที่สุดของท่าน แต่สุดท้ายทั้งสองก็จบชีวิตลงด้วยการสังหารเพื่อล้มบัลลังค์ ตุ๊กตาตัวนี้จึงตกเป็นของมารี ลูกสาวของอัลวาโด ซึ่งเธอได้ตั้งชื่อให้มันว่า เอมิเลีย

มารีรักและผูกพันกับเอมิเลียมาก แต่ก็ต้องระหกระเหินหนีภัยสงคราม ทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ตุ๊กตาตัวดังกล่าวสูญเสียแขนทั้งสองข้าง หนังศีรษะ และเส้นผมบางส่วนหายไปจากแรงระเบิดที่ทิ้งลงมายังขบวนรถไฟที่กำลังแล่นหนีจุดที่โดนโจมตี แต่อย่างไรก็ดีมันยังเป็นเพื่อนรักของมารีเสมอ เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยหากได้อยู่กับตุ๊กตาสุดที่รัก 

ผู้ร่วมหลุมหลบภัยช่วงหนีสงครามกับมารีเล่าว่า เขาเห็นตุ๊กตาเอมิเลียส่งยิ้มมาให้ขณะที่มันอยู่บนตักของเธอ ส่วนมารีเองก็บอกว่า เมื่อตอนที่มันยังมีแขนอยู่ เอมิเลียกะพริบตาให้เธอ และมือของมันก็ขยับเองได้ด้วย หนำซ้ำมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอได้ยินเอมิเลียพูดออกมาว่า "มันไม่ดีเลยนะ" บางทีเธออาจจะฟังผิด อาจจะเป็นเสียงอย่างอื่นที่มาจากเอมิเลียก็ได้ เพราะเอมิเลียมีกล่องที่ทำให้ส่งเสียงได้ติดอยู่ แต่มันก็พังไปนานตั้งแต่ตอนหลบลูกระเบิดแล้ว.. แต่อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกยินดีที่เอมิเลียพูดด้วย แม้หลายครั้งเธอจะฟังไม่ออกว่ามันพูดว่าอะไร มารีรู้สึกผูกพันกับตุ๊กตาตัวนี้มาก ถึงขนาดตั้งชื่อลูกสาวของตัวเองว่า "เอมิเลีย" ตามตุ๊กตา ปัจจุบันมารีเสียชีวิตลงแล้ว และเอมิเลียตกอยู่ภายใต้การดูแลของลูกสาวเธอ ซึ่งเธอบอกกล่าวว่ายังคงได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากเอมิเลีย ราวกับว่ามันกำลังคิดถึงเจ้าของเดิมของตัวเอง




อันดับที่ 9 เมอร์ซี่ ตุ๊กตาผีสิง
เมอร์ซี่เป็นตุ๊กตาอีกหนึ่งตัวที่ถูกขายและซื้อต่อกันทางอินเทอร์เน็ต เชอร๋รี คุนน์ เจ้าของคนล่าสุดของมันไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องเห็นมันแสดงความเฮี้ยนมากเท่าใดนัก แค่สุ่มซื้อมาเพื่อหวังลองของพิสูจน์ว่ามีผีสิงจริง ๆ หรือเปล่าเท่านั้นเอง

แต่อย่างไรก็ดี การท้าพิสูจน์ของเธอทำให้ได้รู้ว่าเธอมองไม่พลาดจริง ๆ ที่คิดว่าตุ๊กตาตัวนี้อาจมีวิญญาณชั่วร้ายอะไรบางอย่างสิงอยู่ เมื่อแรกได้มันมาเธอเริ่มพิสูจน์ด้วยการถ่ายรูปมันด้วยกล้องจับพลังงาน และเมื่อล้างฟิล์มก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า เธอเห็นวงพลังงานเป็นแสงบางอย่างออกมาจากตัวของเมอร์ซี่ หลังจากคืนนั้นวิทยุที่อยู่ในห้องที่เธอถ่ายรูปก็เกิดจูนหมุนเปลี่ยนสถานีได้เอง สองวันหลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาเพราะว่าเมอร์ซี่ร่วงลงจากชั้นที่วางมันไว้ แต่ก็ต้องสะดุ้งปนขนลุกเมื่อได้พบว่า แทนที่มันจะนอนล้มอยู่ที่พื้นตามวิสัยสิ่งของไร้ชีวิตทั่วไป เมอร์ซี่กลับหล่นลงมาในท่ายืนสองขาอยู่บนพื้นด้วยตัวเอง หลังจากนั้นมาเธอจึงเชื่ออย่างแรงกล้าว่าจะต้องมีพลังลึกลับอะไรบางอย่างแฝงอยู่กับตุ๊กตาตัวนี้แน่ ๆ และเก็บมันไว้แยกออกไว้ต่างหาก เพราะเธอรู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งที่มีมันอยู่ใกล้ ๆ





อันดับที่ 11 คริสติน่า ตุ๊กตาผู้รักสงบ
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นตุ๊กตาผีสิง แต่คริสติน่า น่าจะเป็นตุ๊กตาผีสิงที่รักสงบที่สุดในบรรดาตุ๊กตาทุก ๆ ตัวที่กล่าวมา Shana St. German นักพิสูจน์เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติได้ซื้อมันมาจากเจ้าของเดิมในอีเบย์ ผู้ซึ่งเขียนจดหมายมาขอบคุณเธออย่างมากมายที่ช่วยให้คริสติน่าได้บ้านหลังใหม่ พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมาของคริสติน่าให้ฟังว่า..

เธอพบมันที่ร้านขายของเก่า Red Barn ในเมืองเจฟเฟอสัน รัฐเทกซัส แรกนั้นเธอแค่รู้สึกสะดุดตากับตุ๊กตาพอซเลนผมยุ่ง ๆ ตัวนี้ แต่แล้วก็ได้ซื้อมันกลับมาในที่สุด หลังจากเจ้าของร้านยืนยันว่าตุ๊กตาตัวดังกล่าวบอกกับเขาว่าอยากจะไปอยู่กับเธอจริง ๆ โดยทราบประวัติคร่าว ๆ ว่ามันเป็นตุ๊กตาเก่าที่น่าจะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ไม่ทราบเลยว่าก่อนหน้าที่จะมาอยู่ที่ร้านขายของเก่ามันเคยถูกครองครองโดยใครมาบ้าง อย่างไรก็ดี เธอได้มอบมันให้กับจัสมิน ลูกสาววัย 6 ขวบของเธอ และเด็กหญิงตั้งชื่อให้มันว่า "คริสติน่า"

จัสมินชอบตุ๊กตาตัวใหม่ของเธอมาก เธอเล่น กิน นอน แม้กระทั่งอาบน้ำกับคริสติน่า และพามันไปโรงเรียนอนุบาลด้วย แต่ทำอยู่ไม่กี่วันก็เก็บคริสติน่าไว้ที่บ้านตามเดิม โดยลูกสาวบอกกับเธอว่า คริสติน่าบอกว่าเบื่อที่จะต้องไปอยู่ที่โรงเรียนทุกวัน จนคราวหนึ่งเพื่อนสนิทที่สุดของลูกสาวมาเล่นด้วยแล้วทำขาของคริสติน่าหัก จัสมินร้องไห้ปานจะขาดใจและซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ลูกสาวยืนยันกับเธอและสามีว่าจะต้องจัดงานศพฝังเท้าส่วนที่หักไปให้ตุ๊กตาด้วย และได้เชิญมาแขกมาราวกับเป็นงานศพของคนจริง ๆ กระทั่งเพื่อนคนที่ทำให้เท้าของตุ๊กตาหักก็ถูกเชิญมาด้วย โดยลูกสาวบอกว่านี่เป็นความต้องการของคริสติน่า ซึ่งตอนนั้นเธอไม่ได้คิดมากอะไร เข้าใจว่าเป็นจินตนาการของเด็ก ๆ เท่านั้น

แต่ไม่นานนักเธอก็เริ่มตระหนักว่าตนเองคิดผิด เมื่อกลางดึกคืนหนึ่งลูกสาวของเธอร้องไห้จ้า และมาบอกเธอว่าคริสติน่ารู้สึกเจ็บปวดมากเพราะโดนมดรุมกัดเท้า แล้วรบเร้าให้ไปขุดเท้าที่ฝังไปแล้วขึ้นมา ซึ่งเธอก็ยอมทำตาม และพบว่ามีมดรุมอยู่ที่เท้าหัก ๆ ของตุ๊กตาจริง ๆ ตอนนั้นเองที่เธอคิดว่านี่มันมากเกินกว่าที่จินตนาการของเด็กวัยหกขวบกว่า ๆ จะคิดได้แล้ว ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจแอบนำคริสติน่าเก็บใส่หีบล็อกกุญแจแล้วไว้ที่ห้องใต้หลังคา และบอกกับลูกสาวซึ่งอายุ 7 ขวบแล้วว่า คริสติน่าเดินทางไปหาครอบครัวที่อังกฤษ จากนั้นเวลาก็ล่วงเลยมานาน จนเธอย้ายบ้านและได้นำคริสติน่าออกมาขายทางอีเบย์ กระทั่งมันถูกซื้อไปในที่สุด 

หลังจาก Shana ได้มันมาครอบครองแล้ว เธอก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ แต่จะถึงขั้นเรียกว่ารบกวนการใช้ชีวิตของเธอก็ไม่ใช่ บางวันที่กลับบ้านมาเธอสังเกตว่าเท้าของคริสติน่าห้อยออกมานอกเก้าอี้โยกตัวเล็ก ๆ ที่เธอวางมันไว้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนออกจากบ้านมันไม่ได้อยู่ในท่าทางนั้น คริสติน่าไม่ชอบโดนถ่ายรูป โดยกล้องของเธอจะติด ๆ ดับ ๆ หรือดับไปเลยแทบทุกครั้งที่พยายามถ่าย บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนเห็นมันโบกมือให้ตอนก่อนที่เธอไปทำงาน หรือยามที่เธอหวีผมให้มัน แต่ในวันรุ่งขึ้นผมของคริสติน่าก็จะกลับไปยุ่งเหยิงเหมือนเดิมอีกครั้ง เหมือนกับว่ามันพอใจให้ผมของตัวเองเป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ดี ไม่มีอะไรความผิดปกติอะไรร้ายแรงไปมากกว่านี้ ซึ่ง Shana เองก็รู้สึกโอเคกับมัน และคิดว่าคริสติน่าคงมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับเธอที่นิวยอร์กนี้เอง




อันดับที่ 11 ตุ๊กตาผีสิง ผูกโบว์สีแดง
ตุ๊กตาตัวนี้ถูกซื้อมาจากร้านขายของเก่า แต่หลังจากนั้นผู้ครอบครองกลับได้ยินเสียงเด็กวิ่งรอบๆเตียงนอน ต่อมาก็ฝันว่ามีเด็กผู้หญิงชวนไปเล่นด้วย เมื่อตื่นนอนเขาเริ่มเรียบเรียงความฝัน และจำได้ว่าเด็กผู้หญิงในฝัน...ผูกโบว์สีแดง!




อันดับที่ 12 ตุ๊กตาจูเลียต

เอมิเลีย คือตุ๊กตาผีจากอิตาลี คุณพ่อชาวอิตาเลียนมอบให้ลูกสาวเพื่อเป็นของขวัญ แต่ลูกสาวของเขาเสียชีวิตจากการเกิดสงคราม ขณะที่ตุ๊กตาตัวนี้ก็สูญเสียแขนทั้งสองข้างและหนังศีรษะ ผู้เป็นแม่เชื่อว่าตุ๊กตาตัวนี้มีวิญญาณของลูกสาวสิงอยู่


ตุ๊กตารัสเซีย Katja


อันดับที่ 13 ตุ๊กตารัสเซียคัตจา Katja

ตุ๊กตาตัวนี้มีที่มาจากตำนานของนางสนมรายหนึ่งของพระเจ้าซาร์ เมื่อปี 1730 เรื่องเล่าว่า สนมนางนั้นตั้งครรภ์ และเธอคาดหวังว่าจะได้บุตรชาย แต่โชคร้ายเด็กน้อยที่คลอดออกมากลับเป็นเพศหญิงและมีรูปร่างไม่สมบูรณ์ เด็กจึงถูกเผาทั้งเป็น ด้วยความโศกเศร้าของผู้เป็นแม่จึงนำเอากระดูกมาผสมกับดินและทำเป็นตุ๊กตา เชื่อกันว่า ตุ๊กตาถูกเก็บรักษาอย่างดี เพราะมันคือสิ่งที่นำมาซึ่งคำสาปจากเด็กน้อยที่ทุกข์ทรมานจากการถูกเผา

มีเรื่องน่าขนลุกว่า ถ้าคุณจ้องตา Katja ประมาณ 20 วินาที ตุ๊กตาตัวนี้จะกระพริบตา นอกจากนี้ยังมีคนพยายามประกาศขาย Katja ทางอีเบย์ แต่ภายหลังเว็บไซต์ชื่อดังกลับสั่งระงับการขาย เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นมากมาย



อันดับที่ 14 ตุ๊กตาที่ทำมาจากคนตาย

ตุ๊กตาตัวนี้มาจากประเทศญี่ปุ่นทำขึ้นมาจาผิวหนังของคนที่ตายแล้ว ซึ่งผู้ครอบครองรับรู้ได้ถึงความเย็นชา และสิ่งของที่เคยมีชีวิต



อันดับที่ 15 โอคิคุนิงโย

ในปี ค.ศ.1919 หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปหมาด ๆ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เอคิชิ ซูซุกิ อายุ 18 ปี เขามีน้องสาววัย 3 ขวบ อยู่คนหนึ่งกำลังน่ารักน่าชังชื่อ คิคุโกะ วันหนึ่งเขาได้พาน้องสาวออกไปเดินเล่นตามปกติ ระหว่างทางก็บังเอิญไปเจอตุ๊กตาญี่ปุ่นแบบโบราณตัวหนึ่งในร้านค้า เขาก็เลยซื้อให้เป็นของขวัญแก่น้องสาว น้องของเขาก็ชอบตุ๊กตาตัวนี้มาก เวลาไปไหนก็จะพาไปด้วยตลอดเลย เขาและน้องตั้งชื่อให้มันว่า “โอคิคุ” มันมีความสูงราว 40 เซนติเมตร ใส่ชุดกิโมโน มีดวงตาสีดำ และผมยาวแค่บ่า


หลังจากนั้นเพียงปีเดียว ผู้เป็นน้องสาวก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลง ทำให้เอคิชิเสียใจมากเพราะเขารักน้องที่สุด เขาจึงเก็บตุ๊กตาโอคิคุเอาไว้อย่างดี โดยคิดว่ามันเป็นตัวแทนของน้องสาว หลังจากคิคุโกะเสียชีวิตได้ไม่นาน เอคิชิก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจากตุ๊กตาญี่ปุ่นตัวนั้น เพราะผมของมันซึ่งปกติแล้วยาวแค่บ่าและถูกตัดเรียบเสมอกัน เริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนผมของคนที่มีชีวิต ทำให้เอคิชิและทุกคนในครอบครัวเชื่อว่าดวงวิญญาณของเด็กหญิงคิคุโกะได้เข้ามาสิงอยู่ในตุ๊กตาโบราณตัวนั้นแล้ว พวกเขาจึงเก็บรักษามันไว้อย่างดียิ่งขึ้น

หลายปีผ่านไป พ่อแม่ของเอคิชิก็เสียชีวิตลง ทำให้เขาต้องอยู่ตามลำพังคนเดียว อีกทั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็กำลังปะทุขึ้น ทำให้เอคิชิได้รับการเรียกตัวจากกองทัพญี่ปุ่นให้ไปรับใช้ชาติ เขารู้ว่าสงครามนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเขาคงไม่อาจอยู่รักษาสมบัติของครอบครัวได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงคือน้องสาว เขาจึงนำตุ๊กตาโอคิคุพร้อมกับอัฐิเถ้ากระดูกของน้องไปมอบไว้ให้แก่ทางวัดช่วยดูแลวัดนั้นชื่อว่า วัดเมนเนนจิ

เมื่อสงครามสิ้นสุดลงเอคิชิก็รีบกลับไปยังวัดที่เขาได้ฝากตุ๊กตาและเถ้ากระดูกของน้องสาวเอาไว้ แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าตุ๊กตาโอคิคุผมงอกยาวขึ้นมาอีกจนเกือบถึงกลางลำตัว มีผู้คนล่ำลือว่าบางครั้งพวกเขาก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กๆ บริเวณที่วางตุ๊กตา และบางครั้งก็มีคนเห็นตุ๊กตาโอคิคุร้องไห้ พวกเขาเชื่อว่าวิญญาณของคิคุโกะเสียใจที่ต้องจากโลกนี้เร็วเกินไป และเธอก็ยังเป็นทุกข์เพราะอาลัยที่ต้องจากบ้าน และคิดถึงพี่ชายที่ต้องจากเธอไปรบในสงคราม จนถึงปัจจุบันนี้ตุ๊กตาโอคิคุก็ยังคงอยู่ที่วัดเมนเนนจิ เพื่อให้ผู้คนได้เข้าไปดูความลึกลับแปลกประหลาดของเธอ ซึ่งก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าเส้นผมของตุ๊กตายาวออกมาเองได้อย่างไร แต่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ครั้งหนึ่งที่ยืนยันว่าเส้นผมของตุ๊กตาโอคิคุนั้นทำจากเส้นผมของเด็กจริง ๆ.....



ที่มา : https://movie.kapook.com/view76683.html








 

Create Date : 02 สิงหาคม 2557    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 16:41:29 น.
Counter : 3062 Pageviews.  

คำสาปของนางเลือดขาว






เรื่องของ "นางเลือดขาว" 
ว่ากันว่าพระนางนั้น ได้เอ่ยปากสาปแช่ง "เกาะลังกาวี" ให้พบกับความหายนะ ก่อนที่จะหัวหลุดจากบ่า ในภาพนี้คือภาพจำลองพระนางเลือดขาว นางเป็นหญิงสาวชาวภูเก็ต ที่อนุชาองค์สุลต่านแห่งลังกาวี ได้เลือกเป็นคู่ครอง พระนางได้มาอยู่กับพระอนุชาขององค์สุลต่านในฐานะพระชายาองค์รอง แต่ด้วยเหตุที่พระชายาองค์ใหญ่ซึ่งมีฐานะเป็นปะไหมสุหรีมีบุตรเป็นหญิง ส่วนพระนางมัสสุหรี มีบุตรเป็นชายชื่อ"วันฮาเกม" ซึ่งตามกฎของราชสำนัก พระชายาที่มีบุตรเป็นชายจะได้รับตำแหน่งเป็น ปะไหมสุหรี ทำให้ชาวลังกาวี ที่เป็นพระญาติฝ่ายของปะไหมสุหรีองค์ใหญ่ เก็บความอิจฉาไว้ลึกๆหลังจากนั้นไม่นาน พระสวามีของพระนางมัสสุหรี ต้องเดินทางออกรบกับกองทัพอยุธยาที่บุกมาโจมตี จึงเป็นโอกาสของผู้ที่ปองร้าย ต่างหาเรื่องสร้างสถานการณ์ว่าพระนางนั้นคบชู้ ทำให้องค์สุลต่านสั่งตัดสินประหารชีวิตพระนางหรีด้วยกริช โดยที่สามีกลับมาช่วยไม่ทัน ซึ่งก่อนที่จะสิ้นพระชนม์นั้น พระนางได้เปล่งคำสาปว่า "หากนางไม่มีความผิด ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง และขอให้เกาะลังกาวีไร้ความเจริญไป7ชั่วคน"แต่พอเพชฌฆาตลงกริชประหาร คมกริซนั้นกลับไม่ระคายผิวนางเลย เมื่อเป็นเช่นนี้พระนางมัสสุหรีจึงบอกกับเพชฌฆาตให้กลับไปนำกริชพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา และเมื่อคมกริชจรดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นข้างบนราวกับเป็นร่มโดยไม่ตกลงบนพื้นดินเลย

ด้านพี่ชายของพระนางมัสสุหรีเกรงว่าหลานชายวัย 5 เดือน ทายาทคนเดียวของพระนางมัสสุหรีจะมีภัย จึงนำลงเรือล่องมายังเกาะภูเก็ต และเริ่มตั้งรกรากที่นั้น โดยโอรสของพระนางมัสสุหรีเติบโตขึ้นมีนามว่า "โต๊ะวัน" นับเป็นทายาทรุ่นที่ 1และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเกาะลังกาวีก็เงียบเหงา ผู้คนอยู่กันอย่างไม่มีความสุข จากผลจากการสาปแช่งในครั้งนั้น มาจนถึง 7 ชั่วคน จนกระทั่งมาถึง น.ส.สิรินทรา ยายี ทายาทรุ่นที่ 7 ของพระนาง ได้เดินทางจากไทยไปล้างอาถรรพ์ของบรรพบุรุษให้ลังกาวี ซึ้งทุกอย่างเป็นไปตามคำสาปนั้นซึ่งใช้เวลากว่า 200 ปี เพื่อทำให้เกาะลังกาวีรุ่งโรจน์โชติชัชวาลอีกครั้งหนึ่ง....











 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 14:42:17 น.
Counter : 3189 Pageviews.  

อาโอกิงาฮาระ ป่าแห่งความตาย





คนเราล้วนเกิดมาพร้อมกับความหวงแหนในชีวิตของตน ทุกสัญชาตญาณที่ติดตัวมาล้วนมีไว้เพื่อความอยู่รอด หากพูดถึงเรื่องของ “การฆ่าตัวตาย” บางครั้งมันก็ฟังเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่อันที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ทำยากมาก เพราะนอกจากความหวาดกลัวในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ยังมีเรื่องของความอาลัยอาวรณ์ต่อผู้คนและสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเราจะนึกถึงก่อนตายด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่คิดฆ่าตัวตายจะต้องเป็นผู้ที่หมดสิ้นแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ หรือไม่ก็สิ้นคิดจริง ๆ จึงจะทำได้สำเร็จ


แต่กล่าวกันว่า มีสถานที่บางแห่งเป็นสถานที่อาถรรพ์และมีบรรยากาศเชิญชวนให้ผู้ที่ได้ไปสัมผัสมีความคิดอยากจะ “ฆ่าตัวตาย” แต่ในความเป็นจริงป่าแห่งนี้ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปสักเท่าไรนัก เว้นแต่ผู้ที่อยากตายเท่านั้น เพราะในแต่ละปีมีผู้คนเดินทางไปฆ่าตัวตายที่นั่นไม่ต่ำกว่า 100 คน ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกเขาจงใจไปฆ่าตัวตาย หรือการไปเยือนที่นั่นทำให้เกิดความรู้สึก “อยากตาย” กันแน่ ผู้ที่ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าแห่งนี้ น้อยคนนักที่จะกลับออกมา ฮายาโนะเชื่อว่าพวกเขาได้ตัดสินใจมาก่อนแล้วว่าจะจบชีวิตของตนเองลงที่นั่น บางคนที่ยังคงลังเลและต้องการเวลาตัดสินใจ พวกเขาจะใช้เชือกหรือเทปขึงไปตามทางเดินที่เขาเข้าไป เพื่อให้มั่นใจว่าหากเขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็จะสามารถเดินตามเชือกนั้นออกมาได้ หรืออาจหวังว่าจะมีคนตามไปพบเขาก่อนที่เขาจะทำอะไรโง่ ๆ ลงไป แต่ก็มีบางคนที่ดูคล้ายกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาฆ่าตัวตาย เช่น มีร่องรอยการตั้งเต้นท์ และทำอาหาร แต่แล้วพวกเขาก็จบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง


หนึ่งในสถานที่อาถรรพ์ซึ่งโด่งดังมากคือ “ป่าอาโอกิงาฮาระ” ตั้งอยู่บริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น ลักษณะเป็นป่าใหญ่และเป็นอุทยานอันสวยงาม เหมาะสำหรับการตั้งแคมป์ ปิคนิค หรือประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในวันหยุด จำนวนของผู้ที่มาฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้มีมากมายอย่างต่อเนื่องกันมายาวนานเสียจนต้องมีการห้ามเผยแพร่ข่าวทางสื่อต่าง ๆ เพราะเกรงว่าผู้คนจะพากันมาฆ่าตัวตายที่นี่ตามกระแสข่าว และจะยิ่งเป็นการเพิ่มอัตราการตายให้มากขึ้น เคยมีผู้สันนิษฐานว่า สาเหตุที่หลายคนเลือกมาตายที่นี่ อาจมาจากกระแสนิยมของนวนิยายเรื่องหนึ่งในปี ค.ศ.1960 ชื่อเรื่อง “ทะเลป่าสีดำ” ซึ่งตามเนื้อเรื่องนั้น พระเอกและนางเอกมาฆ่าตัวตายที่ป่าแห่งนี้ แต่จากข้อเท็จจริงระบุว่า การฆ่าตัวตายในป่านี้มีมานานแล้ว ก่อนที่นวนิยายเรื่องดังกล่าวจะถูกเขียนขึ้นเสียอีก


นายอาซูยะ ฮายาโนะ ผู้ศึกษาและดูแลผืนป่าแห่งนี้มานานกว่า 30 ปี มีความสนใจในปริศนาการฆ่าตัวตายนี้มาก ทุกวันนี้นอกจากเขาจะมีหน้าที่ดูแลป่าแล้ว เขายังมีหน้าที่ค้นหาศพ หากโชคดีก็อาจพบผู้ที่กำลังจะฆ่าตัวตายและมีโอกาสเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นให้เปลี่ยนใจแล้วออกจากป่าไปเสีย เขากล่าวว่า ในแต่ละปีเขาพบศพไม่ต่ำกว่าร้อยราย ศพส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะที่ผูกตัวติดกับต้นไม้ บ้างก็แขวนคอตาย บ้างก็นอนตายที่พื้นในลักษณะต่าง ๆ กัน เขาต้องทำใจให้ชินกับสภาพศพที่เปลือยเปล่าและเน่าเฟะ บางครั้งกว่าจะถูกค้นพบก็กลายเป็นกระดูกไปเสียแล้ว นอกจากศพก็ยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ทรัพย์สินของผู้ตาย สาส์นลาตาย และเครื่องหมายต่าง ๆ ที่ผู้ตายทำขึ้น

หลายฝ่ายพยายามหาคำตอบว่าทำไมผู้คนจึงพร้อมใจกันมาตายที่นั่น มีการสันนิษฐานกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าป่าแห่งนี้เป็นป่าสมบูรณ์ที่ทำให้คนหลงทางได้ง่าย เมื่อเข้าไปแล้วไม่สามารถหาทางออกมาได้ บ้างก็ว่าเป็นกระแสนิยมที่ทำตาม ๆ กันเท่านั้นไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ฝ่ายนักจิตวิทยาก็ออกมาให้ความเห็นว่าคนเมืองในปัจจุบันมีปัญหาหลายอย่างอันเนื่องมาจากสังคมและเศรษฐกิจ พวกเขาจึงเลือกที่จะฆ่าตัวตายอย่างสงบในป่า ป่าแห่งนี้ไม่ได้โด่งดังเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น คนทั่วโลกรับรู้เรื่องความประหลาดและน่าสะพรึงกลัวของมัน จนกระทั่ง เจนนิเฟอร์ เซนท์ส นักจิตวิทยา ร่วมกัน จอห์น เอล. สกิลล์ตัน ผู้ชื่นชอบในการบุกเบิก พร้อมกันทีมงานกลุ่มหนึ่งได้เดินทางไปยังป่าแห่งนี้เพื่อถ่ายทำสารคดีและพิสูจน์ความจริง ด้วยสมมติฐานที่ว่า “ผู้ที่เข้าไปในป่าอาโอกิงาฮาระ จะพบอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขาอยากตาย”


เจนนิเฟอร์ เล่าว่า “ทันทีที่เดินเข้าไปในป่าตามลำพัง บรรยากาศนั้นเงียบและวังเวงมาก คุณอาจจะพบเศษซากของผู้ที่ฆ่าตัวตาย เช่น เศษเสื้อผ้า รองเท้า หรือข้อความที่จารึกอยู่บนต้นไม้ บางข้อความเป็นการสั่งเสีย บันทึกเวลาตาย รวมถึงระบายความทุกข์ แต่ที่แน่ ๆ ในป่าแห่งนี้ให้ความรู้สึกถึงความรันทดสิ้นหวัง ว่างเปล่า และแน่นอนคุณจะคิดถึงความตาย ไม่แปลกถ้าอยู่ดี ๆ คุณจะอยากตายขึ้นมา” ส่วนจอห์นเล่าว่า “ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องมองผมอยู่ทุกที่ตลอดเวลา ยิ่งเดินลึกเข้าไปความเงียบยิ่งทำให้ผมประสาท บางอย่างทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาที่แย่มากในชีวิต เหมือนภาพนิมิตที่ผุดออกมาเรื่อย ๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่า มันเป็นเหมือนสุสานที่เชื้อเชิญให้คุณทิ้งปัญหาทุกอย่างเสีย แล้วก้าวเข้าสู่ความตาย” สุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีใครอธิบายได้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับการที่ใครหลายคนพร้อมใจกันเลือกที่นี่เป็นจุดจบ อาถรรพ์ จิตวิทยา หรือปัญหาสังคม ไม่มีใครบอกได้ แต่ความจริงที่ปรากฏมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานคือ ผู้ที่ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าแห่งนี้…พวกเขาอาจจะไม่ออกมาอีกเลย....



ที่มา : https://www.dek-d.com/board/view/3540772/








 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2557    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 14:17:15 น.
Counter : 3078 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.