4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 
8 ที่อยู่ของคนตาย ที่กลายมาเป็นที่เที่ยวของคนเป็น (ตอนที่ 1)

 อันดับที่ 1 คุ้มขุนแผน พระนครศรีอยุธยา 


ณ บริเวณถนนป่าโทน ตำบลประตูชัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ในอดีตนับย้อนไปช่วงที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี บริเวณนี้เป็นสถานที่ตั้งของคุกนครบาล หรือคุกมหันตโทษ ตัวคุกเป็นคอกหรือกรง สร้างด้วยไม้ไผ่ ตั้งในลานให้ถูกลมถูกฝนอยู่ตลอดเวลา ภายในบริเวณคุกจะมีวัดเกษเป็นศาสนสถานประจำ ใช้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ และบริเวณใกล้กันจะเป็นตะแลงแกงใช้ประหารชีวิตผู้กระทำผิด รวมไปจนถึงเหล่าขุนนางที่กระด้างกระเดือง ซึ่งในยุคนั้นร่ำลือกันว่า “ไม่มีเรือนจำที่ไหนจะร้ายเท่าเรือนจำในกรุงศรีฯไปได้ ” ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นจุดจบของหลายชีวิตที่กระทำความผิด และเป็นศูนย์รวมของความเศร้าโศกไปจนถึงศูนย์รวมแห่งเสียงคร่ำครวญของการทรมานและการจากลา

วันเวลาผ่านไปในปี 2483  นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ได้ย้ายจวน คหบดีไทยสมัยโบราณ ซึ่งเดิมเป็นจวนสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเก่า ซึ่งพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์สิริพัฒน์ ได้ทรงสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2437 ที่เกาะลอยบริเวณสะพานเกลือ มาสร้างในบริเวณคุกนครบาลเก่าของพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งสร้างเรือนไทยเพิ่มขึ้นอีกในปี พ.ศ.2499 และให้ชื่อเรือนไทยนี้ว่า "คุ้มขุนแผน" ดำริเมื่อแรกสร้าง เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้เห็นและศึกษารูปบ้านไทยในชนบทสมัยโบราณ ทั้งจะเห็นว่าก่อนนั้นจัดบ้านอย่างไร  เช่น เรือนเอก เรือนโท หอพระ หอเครื่อง หอนั่ง ครัวไฟ ซึ่งนับวันรูปบ้านไทยโบราณแทบจะหมดไป ทำให้ที่นี่กลายเป็นอีก 1 สถานที่ท่องเที่ยวที่เมื่อไปเยือนอยุธยา นักท่องเที่ยวที่รักในความเป็นอยู่ในอดีตไม่พลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมเยือน ปิดตำนานความน่ากลัวของสถานที่แห่งความตายและความเลวร้ายของคุกเก่าไปโดยถาวร



 อันดับที่ 2 ถ้ำน้ำลอด แม่ฮ่องสอน 

อีกหนึ่งสถานที่ที่อดีตคนตายเคยอยู่ แต่ปัจจุบันคนเป็นได้เข้ามาอยู่ร่วมนั่นคือ ถ้ำน้ำลอด จ.แม่ฮ่องสอน โดยลึกลงไปในบริเวณตำบลถ้ำลอด ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 77 กม. เราจะพบกับสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand ที่เกิดจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติเมื่อลำห้วยไหลลอดภูเขาไปทะลุออกอีกด้าน ก่อเกิดถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม จากการตรวจสอบพบว่าที่นี่นับย้อนเวลาไปราว 2,000 ปี เป็นที่อาศัยอยู่ของมนุษย์โบราณ มีการค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้โบราณในถ้ำ  พบเศษภาชนะดินเผา มีซึกฟัน และกระดูกของมนุษย์ เมล็ดพืช เครื่องมือหิน รวมทั้ง "โลงผีแมน" อีกด้วย

โลงผีแมน มีลักษณะเป็นท่อนไม้ ที่ถูกขุดตรงส่วนกลางออกเป็นร่องคล้ายเรือ หรือรางไม้ใส่อาหารให้สัตว์เลี้ยง มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก โดยโลงขนาดใหญ่จะถูกวางอยู่บนคานโดยใช้เสา 4-6 ต้น ตั้งกับพื้นถ้ำ และเสาแต่ละคู่ จะถูกเจาะเป็นช่องเพื่อสอดใส่คานไว้วางพาดโลงผีแมนอีกชั้นหนึ่ง เชื่อว่ามีไว้สำหรับบรรจุศพมนุษย์โบราณ และคาดว่าบริเวณที่แห่งนี้อาจจะเคยเป็นสุสานหรือสถานที่สำหรับประกอบพิธีศพในสมัยโบราณก็เป็นได้  เดิมบริเวณถ้ำแห่งนี้เชื่อกันว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องคุ้มครองอยู่ ชาวบ้านไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปในบริเวณถ้ำ เพราะกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำร้าย ยิ่งมีการค้นพบโลงศพโบราณยิ่งทำให้ความเชื่อชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันถ้ำน้ำลอด หรือสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด ได้อยู่ในความดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มแม่น้ำปาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการยกย่องให้เป็น Unseen Thailand อีกแห่งที่น่าสนใจ โดยบริเวณรอบ ๆ ถ้ำน้ำลอด จะมีบรรยากาศร่มรื่น มีความเป็นธรรมชาติ และเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวที่รักในการศึกษาธรรมชาติและชอบความท้าทายต้องลองมาเที่ยวดูสักครั้ง โดยภายในบริเวณถ้ำประกอบด้วยห้องโถงใหญ่อีก 3 ห้อง เรียกชื่อต่าง ๆ กันคือ ถ้ำเสาหินหลวง เป็นถ้ำกว้างใหญ่ มีหินงอกหินย้อยที่มีความสวยงาม ถ้ำตุ๊กตา มีหินงอกเป็นปุ่มปมเล็กๆ คล้ายตุ๊กตาเรียงรายอยู่มากมาย และด้านหนึ่งของผนังถ้ำยังปรากฏภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์  ในส่วนของถ้ำนี้ จัดเป็นถ้ำที่กว้างและยาวที่สุดในถ้ำลอด และถ้ำสุดท้ายอยู่ด้านทางออกคือ ถ้ำผีแมน ซึ่งเป็นจุดที่พบโลงศพไม้สักโบราณที่เชื่อว่า เป็นโลงที่ใช้บรรจุศพจริงในยุคโบราณสมัย 2,000 ปี

การเข้าเยี่ยมชมถ้ำน้ำลอดแห่งนี้นั้นทำได้ตลอดปี ตั้งแต่เวลา08.00-16.00 น. แต่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าชมเองได้ เนื่องจากภายในถ้ำมืดมาก จึงต้องใช้บริการผู้นำทางพร้อมตะเกียงเจ้าพายุ การเดินทางทำได้เพียงการนั่งแพล่องไปตามธารน้ำเพื่อชมถ้ำต่าง ๆ เท่านั้น


อันดับที่ 3 ภูหินร่องกล้า 

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อุทยานแห่งชาติแห่งที่ 48 ของไทย เป็นเครื่องเตือนใจถึงประวัติศาสตร์การสู้รบอันยาวนาน สมรภูมิเลือดระหว่างการสู้รบของคน 2 กลุ่ม คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กับ ฝ่ายความมั่นคง วีรกรรมของนักรบไทยที่เกิดขึ้น ณ ที่นี้ ในอดีตได้ถูกบันทึกเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา โดยแต่เดิมเมื่อครั้งสงคราม ที่นี่นับเป็นจุดยุทธศาสตร์อีกแห่งของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ที่เมื่อเวลาทหารไทยลงมา จะเป็นจุดที่เหล่าทหารคอมมิวนิสต์ใช้เป็นที่พรางตัวและซุ่มโจมตี  โดยทหารคอมมิวนิสต์จะซ่อนตรงร่องหินแตก เมื่อทหารไทยกระโดดผ่านก็จะโดนลอบยิงตายเป็นจำนวนมาก เมื่อเวลาผ่านไปทหารไทยแก้เกมได้ทัน เมื่อเจอร่องหินจะนำระเบิดโยนลงไปก่อน ทำให้ฝ่ายคอมฯ โชคร้ายถูกระเบิดอัดเสียชีวิตคาในร่องหิน และด้วยร่องหินมีความลึกมาก จึงไม่สามารถเก็บศพมาทำพิธีได้ ส่งผลให้บริเวณนี้มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งตลบอลอวลไปทั่ว กลายเป็นสมรภูมิรบอีกแห่งที่มีผู้คนพาชีวิตมาทิ้งเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันเมื่อสงครามการสู้รบสงบลง ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก สาเหตุมาจากเป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติแปลกและสวยงาม ทั้งยังเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ เป็นยุทธภูมิที่สำคัญ อันเนื่องจากความขัดแย้งของลัทธิและแนวความคิดทางการเมือง จึงทำให้ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่รักษาไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ของการสู้รบ และความสวยงามทางธรรมชาติที่สมบูรณ์  นอกจากนี้ลักษณะภูมิอากาศของที่นี่ จะมีลักษณะคล้ายภูกระดึงและภูหลวง เนื่องจากมีความสูงในระดับไล่เลี่ยกัน ทำให้อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำประมาณ 4 องศาเซลเซียส ฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบาย ฝนตกชุกในฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี ประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส หากสนใจการท่องเที่ยวที่ได้ทั้งความงาม ความรู้ทางประวัติศาสตร์และเยี่ยมชมจุดที่ทหารหาญได้สละชีวิตไปจนถึง “สถานที่ตาย” ของโจรคอมมิวนิสต์ในอดีต มาที่นี่ที่เดียว ไม่ผิดหวังแน่นอน



 อันดับที่ 4 สมาคมแต้จิ๋ว 

หากลองนับสถานที่สุดเฮี้ยนในประเทศไทยดู ไม่เกินนับนิ้วมือแรกชื่อ “ป่าช้าวัดดอน” ต้องเป็นหนึ่งในสถานที่ที่คนทั่วไปรู้จักและคิดถึงเป็นอันดับต้นๆ พร้อมยกนิ้วให้กับความเฮี้ยน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวมากมายจากผู้มีประสบการณ์ตรง ไปจนถึงเรื่องเล่าที่บอกต่อกันมา จนทำให้ในยามที่พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าไปจนถึงเวลาใกล้รุ่งสาง แทบจะไม่มีผู้คนเยี่ยมกรายไปยังบริเวณนี้เลย 

สาเหตุใหญ่ของความเฮี้ยนและเรื่องราวการบอกเล่าเหตุการณ์น่าสะพรึงต่าง ๆ มาจากการรวมตัวกันของศพกว่าหมื่นศพ บนเนื้อที่กว่า 150 ไร่ ของสุสาน 3 แห่ง นั่นคือ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้  โดยเฉพาะพื้นที่ 30 ไร่ ของ มูลนิธิปอเต็กตึ้ง ที่ได้รวมเอาเหล่าบรรดาศพไม่มีญาติ ศพที่ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือโรคร้ายแรงต่างๆ มาบรรจุไว้ ณ สุสานแห่งนี้ ซึ่งบริเวณโดยรอบป่าช้าแห่งนี้ แต่ก่อนมีรั้วรอบขอบชิดไม่เปิดให้ใครได้เข้าไป  จะให้เข้าได้เฉพาะช่วงเทศกาลเชงเม้ง หรือวันที่ชาวจีนจะไปไหว้บรรพบุรุษกันเท่านั้น ทำให้ในช่วงเวลาอื่นๆ ป่าช้าแห่งนี้จะเงียบสงบ มีบรรยากาศวังเวงสมเป็นป่าช้า และเรื่องราวหลอนๆก็ติดตามมามากมาย

ปัจจุบันเมื่อมีการล้างป่าช้าบ่อยขึ้น การขยายของเมืองเริ่มรุกเข้ามามากขึ้น มีถนน ทางด่วน และจุดเชื่อมต่อถนนสายหลัก (ถนนสาทร, ถนนจันทน์) ทำให้ต้องมีการปรับปรุงสภาพป่าช้า จนเกิดเป็นโครงการ  "สวนสวยในป่าช้า" หรือ "สวนสวยสมาคมแต้จิ๋ว"  ขึ้น มีการปรับปรุงพื้นที่ของ ป่าช้าวัดดอน บางส่วนเพื่อใช้เป็นสวนสาธารณะให้คนได้เข้าไปออกกำลังกาย  มีการประดับตกแต่งพื้นที่ให้มีความสวยงาม สามารถพักผ่อนหย่อนใจได้มากขึ้น ประกอบกับไม่มีการนำศพใหม่เข้ามาฝังในพื้นที่อีกต่อไป  ทำให้ที่นี่ได้กลายเป็นสวนสาธารณะที่แปลกไม่ซ้ำใคร เพราะได้รวมเอาพื้นที่สำหรับคนเป็นและคนตายมาอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว  เปลี่ยนไปจากสถานที่สุดน่ากลัว กลายเป็นสถานที่สำหรับครอบครัวโดยแท้จริง







Create Date : 09 สิงหาคม 2557
Last Update : 9 สิงหาคม 2557 10:09:23 น. 0 comments
Counter : 746 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.