การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรสังเกตุ คำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง
Group Blog
 
All Blogs
 
Volcker Rule มาตรการที่ Obama ประกาศ : กอบศักดิ์ ภูตระกูล

ช่วงสัปดาห์ก่อน หุ้นในตลาดต่างๆ ทั่วโลก มีความผันผวน และตกลงพร้อมๆ ส่วนหนึ่งมากจากมาตรการของประเทศจีนเพื่อชะลอสินเชื่อของภาคธนาคารในประเทศจีน ที่ออกมาในช่วงต้นสัปดาห์ และต่อมามีมาตรการจากทาง Obama ที่ออกมาเพื่อกำกับดูแลสถาบันการเงินของตนอย่างเข้มงวดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ ส่งผลให้หุ้นของสหัฐปรับลดลงประมาณ 5% ในระยะเวลาสั้นๆ กลับลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อเดือนพฤศจิกายนอีกรอบ




มาตรการที่ Obama ประกาศออกมานั้น มีอยู่ 2 ข้อใหญ่ๆ

การห้ามไม่ให้สถาบันการเงินที่รับเงินฝาก คือ แบงก์ ไปมีธุรกรรมประเภท Hedge fund, Private equity fund และ Proprietary trading ซึ่งเป็นการเอาเงินของตนเองไปลงทุนในเครื่องมือทางการเงินที่เสี่ยงเพื่อแสวงหากำไร ซึ่งกฏข้อนี้ Obama เรียกว่า Volcker Rule ตามเจ้าของแนวคิดคือคุณ Paul Volcker ซึ่งเป็นคนผลักดันในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เป็นเวลา 1 ปีแล้ว

การออกเพดานเพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดการควบรวมในระบบสถาบันการเงินในสหรัฐมากจนเกินไป โดยที่จะมีกฏว่าสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่สามารถที่จะมีขนาดฐานเงินฝากเกินกว่า 10% ของฐานเงินฝากทั้งประเทศ และตรงนี้ จะรวมไปถึง เงินทุนประเภทต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือจากเงินฝากด้วย แต่รายละเอียด จะออกมาอีกที

นับเป็นความพยายามของ Obama ที่จะออกมาจัดการกับแบงก์และสถาบันการเงินรอบที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่ได้ออกมา ประกาศขึ้นภาษีสำหรับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ไปแล้วก่อนปีใหม่

ทำไมต้องทำอย่างนี้

ทั้งหมดนี้มีเหตุผล

หนึ่ง – ต้องการป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตอีกรอบหนึ่ง จากปัญหาเดิมๆ ที่ทำให้เกิดวิกฤตครั้งนี้ ที่สถาบันการเงินใหญ่มาก และมีแนวโน้มที่จะควบรวมกันและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีปัญหาที่เรียกว่า too big to fail คือใหญ่มากจนไม่สามารถปล่อยให้ล้มได้ และรัฐก็ไม่มีทางเลือกเวลาที่เกิดปัญหา ก็ต้องมีกฏเกณฑ์ที่จะป้องกันไม่ให้สถาบันการเงินมีขนาดใหญ่จนเกินไป

สอง – แบงก์เองก็ลงทุนในตราสารทางการเงินที่ซับซ้อนมาก จนกระทั่งทำให้เกิดความเสียหายขึ้น และที่สำคัญที่ Obama กังวลใจก็คือ แบงก์ต่างๆ รับเงินฝากด้วยดอกเบี้ยไม่แพงนัก เพราะว่ามีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินฝากให้ หัวใจอยู่ตรงนี้ (รัฐบาลรับประกันเงินฝากให้) แต่แบงก์เอาเงินฝากที่ได้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างสุ่มเสี่ยง ที่อาจจะทำให้ล้มและเกิดความเสียหายได้ ทั้งผ่าน Proprietary Trading และผ่าน Hedge fund และ Private equity ซึ่งถ้ากำไร ก็เป็นโบนัส แต่ว่าถ้าขาดทุนก็จะเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล

ตรงนี้ Obama เลยเสนอว่า ให้เลือกเอาว่า จะทำอะไรระหว่าง (1) เป็นสถาบันการเงินที่รับฝากเงินของประชาชน หรือ (2) เป็นสถาบันการเงินที่ลงทุนในตราสารที่เสี่ยง ซึ่งถ้าจะทำอย่างหลัง ก็ต้องให้เลิกรับเงินฝาก คือให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น อันนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตซ้ำรอยขึ้นอีกในอนาคต นและเพื่อคืนแบงก์ที่เน้นเรื่อง การรับฝากเงิน การปล่อยสินเชื่อ และการให้บริการลูกค้า

สาม นอกจากนี้ ยังมีประเด็นทางการเมือง ที่ประชาชนไม่พอใจผู้บริหารของสถาบันการเงิน ที่มีการจ่ายโบนัสในช่วงที่ผ่านมา และเริ่มกลับไปทำอะไรที่เสี่ยงๆ อีกครั้ง และประชาชนคิดว่าปัญหาครั้งที่แล้วมาจาก Wall street เป็นสำคัญ โดยเฉพาะสถาบันการเงินใหญ่ ๆ ที่รัฐบาลไม่ควรเข้าไปอุ้ม ซึ่งในช่วงนี้ Obama กำลังที่จะตอบสนองกับข้อเรียกร้องของประชาชน และเริ่มเข้มงวดกับสถาบันการเงินมากขึ้น ทั้งเรื่องของการเก็บเพิ่มค่าธรรมเนียม และการที่จะออกกฏเกณฑ์ที่เข้มงวดกับสถาบันการเงินเหล่านี้

ทั้งนี้ ตอนที่ออกมาประกาศแนวคิดเรื่องการปฏิรูปสถาบันการเงินรอบนี้ Obama บอกว่า รับไม่ได้กับการที่สถาบันการเงินบอกว่าไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับ SME ไม่สามารถลดดอกเบี้ยให้กับบัตรเครดิต ไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มได้ แต่กลับสามารถจ่าย โบนัสจำนวนมากให้กับผู้บริหารได้ ทำให้ Obama ยิ่งตั้งใจที่จะทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้

นัยคืออะไร

ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะสรุปว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะกฏเกณฑ์เหล่านี้ ต้องผ่านรัฐสภา และทางภาคแบงก์เองก็คงต่อสู้ดิ้นรนกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่

แต่จากการวิเคราะห์เบื้องต้น ผลกระทบถ้าเกิดขึ้นจริง ก็จะส่งผลให้แบงก์ใหญ่ๆ ที่เข้ามาควบรวมกับกิจการวานิชธนกิจในช่วงที่ผ่านมา เช่น กรณีของ Bank of America และ Merrill Lynch JP Morgan Chase ต้องเลือกเอาว่าจะทำธุรกิจอะไร และต้องแยกออกจากกันระหว่าง 2 ส่วน

หรือแม้แต่บางสถาบันการงินเช่น Goldman Sachs และ Morgan Stanley ที่ได้จัดตั้ง Bank Holding Company ขึ้นมา ก็จะต้องตัดสินใจว่าจะรักษา ฐานะของการเป็น Bank ไว้หรือไม่ เพราะว่า ธุรกรรมและรายได้หลักของทั้ง 2 องค์กรนี้คือ Investment banking แต่ว่าข้อเท็จจริงก็คือ อย่างกรณีของ Goldman Sachs ในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการรับเงินฝากแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้ฐานะของการเป็น Bank holding company ในการเข้าถึงการช่วยเหลือสภาพคล่องจาก Fed ในยามวิกฤต

ความจริงหลายคนมองว่าสำหรับ สถาบันการเงินเหล่านี้ กฏข้อนี้ จะทำให้กลับไปเป็นเหมือนกับก่อนวิกฤต คือ กลับไปเป็นบริษัทหลักทรัพย์อีกรอบหนึ่ง และถ้าจะว่าไปแล้ว กฏข้อนี้ที่เรียกว่า Volcker rule ก็คล้ายๆ กับกฏหมายด้านการเงินฉบับหนึ่งที่เคยออกมาหลังจากช่วง Great depression คือ กฏหมายที่เรียกว่า Glass Stellgall ที่กำหนดให้แบ่งแยกชัดเจนระหว่างแบงก์กับ investment banks ออกเป็นสองกลุ่มที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วกฏเกณฑ์ใหม่ข้อนี้ ก็คล้ายๆ กับกฏหมายฉบับดังกล่าว

นักวิเคราะห์คิดว่าอย่างไร และทางออกคืออะไร

สิ่งที่นักวิเคราะห์คิด ก็คือ

หนึ่ง – เร็วเกินไปที่จะฟันธงว่ารายละเอียดที่จะออกมาคืออะไร และจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะว่าที่ Obama พูดเป็นเพียงกรอบคร่าวๆ เท่านั้น ยังต้องไปตกลงในรายละเอียด และกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินคงไม่ยอมแพ้

สอง – อาจจะไม่ตรงจุด เพราะปัญหาไม่ได้มาจาก Propreitery trading และไม่ได้มาจากกลุ่มแบงก์

สาม – ปัญหาเรื่องการแข่งขัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในการประกาศครั้งนี้ คนที่ยืนอยู่ข้างหลัง Obama คือ Paul Volcker แทนที่จะเป็น Geithner และ Summers ซึ่งไม่เห็นด้วยกับกฏเกณฑ์ข้อนี้ เพราะคิดว่าไม่ตรงจุด และ ไม่อยากจะออกกฏเกณฑ์ที่จะทำให้แบงก์ในสหรัฐเสียความสามารถในการแข่งขัน กับแบงก์ในประเทศอื่นๆ ความจริง ถ้ากลับไปดู ก็จะพบว่ากฏหมาย Glass-stellgall ถูกยกเลิกไปตอนที่ Summer และ Geithner อยู่ที่กระทรวงการคลังของสหรัฐ และทั้งคู่ดูเหมือนกับว่าเข้าข้าง Industry มาก

ท้ายสุด – การออกกฏข้อนี้ในช่วงนี้ อาจจะเป็นเพราะประเด็นทางการเมือง ที่ Obama เริ่มถามบ่อยขึ้นว่าทำไมเรื่อง too big too fail รัฐบาลจึงไปเข้าข้างพวก Wall street และไม่อยู่ข้างเดียวกับประชาชนที่ไม่พอใจ ทำให้รัฐบาลเริ่มหันมาเข้มกับอุตสาหกรมมากขึ้น เพื่อคว่ามได้เปรียบทางการเมือง ซึ่งการแพ้เลือกตั้งที่รัฐแมสซาซูเซทเป็นจุดสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตครังนี้

ก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ขชิดครับ ว่าศึกนี้ใครจะชนะ แต่ประธานาธิบดีบอกแล้วว่าพร้อมจะสู้เต็มที่เรื่องนี้ น่าสนใจน่าติดตามมากครับ

25 มกราคม 2553
รายการ Money Wakeup ครั้งที่ 30



Create Date : 26 มกราคม 2553
Last Update : 26 มกราคม 2553 12:05:44 น. 6 comments
Counter : 1393 Pageviews.

 


โดย: ผมชอบกินข้าวมันไก่ วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:12:24:40 น.  

 
ฝนที่ตกทางโน้น



หนาวถึงคนทางนี้


โดย: พ่อน้องบุ๊ค IP: 110.164.126.77 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:13:57:04 น.  

 
ขอบคุณคะ


โดย: แนนแนน IP: 203.144.144.164 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:23:25:33 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ติดตามอ่านข้อมูลจากทางบล็อคของคุณเป็นประจำ

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ


โดย: pim&arpi IP: 84.1.210.59 วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:0:52:30 น.  

 
God is the way
The Truth
and The Life

when your life need miracal
Ask form him.. Then you will be
impress by its result as I do~!

what is the truth
if u ask me then
I will tell u that
it is GOD


โดย: d IP: 124.122.67.223 วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:1:21:22 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ที่เอามาลง สนใจท่านเลยไปหาและเจอที่ท่านเขียนค่ะ ลงหนังสือพิมพ์ ด้วยค่ะ

ดร กอบศักดิ์ ภูตระกูลค่ะ
//www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02fin07010253§ionid=0206&day=2010-02-01


โดย: Jazky IP: 222.123.174.124 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:59:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Messenger
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [?]




Head, Investment Consultants Citigold Citibank N.A. (Thailand)
free hit counter
click here
free hit counter
Friends' blogs
[Add Mr.Messenger's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.