ประเด็นที่สอง ทำให้ทั่วโลกกังวลว่า การขอเลื่อนชำระหนี้ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของฟองสบู่อีกลูกหรือเปล่า ต้องดูว่าในภูมิภาคนี้ได้เงินกู้ไปเยอะแค่ไหน - Syndicate Loan ของตะวันออกกลางทั้งภูมิภาคนั้นมีมูลค่ามหาศาล เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2009 ที่ผ่านมา ยอดสินเชื่อประเภท Syndicate Loan มีสูงเกือบๆถึง US$288Billion ซึ่งมากกว่า 90% มาจากธนาคารต่างชาติ - หนึ่งในโครงการที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ King Abdullah Economic City มีมุลค่าโครงการสูงถึง US$120Billion ตัวโครงการถูกชะลอมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากผลกระทบจาก Subprime Crisis และยังมีโครงการประเภท Luxury Project อีกหลายโครงการโดนดองไว้เช่นกัน - ไม่เพียงแต่ธนาคารทางฝั่งอเมริกาหรือยุโรปเท่านั้น ล่าสุด ICBC ของประเทศจีน ก็ปล่อยกู้ในตะวันออกกลางไปแล้ว US$607Million รวมถึง Bank of China ที่ปล่อยไป US$585Miilion ซึ่งยังถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก - สำหรับ ธนาคารที่มี Loan Book ใน Middle East ขนาด US$3-4Bllion ขึ้นมา ก็มีตามนี้ครับ (ไม่ได้เรียงตามขนาด) DBS Singapore Credit Agricole France HSBC UK Citigroup US Bank of America US ING Netherlands Standard Chartered UK Barclays UK Royal Bank of Scotland UK Bank of Tokyo Mitsubishi Japan Mizuho Japan Sumitomo Mitsui Japan Deutsche Bank Germany BNP Paribas France - โครงการอสังหาริมทรัพย์ในตะวันออกกลางทั้งมีมูลค่าสูงถึง US$2.5 Trillion เป็นโครงการใน UAE ถึง US$1.28 Trillion หรือเกิน 50% ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในตะวันออกกลาง (ขนาดใกล้เคียงกับ Subprime ทีเดียว) ในจำนวนนี้มีโครงการมูลค่ารวมประมาณ US$500Billion ที่อยู่ในช่วงที่ต้องเลื่อนกำหนดการออกไป อีกทั้งคนงานเกือบครึ่งก็ยังถูกปลดออกจากบริษัทด้วย ซึ่งหากดูจากขนาดของเงินกู้ และโครงการต่างๆในตะวันออกกลาง ก็ต้องถือเป็น Bubble และมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบทุนนิยมโลกในอนาคต เหลือเพียง ปัญหาจะลามเร็วขนาดนั้น และจะแก้ปัญหาได้ทันไหม
ขอให้มีความสุขนะคะ
ขอให้มีโชคหมดทุกข์โศกโรคภัย
พ้นเคราะห์ที่เลวร้าย พันภัยด้วยเทอญ