|
จับตาผลลัพธ์หยวนแข็งค่า คาดหุ้น-คอมโมดิตี้คึกคัก
หลายเสียงมองว่า ปีนี้ "จีน" จะปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างแน่นอน และได้ประเมินผลกระทบที่จะตามมาในหลากหลายแง่มุม
จากประสบการณ์ในอดีต เมื่อจีนปล่อยให้หยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อปี 2548 ทำให้สกุลเงินเอเชียอื่น ๆ แข็งค่าตามไปด้วย พร้อมดันให้ราคาสินค้าคอมโมดิตี้ และหุ้นจีนที่เน้นตลาดท้องถิ่นปรับสูงขึ้น แต่ส่งผลลบต่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
วอลล์สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า หลายเดือนที่ผ่านมา ตลาดเงินคาดว่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นกว่า 3% เล็กน้อยในปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราแลกเปลี่ยน เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ปรับลดลงจาก 6.80 หยวน เป็น 6.60 หยวนต่อดอลลาร์ แต่นักวิเคราะห์ ของมอร์แกน สแตนเลย์ เชื่อว่าจีนจะปล่อยให้หยวนแข็งค่าขึ้น 4-5% ในปีนี้ โดยจะปรับขึ้นหลายขยัก ส่วนนักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ แคพิทัล คาดว่าหยวนจะแข็งค่าขึ้น 5%
ทั้งนี้ ประเทศเอเชียติดอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากความเคลื่อนไหวนี้ โดยที่ผ่านมาในปีนี้ ดอลลาร์อ่อนค่าลง 6.8% เมื่อเทียบกับสกุลเงินริงกิตของมาเลเซีย และอ่อนลง 4.8% เมื่อเทียบกับวอนของเกาหลีใต้ และมีค่าลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ไต้หวัน ขณะที่เมื่อวันพุธ (14 เม.ย.) กระทรวงการคลังสิงคโปร์ได้ปรับเป้าขอบเขตเทรดดิ้งดอลลาร์สิงคโปร์ราว 1.3% พร้อมระบุว่าจะปล่อยให้เงินค่อย ๆ แข็งค่าขึ้น
โซเฟีย ดรอสซอส ผู้อำนวยการร่วมฝ่ายกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนโลกของ มอร์แกน สแตนเลย์ มองว่า สกุลเงินของเกาหลีใต้ ไต้หวัน และมาเลเซีย ติดอยู่ในกลุ่มที่น่าจะแข็งค่าขึ้น หากมีการปรับค่าเงินหยวน
แต่ "เงินยูโร" จะตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่สุด เพราะหลังจากซื้อดอลลาร์ผ่านการแทรกแซงตลาดเงิน บรรดาธนาคารกลางต่าง ๆ ได้ขายดอลลาร์บางส่วน และหันไปถือเงินยูโร ดังนั้น การลดการแทรกแซงจะนำไปสู่ความต้องการเงินยูโรน้อยลง เช่นเดียวกับสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับคอมโมดิตี้ เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลียจะเป็นฝ่ายแพ้ในเกมนี้เช่นกัน
รีเบกก้า แพทเทอร์สัน หัวหน้าฝ่ายอัตราแลกเปลี่ยนและคอมโมดิตี้ของเจ.พี.มอร์แกน ไพรเวต แบงก์ แนะนำให้นักลงทุนเก็งกำไรในเงินบางสกุล โดยการซื้อพันธบัตรจากธนาคารโลก ที่ออกพันธบัตรสกุลวอน ดอลลาร์สิงคโปร์ และสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งนี้ นักลงทุนจะได้กำไร หากสกุลเงินดังกล่าวแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้การคุ้มครองจากธนาคารโลก แรงกระเพื่อมจากตลาดสกุลเงินยังขยายวงไปยังตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยรัฐบาลจีนและประเทศเอเชียอื่น ๆ ที่ถือดอลลาร์ในมือน้อยลง จะซื้อพันธบัตรสหรัฐลดลงเช่นกัน นอกจากนี้ ความวิตกว่าความต้องการของจีนที่ลดลงจะส่งผลให้มีการเทขายแรงในระยะสั้นด้วย
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า เมื่อปี 2548 ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี พุ่งจาก 4.17 เป็น 4.41% ในช่วง 14 วัน หลังเงินหยวนแข็งค่าขึ้น และในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคมปีนั้น ยอดซื้อพันธบัตรสหรัฐสุทธิของจีนลดลงจาก เดือนละ 10.5 พันล้านดอลลาร์ เหลือ 2.7 พันล้านดอลลาร์
สำหรับในวงการหุ้น ครั้งล่าสุด ที่จีนปล่อยหยวนแข็งค่า ช่วยดันตลาดหุ้นเอเชียให้คึกคัก โดยดัชนีหั่งเส็งพุ่งพรวดถึง 319% ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2548-ตุลาคม 2550
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า การปรับค่าเงินหยวนจะดันราคา คอมโมดิตี้ให้พุ่งขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับสมัยปี 2548 ที่ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นเกือบ 15% และเมื่อเงินหยวนแข็งค่าขึ้น จะทำให้วัตถุดิบนำเข้า เช่น น้ำมันดิบ ทองแดง ราคาถูกลงสำหรับจีน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทจีนนำเข้าสินค้าเหล่านี้มากขึ้น
จาก ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 22 เม.ย.2553
Create Date : 23 เมษายน 2553 |
Last Update : 23 เมษายน 2553 1:49:32 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2574 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|