Group Blog
 
All blogs
 

ตอนที่ 18

18.


เช้าวันรุ่งขึ้นเจอรี่โทรมาปลุกพาสนาตั้งแต่ 6 โมงจริงๆ ตามที่สัญญาไว้ แล้วก็พบว่าหญิงสาวเป็นคนที่ปลุกยากมากๆเลยทีเดียว

...ไม่รู้ระหว่างพาสกับไจ่ไจ๋ ใครจะปลุกยากกว่ากัน... เจอรี่คิดในใจอย่างขำๆ ขณะตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนจะออกจากห้อง พลางไพล่คิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 15 นาทีที่แล้ว

“เหวย พาส ตื่นได้แล้ว” เจอรี่กรอกเสียงลงไปอย่างสดใส เมื่อได้ยินสัญญาณว่าอีกฝ่ายกดรับโทรศัพท์แล้ว

“อืม” เสียงงึมงำดังมาตามสาย ชนิดที่คนฟังก็ไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่า อีกฝ่ายตื่นหรือละเมออยู่กันแน่

“พาส นี่เกอเกอนะ ตื่นหรือยัง”

“อืม” เสียงตอบรับยังเป็นเสียงเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้นเลยแม้แต่น้อย

“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำได้แล้ว” เจอรี่ขำก็ขำ โมโหก็โมโห

“อืมมม แค่นี้นะ” แล้วอีกฝั่งก็กดตัดสายไป เจอรี่เลยหันไปจัดการธุระของตัวเองบ้าง แต่ยังไงก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้

...พาสมันจะตื่นแล้วจริงเปล่าเนี่ย... ว่าแล้วเค้าเลยต้องคว้าโทรศัพท์มากดโทรออกอีกครั้ง
.
.
.
“พาส ตื่นหรือยัง”

“อืม” คำตอบยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทำให้เจอรี่พอจะนึกภาพออกเลยว่า ตอนนี้เจ้าตัวคงยังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงแน่ๆ

“ตื่นได้แล้ว นี่มันหกโมงกว่าแล้วนะ วันนี้จะไปเที่ยวไม่ใช่เหรอ พี่กำลังจะออกไปรับ ลุกได้แล้ว ยัยเด็กขี้เซา” เจอรี่ร่ายมาเป็นชุด หวังว่ามันจะเข้าหูคนที่ยังนอนอยู่บ้าง

“อืมม กี่โมงนะ” คราวนี้พัฒนาขึ้น เพราะเสียงงัวเงียๆ รู้จักตั้งคำถามมาตามสาย

“6โมงกว่าแล้ว ได้เวลาตื่นแล้ว” เจอรี่พยายามใจเย็น ให้ตายสิ การปลุกคนขี้เซานี่เป็นการทรมานคนปลุกอย่างร้ายกาจทีเดียว

“6 โมงกว่าเอง 7 โมงค่อยมาปลุกนะ” หญิงสาวยังมีหน้าต่อรอง ท่าทางจะลืมไปแล้วว่า ตัวเองเป็นคนนัดว่าให้เจอรี่โทรมาปลุกตอน 6 โมงเอง

“ไม่ต้องเลย ตื่นได้แล้วพาส...ตื่น!” เจอรี่ตะโกนเสียงดังหวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้อีกฝ่ายกระเด้งลุกจากที่นอนได้บ้าง

“อือๆ ตื่นแล้ว” น้ำเสียงเล็กๆงัวเงียๆดูจะกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง

“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่า เดี๋ยวเจ็ดโมงพี่จะไปรอหน้าโรงแรม” เจอรี่สั่งเสียงเข้ม ก่อนจะกดตัดสายไป ...จะไว้ใจได้มั้ยเนี่ย...

คิดมาถึงตรงนี้ เจอรี่ที่เพิ่งปิดประตูบ้านเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอีกรอบ

“พาส ตื่นหรือยัง” เจอรี่กรอกเสียงดุๆไปตามสาย

“อืม เกอเกอเหรอฮะ” แม้ว่าในกระแสเสียงจะยังดูง่วงงุนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ดีกว่าสองรอบแรกที่เค้าโทรไปปลุกมาก

“ตื่นหรือยัง” ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง

“ตื่นแล้วฮะ” พาสนาตอบมาอย่างเรียบร้อย แม้ว่าสติสัมปชัญญะจะยังมาไม่ครบเท่าไหร่ก็เถอะ

“ตื่นแล้วลุกจากที่นอนหรือยัง” เค้าพอจะนึกภาพออกเลยว่าลองเสียงแบบนี้ ยังไม่ลุกจากที่นอนหรอก

“กำลังจะลุกฮะ” พูดจบพาสนาก็กระดื๊บๆตัวลงจากที่นอน พลางเดินโซซัดโซเซไปทางห้องน้ำ

“ลุกแล้วก็ไปอาบน้ำได้แล้ว ยัยขี้เซา พี่กำลังไปรับ” เจอรี่บอกกลั้วหัวเราะ เพราะกำลังนึกภาพหน้ายุ่งๆหัวฟูๆเหมือนลูกแมวของปลายสายที่กำลังคุยด้วยอยู่ตอนนี้

...อยากเห็นจัง คงจะน่ารักดี... เจอรี่ยิ้มกับตัวเอง นึกอยากจะมีตาทิพย์ขึ้นมากระทันหัน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ไม่ว่าพาสนาจะทำอะไรในแต่สายตาเค้า เธอก็ดูจะน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียทุกอย่าง แม้ว่าจะมีอาการหน้าหมั่นเขี้ยวบ้างเป็นบางครั้งก็เถอะ

“ฮะ พาสไปอาบน้ำแล้วนะเกอเกอ อย่าแอบดูล่ะ” หญิงสาวเอ่ยล้อเลียนก่อนจะกดวางสายไป

“บ้า” ชายหนุ่มได้แต่พูดกับโทรศัพท์เบาๆอย่างเขินๆ เมื่ออีกฝ่ายชิงวางสายไปซะแล้ว พลางดึงหมวกแก๊ปที่สวมอยู่ลงมาปิดใบหน้ามากขึ้น ไม่รู้ว่าเพื่ออำพรางไม่ให้คนจำได้ หรือต้องการปกปิดใบหน้าที่เริ่มซับสีเลือดขึ้นมาทุกทีเมื่อนึกภาพตามที่น้องสาวร่วมโลกดักคอไว้กันแน่ ก่อนที่จะรีบเดินไปขี่มอเตอร์ไซด์คันเก่งของตัวเองออกไป


ไม่กี่นาทีต่อมาไอ้แก่ของเจอรี่ก็พาเจ้าของมาหยุดอยู่หน้าโรงแรมที่พาสนาพักอยู่ เจอรี่จัดการจอดมอเตอร์ไซด์ให้เรียบร้อย พลางหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาหญิงสาวเป็นรอบที่สี่ ภายในเวลาแค่ชั่วโมงเดียว แต่ดังอยู่นานก็ไม่มีคนรับสาย เจอรี่จึงลองหมุนใหม่อีกครั้ง คราวนี้เสียงเรียกดังอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีเสียงรับสาย ตามมาด้วยน้ำเสียงหอบๆของคนที่เค้าตั้งใจโทรหา

“ฮัลโหล โทษทีฮะเกอเกอ” พาสนาพูดไปก็หอบไป

“ทำอะไรอยู่น่ะพาส หอบเชียว” เจอรี่ถาม

“เอ้า! ใจเย็นๆ หอบให้เสร็จก่อนก็ได้” ชายหนุ่มขำก็ขำสงสารก็สงสาร ก็เสียที่ได้ยินมาตามสายเนี่ยมันตลกจริงๆนะ

“อ๋อ พอดีพาสอยู่ในห้องน้ำน่ะฮะ นี่เกอเกออยู่ไหนแล้วอ่ะ”

“อยู่หน้าโรงแรม พาสเสร็จหรือยัง”

“งั้นเกอเกอขึ้นมาที่ห้องพาสเลยฮะ ขอเวลาอีกแป๊บ” หญิงสาวบอกก่อนจะรีบว่าหูไปพร้อมกับเสียงโครมครามภายในห้อง

เจอรี่ได้แต่ส่ายหัวให้กับความซุ่มซ่ามของน้องสาว ก่อนที่ชายหนุ่มจะสาวเท้าพาตัวเองเข้าไปในโรงแรม ก่อนนะกดลิฟท์ตรงไปยังห้องของหญิงสาว วันนี้เค้ามีโปรแกรมจะพาเธอไปเที่ยวอยู่หลายที่เหมือนกัน แต่ไว้ให้เจ้าตัวเลือกดีกว่าว่าอยากไปไหน ยังไงเค้าก็มีเวลาให้เธอได้ทั้งวันอยู่แล้ว

ชายหนุ่มเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีมาตามทางเดินของโรงแรมบนชั้น 11 มาหยุดอยู่หน้าห้อง 1109 ก่อนที่จะยกมือขึ้นเคาะประตูไม้ตรงหน้า รอไม่นานประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นเจ้าของห้องที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว แต่ยังหน้ายุ่งหัวฟูอยู่

“เกอเกอ เข้ามานั่งรอแป๊บนึงนะ ขอพาสแต่งตัวอีกแป๊บนึง” หญิงสาวบอกพลางเปิดประตูให้กว้างขึ้น แล้วจึงเบี่ยงตัวหลบให้ชายหนุ่มได้เดินผ่านเข้ามาในห้อง

เจอรี่เดินเข้ามาหยุดมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้จะไปนั่งตรงไหนดี ในเมื่อที่ที่ดูจะสามารถนั่งได้ในห้องก็มีแต่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง กับเตียงเท่านั้น แต่เก้าอี้ก็ถูกเจ้าของห้องจับจองเป็นที่วางกระเป๋าเสื้อผ้าไปซะแล้ว จึงเหลือแต่ที่เตียงเท่านั้น

“ไม่นั่งล่ะฮะเกอเกอ รอพาสแป๊บนึง โทษที เมื่อกี๊มันเผลอหลับไปอีกรอบน่ะฮะ” หญิงสาวที่เดินตามเข้ามาบอก ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปจัดการกับตัวเองต่อที่โต๊ะหน้ากระจกภายในห้อง ในที่สุดเจอรี่ก็ตัดสินในนั่งลงบนเตียงระหว่างหนึ่งในสองเตียงที่พิจารณาแล้วว่า น่าจะไม่ใช่เตียงของเจ้าของห้องแน่นอน

ผ่านไปซักพักหนึ่งหญิงสาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะจัดการกับผมของตัวเองเสร็จซักที กระบวนการหวีผมของเธอดูจะหลายขั้นตอนซะเหลือเกิน ทั้งไดร์ หวี ใส่แวกซ์ หวี ไดร์อีกรอบ ขยี้ผมให้ยุ่งๆ หวี จัดทรง ไดร์ ฯลฯ จนเจอรี่ที่วันนี้รีบตื่นตั้งแต่เช้าเกิดอาการง่วงและเผลอหลับไปในที่สุด

“อ้าว หลับไปซะแล้ว” พาสนาที่เพิ่งจัดการกับตัวเองเสร็จพูดเบาๆ เมื่อหันมาพบว่าคนที่อุตส่าห์โทรมาปลุกเธอตั้งแต่เช้านั้น ตอนนี้กลับนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเนื้อนุ่มในห้องของเธอไปซะแล้ว


หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้หวังจะปลุกคนนอนหลับให้ตื่น แต่ก็เหมือนมีแรงดึงดูดประหลาดที่ทำให้เธอลืมตัว เพราะแทนที่จะเอื้อมมือไปปลุกคนตรงหน้าอย่างที่ใจคิด เธอกลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่นอนหลับอย่างไม่รู้ตัว ถือโอกาสที่เจ้าตัวหลับพิศดูใบหน้าของเค้าใกล้ๆ

...คนอะไร แม้แต่ตอนหลับก็ยังดูดี... พาสนาคิดในใจเหมือนจะอิจฉาคนตรงหน้า แต่เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี ระหว่าง อิจฉา หมั่นไส้ หรือ...ชื่นชม

ใบหน้าของเจอรี่ตอนนี้ ไร้แววกังวลใดๆ ผิดกับตอนตื่นที่คิ้วเข้มๆนั้นมักจะขมวดมุ่นเสมอ โดยเฉพาะในเวลาทำงาน เห็นเค้าตอนนอนหลับแบบนี้ เธอรู้สึกเหมือนเค้าจะอ่อนวัยไปอีกซักสี่ห้าปี

...ไว้ต้องให้เกอเกอ ยิ้มบ่อยๆซะแล้ว มัวแต่ทำหน้าเครียดแก่เร็วพอดี... คิดมาถึงตรงนี้ ก็เริ่มรู้สึกตัวว่ามือตัวเองชักจะอยู่ผิดที่ผิดทางไปซะแล้ว มีอย่างที่ไหน เอื้อมไปใกล้ใบหน้าเค้าขนาดนั้น หญิงสาวรีบสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะยืดตัวตรง หายใจเข้ายาวๆหนึ่งทีเรียกสติ ก่อนจะเอื้อมมือไปปลุกผู้ชายตรงหน้า

“เกอเกอ ตื่นได้แล้วฮะ” หญิงสาวว่าพลางเขย่าแขนเค้าเบาๆ แต่ก็ทำเอาเจอรี่สะดุ้งเลยทีเดียว

“อ้าว เสร็จแล้วเหรอพาส โทษที แอร์มันเย็นพี่เลยเผลอหลับไปหน่อย แย่จริง” เจอรี่พูดเหมือนจะบ่นกับตัวเอง พลางลูบหน้าไล่ความง่วง

“ไม่เป็นไรฮะ ว่าแต่เกอเกอนอนน้อยเหรอ ไหวหรือเปล่า ไม่งั้นนอนต่ออีกหน่อยก็ได้นะฮะ เดี๋ยวสายๆเราค่อยไปกัน” เธอเสนออย่างใจดี แต่จริงๆก็อดจะห่วงสวัสดิภาพตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ว่าขับๆไปจะหลับในหรือเปล่าเนี่ย

“ไหวสิ แหม มือชั้นนี่ พาสเสร็จแล้วใช่มั้ย งั้นเราไปกันเลย” เจอรี่บอกพลางเดินนำออกจากห้องไป

“ว่าแต่วันนี้เกอเกอจะพาพาสไปเที่ยวไหนฮะ” หญิงสาวชวนคุย เมื่อเข้ามาอยู่กันตามลำพังภายในลิฟท์ของโรงแรม


“อืมมม จะว่าไปพี่ก็มีหลายที่นะ ให้พาสเลือกดีกว่าว่าอยากไปไหน”

“มีที่ไหนบ้างฮะ” พาสนาถามอย่างกระตือรือร้น เรื่องไปเที่ยวน่ะ ขอให้บอกเถอะ

“ที่แรกก็ตึก 101 เป็นตึกสูงที่สุดในไทเปเลยนะ ไม่ว่าใครมาก็ต้องไปเที่ยวตึกนี้ทั้งนั้น” เจอรี่ยกที่แรกมาชวน ทั้งๆที่พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้วล่ะ เพียงแต่อยากดูอะไรบางอย่างเท่านั้น

“พาสขอผ่านดีกว่าฮะ แล้วที่เหลือล่ะฮะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธตัวเลือกแรกอย่างรวดเร็วผิดปกติ

“อ้าว ทำไมล่ะ” เจอรี่ถามยิ้มๆ จากที่ติดต่อกันมาร่วม 3 เดือนก็พอจะรู้อะไรอยู่บ้างหรอกถึงเธอจะไม่เคยยอมรับออกมาตรงๆก็เถอะ

“ก็มันสูงอ่ะ” หญิงสาวตอบออกมาเบาๆ

“อ้าว ก็ที่จะพาไปเที่ยวก็เพราะมันสูงไง ถ้ามันไม่สูงที่สุดในโลกมันจะน่าเที่ยวเหรอ” เจอรี่แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ

“เกอเกอบ้า ก็พาสกลัวความสูงนี่” หญิงสาวพูดพลางหันไปตีที่ต้นแขนเจอรี่อย่างแสนงอน พลางทำปากยื่น

...ก็ทำไมต้องให้ เราพูดด้วยล่ะว่ากลัวความสูงน่ะ ไม่กลัวบ้างให้มันรู้ไป...

“อ๋อ กลัวความสูงนี่เอง พาสไม่เคยบอกพี่นี่ แล้วพี่จะรู้เหรอ” เจอรี่แกล้งโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย ทั้งๆที่ ตอนคุยโทรศัพท์กันน่ะ ไอ้คำว่า พาสไม่ชอบนั่งเครื่องบิน พาสไม่ชอบอยู่คอนโดสูงๆ พาสไม่ชอบขึ้นลิฟท์แก้ว ก็ทำให้เค้าพอจะอนุมานได้แล้วล่ะว่าหญิงสาวต้องกลัวความสูงเข้าขั้นเหมือนกัน

“อ้ะๆๆ งั้นไม่ไปตึก101 แต่ที่เที่ยวที่เหลือ ต้องออกไปรอบนอกเมืองหมดเลยนะ พี่ไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆน่ะ ชอบที่มันเป็นธรรมชาติมากกว่า”

“ไม่เป็นไรฮะ ถ้าพาสอยากเที่ยวในเมือง เดี๋ยวให้เสี้ยวเทียนพาไปก็ได้” พาสนาตอบกลับอย่างเข้าใจดี เธอรู้ว่าเกอเกอของเธอชอบพวกทุ่งหญ้าป่าเขามากกว่าความวุ่นวายในเมืองหลวงอย่างไทเปหรือกรุงเทพฯ อีกอย่างถ้าอยากไปเที่ยวพวกแสงสีเสียงตอนกลางคืนล่ะก็ เสี้ยวเทียนกับแวนเนสก็ดูน่าจะพึ่งได้มากกว่าคุณพี่จอมเคร่งตรงหน้าแน่นอน


“งั้นให้เลือกระหว่างไปทะเลกับน้ำ...”

“ทะเล” ไม่ต้องรอจนฟังตัวเลือกอีกข้อ เพราะพอได้ยินคำว่าทะเลพาสนาก็รีบสวนกลับไปอย่างร่าเริง ไม่ว่าอีกตัวเลือกจะเป็นอะไรยังไงเธอก็ต้องเลือกทะเลอยู่แล้ว

“ฮ่าๆๆ อยากไปทะเลขนาดนั้นเลย อีกตัวเลือกหนึ่งเป็นน้ำตกที่สวยมากเลยนะ ไม่อยากไปเหรอ” เจอรี่ลองหยั่งเชิง รู้อยู่ว่าหญิงสาวชอบทะเลมาก แต่อีกที่ที่เค้าอยากพาไปก็สวยและน่าสนใจไม่แพ้กันเลย

“อือ จะไปทะเล” อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักทำนองว่า ยังไงชั้นก็จะไปทะเล และท่าทางน่ารักแบบเด็กๆนั้นก็ทำเอาเจอรี่ต้องยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู

“ทะเลก็ทะเล แต่บอกไว้ก่อน ว่ามันเป็นแค่ทะเลชานเมืองไทเปนะ เพราะเรามีเวลากันแค่วันเดียวเอง”

“ยังไงก็ได้ฮะ ขอให้เป็นทะเลเถอะ ได้หมด” หญิงสาวบอกอย่างไม่มีข้อแม้ ตอนนี้เค้าทั้งคู่เดินมาถึงรถของเจอรี่ที่จอดอยู่แล้ว

“อ้ะ นี่หมวกใส่ซะ” เจอรี่ยื่นหมวกกันน็อคมาให้ ซึ่งพาสนาก็รับไปใส่อย่างดิบดีโดยไม่ต้องให้ช่วยเลยแม้แต่น้อย

“เก่งนี่นา” ชายหนุ่มเอ่ยปากชม ก่อนจะเอานิ้วเคาะลงบนหมวกของเธอเบาๆ พลางก้าวคร่อมมอเตอร์ไซด์พร้อมกับพยักเพยิดเป็นสัญญาณให้หญิงสาวขึ้นซ้อน

“อยู่แล้ว” พาสนาบอกเชิดๆ ก่อนจะขึ้นไปซ้อนท้ายชายหนุ่ม ไม่ลืมที่จะจับเสื้อของคนตรงหน้าไว้เพื่อความปลอดภัย ทั้งๆที่คนขับจะอยากให้กอดเอวมากกว่าก็เถอะ แต่ถ้าพูดออกไปมีหวัง...


ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวจากตัวเมืองไทเป ไอ้แก่คันเก่งของเจอรี่ก็พาทั้งคู่มาถึงที่หมายริมฝั่งทะเลชานเมืองไทเป

“ถึงแล้วจ้ะ ที่นี่เค้าเรียกว่าเมืองTanshui(ตานสุ่ย) ถ้าวันไหนพี่ได้มีวันหยุดที่ไม่ยาวนัก พี่ก็มักจะขี่ไอ้แก่มาเที่ยวที่นี่แหละ” เจอรี่หันมาอธิบายพลางจัดการจอดรถให้เรียบร้อย

“อืม ก็ใกล้ดีนะฮะเกอเกอ เหมาะกับพวกที่มีเวลาไม่มาก แต่อยากผ่อนคลาย” พาสนาเห็นด้วย ถึงที่นี่จะเต็มไปด้วยร้านค้า แล้วก็ไม่ได้มีหาดทรายขาวอย่างทะเลที่ทั่วไปเท่าไหร่ แต่ก็ให้บรรยากาศสบายๆไม่เร่งรีบเหมาะกับการพักผ่อนจากความยุ่งเหยิงในเมืองหลวงได้ชั่วครู่

“จริงๆแล้ว คนส่วนใหญ่ชอบมาที่นี่ตอนเย็นมากกว่า มาดูพระอาทิตย์ตกน่ะ ตรงนู้นไง พระอาทิตย์จะลับยอดเขาลูกนู้นไป สวยดีเหมือนกันนะ แต่ส่วนใหญ่พี่จะมาตอนกลางวัน แล้วก็ต้องเป็นวันธรรมดาด้วยอ่ะ เพราะไม่อย่างนั้นคนเยอะ แล้วถ้ามีคนจำได้นี่เรื่องใหญ่แน่ๆ” พูดจบชายหนุ่มก็ขยับปีกหมวกที่สวมอยู่ให้ลงมาปิดใบหน้ามากขึ้นอีกหน่อย
“นั่นน่ะสิ ก็เกอเกอดังจะตาย แล้วมากับพาสอย่างนี้ไม่เป็นไรเหรอ” หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง เธอไม่อยากทำให้เค้าต้องยุ่งยาก
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงมีคนจำได้จริงเค้าก็คงนึกว่าพี่มากับน้องชาย” เจอรี่แกล้งหยอก
“นั่นสิเนอะ” พาสนาเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะพร้อมใจหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

หลังจากนั้นเจอรี่ก็พาพาสนาเดินเที่ยวดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ มีบ้างเหมือนกันที่มีคนจำเค้าได้ แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายอะไร เพราะส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีอายุที่เปิดร้านขายของอยู่แถวนั้น คนที่จำเค้าได้ก็เพียงแต่ส่งยิ้มให้ ซึ่งเจอรี่ก็ยิ้มตอบไปด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ ทั้งคู่ก็เลือกที่จะนั่งเรือข้ามฟากไปที่ฝั่ง Bali ซึ่งอยู่อีกฝั่งของปากน้ำที่ออกสู่ทะเล ตรงข้ามกับTanshui

ที่ฝั่งนี้ เป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะที่สวยงามและบรรยากาศร่มรื่นมากแห่งหนึ่ง ทั้งเจอรี่และพาสนาจึงตกลงใจที่จะเดินไปตามทางเดินไม้เรียบริมฝั่งทะเลไปเรื่อยๆ เพราะวันนี้ตั้งใจมาเที่ยวเต็มที่ ไม่ได้รีบร้อนจะไปไหน

วันนี้เป็นวันที่เจอรี่มีความสุขและสบายใจมาก ทั้งด้วยบรรยากาศสบายๆ ไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยวข้าง การไม่ต้องคอยหลบนักข่าวซึ่งเค้ามักต้องระวังเสมอเวลาไปไหนมาไหนในตัวเมืองไทเป และที่สำคัญการได้เพื่อนร่วมทางที่ถูกใจอย่างสาวร่างเล็กข้างตัว

พาสนาไม่ได้ทำให้เค้าผิดหวังเลย แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเค้าได้ออกมาเที่ยวด้วยกันก็ตาม เธอร่าเริง สนุกสนาน อย่างที่เค้าคิดไว้จากการร่วมงานกันและติดต่อกันทางโทรศัพท์ ที่เค้าออกจะแปลกใจอยู่นิดหน่อยก็คือ การที่หญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากโปรดิวเซอร์ที่เก่งและจริงจังกับการทำงาน กลายมาเป็นหญิงสาวสดใส ไร้ความกังวลใดๆ มองโลกในแง่ดี พร้อมจะยิ้มให้กับทุกเรื่อง เห็นอะไรก็ตลก เห็นอะไรก็หัวเราะไปซะหมด กระตือรือร้นที่จะลองของกินหรือของเล่นใหม่ๆที่เค้าเสนอให้ เหมือนกับเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ใช่โปรดิวเซอร์คนเก่งที่แบกรับภาระหน้าที่ความรับผิดชอบไว้มากมาย เค้ารู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้ ช่างมีหลายมุมที่น่าสนใจ แล้วเค้าก็ยินดีที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับทุกมุมของผู้หญิงคนนี้ด้วยความเต็มใจ จนถึงตอนนี้เค้ายังไม่รู้สึกว่าเธอมีนิสัยอะไรที่เค้าไม่ชอบหรือรับไม่ได้เลย และถึงถ้าเธอจะมีนิสัยบางอย่างที่ไม่เลวร้ายเกินไปนัก เค้าก็เชื่อว่าเค้าจะยอมรับมันได้ คิดมาถึงตรงนี้ก็พอดีกับที่หญิงสาวในความคิดของเค้า ซึ่งออกวิ่งนำหน้าไปก่อนหันกลับมาโบกมือเร่งให้เค้าเดินตามไป

เจอรี่ยกมือโบกตอบก่อนจะสาวเท้าก้าวให้เร็วขึ้น ชายหนุ่มหวังว่าในซักวันนึงเมื่อเค้าแน่ใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายมากกว่านี้ เค้าคงจะกล้าเอ่ยคำคำนั้นออกไป คำที่เค้าแน่ใจในความหมายของมันขึ้นทุกวัน นับตั้งแต่วันที่เค้าสารภาพกับเสี้ยวเทียนบนเครื่องบินเมื่อเดินทางกลับไต้หวัน 3 เดือนก่อน คำที่เค้าเชื่อว่าอีกไม่นานเค้าคงจะมีความกล้าพอที่จะบอกให้เธอได้รู้ว่า...

...พาส พี่รักพาส...




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2549    
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:57:54 น.
Counter : 196 Pageviews.  

ตอนที่ 17

17.


“งั้นออกไปหาอะไรกินกัน” เจอรี่บอกก่อนจะลุกขึ้นเดินนำไปที่ประตูห้อง ตามด้วยพาสนาที่ลุกเป็นคนถัดไป

“เฮ้ย! โทรไปชวนไจ่ไจ๋ด้วยดิ” แวนเนสตะโกนบอกเพื่อนพลางหันกลับไปจัดการล็อคห้องให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตามไปสมทบกับคนอื่น และเมื่อเสี้ยวเทียนได้ยินดังนั้น ก็ควักมือถือออกมากดโทรหาไจ่ไจ๋ทันที

“เหวย ไจ่ไจ๋ นายถ่ายละครเสร็จยัง ... อีกนานมั้ยวะ ... เปล่า จะโทรมาชวนไปกินข้าว ... อืม ครึ่งชั่วโมงเหรอ ... แล้วตกลงแกจะมามั้ย ... เออ ได้ๆ ร้านเดิมนะ ตามมาแล้วกัน จะรอ ... เออ บาย” ชายหนุ่มร่ำลาไจ่ไจ๋ก่อนจะกดตัดสาย พลางหันมาบอกอีกสามคนที่ยืนรอฟังอยู่

“ไจ่ไจ๋ มันยังถ่ายละครไม่เสร็จ แต่ใกล้แล้วล่ะ เดี๋ยวมันตามไปที่ร้าน”

“งั้นเราก็ไปกันเลย เดี๋ยวชั้นเอารถไปเอง” แวนเนสสรุป ก่อนจะเดินผิวปากล้วงกระเป๋านำหน้าไปอย่างอารมณ์ดี


เมื่อพวกเค้ามาถึงร้านในอีกเกือบชั่วโมงต่อมา ไจ่ไจ๋ก็โทรเข้ามาที่เครื่องของเจอรี่พอดี เค้าบอกว่าตอนนี้ถ่ายละครเสร็จแล้ว กำลังขับรถมาที่ร้าน ให้ทุกคนกินกันไปก่อนได้เลย แต่ช่วยเหลืออะไรไว้ให้กินบ้างก็แล้วกันเพราะหิวมาก

ทั้งสี่คนเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ลึกเข้าไปในร้านที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วหนักงานก็เจ้ามารับออเดอร์ทันทีอย่างรู้หน้าที่ ซึ่งเสี้ยวเทียนก็สั่งอาหารไปหลายจานในเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่ต้องอาศัยดูจากเมนูเลย เพราะพวกเค้ามากินข้างที่ร้านนี้เป็นประจำจนแต่ละคนแทบจะจำเมนูได้ขึ้นใจอยู่แล้ว

“ครับ ตกลงรับเท่านี้นะครับ รายการอาหารมี.....” พนักงานทวนออเดอร์ยาวเหยียดให้ฟังอีกรอบเพื่อป้องกันความผิดพลาด

“อืม เอาแค่นั้นก่อนแล้วกัน...อ้อ! เอาไก่ทอดจานใหญ่มาอีกจานนึงด้วยนะ” เจอรี่สั่งเพิ่มอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

“แหม ไม่ลืมสั่งของโปรดให้น้องรักนะอาเจิ้น นึกว่ามีน้องใหม่จะลืมน้องเก่าซะแล้ว” เสี้ยวเทียนแซวยิ้มๆ เป็นที่รู้กันว่าไก่ทอดน่ะของโปรดใคร จะมีก็แต่พาสนาคนเดียวที่ยังทำหน้างงๆอยู่ เมื่อแวนเนสเห็นเธอทำหน้างงๆ ก็เลยหันมาอธิบายให้ฟัง

“ของโปรดไอ้ไจ๋มันน่ะ มากินทีไรมันเป็นต้องสั่งทุกที”

“ก็...เมื่อกี๊ไจ่ไจ๋มันสั่งไว้ว่าให้สั่งไก่ทอดให้มันด้วยนี่นา” เจอรี่แก้ตัวงุบงิบ หน้าแดงไปถึงใบหู

“อ้าว เหรอ... ชั้นก็นึกว่านายกลัวไจ๋มันน้อยใจที่นายมัวแต่โอ๋น้องคนใหม่ เลยสั่งไก่ทอดมาเอาใจมันซะอีก ไม่ใช่หรอกเหรอ ฮ่าๆๆ” เสี้ยวเทียนยังคงกัดเพื่อนต่อไปอย่างสนุกสนาน

...ไอ้ไจ๋หนึ่ง อาเจิ้นหนึ่ง น่าแกล้งเป็นที่สุด ฮ่าๆๆๆ...

“ไอ้บ้า” เจอรี่รู้ตัวว่าเถียงชนะเพื่อนไม่ได้เลยด่าเอาซะอย่างนั้น

“ฮ่าๆๆๆ” ทั้งโต๊ะหัวเราะกันครืนด้วยความขำ


ไม่กี่นาทีต่อมาอาหารก็ทยอยมาเสริฟจนเต็มโต๊ะ พร้อมๆกับการมาถึงของไจ่ไจ๋

“อ้าว ไมมาเร็วจังวะ... ใจเย็นๆนั่งก่อน” เจอรี่ร้องทัก เมื่อเห็นไจ่ไจ๋กำลังเดินจ้ำมาที่โต๊ะ มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าแก้วของแวนเนสที่ตั้งอยู่ใกล้มือขึ้นมาดื่มอั้กๆๆ

“เฮ้ยๆๆ ไอ้ไจ๋ นี่มันแก้วชั้นโว้ยยย ไม่ตายอดตายอยากมาจากไหนวะ” แวนเนสปากก็โวยวาย แต่มือก็เอื้อมไปหยิบน้ำมารินให้เจ้าน้องชายตัวดีเพิ่ม

“ป่าว หิว ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงแล้วเนี่ย” ไจ่ไจ๋บ่น

“แล้วทำไมไม่กิน เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะกันพอดี” เจอรี่โวย ทำเอาพาสนาแอบเหล่

...ก็ดูเจ้าตัวคนสอนยังไม่ค่อยจะดูแลตัวเองเลย ยังมีหน้าไปสอนคนอื่น...

“ก็วันนี้มีถ่ายฉากอาบน้ำอ่ะ ก็กลัวพุงออกอ่ะดิ” ไจ่ไจ๋แก้ตัวงุบงิบ สายตาก็เริ่มหาตัวช่วย พอดีกับที่พาสนาตักข้าวส่งให้ เค้าเลยรับมาด้วยสายตาขอบคุณ

“ก็แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่กินให้มันน้อยๆหน่อยล่ะวะ จะได้ไม่ต้องมาอด เพราะกลัวพุงออก ทำอย่างนี้มันเสียสุขภาพรู้มั้ย” เจอรี่ยังบ่นไม่เลิก หน้าไจ่ไจ๋ก็จ๋อยแล้วจ๋อยอีกจนคนอื่นอดจะสงสารไม่ได้

“เอาน่าอาเจิ้น แค่นี้เอง พวกเราก็เป็นกันบ่อยๆ นายอย่าไปบ่นมันเลย เห็นมั้ยไจ่ไจ๋มันหิวจะตายอยู่แล้ว กินกันเหอะ” เสี้ยวเทียนพยายามไกล่เกลี่ย พลางตักไก่ทอดใส่จานให้ไจ่ไจ๋

“เอ้า นี่กินซะ อาเจิ้นมันอุตส่าห์สั่งให้นายนะเนี่ย รู้ว่านายชอบ”

“ขอบใจนะ” ไจ่ไจ๋พูดกับเสี้ยวเทียน แต่ตาน่ะมองไปทางเจอรี่อย่างอ้อนๆ ทำเอาเจอรี่อดยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วบรรยากาบนโต๊ะอาหารก็กลับมาสนุกสนานเหมือนเดิม


“เอ้า ไจ่ไจ๋ กินผัดผักนี่สิ อร่อยนะ ดีต่อสุขภาพด้วย” พาสนาตักผัดผักให้ไจ่ไจ๋ อาหารมื้อนี้อร่อยมากสมกับที่สี่หนุ่มบอกว่าเป็นร้านประจำ และการที่มีเพื่อนคุยที่ถูกคอก็ทำให้อร่อยขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

“คร๊าบ เจ๊” ไจ่ไจ๋บอกพลางตักผัดผักใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ในขณะที่เสี้ยวเทียนกับเจอรี่ถึงกับสำลักกับสรรพนามใหม่ของพาสนา

“ใครเจ๊นายไจ่ไจ๋” หญิงสาวเค่นเสียงถามอย่างเอาเรื่อง

“อ้าว เรียกเจ๊ไม่ได้เหรอ งั้นเรียกอาซ้อแล้วกัน” ไจ่ไจ๋ถามด้วยหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสา แต่แววตานี่สิ เจ้าเล่ห์สุดๆ ประโยคนี้ทำเอาแวนเนสกับเสี้ยวเทียนหัวเราะกันแทบจะตกเก้าอี้ ขณะที่อีกสองคนที่เหลือทำหน้าไม่ถูก เจอรี่น่ะทั้งเขินทั้งโมโห ส่วนพาสนาน่ะถึงจะไม่ค่อยเข้าใจประโยคของไจ่ไจ๋นัก แต่ก็อดที่จะหน้าร้อนๆไม่ได้

“โอ๊ย!” อยู่ๆเสี้ยวเทียนก็ร้องออกมาเสียงดัง ทำเอาทุกคนในโต๊ะหันไปมองเค้าเป็นตาเดียว

“เป็นอะไรเสี้ยวเทียน” พาสนาถามอย่างเป็นห่วง

“โอ๊ย! เปล่าๆๆ มดกัดน่ะ มดตะนอยยักษ์” เสี้ยวเทียนร้องเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะกัดฟันตอบพลางเหล่ตาไปมองเจอรี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ไอ้หมอนี่เล่นเตะเค้าใต้โต๊ะซะแรงเชียว

...ช่วยไม่ได้ ก็มันขำจริงๆนี่นา... เสี้ยวเทียนแก้ตัวกับตัวเอง

“อ่ะนะ มดกัดเนี่ยนะ ร้องซะอย่างกับถูกเชือด” พาสนาอดไม่ได้ตามเคย

...ตั้งแต่มันกลับมาไต้หวัน ไม่ค่อยได้ทะเลาะกับมันแล้วเหงาๆปากยังไงไม่รู้...

“พูดให้ดีๆนะอาซ้อ ใครถูกเชือด” เสี้ยวเทียนเล่นกลับ มีเหรอคนอย่างเค้าจะยอมแพ้

“ใครซ้อพูดให้มันดีๆ” หญิงสาวถามอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้ทุกคนบนโต๊ะได้แต่หันดูฝ่ายนั้นทีฝ่ายนี้ทีอย่างสนุกสนาน

“อ้าว ก็จะไปรู้เรอะ เห็นไจ่ไจ๋มันเรียก ชั้นก็เรียกตามแค่นั้นเอง” เสี้ยวเทียนโยนกลองให้ไจ่ไจ๋เอาดื้อๆ ทำเอาไจ่ไจ๋ที่นึกว่าจะรอดตัวแล้วส่งสายตาพิฆาตมาอย่างเอาเรื่อง

“ไอ้เสี้ยวนะไอ้เสี้ยว โยนมาให้กันจนได้ นึกว่ารอดตัวแล้วเชียว” ไจ่ไจ๋กระซิบรอดไรฟันโวยเสี้ยวเทียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนเสี้ยวเทียนก็ได้แต่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป

“แหม ก็ไม่ให้เรียกเจ๊นี่ ผมก็เรียกอาซ้อสิ” ไจ่ไจ๋แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ เมื่อสบสายตาคาดคั้นของพาสนา

“เออๆๆ จะเรียกอะไรก็เรียก แต่ห้ามเรียกอาซ้อ เข้าใจมั้ย” พาสนาบอกเสียงเขียว

“งั้นเรียกเจ๊นะ ฮ่าๆๆ” ไจ่ไจ๋รีบบอก

“ฮ่วย ไม่เข้าใจเลย ทำไมจะเรียกพาสเฉยๆไม่ได้หรือไงนะ” หญิงสาวไม่วายบ่น

“ไม่เอาอ่ะ ก็จะเรียกเจ๊อ่ะ นะคร๊าบบบบบ” ชายหนุ่มตอบ พลางเอียงหัวไปสีๆที่แขนหญิงสาวอย่างออดอ้อน ทำเอาเจอรี่ที่นั่งอยู่อีกข้างหันมามองตาเขียว แต่ไจ่ไจ๋ก็ยังไม่รู้สึก ยังคงทำการออดอ้อนพี่สาวคนใหม่ต่อไป

“ก็ได้ๆ” พาสนายอมแพ้

...แหม ก็พอรู้นะว่าไจ่ไจ๋อ่ะหน้าตาดี แต่ไอ้อาการเมื่อกี๊น่ะ น่ารักสุดๆไปเลย ขนาดเธอที่ว่าไม่พิศวาสผู้ชาย เห็นแล้วยังอดใจเต้นตึ้กตั้กไม่ได้...


“ตกลงพาสจะย้ายเข้าห้องเมื่อไหร่อ่ะ พี่จะได้ไปช่วยขนของ” เจอรี่เปลี่ยนเรื่อง เค้าออกจะรำคาญตากับท่าทางของไจ่ไจ๋อยู่ไม่น้อย ทั้งๆที่ก็รู้ว่านี่มันเป็นอาการอ้อนแบบปกติของไจ่ไจ๋อยู่แล้ว

...แต่นี่มันพาสของเค้านะ ไจ่ไจ๋มันถือดียังไงมาซบพาส ทีเค้ายังไม่เคยมีโอกาสเลย… เจอรี่คิดในใจอย่างอิจฉา

“อืม ใช่ๆ พาสจะย้ายเข้าเมื่อไหร่...แต่เอาเป็นมะรืนนี้ได้มั้ยอ่ะ พรุ่งนี้ชั้นไม่ว่าง ถ้าเป็นมะรืนนี้ชั้นจะได้ช่วยด้วยไง” แวนเนสออกความเห็น ยังไงเค้าก็ต้องทำหน้าที่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีหน่อย

“งั้นไว้มะรืนก็ได้ แล้วพรุ่งนี้พาสจะทำอะไรดีล่ะเนี่ย ตอนแรกว่าจะย้ายของให้เสร็จ แล้วจะได้ไปซื้อพวกของใช้มาไว้ หรือจะไปซื้อของพรุ่งนี้เลยดี” หญิงสาวเปรยอย่างจะปรึกษา

“พี่ว่า ไว้ย้ายของเสร็จแล้วค่อยไปซื้อดีมั้ย จะได้มีที่เก็บ ส่วนพรุ่งนี้ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่พาเราเที่ยวเอง ตั้งแต่มาไต้หวัน ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยไม่ใช่เหรอ” เจอรี่บอกยิ้มๆ

“เอาอย่างเกอเกอว่าก็ได้ฮะ ก็จริงนะเกอเกอติดสัญญาพาสไว้นี่นา ว่าจะพาไปเที่ยว นายด้วยเสี้ยวเทียน” ประโยคท้ายหญิงสาวหันไปทวงสัญญาจากเพื่อน

“อ้าว ก็วันนี้ไง พาตระเวนซะทั่วไทเป ถือว่าพาเที่ยวแล้ว” เสี้ยวเทียนแกล้งแหย่

“ไม่นับโว้ยไม่นับ” พาสนาโวยวายใหญ่

“ไม่เป็นไรเจ๊ เสี้ยวเทียนมันไม่พาเที่ยว เดี๋ยวผมพาเที่ยวเอง เนอะแวนเนสเนอะ” ไจ่ไจ๋รีบเอาหน้า พลางหันไปพยักเพยิดกับแวนเนส

“แหม ทำยังกับตัวเองว่างนักนี่ไจ่ไจ๋ ได้ข่าวถ่ายละคร 5 วันต่ออาทิตย์ แถมพอว่างก็แจ้นไปหาแฟน โธ่ ทำมาคุย” เสี้ยวเทียนแขวะอย่างหมั่นไส้

“ฮ่าๆๆ อ้าว ไจ่ไจ๋มีแฟนแล้วเหรอ งั้นพาสก็อกหักอ่ะดิ” พาสนารับลูกต่อจากเสี้ยวเทียน ทำเอาไจ่ไจ๋เถียงไม่ออกเพราะมันเป็นเรื่องจริง

“ถึงไจ่ไจ๋ไม่ว่างแล้วแต่แวนเนสยังว่างอยู่นะคร๊าบบบ” แวนเนสรีบหยอดทีเล่นทีจริง ไอ้ที่จริงน่ะ อยากแกล้งเจอรี่จริงๆมากกว่า

“เอาสิ พาสก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแวนเนสชอบของแปลก ฮ่าๆๆ” พาสนาก็เล่นด้วยอย่างไม่คิดอะไร เธอรู้ว่าชายหนุ่มพูดเล่น เค้าดูเป็นคนสนุกสนานแล้วก็คุยง่ายดี จริงๆที่เมืองไทยเธอก็มีเพื่อนลักษณะแบบนี้อยู่หลายคน ทำให้ออกจะสนิทใจกับแวนเนสเป็นพิเศษ


“เฮ้ยๆ คุยธุระต่อ เล่นกันอยู่ได้พวกนายนี่” เจอรี่โวย พร้อมๆกับที่ได้รับสายตารู้ทันจากเพื่อนหนุ่มทั้งสาม ก็อาการเค้าน่ะ ดูออกง่ายจะตาย ...หวงไอ้พาสล่ะซี้... เสี้ยวเทียนคิดแบบขำๆ

“ทำไมวันนี้นายดูขี้หงุดหงิดจัง หรือว่าเป็นวันนั้นของเดือนหว่า” ไจ่ไจ๋แกล้งแซว ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ ทำเอาเจอรี่ถึงกับลมออกหู

“ไอ้ไจ๋ ปากอย่างนี้ไม่อยากตายดีใช่มั้ย... เสี้ยวเทียน แวนเนส หยุดหัวเราะได้แล้ว... พาสก็พลอยเป็นไปกับพวกมันด้วยนะ” ประโยคสุดท้ายเจอรี่หันมาพูดกับหญิงสาวข้างตัวพลางทำปากยื่นอย่างงอนๆ

“โอ๋ๆๆ เกอเกอ ก็มันขำนี่นา พาสขำไจ่ไจ๋หรอก ไม่ได้ขำเกอเกอซะหน่อย” พาสนารีบง้อ เพราะถ้าเจอรี่งอนนั่นก็หมายความว่าเธอจะไม่มีไกด์พาไปเที่ยวพรุ่งนี้แน่ๆ

“ชริ จำไว้นะจำไว้ ทุกคนเลย ฝากไว้ก่อนเถอะ” เจอรี่ยังไม่เลิกงอน

“ไม่รับฝากเว้ย ไม่ใช่พนักงานรับฝากของ” เสี้ยวเทียนแย้งกวนๆ

“ไม่รับฝากใช่มั้ย งั้นเอาไปเลยแล้วกัน” พูดจบเจอรี่ก็ทำท่าจะลุกไปจัดการกับเสี้ยวเทียน เดือนร้อนถึงพาสนาที่นั่งข้างๆ ต้องฉุดแขนชายหนุ่มให้ลงมานั่งตามเดิม ในขณะที่ไจ่ไจ๋กับแวนเนสก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด เพราะอย่างนี้นี่เอง พวกเค้าถึงชอบเวลาได้ทำงานพร้อมกันทั้ง 4 คนมาก มันมักจะสนุกและมีแต่เสียงหัวเราะอย่างนี้เสมอ ถึงจะมีโกรธมีเคืองกันบ้าง แต่คนที่เหลือก็มักจะช่วยให้บรรยากาศกลับมาดีเหมือนเดิมได้ในเวลาไม่นาน


“พรุ่งนี้เกอเกอจะพาพาสไปเที่ยวไหนเหรอฮะ” พาสนาชวนคุยด้วยเสียงอ้อนๆ

“ทีเมื่อกี๊อ่ะมาหัวเราะเรา อย่าไปเลยแล้วกัน” เจอรี่พูดอย่างงอนๆ

“โอ๋ๆๆ เกอเกอก็หัวไม่ล้านซะหน่อย อย่าใจน้อยสิฮะ นะ นะ นะ พรุ่งนี้จะพาพาสไปไหนฮะ”

“พาสอยากไปไหนล่ะ” ยังไงชายหนุ่มก็อดใจอ่อนไม่ได้ซักทีเมื่อเห็นดวงตาใสแจ๋ว กับเสียงหวานๆนั้นของพาสนา

“ไปไหนก็ได้ฮะ แล้วแต่เกอเกอ”

“แล้วพวกนายล่ะ จะไปด้วยหรือเปล่า” เจอรี่หันไปถามเพื่อนๆเค้าที่เหลือ

“ชั้นมีงานอ่ะ” แวนเนสตอบปฏิเสธเป็นคนแรก

“ชั้นก็มีถ่ายละครอ่ะ” ไจ่ไจ๋บอกอย่างเสียดาย

“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้ว่าจะอยู่บ้านเล่นกะแมว” นั่นคือคำตอบของเสี้ยวเทียน เค้ารู้หรอกน่าว่าเพื่อนเค้าน่ะมันอยากจะไปกับพาสสองคน ไม่เอาล่ะวันนี้เค้าแกล้งมันมาพอแล้ว ช่วยมันมั่งดีกว่า

“งั้นพาสก็ไปกับพี่สองคนได้มั้ย” เจอรี่หันไปถามความสมัครใจของหญิงสาวข้างตัว

“ได้อยู่แล้วฮะ พาสไม่มีปัญหา ไปกับใครก็เหมือนกันแหละ” พาสนาตอบอย่างง่ายๆไม่คิดอะไร แต่คนได้ฟังนี่สิ อดจะน้อยใจไม่ได้ ...ไปกับใครก็เหมือนกันงั้นเหรอ เฮ้ออออออ...

“อืมมม งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับที่โรงแรมแล้วกัน กี่โมงดี”

“กี่โมงก็ได้ฮะ แล้วแต่เกอเกอ ว่าแต่จะพาพาสไปไหนอ่ะฮะ”

“ยังไม่บอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ”

“แหม เกอเกออ่ะ แค่นี้บอกหน่อยก็ไม่ได้”

“เอาน่า...เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปรับ ตอน 7 โมงนะ จะตื่นมั้ยอ่ะ” เจอรี่แหย่

“นั่นสิ เจอรี่นายนัดมัน 7 โมง มิต้องโทรไปปลุกมันตั้งแต่ตี 5 เหรอ” เสี้ยวเทียนปากอยู่ไม่สุขอีกตามเคย

“โหย...ดูถูก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นให้ดู” พาสนายืนยัน

“ต้องให้พี่โทรไปปลุกมั้ย” เจอรี่แกล้งลองเชิง

“ปลุกหน่อยก็ดีพี่ แต่แค่ 6 โมงก็พอนะ ไม่ต้องถึงขนาดตี 5” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้ม รู้สึกเสียหน้ายังไงก็ไม่รู้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรกันไว้ดีกว่าแก้

“ฮ่าๆๆ ไหนบอกตื่นได้ไง” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าประโยคนี้จะออกมาจากปากใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เสี้ยวเทียน

“พูดมากน่า” พาสนาหันไปโวยเพื่อน

“ว่าแต่พรุ่งนี้นายจะเอารถอะไรไปวะ เอารถชั้นมั้ย พรุ่งนี้ชั้นอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน” เสี้ยวเทียนเสนออย่างใจดี

“นั่นสิ นายเอารถเสี้ยวเทียนไปเหอะ จะได้สะดวกๆ” แวนเนสสนับสนุน

“แต่ชั้นไม่ถนัดขับรถเก๋งอ่ะ ว่าแต่พาสเหอะกล้าซ้อนมอเตอร์ไซด์พี่หรือเปล่า” เจอรี่บอกตามความจริง

“กล้าอยู่แล้ว พาสยังไงก็ได้ฮะ แล้วแต่เกอเกอ”

“งั้นไม่เป็นไรเสี้ยวเทียน เดี๋ยวชั้นเอาไอ้แก่ชั้นไปดีกว่า” เจอรี่หันไปปฏิเสธความหวังดีของเพื่อน

“งั้นก็ตามใจ ระวังคนจำได้แล้วกัน เดี๋ยวจะเป็นข่าว” เสี้ยวเทียนยังไม่วายเตือนด้วยความเป็นห่วง

“รู้แล้วน่า แต่ชั้นขี่ไอ้แก่ทีไรไม่เห็นเคยไม่ใครจำได้เลย ชั้นว่าขับรถพวกนายไปน่ะ ยังเด่นกว่าซะอีก แหม แต่ละคัน ใช่ว่ารถทั่วไป” เจอรี่แอบกัดเพื่อนเล็กๆ เป็นที่รู้กันว่ารถเพื่อนเค้า 3 คนน่ะ แต่ละคันแพงหูฉี่ แถมมีจำนวนจำกัด ขับไปไหนมาไหนเด่นจะตาย

“ฮ่าๆๆ อย่าโชคร้ายเจอนักข่าวเข้าแล้วกัน ขี่ไอ้แก่นั่นนานไม่รอดแน่ๆ” แวนเนสเตือนด้วยความหวังดี


หลังจากนั้นพวกเค้าก็คุยเล่นกันเรื่อยเปื่อยจนกินเสร็จ จึงได้เวลาแยกย้ายกันกลับ
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เจอรี่บอกกับพาสนาเมื่อเดินออกมาจากร้านพร้อมกัน

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพาสกลับกับเสี้ยวเทียนได้ เกอเกอกลับไปกับแวนเนสเหอะ บ้านเกอเกออยู่ทางนั้นไม่ใช่เหรอ จะอ้อมไปส่งพาสทำไม” หญิงสาวปฏิเสธ

“อืม ใช่ เดี๋ยวชั้นไปส่งมันเอง รับรองน้องนายถึงโรงแรมโดยสวัสดิภาพแน่นอน” เสี้ยวเทียนรับรองแข็งขัน อย่างที่ฟังยังไงก็รู้ว่าแกล้งแซวเจอรี่ แต่ยังไงเจอรี่ก็ยังไม่วายมองมาที่พาสนาอย่างเป็นห่วง

“ก็ได้ นายอย่าขับรถเร็วนะเสี้ยวเทียน” เจอรี่ยังไม่วายสั่ง อย่างกับพาสนาเป็นน้องสาววัย 5 ขวบ

“เออ ไม่เร็วหรอก ไอ้พาสมันยังขับเร็วกว่าชั้นอีก” เสี้ยวเทียนเริ่มจะรำคาญ

...มันจะห่วงอะไรนักหนาวะ...

ส่วนไจ่ไจ๋กับแวนเนสก็ได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสนุกสนาน ...อาเจิ้นนี่มันดูออกง่ายชะมัด แถมคราวนี้ดูจะเป็นเอามากซะด้วย แต่ท่าทางจะงานหนัก ก็สาวเจ้าดูจะไม่เล่นด้วยเลยนี่นา...

“ไปกันเถอะพาสง่วงแล้ว บ๊ายบายฮะ เกอเกอ แวนเนส ไจ่ไจ๋ เดี๋ยวมะรืนนี้เจอกันนะแวนเนส” พาสนาหันมาร่ำลาทุกคน

“อืม แล้วพาสอย่าลืมโทรบอกคุณเฉินนะ ว่าจะย้ายของเข้าวันมะรืน จะได้นัดเรื่องเอากุญแจด้วย” แวนเนสเตือน

“ได้ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้พาสจะโทรไปบอกคุณเฉินเอง ขอบใจนะแวนเนสที่เตือน เกือบลืมแล้วมั้ยล่ะ”

“ไม่เป็นไร บ๊ายบาย แล้วเจอกันนะ” แวนเนสตอบ


หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นรถใครรถมัน โดยเสี้ยวเทียนต้องขับไปส่งพาสนาก่อน ระหว่างที่นั่งรถไปด้วยกัน ทั้งสองก็ปะทะฝีปากกันไปตลอดทางด้วยความสนุกสนาน

พอถึงโรงแรม พาสก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปบอกเจอรี่ ด้วยไม่อยากให้เค้าเป็นห่วง ก่อนจะจัดการทำธุระส่วนตัว แล้วจึงเข้านอน พร้อมกับความสงสัยว่าพรุ่งนี้ เจอรี่จะพาเธอไปเที่ยวที่ไหนกันนะ...




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2549    
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:56:36 น.
Counter : 178 Pageviews.  

ตอนที่ 16

16.


วันรุ่งขึ้นพวกเค้าตกลงกันว่า จะเริ่มด้วยการพาพาสนาตระเวนหาที่พักก่อน เพราะปรึกษากันแล้วเห็นว่าควรต้องหาที่พักให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก เจอรี่จัดการให้แฟนนี่ลองหารายชื่อที่พักที่น่าสนใจมาได้หลายแห่ง เพราะอย่างนั้น วันนี้พวกเค้าก็เลยต้องออกตระเวนรอบไทเปกันตั้งแต่เช้า

“ขอบคุณเกอเกอมากเลยนะฮะ ที่เป็นธุระพาพาสไปดูห้องตั้งหายที่แน่ะ ขอบใจนายด้วยนะเสี้ยวเทียน” พาสนายื่นหน้าจากเบาะหลังไปพูดกับเจอรี่และเสี้ยวเทียนที่ด้านหน้ารถระหว่างทางที่จะไปยังคอนโดแห่งต่อไป วันนี้ทั้งคู่ไปรับเธอที่โรงแรมตั้งแต่เช้าเพื่อพาไปดูที่พักที่แฟนนี่หารายชื่อมาให้ โดยเสี้ยวเทียนรับอาสาเป็นสารถี เพราะถ้าจะให้ไปรถของเจอรี่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเค้าเป็นคนเดียวใน F4 ที่ไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง แต่ยังคงใช้มอเตอร์ไซด์คันเก่งที่ใช้มาไม่รู้ต่อกี่ปีแล้ว เป็นพาหนะในการเดินทางไปไหนมาไหนอยู่เหมือนเดิม

“ไม่เป็นไรหรอกเรื่องเล็กน้อย” เสี้ยวเทียนตอบ ทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากถนนตรงหน้า

“ใช่ เรื่องของพาสก็เหมือนเรื่องของพี่ ไม่ต้องเกรงใจนะ” เจอรี่เสริม

“เกอเกอ เป็นพี่ชายที่น่ารักที่สุดเลยฮะ” พาสนาบอกเสียงอ้อน ถึงเจอรี่จะดีใจที่ได้รับคำชมจากหญิงสาว แต่ไอ้คำว่า ‘พี่ชาย’ นี่มันก็ทำให้เค้ารู้สึกหนึบๆในหัวใจเหมือนกัน ...ใช่สินะ ยังไงเธอก็คิดกับเราแค่พี่ชายเท่านั้นเอง...

“ชมแต่ไอ้เจิ้นอ่ะนะ ใช่ซี๊ ชั้นมันไม่ใช่พี่ชายบังเกิดเกล้าของแกนี่” เสี้ยวเทียนแกล้งแหย่มาจากหลังพวงมาลัย

“โอ๋ๆๆ แต่ช้าแต่...เสี้ยวเทียนก็น่าร๊ากกกจ้ะ....แหวะ” พาสนาแกล้งลากเสียงประชด ยกเว้นคำสุดท้ายที่หญิงสาวลดเสียงลงไม่ให้คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้ยิน ...ขืนให้มันได้ยิน เดี๋ยวได้เป็นเรื่อง ฮ่าๆๆ...

“นี่พวกไจ่ไจ๋กะแวนเนสมันก็บอกนะว่า ถ้ามันไม่ติดงานมันก็จะมาช่วยหาด้วยหรอก”เจอรี่บอกต่อ ซึ่งคำบอกเล่าของเค้าก็ทำให้หญิงสาวอดจะตื้นตันใจไม่ได้ ทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ แต่ทั้งแวนเนสและไจ่ไจ๋ต่างก็เป็นห่วงและพยายามช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ ไม่ต่างจากเพื่อนที่รู้จักกันมานานเลย

“ฝากขอบคุณแวนเนสกับไจ่ไจ๋ด้วยนะฮะ จริงๆแล้วพวกเกอเกอไม่ต้องซีเรียสก็ได้ พาสเกรงใจ ถ้ายังหาที่พักไม่ได้ พาสก็แค่อยู่โรงแรมไปก่อน ก็เท่านั้น” หญิงสาวบอกด้วยความเกรงใจที่ทำให้คนอื่นต้องมาพลอยเป็นธุระไปกับเธอด้วย

“จะอยู่ได้ยังไงคนเดียว ยังไงมีที่พักเป็นของตัวเองก็ดีกว่าอยู่โรงแรมอยู่แล้ว แล้วนี่เพื่อนแกก็กลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ” เสี้ยวเทียนดุ ถึงหญิงสาวจะดูห้าว หรือเก่งกล้าซักแค่ไหน แต่ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงการจะต้องไปอยู่โรงแรมคนเดียวแบบนั้น ดูจะไม่ค่อยปลอดภัยซักเท่าไหร่ อีกอย่างเดชาที่เดินทางมาพร้อมกับหญิงสาวก็ขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยไปตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากมีงานโปรเจคใหม่รออยู่ที่เมืองไทย ให้รีบกลับไปทำ

“รู้น่า” พาสนาก้มหน้าตอบงุบงิบ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ในข้อนี้ซะเมื่อไหร่ แต่การที่ทุกคนต้องมาวิ่งวุ่นเป็นธุระให้ ก็ทำให้เธอไม่สบายใจซักเท่าไหร่ เพราะแต่ไหนแต่ไร เธอชินกับการทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียวมากกว่า ด้วยเพราะหญิงสาวไม่อยากเป็นภาระให้กับคนอื่นนั่นเอง

“แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจด้วย พาสมาเป็นคนใหม่ที่นี่ พวกพี่ก็ต้องคอยดูแลอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคิดมากซะหน่อย” เจอรี่เสริมดุๆ

“ฮะ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะฮะ ว่าแต่ที่ต่อไปที่จะไปดูนี่อยู่ที่ไหนเหรอฮะ” เมื่อเห็นว่ายิ่งจะโดนดุมากๆเข้า หญิงสาวเลยเปลี่ยนเรื่อง

“อืม อีกแป๊บก็ถึงแล้วล่ะ ที่นี่เพื่อนเสี่ยวจือเค้าแนะนำมา” เสี้ยวเทียนตอบ

“เดี๋ยวไปดูอีกซักสองสามที่ ถ้ายังไม่ได้ วันนี้ก็พอก่อนแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยหาต่อ” เจอรี่แนะนำ วันนี้พวกเค้าไปดูมาไม่ต่ำกว่า 5 ที่แล้วแต่ก็ยังไม่มีที่ไหนถูกใจเลย


อีก 10 นาทีต่อมา รถของเสี้ยวเทียนก็แล่นเข้าไปจอดที่ด้านหน้าของคอนโดขนาดเล็กแห่งหนึ่งบริเวณรอบนอกของเมืองไทเป หลังจากติดต่อกับเจ้าหน้าที่แล้ว พวกเค้าจึงถูกนำไปยังห้องที่ประกาศให้เช่า

“อืม สภาพห้องก็ดูเรียบร้อยดีนะ หรือพาสว่าไง” เจอรี่ถามความเห็น หลังจากใช้เวลาพิจารณาสภาพของห้องอย่างคร่าวๆ

ขณะนี้ เค้าทั้งคู่ยืนอยู่ในส่วนที่เป็นเหมือนห้องรับแขก ในขณะที่เสี้ยวเทียน ตั้งแต่เข้ามา ก็เดินผลุบเข้าผลุบออกสำรวจตรงนั้นตรงนี้ไปจนทั่ว ตามประสาคนที่เคยชินต่อการย้ายที่อยู่อยู่เรื่อยๆ

“ก็ดูดีฮะ แต่พาสขอเดินดูให้ทั่วก่อนแล้วกัน” พาสนาบอกก่อนจะหันไปเดินสำรวจส่วนต่างๆของห้องบ้าง

ห้องนี้ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว ประกอบไปด้วยห้องรับแขกเล็กๆ ที่กั้นส่วนหนึ่งไว้สำหรับประกอบอาหาร ห้องนอน 1 ห้อง ห้องน้ำอีก 1 ห้อง สภาพห้องก็ยังไม่เก่ามาก เครื่องเรือนต่างๆก็ดูดี ราคาก็ไม่แพงมากนัก

“อืมม พาสว่าก็โอเคนะฮะ” พาสนาบอกกับเจอรี่และเสี้ยวเทียน หลังจากที่พวกเค้าทั้งสามใช้เวลาเดินสำรวจรอบๆห้องอยู่พักหนึ่ง

“แต่พี่ว่ามันดูจะเล็กไปหน่อยนะ” เจอรี่ให้ความเห็น

“ก็ไม่เล็กมากหรอกฮะ พาสอยู่คนเดียวเองนะฮะ จะเอาห้องกว้างๆไปทำไม” จริงๆแล้วเธอก็คิดว่าห้องมันดูจะเล็กไปซักหน่อย เมื่อคิดถึงพวกเครื่องดนตรี รวมไปถึงอุปกรณ์การทำงานต่างๆของเธอที่พี่นัทจะจัดการส่งมาให้ในภายหลัง แต่ห้องนี้ก็ดูจะดีที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับที่ต่างๆที่พวกเค้าไปดูกันมาก่อนหน้านี้

“เล็ก แถมอยู่ค่อนข้างไกลด้วยนะ” เสี้ยวเทียนเห็นด้วยกับเจอรี่ จริงอยู่ที่ห้องค่อนข้างดูดี แต่เมื่อคิดถึงเรื่องการเดินทาง รวมถึงเรื่องความปลอดภัยกับการที่หญิงสาวจะต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียวแล้ว เค้าก็ไม่ค่อยจะไว้ใจเท่าไหร่

“แหม พาสก็ตั้งใจจะซื้อรถซักคันไว้ใช้เดินทางไปไหนมาไหนอยู่แล้ว ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก” หญิงสาวพยายามหว่านล้อม เธออยากให้เรื่องหาที่พักนี่เสร็จไปซักที จะได้เอาเวลาไปจัดการเรื่องอื่นบ้าง แค่นี้ก็เสียเวลามาทั้งวันแล้ว

“แต่แกต้องอยู่คนเดียวนะ รปภ.ก็ไม่มี” เสี้ยวเทียนบ่น

“แต่ที่นี่ก็ดีที่สุดเท่าที่เราไปดูกันมาแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวย้อนถาม

“ก็จริง แต่ไว้พรุ่งนี้เราค่อยออกตระเวนหากันใหม่ก็ได้นี่” เจอรี่บอก

“เสียเวลาน่ะฮะ” หญิงสาวตัดบท

“แต่...” เจอรี่ยังพยายามจะแย้ง

“ไม่ต้องหรอกฮะ เอาที่นี่แหละ ถึงจะเล็กแล้วก็ไกลจากบริษัทไปซักหน่อย แต่ก็โอเคที่สุดแล้ว” พาสนาสรุป ก่อนจะหันไปบอกกับเจ้าของห้องว่าตกลงเช่า ก่อนที่จะพากันเดินลงไปข้างล่างเพื่อทำสัญญา


แต่ระหว่างที่พวกเค้ากำลังเดินออกจากห้องจะไปที่ลิฟท์ ก็ได้สวนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเซๆมาทางพาสนา แต่ดีว่าเสี้ยวเทียนเดินเข้าบังไว้ซะก่อน ผู้ชายคนนั้นจึงเดินชนเสี้ยวเทียนซะเองแทนที่จะเป็นพาสนา เค้าพึมพำขอโทษขอโพยก่อนที่จะเดินไปไขประตูห้องข้างๆกับห้องที่พวกเค้าเพิ่งจะเดินออกมาเข้าไป ขณะที่เค้าเดินผ่านไปทั้งกลุ่มก็ได้กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งมาจากตัวชายคนนั้น แสดงว่าคงจะอยู่ในอาการเมามาก

หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นเข้าห้องไปแล้ว เจอรี่กับเสี้ยวเทียนก็หันมามองหน้ากันคิ้วขมวด ส่วนเจ้าของห้องก็รีบอธิบายว่า

“เออ นั่นคุณจางน่ะครับ พอดีแกเพิ่งถูกไล่ออกจากงาน พักนี้ก็เลยดื่มหนักไปหน่อย อย่าไปถือสาแกเลยครับ ปกติแกก็เป็นคนเฮฮาดีนะครับ”

“ครับ เอ่อ ขอโทษนะครับ ขอพวกผมปรึกษาอะไรกันนิดนึง” เสี้ยวเทียนบอกอย่างสุภาพ ในขณะที่เจอรี่ก็ดึงมือพาสนาไปอีกทาง เมื่อเจ้าของห้องได้ยินดังนั้น เค้าก็พยักหน้าก่อนที่จะเดินไปรอที่หน้าลิฟท์เงียบๆปล่อยให้พวกเค้าได้คุยกันเป็นส่วนตัว

“พาส ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้พาสเช่าห้องนี้” เจอรี่เปิดฉากเสียงเครียด

“ใช่ ยังไงชั้นกับอาเจิ้นก็ไม่ยอมแน่” เสี้ยวเทียนช่วยเสริมหน้าเคร่ง

“ทำไมอ่ะ เมื่อกี๊ยังดีๆกันอยู่เลย เป็นอะไรกัน ทั้งเกอเกอทั้งเสี้ยวเทียนเลย” หญิงสาวถามหน้าเหรอหรา หันมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ไม่เห็นเหรอไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี๊อ่ะ” เสี้ยวเทียนถามเสียงเข้ม

“ก็เห็น ทำไมเหรอ ก็แค่คนเมาธรรมดา”

“พี่ว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยนะ เราลองไปหาดูที่อื่นกันก่อนเถอะ” เจอรี่บอกสีหน้าเป็นกังวล

“โธ่ พาสดูแลตัวเองได้น่า เกอเกอ เสี้ยวเทียน” พาสนาพยายามปลอบ

“แต่ยังไงแกก็เป็นผู้หญิง แถมอยู่คนเดียว เกิดอะไรขึ้นมาจะไปสู้แรงผู้ชายได้ยังไง” เสี้ยวเทียนแย้ง

“โห คิดมากไปเปล่าเสี้ยวเทียน เค้าก็แค่คนเมาคนเดียว แล้วเค้าก็ไม่ได้มายุ่งกับเราซักหน่อย”

“เมื่อกี๊ไม่เห็นหรือไง ว่ามันเดินจะมาชนแกอยู่แล้วน่ะ ถ้าชั้นบังไม่ทันจะเป็นยังไง”

“ก็ไม่เห็นเป็นไง ก็แค่ชน” พาสนาตอบง่ายๆ

“พาส” เจอรี่เรียกชื่อหญิงสาวเสียงเข้ม

“พาสอาจจะคิดว่าดูแลตัวเองได้ แต่พี่ไม่อยากให้พาสประมาท จริงอยู่ที่เค้าอาจจะเป็นแค่คนเมาธรรมดาคนนึง ที่อาจไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ใครจะรับประกันได้จริงมั้ย แล้วนี่ยังไม่นับการรักษาความปลอดภัย แล้วก็เพื่อนบ้านอื่นๆอีกนะ พี่อยากให้พาสคิดให้รอบคอบ ไม่ต้องเกรงใจพวกพี่ บอกแล้วว่าช่วงนี้ว่าง พี่พาพาสออกไปหาบ้านได้ทุกวันแหละ จนกว่าจะได้ หรือถ้ายังหาไม่ได้ ไปอยู่บ้านแม่พี่หรือบ้านแฟนนี่ก่อนก็ได้”

เจอรี่บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เค้าไม่อยากให้หญิงสาวทำเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ ชายหนุ่มรู้ว่าเหตุผลเหนืออื่นใดทั้งหมด ก็คือพาสนาเกรงใจเค้ากับเสี้ยวเทียนที่ต้องมาเสียเวลากับเธอนั่นเอง ทั้งๆที่เค้าไม่นึกว่ามันจะเป็นเรื่องลำบากอะไรซักนิด และก็เชื่อว่าเสี้ยวเทียนก็คงคิดอย่างนั้นด้วย

“ใช่ อย่างที่เจอรี่บอกนั่นแหละ แกอย่าดื้อนักเลย” เสี้ยวเทียนเสริม

“ไม่ได้ดื้อ แค่ไม่อยากให้ยุ่งยากกัน” พาสนาแก้ตัวเสียงอ่อย

“ก็บอกแล้วว่าไม่ยุ่งยาก เอ๊ะแกนี่” เสี้ยวเทียนเริ่มขึ้นเสียง

“เอาน่า อย่าทะเลาะกัน เอาเป็นว่ายังไงๆ พี่กับเสี้ยวเทียนก็ไม่ยอมให้พาสอยู่ที่นี่” เจอรี่สรุปเสียงเข้ม ทำเอาหญิงสาวเถียงไม่ออก จากนั้นเจอรี่จึงเดินไปบอกกับเจ้าของห้อง ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา แต่พวกเค้าเปลี่ยนใจไม่เช่าห้องแล้ว

“แล้วตกลงวันนี้เราจะยังไปดูที่ไหนอีกหรือเปล่าฮะ หรือว่าพอแค่นี้ก่อน” พาสนาเอ่ยถามเบาๆ หลังจากที่ทุกคนเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว

“นายว่าไงเสี้ยวเทียน” เจอรี่หันไปถามความเห็นเพื่อนที่ทำหน้าที่ขับรถ

“เดี๋ยวไปดูอีกซักที่แล้วกัน ไหนนายเอาที่อยู่ที่แฟนนี่ให้มาดูซิ” เสี้ยวเทียบเหลือบดูนาฬิกาก่อนจะหันมาตอบ เมื่อเห็นว่ายังไม่เย็นเท่าไหร่

ระหว่างนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ของเจอรี่ดังแทรกขึ้นมา “เหวย” ชายหนุ่มกรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์หลังจากกดปุ่มรับสาย

“อ้าว แวนเนส มีอะไร”

“ใช่ๆ”

“เหรอ”

“อืมๆๆ”

“ที่ไหนวะ”

“จริงดิ”

“เออๆๆ งั้นไว้เจอกัน” เจอรี่บอกกับปลายสาย ก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งให้กับอีกสองคนในรถ ที่พากันมองมาด้วยสายตาสงสัย

“แวนเนสโทรมา มันบอกว่าหาที่พักให้พาสได้แล้ว” เจอรี่หันมาอธิบาย

“ที่ไหนวะ” เสี้ยวเทียนถาม

“ก็ที่คอนโดมันน่ะแหละ พอดีห้องข้างๆมันเค้าจะย้ายออก ติดประกาศมาหลายวันแล้ว แต่มันเพิ่งนึกได้”

...รู้นะว่ามันทำงานหนัก แต่ไม่นึกว่าจะความจำเสื่อมได้ขนาดนี้... เจอรี่คิดอย่างพยายามจะปลงในความหลงๆลืมๆของเพื่อนกล้ามโต

“จริงดิ งั้นก็แจ๋วสิวะ” เสี้ยวเทียนอุทานอย่างดีใจ ถ้าเป็นอย่างนี้ปัญหาเรื่องห้องพักของพาสนาก็เป็นอันหมดไป

“เออ มันบอกให้พวกเราไปที่คอนโดมันเลย มันกำลังกลับ ติดต่อเจ้าของห้องข้างๆเค้าไว้แล้วด้วย”

“ว่าแต่คอนโดแวนเนสอยู่ที่ไหนเหรอฮะ” พาสนาเอ่ยถามขึ้น ในใจก็คิดอย่างโล่งอกว่า ถ้าเป็นคอนโดแวนเนสคงไม่มีปัญหา แต่คงต้องดูเรื่องค่าเช่าก่อนว่าแพงมั้ย

“อยู่ใกล้ๆกับคอนโดพี่น่ะ... ดีแล้ว ถ้าไปอยู่คอนโดแวนเนสจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ข้างๆห้องก็มีแวนเนส แล้วถึงแวนเนสไม่อยู่ คอนโดพี่ก็อยู่ใกล้ๆ อีกอย่างการเดินทางก็สะดวกด้วย” เจอรี่อธิบาย

“เกอเกออ่ะ พาสไม่ใช่เด็กสามขวบนะ พาสน่ะจะสามสิบแล้ว แหม พูดซะ พาสบอกแล้วว่าพาสดูแลตัวเองได้” หญิงสาวพูดอย่างอ่อนใจ

“ไม่รู้ล่ะ ก็พี่เป็นห่วงนี่นา ยังไงพาสก็เป็นน้องพี่ ไหนบอกจะไม่ดื้อไม่ซนไง”

“ค๊าบบบ คุณพี่ชาย น้องจะเชื่อฟังคุณพี่ชายทุกอย่างเลยค๊าบบบ” หญิงสาวลากเสียงอย่างล้อเลียน เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มทั้งคู่ที่นั่งอยู่ตอนหน้าของรถได้เป็นอย่างดี

จากนั้นเสี้ยวเทียนก็ออกรถมุ่งหน้าตรงไปยังคอนโดของแวนเนส ซึ่งเมื่อไปถึงก็พบว่าแวนเนสมารออยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดจึงพากันไปพบเจ้าของห้องที่ประกาศให้เช่า หลังจากพูดคุยอยู่สักครู่จึงทราบว่า เนื่องจากเจ้าของห้องคนเก่าจะไปอยู่เมืองนอก แต่ก็ยังไม่อยากขายคอนโดที่อยู่มานาน เลยประกาศให้เช่า และเมื่อดูสภาพห้องแล้ว ทุกคนก็พอใจมาก ห้องในคอนโดนี้มีลักษณะเหมือนๆกันหมด ดังนั้นห้องนี้จึงไม่ต่างจากห้องแวนเนสมากนัก มีเพียงแค่ลักษณะการตกแต่งที่ดูเรียบและเป็นระเบียบมากกว่าเท่านั้น

ตัวห้องประกอบด้วยส่วนรับแขกที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง พอที่จะหญิงสาวสามารถวางเครื่องดนตรีได้สบายๆ แล้วยังมีห้องครัวพร้อมเตาและตู้เย็นไว้ประกอบอาหาร นอกจากนั้นก็มีห้องนอน 2 ห้อง ที่ตอนนี้ห้องหนึ่งถูกใช้เป็นที่สำหรับเก็บของ แล้วก็มีห้องน้ำอีกหนึ่งห้องที่มีประตูเชื่อมต่อทั้งจากห้องนอนใหญ่และห้องรับแขกด้วย พาสนาเดินดูรอบๆห้องด้วยความพอใจ ส่วนเจอรี่และเสี้ยวเทียนนั้น เมื่อรู้ว่าเป็นห้องที่คอนโดเดียวกับแวนเนสก็ตกลงใจไปแล้ว เพราะพวกเค้าเคยมาเที่ยวที่ห้องแวนเนสบ่อยๆ แล้วก็ชอบสภาพแวดล้อมของที่นี่มาก

“พาสคิดว่าไง พี่ว่าห้องนี้ก็ดีนะ” เจอรี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อหญิงสาวสำรวจห้องเสร็จ

“ก็ชอบนะฮะ ห้องสวยแล้วก็กว้างดี มีพื้นที่ให้ทำงานด้วย”

“งั้นก็ตกลงเช่านะ” เสี้ยวเทียนถาม ซึ่งพาสนาก็พยักหน้ารับ ดังนั้นพวกเค้าจึงหันไปตกลงเรื่องค่าเช่ากับเจ้าของห้อง ซึ่งราคาที่เจ้าของห้องบอกมาก็ถูกอย่างไม่น่าเชื่อเลย เมื่อเทียบกับสภาพห้อง รวมถึงที่ตั้งที่อยู่ในย่านเกือบใจกลางเมืองแบบนี้ แต่คุณเฉินซึ่งเป็นเจ้าของห้องก็ให้เหตุผลว่า ตัวเค้าก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองอะไร แต่ที่ประกาศให้เช่าห้องนี่ก็เพราะไม่อยากปิดห้องทิ้งไว้เฉยๆ เดี๋ยวห้องจะโทรมซะเปล่าๆ อีกอย่างพาสนาก็ดูเป็นคนดี มีระเบียบ น่าจะดูแลห้องให้เค้าได้ แล้วยังไม่นับว่าหญิงสาวเป็นเพื่อนกับแวนเนส ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเค้ามาตลอดด้วยนะ

“ขอบคุณฮะ แล้วไม่ทราบจะสะดวกให้ย้ายเข้ามาได้เมื่อไหร่เหรอฮะ” หญิงสาวเอ่ยถามคุณเฉินก่อนที่จะลากลับ

“ก็ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ย้ายเข้ามาได้เลย เพราะตอนนี้ผมก็ย้ายไปอยู่บ้านพี่ เตรียมตัวเดินทางแล้ว ห้องนี้ก็ปิดไว้เฉยๆ”

“ฮะ งั้นไม่วันนี้ก็มะรืนพาสคงย้ายเข้ามาเลย แล้วยังไงจะติดต่อคุณเฉินอีกทีนะฮะ”

“ไม่มีปัญหา ฝากห้องด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องห่วงฮะ พาสรับรองจะดูแลให้อย่างดี” พาสนารับรองแข็งขัน จากนั้นหญิงสาวและชายหนุ่มอีก 3 คนที่เหลือ ก็กลับมาที่ห้องแวนเนส


“เย้ เรื่องที่พักเป็นอันหมดไป” เสี้ยวเทียนร้องก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟากลางห้องแวนเนส

“เฮ้ย ไอ้อ้วน เถิบหน่อยสิวะ คนอื่นจะได้นั่งมั่ง” แวนเนสยกเท้าเขี่ยๆเพื่อนหนุ่ม ให้เขยิบเพื่อที่เค้าจะได้นั่งบ้าง

“อะไรวะ ก็ชั้นเหนื่อยนี่หว่าขับรถทั้งวัน”

“ขอบใจนะเสี้ยวเทียนที่พาตระเวนซะรอบไทเปเลย เกอเกอด้วยนะฮะ” พาสนาพูดพลางโค้งเป็นเชิงขอบคุณ

“โธ่ คิดมาก บอกแล้วว่าเรื่องเล็กน้อย ไอ้ที่เสี้ยวเทียนมันพูดเมื่อกี๊เนี่ย มันจะด่าแวนเนสหรอก ว่าถ้ามันรู้จักบอกตั้งแต่แรกว่าข้างห้องมันประกาศเช่า วันนี้ก็คงไม่ต้องไปตระเวนหาห้องกันทั้งวัน ใช่มั้ยเสี้ยวเทียน” เจอรี่บอกขำๆ

“ใช่ เพราะไอ้หมอนี่น่ะแหละอัลไซเมอร์ ไม่งั้นก็เสร็จเรื่อยไปนานแล้ว” เสี้ยวเทียนสนับสนุน ทำเอาแวนเนสน่ามุ่ยที่โดนรุม

“ก็ชั้นงานยุ่งนี่หว่า มันก็มีลืมกันบ้างสิ”

“ไม่เป็นไรหรอกแวนเนส นึกได้ช้าก็ดีกว่านึกไม่ได้เลยนะ” พาสนาแซวยิ้มๆ

“โหย พาสอ่ะ ผมไม่ขี้ลืมขนาดนั้นหรอกน่า”

“ฮ่าๆๆ พาสก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะฮะคุณเพื่อนบ้าน”

“ใช่ๆ แวนเนส นายต้องดูแลน้องสาวชั้นดีๆนะเว้ย” เจอรี่เสริม พร้อมกับชี้หน้าแวนเนสแบบเอาเรื่อง ประมาณว่า ...ถ้าพาสเป็นอะไรนะ นายโดน... ทำเอาเสี้ยวเทียนกับแวนเนสได้แต่หัวเราะอย่างขำๆ กับความเป็นเอามากของเพื่อน

“คร๊าบบบ คุณพี่ชาย ไม่ทราบว่าคุณพี่ชายจะย้ายมาอยู่ห้องกระผมซะเลยมั้ยครับ จะได้ดูแลคุณน้องสาวด้วยตัวเอง” แวนเนสประชดกลับ

“ไอ้บ้า” เจอรี่ด่า ตามด้วยเสียงหัวเราะลั่นห้องจากอีกสามคนที่เหลือ

“ห้องนายมีอะไรกินบ้างอ่ะแวนเนส” เสี้ยวเทียนเอ่ยถามหลังจากที่หยุดหัวเราะได้แล้ว

“ไม่มีอ่ะ” แวนเนสตอบแบบง่ายๆ ก็เค้าไม่ค่อยอยู่ห้อง ก็เลยไม่รู้จะซื้อพวกของสดไว้ทำไม ทำก็ไม่เป็น ทิ้งไว้ให้เสียเปล่าๆ เพราะอย่างนั้นในห้องจึงมีแต่พวกอาหารสำเร็จรูปแล้วก็เครื่องดื่ม ทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ไปจนถึงเบียร์

“งั้นออกไปหาอะไรกินกัน” เจอรี่บอกก่อนจะลุกขึ้นเดินนำไปที่ประตูห้อง ตามด้วยพาสนาที่ลุกเป็นคนถัดไป




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2549    
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:56:13 น.
Counter : 213 Pageviews.  

ตอนที่ 15

15.


“เอาน่า ช่างเหอะ มาๆคุยกันต่อ เมื่อกี๊ถึงเรื่องอะไรนะ” เจอรี่พยายามเปลี่ยนเรื่อง ตลอดเวลาเสี้ยวเทียนยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างขำๆ อยากจะรู้นักว่ามันจะปิดแวนเนสกับไจ่ไจ๋ไปได้ซักกี่น้ำ แค่นี้อาการก็เด่นจะตายอยู่แล้ว และเค้าก็เชื่อว่าถึงมันไม่ยอมพูด แต่ตัวเค้าเองก็คงไม่พ้นโดนสองคนนั่นซักฟอกจนขาวอยู่ดี

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย นายมีความลับอะไรที่พวกเราไม่รู้หรือเปล่า นายด้วยเสี้ยวเทียน” ไจ่ไจ๋คาดคั้น ไม่ยอมให้เจอรี่เปลี่ยนเรื่องง่ายๆ

แต่ก่อนที่ใครจะได้ตอบอะไร เสียงหวานๆที่เหมือนระฆังช่วยชีวิตของเจอรี่ก็ดังขึ้น...

“เกอเกอ หวัดดีฮะ” พาสนาที่ปลีกตัวออกมาจากวงผู้บริหารได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เดินมาสมทบกับชายหนุ่มร่างสูงทั้ง4 ตอนนี้วงสนทนาของพวกเค้ากลายเป็นจุดสนใจของทุกคนภายในงานแทบจะเป็นตาเดียวกัน

ก็จะไม่ให้เด่นได้อย่างไร แค่พวกเค้าสี่คนมายืนรวมกันก็เป็นจุดเด่นพอแล้ว วันนี้ ทั้งเจอรี่และเคนต่างอยู่ในชุดสูทสีดำแบบลำลอง ส่วนแวนเนสและไจ่ไจ๋นั้น ถึงจะไม่ได้แต่งเต็มยศอย่างเพื่อน แต่ก็ดูดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว แวนเนสอยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ปลดกระดุมลงมาจนเห็นแผงอกสมบูรณ์แบบอย่างคนออกกำลังกายอยู่เสมอ ส่วนไจ่ไจ๋นั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดสีอ่อน สวมทับด้วยแจ็คเก็ต ดูสบายๆแต่ก็ดูดีในขณะเดียวกัน แล้วยิ่งพาสนาเดินเข้ามาร่วมกลุ่มด้วยก็ยิ่งทำให้เป็นจุดเด่นมากขึ้นไปอีก วันนี้หญิงสาวอยู่ในชุดสูทแบบลำลอง คล้ายๆกับเจอรี่และเสี้ยวเทียน เพียงแต่เสื้อตัวในของเธอเป็นสีอ่อน แล้วยิ่งประกอบกับใบหน้าคมๆ ผิวขาวละเอียด และบุคลิกที่ดูดี จึงทำให้เธอกลายเป็นจุดสนใจอีกคนหนึ่งของงานอย่างไม่รู้ตัวไม่ว่าจะกับผู้ชายหรือผู้หญิง

เสียงหวานใสที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้เจอรี่รีบหันกลับไปมองทันที

“พาส หวัดดีจ้ะ เกอเกอคิดถึงจัง” เค้าพูดพร้อมกับยิ้มทั้งปากทั้งตาอย่างดีใจ ยิ่งมาเห็นเธอใกล้ๆแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเค้าคิดถึงเธอมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะมามีอิทธิพลต่อเค้ามากมายขนาดนี้

“เกอเกอผอมลงนะฮะ เอาแต่ทำงานไม่ยอมพักผ่อนล่ะสิ” พอมาถึงหญิงสาวก็พูดพลางใช้สายตาสำรวจคนตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง เกอเกอของเธอดูผอมลงจากครั้งล่าสุดที่เจอกันมาก ตลอดเวลาที่คุยโทรศัพท์กัน เธอก็พอจะรู้ว่าช่วงที่ผ่านมางานเค้าค่อนข้างหนักมาก แต่ก็ไม่นึกว่าจะทำให้เค้าผอมลงมากอย่างน่าใจหายขนาดนี้

“พาสก็ดูซูบไปนะ ทำงานหนักเหรอ” เจอรี่ทักกลับ ถึงเธอจะซูบลงแต่ยังไงเธอก็ดูน่ารักในสายตาเค้าเสมอ

“ก็ปกติแหละฮะ” แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงขัดจังหวะดังขึ้น

“อะแฮ่ม ใจคอนายจะไม่แน่นำให้พวกเรารู้จักเพื่อนใหม่หน่อยหรือไง อาเจิ้น” เป็นแวนเนสนั่นเองที่ท้วงขึ้น ก่อนจะหันไปสบตากับไจ่ไจ๋แบบรู้กัน เพราะตั้งแต่เจอรี่กลับมาจากเมืองไทย ก็มีข่าวมาเข้าหูพวกเค้าเสมอว่าหมอนี่ท่าทางแปลกๆไป ทำให้อดสงสัยไม่ได้ แต่ตอนนี้เค้าเชื่อว่ารู้สาเหตุแล้ว ก็ตั้งแต่หญิงสาวร่างเล็กคนนี้ก้าวเข้ามาทัก สายตาเจอรี่ก็ยังไม่คลาดไปจากหน้าหวานๆนั้นเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“ใช่ๆ” ไจ่ไจ๋รีบสนับสนุน เค้าก็คิดแบบเดียวกันแวนเนส ...ท่าทางงานนี้ต้องมีการสอบสวนกันซะหน่อยแล้ว หุหุหุ...

“อ้อ เออจริงสิชั้นลืมไปโทษที แหะๆๆ” เจอรี่รีบขอโทษ พลางจับหูแก้เก้อ เป็นที่รู้กันว่าถ้าเค้าทำท่านี้เมื่อไหร่ ก็แปลว่าเค้ากำลังเขินนั่นเอง

“ลืม หรือไม่สนใจกันแน่” เสี้ยวเทียนแซวยิ้มๆ

“ใครบอก เอ้อ นี่พาสนา เป็นโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มเฉพาะกิจนี้ ส่วนเจ้าตี๋ตาตี่นี่ก็ แวนเนส แล้วนี่ไจ่ไจ๋” เจอรี่ปฏิเสธ ก่อนจะรีบแนะนำทุกคนให้รู้จักกัน

“สวัสดีฮะ ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกพาสก็ได้นะฮะ พาสนามันอาจจะออกเสียงยากไปซักหน่อย” หญิงสาวบอกอย่างเข้าใจดี

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันฮะ คุณพาส ผมไจ่ไจ๋” ไจ่ไจ๋ทักทายก่อนจะยื่นมือไปจับมือกับหญิงสาว แล้วเขย่าเบาๆ

“หวัดดีฮะพาส ผมแวนเนสนะ ยินดีที่ได้รู้จักฮะ คุณน่ารักจัง” แวนเนสเอ่ยปากชมออกมาตรงๆ พร้อมกับจับมือกับหญิงสาวเช่นเดียวกับไจ่ไจ๋ แต่ไม่เท่านั้น เพราะหลังจากจับมือเสร็จแล้วก็เอื้อมมือไปดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดแรงๆแบบการทักทายของคนอเมริกันไปหนึ่งที

“นายทำอะไรของนายน่ะแวนเนส” ไม่พูดเปล่า เจอรี่ยังเอื้อมมือไปตบหัวเพื่อนตัวดีของเค้าซะหนึ่งที โทษฐานทำอะไรเกินหน้าเกินตา ส่วนพาสนา ตอนนี้ได้แต่ยืนอึ้งกับการทักทายแบบถึงเนื้อถึงตัวของหนุ่มตี๋

“หูย เจอรี่ มือหนักนะแก อะไรแค่นี้ทำหวง ก็พาสเค้าน่ารักอ่ะ เหมือนตุ๊กตาที่ชั้นเคยเล่นตอนเด็กๆเลย น่ากอดจะตาย” แวนเนสบ่นพลางคลำหัวป้อยๆ ก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆให้พาสนาเป็นเชิงขอโทษ ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ว่าอะไร ดูๆไปเพื่อนใหม่คนนี้ก็ดูตลกดีเหมือนกัน

“ไม่ได้หวง แต่เรื่องแบบนี้คนไทยเค้าถือ แกไม่รู้หรือไง” เจอรี่ยังไม่หายหงุดหงิด ...ก็ใครใช้ให้มันมากอดพาสของเค้าแบบนี้ล่ะ...

“เออว่ะ ลืมไป ขอโทษนะฮะพาส”

“ไม่เป็นไรฮะ แต่พาสว่า แวนเนสเหมือนตุ๊กตามากกว่าพาสอีกนะ ตุ๊กตาหมีตัวโตๆน่ะ ฮ่าๆๆ” หญิงสาวแซวกลับ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะได้จากหนุ่มๆที่เหลือได้เป็นอย่างดี แม้แต่แวนเนสที่แกล้งทำหน้าบึ้งอยู่แป๊บนึงก่อนจะหลุดหัวเราออกมาแบบขำๆ


“พาส...พาสจะกลับวันไหนอ่ะ” เจอรี่พยายามดึงความสนใจกลับมา ประกอบกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เค้ารู้แต่ว่าพาสนาจะมาวันไหน แต่ยังไม่รู้กำหนดการอื่นๆของเธอเลย ว่าจะมาอยู่กี่วัน แล้วต้องมีธุระอะไรบ้าง

“โห อะไรอ่ะ น้องเพิ่งมาถึงก็จะไล่กันเลยเหรอ” พาสนาแกล้งทำหน้างอนๆ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูได้จากเพื่อนใหม่อย่างแวนเนสและไจ่ไจ๋ได้เป็นอย่างดี ส่วนเสี้ยวเทียนน่ะเหรอ ยืนทำหน้าหมั่นไส้อยู่ข้างๆน่ะแหละ

...พาสมันคงนึกว่ามันทำท่าแบบนี้แล้วน่ารักตายงั้นแหละ โธ่ หน้าเขกกะโหลกล่ะไม่ว่า... ชายหนุ่มคิดพลางนึกภาพเจอรี่ออกเลยว่าเค้าจะมีปฏิกิริยายังไง

“เปล่าจ้า... พี่ไม่ได้จะไล่ แค่ถามดู จะได้จัดโปรแกรมเที่ยวได้ถูกไงจ๊ะ” นั่นไง เสี้ยวเทียนคิดไว้ไม่มีผิด ว่ายังไงก็ไม่แคล๊วอาเจิ้นต้องตามง้อน้องบังเกิดเกล้ามันอีก

...ลองไอ้พาสงอน ไม่ว่าจะงอนจริงงอนเล่น หมอนั่นเป็นต้องเป็นเดือดเป็นร้อนทุกครั้งแหละ...

“ถ้าเกอเกองานยุ่งก็ไม่เป็นไรนะฮะ เดี๋ยวพาสไปกับเสี้ยวเทียนก็ได้” หญิงสาวยังแกล้งงอนต่อ

“ใช่ๆ ช่วงนี้พวกชั้นก็ว่าง” แวนเนสรีบบอกกับเจอรี่ ก่อนจะหันมาอาสากับหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่ม

“เดี๋ยวพวกผมพาเที่ยวก็ได้ครับพาส อาเจิ้นมันยุ่งก็ปล่อยมันทำงานไป”

“นั่นสิ ไว้เดี๋ยวผมจะพาไปหาของกินอร่อยๆเอง เกอเกอเค้ายุ่งก็ไม่ต้องไปสนใจ เราไปเที่ยวกันเองก็ได้” ไจ่ไจ๋เสริม

“โธ่ ไม่ยุ่งจ้ะไม่ยุ่ง พี่เคลียร์คิวไว้เรียบร้อยแล้ว ว่างพาพาสเที่ยวเต็มที่” เจอรี่รีบบอกเสียงอ่อนพลางปรายสายตาไปมองแวนเนสกับไจ่ไจ๋ตาขวาง

...ไอ้เจ้าพวกนี้ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ไอ้เจ้าไจ๋ก็อีกคน พลอยเป็นไปกะไอ้แวนเนสด้วย เดี๊ยะๆๆ...

“เอาเป็นว่า ใครว่างก็ไปเที่ยวด้วยกันแล้วกันฮะ” หญิงสาวสรุป เธอเป็นคนที่ชอบมีเพื่อนมากๆอยู่แล้ว และเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักทั้งสองคน ก็ดูจะเป็นคนนิสัยดี น่าคบ แล้วยังไม่นับที่เค้าทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักของเจอรี่กับเสี้ยวเทียนด้วยนะ

“รับรองไม่พลาดแน่ๆฮะ” ไจ่ไจ๋รีบบอก ส่วนแวนเนสที่ยืนอยู่ข้างๆก็พยักหน้าสนับสนุนเต็มที่

“แล้วตกลงพาสจะมีเวลาอยู่ที่นี่กี่วันอ่ะ” เจอรี่ถามอีกครั้ง พยายามจะไม่สนใจเสียงนกเสียงกาข้างๆตัว

“อืมมมม ยังไม่แน่ฮะ แต่คิดว่าน่าจะมีเวลาเที่ยวได้เต็มที่ไม่เกินสองสามวันอ่ะ” หญิงสาวบอกอ้อมแอ้ม

“อ้าว เหรอ ทำไมล่ะ” เจอรี่ถามต่ออย่างสงสัย เค้ารู้สึกเหมือนหญิงสาวตรงหน้าดูท่าทางมีลับลมคมนัยยังไงชอบกล

“นั่นสิ ไหนตอนแรกบอกว่าอยู่ได้ไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ไง แล้วตกลงแกกลับวันไหนแน่เนี่ย” เสี้ยวเทียนก็สงสัย

...ก็ตอนแรกคุยกันเห็นมันว่าเตรียมมาเที่ยวหาประสบการณ์เต็มที่นี่นา...

“ก็พอดีมันมีงานเข้ามากระทันหันน่ะ…” พาสนาอธิบาย แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ วงสนทนาก็ถูกขัดจังหวะโดยมิสเตอร์หยาง ประธานบริษัทโซนี่ สาขาไต้หวัน


“อ้าว มาอยู่ที่นี่กันหมดเลย เป็นไงมั่งเจอรี่ เคน เพลงอัลบั้มนี้พวกนายร้องดีมากเลยนะ รับรองยอดขายต้องพุ่งทะลุเป้าแน่นอน” ประธานหยาง เป็นชายหนุ่มวัยกลางคน ผมเป็นสีดอกเลา รูปร่างล่ำสัน ท่าทางบ่งบอกว่าเป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอ เค้าทักทายทุกคนก่อนจะเอ่ยปากชมเจอรี่กับเสี้ยวเทียน พร้อมกับเอื้อมมือไปตบบ่าทั้งคู่ด้วยความเอ็นดู

“ไม่หรอกครับ ที่งานมันออกมาดี เป็นเพราะทีมงานมีฝีมือมากกว่า พวกผมก็แค่มีหน้าที่ร้องอย่างเดียว” เจอรี่บอกอย่างถ่อมตัว

“ใช่ครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะทีมงานทุกคนเก่ง แล้วก็ตั้งใจทำงานมากๆด้วย ไม่อย่างนั้นเพลงคงไม่ออกมาดีอย่างนี้” เสี้ยวเทียนเสริม

“อันนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว แต่พวกนายก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้งานนี้สำเร็จได้อย่างสวยงามด้วย อย่าถ่อมตัวกันนักเลย ฮ่าๆๆๆ” ประธานหยางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“อ้าว พาส มาอยู่นี่นี่เอง เก่งมากนะเรา ขนาดต้องมารับงานกระทันหัน ยังทำออกมาได้ดีขนาดนี้” ประธานหยางเอ่ยชมหญิงสาว ซึ่งเจอรี่ก็รีบสนับสนุนทันที

“ใช่ครับ อัลบั้มนี้ผมได้เรียนรู้อะไรจากพาสเยอะเลย ใช่มั้ยเสี้ยวเทียน” ประโยคหลังเค้าหันไปถามเสี้ยวเทียนที่ยืนอยู่อีกข้าง

“ใช่ครับ ถ้าไม่ได้พาสแล้วก็ทีมงาน พวกผมอาจร้องไม่ได้ดีอย่างนี้ก็ได้” เสี้ยวเทียนยังจำได้ดี ว่าตอนที่เค้ามีปัญหาเรื่องอัดเสียง ก็ได้พาสนานี่แหละที่ช่วยให้เค้าผ่านมันไปได้ นี่ยังไม่นับทีมงานคนอื่นๆที่อดทนรอเค้าอีกนะ

“เพราะทุกคนช่วยกันหรอกค่ะ” พาสนาบอกอย่างถ่อมตัว

“ฮ่าๆๆ พวกเธอนี่เป็นเหมือนกันหมด งั้นเอาเป็นว่ายกความดีความชอบให้ทุกคนแล้วกันนะ” ประธานหยางสรุป ก่อนจะหันไปพูดกับเจอรี่

“นี่เธอรู้เรื่องอัลบั้มใหม่ของเธอหรือยัง”

“เรื่องอะไรเหรอครับ” เจอรี่ทำหน้าเหรอหรา จริงอยู่ตั้งแต่อัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเค้าออกมาและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทางบริษัทก็ได้เริ่มคุยเรื่องงานชุดที่สองทันที แต่ที่ผ่านมาด้วยความที่เค้ามีงานอื่นๆเข้ามามาก ทำให้ยังไม่ได้เริ่มทำงานเพลงอย่างจริงๆจังๆ ดังนั้นพอประธานหยางพูดมาอย่างนี้ จึงเรียกความสงสัยของชายหนุ่มได้พอสมควร

“ก็ ชั้นคุยกับแฟนนี่แล้วนะ เห็นว่าตอนนี้ละครนายก็ปิดกล้องแล้วใช่มั้ย พวกเราก็เลยคิดกันว่า เราน่าจะเริ่มทำอัลบั้มเดี่ยวชุดที่สองของนายกันได้แล้ว ไม่อยากให้ทิ้งเวลาไปนานนัก เดี๋ยวแฟนๆจะลืมซะหมด”

“งั้นเหรอฮะ ก็ดีฮะ แต่บอกก่อนว่าผมไม่อยากเร่งงานนะฮะ อยากค่อยๆทำไปเรื่อยๆ”

“รู้น่าว่านายเป็นคนทุ่มเทให้กับงาน ไม่อยากทำงานลวกๆ แต่ก็ขอเหอะนะ 3 ปีอย่างชุดแรกน่ะ อย่าเลยนะ เอาแค่ซักไม่เกินปีก็พอนะเจอรี่” ประธานหยางออกปากแซว เรียกเสียงหัวเราะได้จากทั้งสามหนุ่มที่เหลือ ทุกคนยังจำได้ดี ถึงการทำงานในอัลบั้มแรกของเจอรี่ เค้าตั้งใจกับมันมาก ถึงขนาดไปเรียนดนตรีเพิ่มเติม และใช้เวลากับอัลบั้มนั้นถึง 3 ปีเลยทีเดียว

“แหะๆๆ” เจอรี่ได้แต่หัวเราะเขินๆ เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันนานถึง 3 ปี เค้าแค่อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

“เอาน่า ล้อเล่นๆ ทำไปตามสบายเถอะ” ประธานพูดพลางหัวเราะ

“แหะๆๆ ครับ ว่าแต่คุณหยางจะให้ผมเข้าไปคุยเรื่องเพลงเมื่อไหร่ดีครับ”

“ซักอาทิตย์หน้าแล้วกัน เดี๋ยวนัดผ่านแฟนนี่อีกที”

“ได้ครับ”

“อ้อ แล้วอยากรู้มั้ยว่าใครจะมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้นายในอัลบั้มใหม่”

“ใครเหรอครับ” เจอรี่ถามอย่างสงสัย ลองว่าประธานหยางเกริ่นนำมาแบบนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรน่าสนใจ ชายหนุ่มมัวที่พุ่งความสนใจไปที่ประธานหยาง ทำให้ไม่เห็นปฏิกิริยาของพาสนาที่อมยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินประธานหยางพูดมาถึงตรงนี้

“นี่ไง เป็นไงถูกใจมั้ย ชั้นคิดว่าพวกนายน่าจะร่วมงานกันได้อย่างราบรื่นนะ” ประธานหยางพูดพลางดึงพาสนามายืนใกล้ๆ

“ห๊ะ พาสน่ะเหรอครับ จะมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ผม” เจอรี่ถามอย่างตกใจ เค้าไม่อยากเชื่อว่าจะได้ร่วมงานกับเธออีกครั้ง แถมเป็นการร่วมงานแบบเต็มตัวเป็นระยะเวลานานด้วย

“ก็ใช่น่ะสิ ทำไม ไม่ถูกใจเหรอ ชั้นและผู้ใหญ่หลายๆคน เห็นผลงานของเค้าในอัลบั้มนี้ออกมาดีมาก โดยเฉพาะเพลงของนายสองคน ก็เลยลองติดต่อไปที่โซนี่ ไทย ดูว่ามีทางที่จะดึงตัวมาร่วมงานได้มั้ย ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ซึ่งทางนั้นก็ไม่ขัดข้อง แล้วก็เห็นว่า ตอนที่ทำงานพวกนายก็เข้ากันได้ดีนี่ อย่าบอกนะว่าไม่ถูกใจ” ประธานหยางถามยิ้มๆ

“ไม่ใช่ครับ ถูกใจสิครับ ถูกใจมาก” ชายหนุ่มยังงงไม่หาย ทั้งงงทั้งดีใจจนพูดไม่ถูก

“ฮ่าๆๆ งั้นก็ดี ชั้นไปก่อนนะ ไว้คุยกันเรื่องงานอาทิตย์หน้าแล้วกัน” ประธานหยางพูดจบก็เดินจากไป โดยทุกคนต่างก้มหัวให้เป็นเชิงอำลา


พอประธานหยางเดินไปแล้ว เจอรี่ก็หันมาหาพาสนาทันที แถมยังมองเธอด้วยสายตาที่ทำเอาหญิงสาวหนาวๆร้อนๆอีก

...เกอเกอจะโกรธเราเปล่าหว่า ที่ไม่ยอมบอกก่อน… พาสนาคิดในใจอย่างหวาดๆ

“พาส” เจอรี่เรียกเสียงเข้ม

“ฮะ เกอเกอ” พาสนาขานเสียงหวาน พลางกระเถิบๆไปยืนชิดเสี้ยวเทียน

...เผื่อเกอเกอดุจะได้หลบหลังเจ้าอ้วนได้...

“ไม่เห็นพาสบอกเลยว่าจะมาทำงานไต้หวัน”

“ก็...ก็ มันกระทันหันน่ะฮะ พี่นัทเพิ่งเรียกพาสไปคุยเมื่อไม่กี่วันนี่เอง”

“แต่เราก็คุยกันทุกวันนะ” เจอรี่แย้ง

“แหม ก็ถ้าบอกก่อนเกอเกอก็ไม่เซอร์ไพรส์สิฮะ”

“ใช่สิ พี่เซอร์ไพรส์มาก เพราะไม่แค่พาสจะมาทำงานที่ไต้หวันนะ ยังจะมาทำงานกับพี่ด้วย” ชายหนุ่มเน้นที่ประโยคสุดท้ายเสียงหนัก

“แหม ก็บอกแล้วไงว่าอยากเซอร์ไพรส์เกอเกอ อย่าโกรธเลยนะคะ” คำสุดท้ายหญิงสาวลากเสียงหวานออดอ้อน ชนิดที่ไม่ว่าใครก็ต้องใจอ่อน

“ก็น่าจะบอกกันก่อน ให้พี่รู้จากประธานหยาง ตกใจนะรู้มั้ย แล้วนี่นายรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่าเสี้ยวเทียน” เจอรี่หันไปไล่เบี้ยกับเพื่อน

“อ๊ะๆๆ อย่ามาหาเรื่องนะ สาบานได้ว่าชั้นก็เพิ่งรู้พร้อมนายนี่แหละ” เสี้ยวเทียนโบกไม้โบกมือปฏิเสธให้วุ่น

“เออ คราวนี้ถือว่ายกให้ แต่คราวหน้าพาสมีอะไรต้องเล่าให้พี่ฟังนะ” เจอรี่หันไปย้ำกับพาสนา ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับคำแต่โดยดี ...นึกว่าจะโดนโวยหนักซะแล้ว...

“โหย คุณพาส มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ผมบ้างสิครับ อาเจิ้นน่ะปล่อยมันไปเหอะ มาทำงานกับผมดีกว่า สนุกนะ” แวนเนสที่เห็นว่าบรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว แหย่ขึ้น พาสนาได้แต่ยิ้มขำๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไรเจอรี่ก็ขัดขึ้นซะก่อน

“ไม่ต้องเลยแวนเนส พาสเค้าไม่ถนัดเพลงสไตล์แร็พหรือฮิปฮ็อปแบบนายหรอก เค้าถนัดทำพวกเพลงป๊อบโรแมนติก”

“อ้าว งั้นก็ทางชั้นเลยดิ” ไจ่ไจ๋รีบแทรกขึ้น

“นายก็ไม่ต้องเลยไจ่ไจ๋ พาสเค้าตกลงแล้วว่าจะมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ชั้น พวกนายไม่ต้องมาแย่ง” เจอรี่บอกปัด

“แต่พาส แกรับปากชั้นแล้วนี่ ว่าจะแต่งเพลงให้ใส่ในอัลบั้มใหม่ของชั้นน่ะ อย่าลืมนะ” เสี้ยวเทียนเห็นท่าทางน่าสนุกเลยเข้ามาร่วมวงด้วย ซึ่งคราวนี้เจอรี่พูดอะไรไม่ได้เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องจริง เค้าจึงได้แต่ส่งสายตาเป็นเชิงว่า ...ฝากไว้ก่อนเหอะ... ไปให้เสี้ยวเทียน

“ไม่ลืมหรอกน่า รับรองแต่งให้แน่นอน” พาสนาหันไปรับปากเสี้ยวเทียนเป็นมั่นเป็นเหมาะ


“ดีใจจังที่จะได้ทำงานกับพาสอีก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เจอรี่บอก พลางโค้งให้หญิงสาวอย่างล้อเลียน

“พาสก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยเช่นกันฮะ หวังว่าอัลบั้มนี้คงทำไม่ถึง 3 ปีนะฮะ” หญิงสาวแซวกลับ

“อันนี้ไม่รับปาก อัลบั้มนี้อาจจะใช้เวลาทำซัก 5 ปีก็ได้” เจอรี่แกล้งขู่

“โห อย่างนี้พาสก็แย่สิ ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันพอดี แถมต้องอยู่ไต้หวันนานขนาดนั้นพาสก็คิดถึงบ้านแย่”

“พาสคิดถึงบ้าน แต่พี่ไม่ต้องคิดถึงพาสนี่นา” เจอรี่พูดออกมาเบาๆ อย่างไม่กล้าให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยิน

“เกอเกอว่าอะไรนะฮะ” พาสนาได้ยินไม่ถนัด

“เปล่าจ้ะ เปล่า...ว่าแต่ งั้นที่พาสบอกว่ามีเวลาเที่ยวแค่สามวันก็เพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย” เจอรี่รีบปฏิเสธพลางเปลี่ยนเรื่อง

“ใช่ฮะ เพราะมันกระทันหันมาก พาสเลยยังไม่ได้เตรียมตัวเลย ทั้งเรื่องที่พัก เรื่องของใช้ เรื่องนู้นเรื่องนี้เต็มไปหมด แล้วอาทิตย์หน้าก็ต้องเริ่มงานแล้วด้วย”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกพี่ช่วยเอง ช่วงนี้ว่างกันอยู่แล้ว” เจอรี่รีบอาสา ส่วนชายหนุ่มอีก 3 คนที่เหลือก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยว่า

...ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกเค้าช่วยดูแลเอง...




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2549    
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:55:10 น.
Counter : 221 Pageviews.  

ตอนที่ 14

14.


วันเวลาผ่านไป ทั้งเจอรี่และพาสนาต่างก็ต้องทำงานในหน้าที่ของตัวเอง อาจจะมีบ้างบางเวลาที่จะเผลอคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แม้ว่าจะสนิทแนบแน่นขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงกับที่จะพัฒนากลายเป็นคนรู้ใจ โดยเฉพาะทางฝ่ายของพาสนา ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีท่าทีจะแสดงให้เห็นว่ารู้สึกกับเจอรี่มากไปกว่าเพื่อนและพี่ชายที่สนิทคนหนึ่งเท่านั้น ตลอดเวลาที่ไม่เจอกัน เจอรี่มักจะเป็นฝ่ายติดต่อพาสนาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ หรือ E-mail เค้าเฝ้าแต่นับวันรอให้ถึงวันโปรโมตอัลบั้มที่ไต้หวัน เพราะพาสนาในฐานะโปรดิวเซอร์จะต้องมาร่วมงานแถลงข่าวด้วยอย่างแน่นอน

ผ่านไปเกือบ 3 เดือนในที่สุดก็ถึงกำหนดการแถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้ม คราวนี้งานจัดขึ้นที่ไต้หวัน ศิลปินทุกคนที่มีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้ต่างเดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง รวมถึงโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มด้วย โดยงเดชาที่หายเจ็บแล้วได้เป็นตัวแทนทีมงานมาร่วมงาน ตอนแรกที่ได้ยินข่าวนี้ เจอรี่ก็ออกจะผิดหวังหน่อยๆ ถึงเค้าจะดีใจที่เดชาหายดีก็เถอะ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าพาสนาจะไม่ได้เดินทางมาร่วมงานแถลงข่าวด้วยน่ะสิ ถึงอย่างนั้นเจอรี่ก็ไม่ได้แสดงอาการทักท้วงอะไรออกไป ร้อนถึงเสี้ยวเทียนที่ทนเห็นท่าทางซังกะตายของเพื่อนไม่ไหว เกือบจะยื่นมือเข้าไปจัดการเรื่องนี้เองซะแล้ว แต่บังเอิญเค้าได้เข้าไปคุยเรื่องงานที่โซนี่ แล้วก็ได้รับข่าวดีซะก่อน เมื่อประชุมเสร็จเลยรีบต่อสายถึงเพื่อนรักทันที

“เหวย ว่าไงเสี้ยวเทียน มีอะไร” เจอรี่รับสายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เค้าเป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว จนทีมงานต่างพากันเป็นห่วงว่าชายหนุ่มมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า

“อะไรวะ ถ้าไม่มีธุระ ชั้นจะโทรหานายไม่ได้หรือไง” เสี้ยวเทียนแกล้งทำเสียงงอนๆ

“เปล่า โทรได้ ตกลงนายมีอะไร” เจอรี่ในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำกับใครทั้งนั้น เนื่องจากกำลังอยู่ในอารมณ์เซ็งแบบสุดๆ

...ตอนแรกนึกว่าจะได้เจอกันวันแถลงข่าว แล้วถ้าเป็นอย่างนี้เราจะมีโอกาสได้ไปเมืองไทยอีกเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย เพราะยังไงเธอก็คงไม่มาหาเค้าที่ไต้หวันแน่ๆ...

“ก็ไม่มีอะไร แค่โทรมาคุยเล่น นายว่างอยู่หรือเปล่า” เสี้ยวเทียนตอบกลั้วหัวเราะ
“ก็ว่าง ดูท่าทางนายอารมณ์ดีนะ นี่อยู่ไหนเนี่ย” เจอรี่เริ่มสงสัย

...ทำไมวันนี้เพื่อนเค้าดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ สงสัยไปเจอเรื่องอะไรดีๆมา...

“อยู่โซนี่น่ะ พอดีชั้นกะเสี่ยวจือเข้ามาคุยเรื่องงานแถลงข่าวเพิ่มเติม”

“อืม” เจอรี่พึมพำรับรู้ เพราะเค้าก็เข้าไปคุยเรื่องนี้มาแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน จนมานั่งเซ็งอยู่ทุกวันนี้

“นายไม่อยากรู้เหรอ ว่าชั้นไปคุยมาว่ายังไงมั่ง” เสี้ยวเทียนถามแย็บๆ

“มันก็คงเหมือนกันกับที่ชั้นเค้าไปคุยมานั่นแหละ” เจอรี่ตอบกลับอย่างไม่สนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่เค้าจะไม่มีอารมณ์กระตือรือร้นกับเรื่องงานแบบนี้

“วันนี้ชั้นถามเรื่องทีมงานเมืองไทยที่จะมาร่วมงานแถลงข่าวด้วยนะ” เสี้ยวเทียนหยอดต่อ ทำไมเค้าจะไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนเค้ากำลังเซ็ง ก็ในเมื่อหลังจากที่มันไปประชุมมามันก็มาเล่าให้เค้าฟังหมดแล้ว ถึงจะไม่บอกออกมาตรงๆว่าผิดหวังที่พาสนาไม่ได้มาร่วมงานก็เถอะ แต่เค้าก็เป็นเพื่อนกันมานาน มีหรือที่จะดูไม่ออก

“แล้วไง” น้ำเสียงเจอรี่ดูสนใจขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินคำว่าทีมงานจากเมืองไทย

“ก็ไม่แล้วไง แค่โทรมาบอกเผื่อว่านายจะอยากรู้”

“อยากรู้ว่าอะไร” เจอรี่ถามกลับ

“ก็ว่าใครจะมางานแถลงข่าวมั่งไง”

“จะอยากรู้ทำไม ชั้นก็เพิ่งไปประชุมมา ก็เล่าให้นายฟังไปแล้วนี่” เจอรี่ตอบน้ำเสียงงงๆ ยิ่งพูดเรื่องนี้เค้ายิ่งเซ็ง เมื่อคิดว่าคงอีกนานกว่าจะได้มีโอกาสเจอคนที่เค้าคิดถึง...เฮ้ออออ

“แต่มีข่าวอัพเดตนะโว้ย” เสี้ยวเทียนยั่วต่อ

“อัพเดตอะไรวะ”

“ก็มีทีมงานจากไทยมาเพิ่มเติมไง” เสี้ยวเทียนยังคงกั๊กไม่ยอมเล่าจนหมด

“เหรอ ใครอ่ะ” น้ำเสียงเจอรี่ตื่นเต้น มีความหวังขึ้นมาทันที

“ก็คนที่นายอยากให้มาไง” เสี้ยวเทียนเฉลย เป็นที่รู้กันว่า...คนที่นายอยากให้มา...คือใคร หุหุหุ

“จริงเหรอ” ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาเจอรี่ในตอนนี้ดูดีขึ้นทันที จากที่ตอนรับโทรศัพท์ตอนแรกทำหน้าซักกะตาย แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้ากระดี๊กระด๊าสุดฤทธิ์ ชนิดที่เรียกได้ว่า ถ้าเสี้ยวเทียนเห็นเค้าคงหัวเราะก๊ากกกกก

“ไม่จริงมั้ง” เสี้ยวเทียนยวนกลับ

...เอ๊ะ ไอ้หมอนี่ ก็บอกอยู่ ยังมาถามว่าจริงมั้ย เดี๋ยวก็ไปยุไอ้พาสให้มันไม่ต้องมาซะหรอก... เสี้ยวเทียนคิดอย่างหมั่นไส้

“อ้าว เอาไงแน่” เจอรี่เริ่มหงุดหงิด คนยิ่งซีเรียสๆอยู่ ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดันเอาแต่ทำเป็นเล่นอยู่ได้

“โธ่เอ๊ย ล้อเล่นแค่นี้เอง ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยวะเพื่อน” เสี้ยวเทียนตอบกลับมาเสียงกลั้วหัวเราะ

...ไม่เคยเห็นอาเจิ้นมันจะยั่วง่ายขนาดนี้มาก่อนเลย สนุกจริงจริ๊งงงง ฮ่าๆๆๆ...

“แต่ชั้นไม่ขำด้วยนะโว้ย ตกลงว่าไงกันแน่” เจอรี่ถามย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง เค้าไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นกับเพื่อนซักเท่าไหร่ตอนนี้

“ก็ไม่ว่าไง จะโทรมาส่งข่าวว่า สรุปแล้วน้องร่วมโลกนายจะมางานนี้ด้วย” เมื่อเห็นว่าแกล้งเพื่อนพอหอมปากหอมคอแล้ว เสี้ยวเทียนเลยเริ่มพูดอะไรเป็นการเป็นงานบ้าง แต่ก็อดแขวะถึงคู่กัดที่อยู่เมืองไทยไม่ได้

“จริงสิ แล้วไหนตอนนั้นว่าไม่มา” เจอรี่ยังไม่หายข้องใจ ก็ตอนนั้นเค้าได้ยินมากับหูว่าจะเป็นเตโชที่มาแทน

“ไม่รู้ดิ เนี่ยก็เพิ่งรู้จากที่ประชุมเมื่อกี๊เหมือนกัน สงสาร...ไม่อยากเห็นคนทำท่าซังกะตายเลยโทรมาส่งข่าวซักหน่อย” เสี้ยวเทียนอธิบายแกมเหน็บ

“ไหน ใครทำท่าซังกะตาย ไม่มีซะหน่อย” เจอรี่ทำปากแข็ง

“ใครก็ไม่รู้ว่ะ พอรู้ว่าใครบางคนจะไม่มางานแถลงข่าว ก็ทำหน้าเบื่อโลก หงุดหงิด ใครก็เข้าหน้าไม่ติด อย่านึกว่าไม่ได้ออกงานด้วยกันแล้วชั้นจะตกข่าวนะเว้ย ฮ่าๆๆ” เสี้ยวเทียนได้ทีรีบอวดใหญ่

...โธ่ เรื่องแบบนี้แทบไม่ต้องอาศัยสปายเรื่องก็มาถึงหูเค้าแบบสบายๆ รวมไปถึงหูของเพื่อนอีก 2 คนที่เหลือของ F4 ด้วย ก็ไอ้อาการผิดปกติของคุณเหยียนเฉิงซวี่ พี่ใหญ่แห่งF4 มันมีให้เห็นบ่อยๆซะเมื่อไหร่ล่ะ...

“ใครเหรอ ไหน นายพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย เอาล่ะๆ หมดธุระแล้วใช่มั้ย งั้นแค่นี้นะ” เจอรี่รีบตัดบทเมื่อเห็นว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัวมากขึ้นทุกทีๆ

“โห อะไรวะ แซวแค่นี้ทำเขิน จะรีบไปไหน ฮ่าๆๆ” เสี้ยวเทียนยังส่งเสียงแซวมาตามสายอย่างไม่หยุดหย่อน

“เออน่า แค่นี้นะ คุยนานแล้วเปลืองค่าโทรศัพท์”

“อะไรวะ ถึงจะเปลืองก็ชั้นเปลือง เกี่ยวไรกะนายด้วย เออๆๆ แค่นี้ก็แค่นี้ ขี้เกียจคุยแล้ว ไว้เจอกัน บ๊ายบาย”

“บ๊ายบายเสี้ยวเทียน ขอบคุณมาก” ก่อนจะวางหู เจอรี่ก็ไม่ลืมขอบคุณเพื่อนรักที่เอาข่าวดีมาบอก

“ไม่เป็นไร ก็แค่ตัวว่านายจะเฉาตายไปซะก่อน บาย” เสี้ยวเทียนไม่วายแซวอีกซักนิด ก่อนจะเป็นฝ่ายวางหูไปก่อน ทางฝ่ายเจอรี่ตอนนี้ก็กลับดูอารมณ์ดีผิดไปเป็นคนละคน จนแฟนนี่ที่เข้ามาตามไปทำงานต่ออดจะแปลกใจไม่ได้


ตั้งแต่เจอรี่รู้ข่าวว่าพาสนาจะบินมาร่วมงานแถลงข่าวด้วย เค้าก็ออกอาการตื่นเต้น พยายามเคลียร์คิวให้ว่างในช่วงนั้น เพื่อจะได้ไปรับหญิงสาวที่สนามบิน รวมถึงพาเธอไปเที่ยวยังที่ต่างๆตามที่ได้เคยสัญญาไว้ด้วย แต่โชคไม่เข้าข้าง ก่อนที่หญิงสาวจะเดินทางมาถึงแค่วันเดียว แฟนนี่ก็มาบอกว่า วันรุ่งขึ้นเค้ามีงานด่วนต้องไปถ่ายแบบซ่อมให้กับนิตยสารฉบับหนึ่งกระทันหัน ทำให้ไม่สามารถไปรับเธอที่สนามบินได้ ได้แต่ส่งเสี้ยวเทียนเป็นตัวแทนไป ซึ่งขานั้นก็อิดออดว่าทำไมจะต้องไปรับ โดยให้เหตุผลว่า

‘พาสมันก็ไม่ใช่เด็กๆ อีกอย่างทีมงานทางโซนี่เค้าก็ดูแลอยู่ มันไม่หลงหรอกน่า’

แต่จนถึงที่สุดเสี้ยวเทียนก็ต้องยอมไปรับหญิงสาวตามคำสั่งเพื่อนเค้าจนได้


“หวัดดีพาส” เสี้ยวเทียนเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน เมื่อหญิงสาวขึ้นมานั่งบนรถตู้ที่เค้านั่งรออยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะหันไปทักเตโชที่ก้าวขึ้นรถตามมา

“สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณเดชา”

“สวัสดีครับคุณเคน” เต้ทักกลับด้วยภาษาอังกฤษ ก่อนจะขยับไปนั่งกับทีมงานที่เบาะแถวหน้า ส่วนพาสนาก้าวมานั่งลงข้างๆเสี้ยวเทียน

“อ้าว หวัดดีเสี้ยวเทียน มาด้วยเหรอ” พาสนาทักอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อกี๊ก็เห็นแต่ทีมงานของโซนี่ ไต้หวัน ที่มารอรับ ไม่คิดว่าพอขึ้นรถจะมาเจอเสี้ยวเทียนนั่งรออยู่

“ถ้าไม่มา แล้วนี่แกพูดกับใครอยู่วะ เฮ้ย! พาส หรือว่า...แกถูกผีหลอก” ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าตาตื่น

“ไอ้บ้าเสี้ยวเทียน กวนไม่เลิกนะนาย ชั้นหมายถึงว่า เมื่อกี๊ไม่เห็นนาย นึกว่าไม่มาซะแล้ว”

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นแค่นี้ทำโมโห...ชั้นรู้แล้วว่าอาเจิ้นมันติดนิสัยขี้หงุดหงิดมาจากใคร” ประโยคสุดท้ายเค้าพูดกับตัวเองเบาๆ ไม่กล้าให้คนที่เพิ่งก้าวขึ้นมานั่งข้างๆได้ยิน เพราะไม่อย่างนั้นอาจเป็นเรื่องได้

“ขืนชั้นลงไปรอรับแกดิ คนได้แตกตื่นกันทั้งสนามบิน” เสี้ยวเทียนอธิบายต่อ

“แตกตื่นเพราะกลัวนายน่ะเหรอ ฮ่าๆๆ” พูดจบพาสนาก็หัวเราะชอบใจ

“ไอ้บ้า ปากเสียแต่วันนะแก แตกตื่นเพราะเห็นนักร้องดังอย่างชั้นต่างหาก”

“แหวะ ไอ้คนหลงตัวเอง” หญิงสาวทำท่าแหวะประกอบอย่างหมั่นไส้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงก็เถอะ ที่เสี้ยวเทียนพูดมาก็ถูก ขืนเค้าเข้าไปรอรับเธอข้างใน เป็นได้แตกตื่นทั้งสนามบินแน่ คิดไปก็น่าสงสารชีวิตคนดัง ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ จะไปไหนก็ต้องคอยปลอมตัว ปิดข่าว ไม่ให้คนจำได้

“แล้วนี่นึกยังไงถึงมารับชั้นได้เนี่ย” พาสนาถามต่ออย่างสงสัย

“ก็เกอเกอบังเกิดเกล้าของแกน่ะสิ ตัวเองติดธุระมารับไม่ได้ ก็เลยมาเคี่ยวเข็ญเพื่อนอย่างชั้นให้มารับแทน” ชายหนุ่มพูดพลางเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“อ๋อ ที่แท้เกอเกอใช้มานี่เอง เกอเกอนี่ดีนะ เป็นห่วงเป็นใยน้อง ไม่เหมือนใครบางคน” หญิงสาวพูดพลางปรายตาไปยังคนข้างๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ...ชั้นหมายถึงนายนั่นแหละ...

“เออ เกอเกอแกน่ะ มันดีเพอร์เฟคทุกอย่าง” เสี้ยวเทียนลากเสียงประชด

...แหม ก็ไอ้พี่น้องร่วมโลกคู่นี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็เห็นดีเห็นงามกันไปซะหมด ทั้งๆที่เค้าเห็นว่าพวกมันสองคนน่ะ คนนึงก็กวนประสาทเป็นที่หนึ่ง คนนึงก็ใช่ย่อยบทจะรั้นขึ้นมาใครก็ห้ามไม่อยู่ มิน่าเลยเข้าพวกกันได้ พวกคนแปลก เหอะๆๆ... ชายหนุ่มคิดไปก็ได้แต่ปลงกับความไม่พอดีของเพื่อนแต่ละคนของตนเอง

“แล้วเกอเกอไปไหนล่ะ มีงานเหรอ ถึงต้องให้นายมารับแทน” ตอนนี้รถตู้แล่นมาจนใกล้จะถึงโรงแรมที่พักที่ทางทีมงานจัดไว้ให้พวกเธอแล้ว

“ใช่ พอดีอาเจิ้นมันมีงานด่วนน่ะ นิตยสารที่มันไปถ่ายแบบไว้ภาพมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องไปถ่ายซ่อม”

“ช่วงนี้เกอเกองานยุ่งเหรอ” พาสนาถามเสียงหงอยๆ ก็ถ้าเจอรี่งานยุ่ง ก็หมายความว่าเค้าคงจะไม่ว่างพาเธอเที่ยวอย่างที่เคยบอกไว้น่ะสิ

“ก็ไม่ยุ่งหรอก ทำไม กลัวไม่มีคนพาเที่ยวล่ะสิ ไม่เป็นไร ถ้าอาเจิ้นไม่ว่าง เดี๋ยวชั้นพาเที่ยวเอง ช่วงนี้ว่างอยู่ กำลังเตรียมอัลบั้มใหม่” เสี้ยวเทียนเสนอ

“จริงนะ พูดแล้วห้ามคืนคำ” พอได้ยินเรื่องเที่ยวเท่านั้นแหละ ตาหญิงสาวกลายเป็นประกายปิ๊งปั๊งขึ้นมาทันที ก็นิสัยเธอน่ะชีพจรลงเท้าใช่ย่อยอยู่เมื่อไหร่ ปกติอยู่เมืองไทยถ้ามีเวลาว่างก็มักจะหาเวลาไปเที่ยวที่ต่างๆเสมอ ซึ่งโดยมากก็มักไปคนเดียว เพราะไม่ชอบบรรยากาศยุ่งวุ่นวาย แต่มาที่ต่างถิ่นแบบนี้ ครั้งแรกๆอาศัยเจ้าถิ่นพาเที่ยวก่อนก็น่าจะมี พออีกซักพักแล้วค่อยบินเดี่ยว

“เออ ไว้เสร็จงานแถลงข่าวแล้วจะพาไปเที่ยว เธอนี่เหมือนเด็กๆเลยนะ พูดเรื่องเที่ยวหน่อยตาเป็นประกายขึ้นมาเชียว แต่บอกไว้ก่อนนะที่เที่ยวของอาเจิ้น กับที่เที่ยวของชั้นน่ะ ไม่เหมือนกันนะ ขานั้นเค้าชอบธรรมชาติ ส่วนถ้าให้ชั้นพาเที่ยว แบบใกล้ๆก็ไม่พ้นที่กินเหล้าฟังเพลงเทือกนั้นน่ะ ไม่อีกอย่างก็ทะเล แต่ชั้นว่าทะเลเมืองไทยสวยกว่าทะเลไต้หวันว่ะ” เสี้ยวเทียนบอกพลางอมยิ้มอย่างขำๆ ก็มาดเพื่อนเค้าตอนได้ฟังเรื่องไปเที่ยวนี่ดูยังไงก็ไม่เหมือนโปรดิวเซอร์มือดีที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเลย ดูยังไงๆก็เด็กโข่งคนนึงเท่านั้น

“ไปไหนก็ไป ชั้นไม่เรื่องมากอยู่แล้ว ดีซะอีก ได้รู้จักที่เที่ยวหลายๆแบบ ต่อไปจะได้ไปเองได้” หญิงสาวตอบนิ่งๆพลางเอาหัวพิงพนักมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องอะไรซักอย่าง

“พูดยังกับจะอยู่ที่นี่นานนักนี่ เดี๋ยวแถลงข่าวเสร็จไม่กี่วันก็ต้องกลับแล้วไม่ใช่เหรอ จะมีเวลาอยู่เที่ยวซักกี่วันเชียว” เสี้ยวเทียนถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว พอหันไปดูอีกทีปรากฏว่าคนที่พูดจ๋อยๆกับเค้าอยู่เมื่อกี๊ ตอนนี้ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวอย่างเอ็นดู

...หลับง่ายอย่างกับเด็ก คนเรา...


จากนั้นไม่นาน รถตู้ก็มาถึงโรงแรมที่พักของพาสนาและเดชา ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้มใหม่นี้ด้วย เสี้ยวเทียนไม่ได้ลงไปส่งทั้งคู่ เพียงแต่นัดเจอกันที่งานแถลงข่าวซึ่งจะมีขึ้นในตอนเย็นเท่านั้น

ทางฝ่ายเจอรี่ การถ่ายแบบซ่อมมีปัญหามากกว่าที่คิด ทำให้กินเวลานาน จนเกือบจะไปงานแถลงข่าวไม่ทัน เมื่อเค้าไปถึงก็ถูกจับเข้าห้องแต่งตัวทันที ไม่มีโอกาสได้พูดกับใครทั้งสิ้น แต่งตัวยังไม่ทันเสร็จดีก็ถูกตามไปขึ้นเวทีซะแล้ว ทุกอย่างดูรีบร้อนไปหมด แต่ชายหนุ่มก็ชินเสียแล้ว กับการทำงานที่ฉุกละหุกแบบนี้


งานแถลงข่าวครั้งนี้มีนักข่าวให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นอัลบั้มชุดพิเศษที่รวบรวมเอานักร้องชื่อดังจากหลายประเทศมาไว้ในอัลบั้มเดียวกัน รวมถึงเพลงในอัลบั้มทั้งหมดก็เป็นเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่เพลงเก่าที่ถูกนำมาผลิตซ้ำแบบอัลบั้มรวมศิลปินอื่นๆ ศิลปินทั้งหมดต่างถูกยิงคำถามกันจนแทบจะตอบไม่ทัน โดยคำถามส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องการร่วมงานระหว่างประเทศต่างๆ และอีกสองคนที่ได้รับความสนใจไม่น้อยกว่าตัวศิลปินเลย ก็คือ เดชา และพาสนา โปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้นั่นเอง ทั้งคู่ต้องตอบคำถามหลายคำถามซึ่งโดยมากก็จะเป็นเรื่องแนวเพลง และประสบการณ์ในการทำงานของทั้งคู่ จนผ่านไปเกือบชั่วโมงงานแถลงข่าวจึงเสร็จสิ้นลง ทั้งทีมงานและศิลปินทุกคนต่างก็พากันไปร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นการภายในเพื่อเป็นการฉลองที่อัลบั้มนี้ทำสำเร็จออกมาอย่างน่าพอใจ


ภายในงานเจอรี่พยายามหาโอกาสที่จะทักทายพาสนา แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากหญิงสาวโดนบรรดาผู้บริหารของโซนี่ดึงตัวไว้คุยอยู่ค่อนข้างนาน ชายหนุ่มจึงได้แต่คอยมองอยู่ห่างๆว่าหญิงสาวจะปลีกตัวออกมาเมื่อไหร่

“เฮ้ย อาเจิ้น นายได้ยินที่ชั้นถามมั้ย” เสียงนุ่มๆเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับมือที่เอื้อมมาสะกิดไหล่ชายหนุ่มร่างสูง ที่เอาแต่มองออกไปนอกวงสนทนา ขณะนี้พวกเค้ากำลังยืนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง

“ฮะ! นายว่าอะไรนะไจ่ไจ๋” เจอรี่ถึงกับสะดุ้งหันกลับมา เพราะโดนเพื่อนหนุ่มสะกิดเข้าไปเต็มแรง งานนี้ทั้งไจ่ไจ๋ และแวนเนส ต่างมาร่วมให้กำลังใจเค้ากับเสี้ยวเทียนด้วย พวกเค้าเป็นอย่างนี้เสมอ เมื่อมีใครในกลุ่มเปิดตัวอัลบั้มใหม่ คนที่เหลือก็มักจะไปร่วมอวยพร หรือไม่ก็ส่งดอกไม้มาให้กำลังใจเสมอๆ

“นายเหม่อไปไหนน่ะเจอรี่ ไจ่ไจ๋มันเรียกนายอยู่ตั้งนานแล้วนะ” แวนเนสเสริมอย่างแปลกใจ ก็คุยกันอยู่ในวง 4 คนนี่อยู่ดีๆ แต่พอผ่านไปซักพักทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่าเสียงเจอรี่ขาดหายไปจากวงสนทนา พอหันไปมองก็พบว่าชายหนุ่มเอาแต่เหม่อมองไปที่อีกฟากของห้อง

“เปล่าๆ นายจะถามว่าอะไรนะไจ่ไจ๋” เจอรี่รีบปฏิเสธ

“ก็จะถามว่านายมองหาอะไรวะ เห็นมองอยู่ตั้งนานแล้ว” ไจ่ไจ๋ถามเจอรี่ แต่กลับส่งสายตาสงสัยไปที่เสี้ยวเทียน ...หมอนี่มันท่าทางแปลกๆ มันต้องรู้เรื่องอะไรของอาเจิ้นที่เราไม่รู้แน่เลย...

“เปล่านี่ ก็มองอะไรไปเรื่อยๆ” เจอรี่ปฏิเสธซ้ำ พลางละสายตามาจากหญิงสาวที่ยืนคุยอยู่ที่อีกฟากของห้อง

“มองเรื่อยๆอะไรวะ ชั้นเห็นนายมองไปแต่ทางนั้นตั้งนานแล้ว” แวนเนสไม่ยอมให้เจอรี่รอดตัวไปได้ง่ายๆ ดูๆแล้วเพื่อนเค้าสองคนมันต้องมีลับลมคมนัยอะไรกันแน่เลย ดูสายตาเสี้ยวเทียนก็รู้ แล้วยิ่งข่าวลือที่เค้ากับไจ่ไจ๋ได้ยินมาเรื่องพฤติกรรมของเจอรี่ที่แปลกๆไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองไทยอีกล่ะ

“เอาน่า ช่างเหอะ มาๆคุยกันต่อ เมื่อกี๊ถึงเรื่องอะไรนะ” เจอรี่พยายามเปลี่ยนเรื่อง ตลอดเวลาเสี้ยวเทียนยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างขำๆ อยากจะรู้นักว่ามันจะปิดแวนเนสกับไจ่ไจ๋ไปได้ซักกี่น้ำ แค่นี้อาการก็เด่นจะตายอยู่แล้ว และเค้าก็เชื่อว่าถึงมันไม่ยอมพูด แต่ตัวเค้าเองก็คงไม่พ้นโดนสองคนนั่นซักฟอกจนขาวอยู่ดี

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย นายมีความลับอะไรที่พวกเราไม่รู้หรือเปล่า นายด้วยเสี้ยวเทียน” ไจ่ไจ๋คาดคั้น ไม่ยอมให้เจอรี่เปลี่ยนเรื่องง่ายๆ


แต่ก่อนที่ใครจะได้ตอบอะไร เสียงหวานๆที่เหมือนระฆังช่วยชีวิตของเจอรี่ก็ดังขึ้น...




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2549    
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:54:57 น.
Counter : 179 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

+mosminly+
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หลังไมค์ถึงมอสซี่เชิญกดเลยค่ะ
Friends' blogs
[Add +mosminly+'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.