Group Blog
 
All blogs
 
ตอนที่ 3

3.


เช้าวันรุ่งขึ้นเสี่ยวจือโทรมาปลุกเสี้ยวเทียนตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพื่อเข้าไปที่บริษัท เนื่องจากวันนี้มีนัดซ้อมตอน 10 โมง

พอมาถึง ทั้งคู่ก็ถูกนำตรงไปยังห้องประชุมย่อยของทีมงานก่อนเพื่อคุยตกลงเรื่องเพลงในขั้นต้นก่อนที่จะไปห้องซ้อม โดยในห้องประชุมนั้น พาสนาและทีมงานได้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทำให้เสี่ยวจือต้องยกนาฬิกาขึ้นมาดูว่าพวกเค้ามาช้าไปหรือเปล่า

“สวัสดีครับคุณพาส รอนานมั้ยครับ พวกผมคงไม่ได้มาช้าไปใช่มั้ยครับ” เสี่ยวจือถามอย่างเกรงใจ เค้าพยายามจะผูกมิตรกับทีมงานทุกคนเพื่อให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้น แต่ไอ้เจ้าตัวศิลปินของเค้านี่สิ ท่าทางจะคิดตรงข้ามกันซะแล้ว

“เรามาไม่ช้าหรอกเสี่ยวจือ แต่คนบางคนน่ะ มาเร็วไปเอง” คนบางคนที่เสี้ยวเทียนพูด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเค้าเจาะจงหมายถึงใคร เพราะขณะที่พูดเจ้าตัวก็ปรายตาขวางๆ ไปยังคู่อริเก่าตั้งแต่เมื่อวาน ที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบสบายๆ และกำลังมองมาทางเค้าอยู่เหมือนกัน

“เอ๊ะ ชั้นก็ยังไม่เห็นมีใครว่าพวกคุณมาสายซักคนนะคุณจูเสี้ยวเทียน คนเรานี่น้า...หูหาเรื่อง” พาสนาว่ากลับไปนิ่มๆ มีเหรอ คนอย่างพาสนาจะยอมถูกกัดอยู่ฝ่ายเดียว

“คุณว่าใคร หูหาเรื่อง” เสี้ยวเทียนก็สวนกลับไปทันควันเช่นกัน

นั่นไง ยังไม่ทันเริ่มทำงาน คนปากหาเรื่อง กับคนหูหาเรื่อง ก็ช่วยกันทำให้เกิดเรื่องขึ้นจนได้

“ก็ไม่ได้เจาะจงว่าใคร ใครอยากรับก็รับ”

“อ้าว คุณ.....” เสี้ยวเทียนยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสี่ยวจือที่เห็นท่าจะไม่ดีก็รีบเบรคไว้ก่อน

“นายใจเย็นๆน่า เสี้ยวเทียน ยังไม่ทันเริ่มงานเลย อย่าเพิ่งทะเลาะกัน” เสี่ยวจือกระซิบดุข้างหูเบาๆ พลางดันชายหนุ่มไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ใกล้ๆ

ทางฝ่ายพาสนา ก็ถูกพี่ชาติที่นั่งอยู่ข้างๆแอบถองไปหนึ่งที โทษฐานกวนประสาทจนเกินเหตุ

“ไอ้พาส เอ็งจะไปหาเรื่องคุณเคนเค้าทำไมวะ อย่าลืมนะเว้ยว่าเอ็งอ่ะ เป็นโปรดิวเซอร์นะ โปรดิวซ์บ้านไหนวะ ชวนศิลปินทะเลาะ ช่วยเก็บปากเสียๆของเอ็งไว้ก่อนได้มั้ย เดี๋ยวก็ได้เรื่องก่อนได้งานหรอกเอ็ง” พี่ชาติขู่เบาๆ ในขณะที่พี่เอกหันไปชวนเสี้ยวเทียนและเสี่ยวจือ คุยเรื่องเพลง

“คุณเคน ผมว่าเรามาคุยเรื่องเพลงกันก่อนดีกว่านะครับ เห็นพี่นัทบอกว่าทางคุณและคุณเจอรี่ อยากจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องเพลงของคุณที่จะใช้ในอัลบั้มด้วยใช่มั้ยครับ”

“ใช่ครับ เพราะว่าเราสองคน อยากให้เพลงที่จะออกมาแสดงถึงตัวตนของเราจริงๆ แล้วอีกอย่างเราก็อยากเรียนรู้ประสบการณ์เรื่องการทำเพลงด้วยครับ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะครับที่อาจจะทำให้ยุ่งยากหรือเสียเวลาไปบ้าง” เสี้ยวเทียนตอบ ตอนนี้เค้าสามารถปรับอารมณ์มาคุยเรื่องงานได้แล้ว จริงๆเมื่อกี๊ก็ไม่ได้โมโหอะไรมากมาย แค่ฉุนๆนิดหน่อยที่โดนหาเรื่องตั้งแต่เช้าแบบนี้เท่านั้น

“ก็ยังดี ที่รู้ตัวว่าเรื่องมาก” พาสนาเปรยมาเบาๆ ยังดีที่คู่กรณีไม่ได้ยิน ไม่งั้นคงได้มีเรื่องกันอีกยก แต่คนที่ได้ยินคือพี่เอกที่หันไปทำตาดุๆใส่พาสนา แล้วรีบหันมาคุยกับเสี้ยวเทียนต่อ

“ใช่ครับ ทางเราได้ปรับแก้ดนตรีไปบางส่วนแล้ว แต่ยังรอให้คุณเคนมาฟังอีกที”

“งั้นผมขอฟังเลยได้มั้ยครับ จะได้รู้ว่ายังมีตรงไหนที่อยากให้ปรับ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณก็ได้นะครับ เรียกเคน หรือเสี้ยวเทียนก็ได้” เขาบอกอย่างอัธยาศัยดี จริงๆเค้าก็ไม่ใช่คนขี้เม้งตลอดเวลาซะหน่อย เพียงแต่กับโปรดิวเซอร์คนใหม่คนนี้ ไม่รู้เป็นยังไง ถึงได้มีเรื่องกันได้ทุกทีที่เจอหน้าสิน่า

“โอเค งั้นเรียกเคนแล้วกัน เคนเรียกพี่ว่าพี่เอกก็ได้ พี่เป็นโค-โปรดิวเซอร์ ของอัลบั้มนี้”

“ได้ครับพี่เอก เอ่อ... ผมอยากขอให้ทุกคนช่วยแนะนำตัวอีกทีได้มั้ยครับ เมื่อวานผมยังไม่แน่ใจว่าจะจำชื่อทุกคนได้หมด”

“ได้ๆ คนนี้พี่ชาติ เป็นsound engineer แล้วก็จะคอยดูแลเรื่องดนตรีด้วย ส่วนไอ้ลูกลิงสกินเฮดนั่นชื่อ กัน เป็นผู้ช่วยพี่ชาติ จะเน้นดูแลในส่วนของเครื่องดนตรีเป็นหลัก ส่วนนั่นยัยพริก เป็นผู้ช่วยประจำทีมคอยอำนวยความสะดวกประสานงานทั่วไป แล้วก็แต่งเนื้อร้องบางเพลงในอัลบั้มด้วย” พี่เอกแนะนำทีมงานเป็นรายคน

“โอเคครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนอีกครั้ง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ชายหนุ่มได้รับการทักทายกลับจากทุกคนเป็นอย่างดี ทำให้เค้ารู้สึกดีกับทีมงานนี้อยู่ไม่น้อย ท่าทางจะร่วมงานกันได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าไม่นับตัวโปรดิวเซอร์นะ ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง

“พาสว่าเรามาฟังเพลงกันเลยดีกว่า แล้วเดี๋ยวจะได้เริ่มซ้อมกัน” พาสนาปรับตัวเองเค้าสู่โหมดการทำงานได้แล้ว แม้ว่าปกติเธอดูจะเป็นคนเล่นๆ ปากเสีย ชอบกวนประสาทชาวบ้าน แต่พอถึงเวลาทำงานแล้ว เธอก็เป็นคนทำงานที่จริงจังมากๆคนหนึ่งเหมือนกัน


หลังจากที่เสี้ยวเทียนได้ฟังเพลงที่จะใช้ในอัลบั้มแล้ว เค้าค่อนข้างจะพอใจกับเพลงที่ออกมา เพราะเพลงนี้เป็นแนวป๊อบร็อค ที่เน้นเสียงเครื่องดนตรีแบบที่เค้าชอบ และเนื้อเพลงก็มีความหมายดี แสดงให้เห็นว่าคนแต่งเพลงนี้ทำการบ้านเกี่ยวกับงานเพลงของเค้าที่ผ่านๆมาได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว ดังนั้นในส่วนของเพลงจึงไม่มีปัญหา เหลือก็แต่การแก้ไข และดีไซน์แนวการร้องเพิ่มเติม ซึ่งต้องไปทำต่อให้ห้องซ้อมเท่านั้น

เมื่อตกลงเรื่องเพลงกันได้ลงตัวแล้ว ทุกคนเลยเคลื่อนย้ายไปที่ห้องซ้อมซึ่งอยู่ที่ชั้น 5 ของบริษัท เพื่อที่จะให้เสี้ยวเทียนทดลองซ้อมกับเพลงและวงดนตรีอีกขั้นหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มอัดเสียงจริงๆในวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวศิลปิน

ห้องซ้อมที่ใช้ เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าค่อนข้างใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีหลายชนิด นักดนตรีที่นัดไว้ได้มารออยู่ก่อนและได้เริ่มซ้อมเพลงไปพลางๆแล้ว และเพราะตัวเพลงไม่มีการแก้ไข เมื่อเสี้ยวเทียนมาถึงจึงเริ่มซ้อมได้เลย ในตอนแรกเค้าเสนอขอเล่นกีตาร์ในเพลงนี้เองด้วย แต่เพราะข้อจำกัดของเวลาทำให้ไม่สามารถทำได้ทัน โดยทีมงานที่เข้ามาดูแลในส่วนของห้องซ้อมนี้ มีแค่พาสนา พี่ชาติ และกันเท่านั้น ส่วนพี่เอกกับพริก ยังต้องไปประชุมกับทีมแต่งเพลง เรื่องเพลงของเจอรี่อีก เพราะจนถึงตอนนี้เพลงที่ทำมาก็ยังไม่ค่อยถูกใจโปรดิวเซอร์อย่างพาสนาเท่าไหร่ นี่ยังไม่นับว่าจะถูกใจเจอรี่ที่ยังเดินทางมาไม่ถึงหรือเปล่าด้วยนะ


หลังจากซ้อมไปได้ 2 ชั่วโมง พาสนาก็สั่งให้พักกินข้าวกลางวัน การทำงานในช่วงเช้าเป็นไปอย่างราบรื่น และมีความคืบหน้าที่น่าพอใจ ท่ามกลางความแปลกใจของเสี่ยวจือ เนื่องจากในตอนแรกเค้านึกว่า ยังไงก็คงไม่พ้นต้องคอยห้ามทัพเสี้ยวเทียนกับพาสนาระหว่างซ้อมอีกเป็นแน่ แต่ที่ไหนได้ ทั้งคู่กลับทำงานด้วยกันได้ค่อนข้างเข้าขาเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะ เมื่อถึงเวลาทำงานจริงๆ พาสนาก็เก็บปากเก็บคำ ไม่คอยพูดยั่วโทสะเสี้ยวเทียน ทำให้อีกฝ่ายที่ตอนแรกก็ตั้งแง่ดูเชิงว่าหญิงสาวจะมาไม้ไหน ก็เหมือนจะลืมเรื่องที่เคยบาดหมางกันไป กลับทำงานด้วยกันได้อย่างเข้าขา และจนถึงตอนนี้เขาก็ต้องยอมรับว่า หญิงสาวถือเป็นโปรดิวเซอร์ฝีมือดีคนหนึ่งเลยทีเดียว และที่สำคัญ เธอสามารถแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้อย่างที่พูดไว้เมื่อวานจริงๆ แล้วมีเรอะ คนอย่างจูเสี้ยวเทียนจะยอมแพ้ ให้เธอมาค่อนขอดเอาได้ว่าเป็นศิลปินเรื่องมากเก่งแต่ปาก เพราะเค้าก็เป็นศิลปินคนหนึ่งที่รักและทุ่มเทให้กับดนตรีอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน


มื้อกลางวันนี้ทุกคนตัดสินใจไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารเล็กๆชั้นล่างของตึก เพื่อประหยัดเวลา และเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีกันไปในตัวด้วย

“ไม่ทราบเคน กับเสี่ยวจือ กินเผ็ดได้มั้ยครับ” พี่ชาติถาม เมื่อทุกคนมานั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว

“ผมพอทานได้ครับ ส่วนเสี้ยวเทียนนี่ไม่มีปัญหา” เสี่ยวจือเป็นคนตอบ

“ใช่ครับ ผมทานเผ็ดได้ ออกจะชอบซะด้วยซ้ำ ไม่ต้องเป็นห่วง สั่งมาได้เลยครับ” เสี้ยวเทียนสนับสนุน ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว ทำให้เป็นคนที่ชอบลองชิมนั่นชิมนี่อยู่ตลอดเวลา อาหารรสเผ็ดจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเค้า

“งั้นก็ดีเลยครับ เพราะว่าต้มยำกับผัดฉ่าของร้านนี้เค้าเด็ดมาก เดี๋ยวผมจะได้สั่งมาให้ลองกินกัน” พอพูดจบพี่ชาติก็หันไปสั่งอาหารกับพนักงานเสิร์ฟ อาหารที่สั่งมาก็มีแต่รายการรสจัดๆทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ต้มยำไก่บ้าน หอยลายผัดฉ่า กุ้งพล่า ปลาราดพริก ที่สำคัญชายหนุ่มย้ำกับพนักงานเสิร์ฟด้วยว่าขอรสจัดๆ แซ็บๆ ซึ่งประโยคหลังนั่นเอง ทำให้หญิงสาวหนึ่งเดียวในโต๊ะที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องเอามือสะกิดเค้ายิกๆ อย่างพยายามส่งซิก

“ไรวะ ไอ้พาส มาสะกิดๆอะไรวะ” พี่เอกก็ไม่รับมุขซะเลย ถ้าเค้าอยากเปิดเผยเค้าก็พูดออกมาแล้วสิ ไม่มาสะกิดอยู่ยิกๆใต้โต๊ะหรอก

“พี่...ไม่สั่งพวก ผัดผัก ไข่เจียว ผัดเปรี้ยวหวาน อะไรมามั่งเหรอพี่” หญิงสาวพยายามบอกแบบอ้อมๆ

“สั่งมาทำไมวะ เอ็งอยากกินเหรอไอ้พาส” พี่เอกก็คงยังไม่รับมุขน้องสาวอยู่นั่นเอง

“แหม พี่เอกก็ ลืมหรือไงว่าพี่พาสแกกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง แล้วพี่สั่งแต่อาหารรสจัดๆ อย่างงี๊ จะให้พี่สาวผมกินอะไรล่ะคร๊าบบบบ” นายกันนั่นเองที่เป็นคนชี้ทางสว่างให้พี่เอก แต่ท่าทางการหวังดีของนายกันครั้งนี้ จะเป็นความหวังดีที่พาสนาไม่ต้องการไปซะหน่อย เพราะพอจบประโยคของนายกัน ชายหนุ่มคู่อริที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันที

“ฮ่าๆๆๆ อะไรกัน คุณโปรดิวเซอร์คนเก่ง เห็นเก่งทุกอย่าง เจอของเผ็ดแค่นี้ยอมแพ้แล้วเหรอครับ ฮ่าๆๆ” ท่าทางขอเสี้ยวเทียนทำให้หญิงสาวรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก คนอย่างพาสนาถือคติฆ่าได้หยามไม่ได้อยู่แล้ว เธอเลยสวนกลับไปว่า

“ใครบอกว่าชั้นกินเผ็ดไม่ได้ ชั้นแค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง เดี๋ยวคอยดูก็แล้วกัน” พอพูดออกไปแล้ว หญิงสาวก็แอบเหงื่อตก ก็ของเผ็ดกับเธอมันถูกกันซะที่ไหนล่ะ จริงๆถ้าระดับปกติเธอก็พอกินได้อยู่หรอก แต่ถ้ากินเผ็ดมากๆทีไรเป็นต้องปากแดง หน้าแดง น้ำตาไหลทุกที

“งั้นตกลงแกจะเอามั้ย ไอ้ผัดผัก ไข่เจียว อะไรของแกเนี่ย” พี่ชาติหันมาถาม

“ไม่ต้องแล้วพี่ สั่งไปแล้วก็แล้วกัน พาสกินได้” หญิงสาวหันมากัดฟันตอบ ...เอาน่า ก็กินข้าวเยอะๆหน่อย คงไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเน้นกับแล้วกัน... พาสนาพยายามาปลอบตัวเอง


พออาหารมาเสิร์ฟพาสนาก็มองกับข้าวตรงหน้าอย่างสยอง แต่ละอย่างพริกทั้งนั้น ท่าทางแม่ครัวจะทำตามคำสั่งพี่ชาติอย่างเคร่งครัดจริงๆ แล้วไม่รู้เป็นอะไร ไอ้ผู้ชายหน้าเม้งตรงข้ามเธอ ก็ดูจะใจดีซะเหลือเกิน หมั่นตักกับข้าวมาใส่จานเธอบ่อยๆ พร้อมกับคะยั้นคะยอให้กินนู่นกินนี่ ทั้งๆที่ตั้งแต่เจอหน้ากันมา เคยพูดดีกันที่ไหน มีแต่แง่งๆ จะกินหัวกันทั้งนั้น

“เอ้านี่ คุณพาส กินเยอะๆ...ไม่อร่อยเหรอครับ ผมว่าอร่อยออกนะ รสชาดกำลังดีเลยเชียว” เสี้ยวเทียนพูดพลางตักกุ้งพล่าใส่จานให้พาสนาอีกช้อนพูนๆ พร้อมกับจ้องอย่างรอคอย ทำให้หญิงสาวต้องตักกับข้าวคำนั้นเข้าปากอย่างจำใจ

และเพียงแค่กินเข้าไปคำแรกเท่านั้นแหละ พาสนาถึงกับหน้าแดงหูแดง ต้องรีบหาน้ำเย็นมาดื่มเป็นการใหญ่ ...แม่เจ้า อะไรมันจะเผ็ดได้ขนาดนั้นวะ... หญิงสาวบ่นในใจ ขณะที่ยื่นแก้วไปให้นายกันเติมน้ำเพิ่ม

“อ้าว เผ็ดไปเหรอครับคุณพาส ไหนเมื่อกี๊เห็นบอกทานเผ็ดได้ ถ้าทานไม่ได้ผมว่าเราสั่งอาหารจืดๆมาเพิ่มมั้ยครับ สงสารคุณพาส” เสี้ยวเทียนพูดอย่างใจดี แต่แววตานี่สิ มันส่อแววสะใจชัดๆ

“เปล่า ชั้นกินได้ แต่เมื่อกี๊มันติดคอ” หญิงสาวมีหรือจะยอมแพ้ จะว่าแก้ตัวน้ำขุ่นๆก็ยอมล่ะ

“งั้น ลองอันนี้ดีกว่าครับ เนื้อปลาเค้าสดมากเลยนะครับ” เสี้ยวเทียนเห็นดังนั้นเลยตักปลาราดพริกชิ้นใหญ่ๆ ที่มีพริกราดอยู่เต็ม ใส่จานให้พาสนาอีกหนึ่งชิ้น”

“ขอบคุณมากเคน แต่ชั้นว่าคุณตักให้ตัวเองดีกว่านะ เดี๋ยวคุณกินไม่อิ่ม แล้วพี่นัทเค้าจะหาว่าชั้นดูแลคุณไม่ดี ชั้นตักของชั้นเองได้” พาสนาพยายามกัดฟันตอบ รู้ทั้งรู้ว่านายนี่มันตั้งใจแกล้งเธอชัดๆ

...คอยดู แค้นนี้ต้องชำระ นายจูเสี้ยวเทียน... หญิงสาวหมายมาดในใจ หลังจากนั้นเธอก็พยายามกินข้าวในจานเธอจนหมด สลับกับดื่มน้ำตามเป็นระยะๆ สรุปว่ามื้อนี้พาสนาแทบจะต้องกินข้าวเปล่ากับน้ำก็ว่าได้

“อ้าว อิ่มแล้วเหรอครับคุณพาส กินน้อยจัง กับข้าวยังไม่พร่องเท่าไหร่เลย ไม่เป็นไรครับ ผมว่าร้านนี้เค้าทำอาหารอร่อยดี ไว้พรุ่งนี้เรามากินกันอีกนะครับ” เสี้ยวเทียนพูดพลางอมยิ้ม ...ฮะๆๆ สมน้ำหน้า กินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่ยอมรับ เก๊กไม่เข้าเรื่อง ...


หลังจากผ่านมื้อกลางวันอันแสนทรมานของพาสนา แต่เป็นมื้อกลางวันอันสนุกสุดๆของเสี้ยวเทียนแล้ว ทั้งหมดก็กลับไปซ้อมกันที่ห้องซ้อมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการซ้อมก็เป็นไปด้วยดีเช่นเดียวกับในช่วงเช้า จนถึงตอนนี้ เสี้ยวเทียนเริ่มทำอารมณ์ร่วมกับเพลงได้ค่อนข้างมากแล้ว รวมถึงยังเสนอไอเดียดีไซน์การร้องในบางท่อนอีกด้วย ซึ่งไอเดียเค้าก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ทำให้พาสนาออกจะทึ่งอยู่ไม่น้อย ...อืม ไม่นึกว่าหมอนี่จะมีไอเดียดีๆกับเค้าเหมือนกัน นึกว่าเก่งแต่เก๊กหล่อไปวันๆซะอีก ใช้ได้ๆ...


ตอนนี้การซ้อมดำเนินมาอย่างต่อเนื่องถึงเกือบ 5 ชั่วโมงแล้ว ทั้งวงและเสี้ยวเทียนเองก็ดูจะเข้าขากับมากขึ้นจากตอนแรกมาก ท้องฟ้ากรุงเทพฯก็ดูจะมืดลงทุกที แต่ทุกคนก็ตั้งใจจะซ้อมกันอีกซักเล็กน้อย เพื่อที่ตอนเข้าห้องอัดในวันพรุ่งนี้จะได้ไม่มีปัญหา และขณะที่ทุกคนกำลังจะเริ่มซ้อมเพลงรอบสุดท้ายนั้นเอง ประตูห้องซ้อมก็ถูกเคาะ ก่อนจะเปิดออก ตามด้วยชายหนุ่มผมยาวตัวสูงที่ก้าวเข้ามาในห้อง เค้าสวมหมวกผ้าปิดหน้า ใส่เสื้อยืด กางเกงขายาว สะพายเป้ใบโตๆ ดูเหมือนพวกนักท่องเที่ยว มากกว่าคนที่จะมาเดินอยู่ในค่ายเทปเช่นนี้ พาสนาที่ตอนนั้นอยู่ใกล้ประตูที่สุด เลยเข้าไปถามด้วยความสงสัย

“ไม่ทราบคุณมีธุระอะไรฮะ ตอนนี้เรากำลังซ้อมกันอยู่ ไม่สะดวกให้คนนอกเข้านะฮะ”

“เอ่อ ผม มาหาเพื่อนน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมยิ้มให้เธออย่างผูกไมตรี เผยให้เห็นรักยิ้มที่แก้มด้านซ้าย กับฟันขาวเรียงตัวสวย

“เฮ้ย เจอรี่ นายมาได้ไง” เสียงตะโกนดังมาจากชายหนุ่มร่างสูงอีกคนในห้อง ที่รีบก้าวเข้ามาตบไหล่คนมาใหม่อย่างยินดี ขณะเดียวกันชายหนุ่มที่มาใหม่ก็เปิดหมวกออก พร้อมกับยิ้มให้ทุกคนที่อยู่ในห้อง




Create Date : 13 ตุลาคม 2549
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:48:36 น. 0 comments
Counter : 207 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

+mosminly+
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หลังไมค์ถึงมอสซี่เชิญกดเลยค่ะ
Friends' blogs
[Add +mosminly+'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.