Group Blog
 
All blogs
 
ตอนที่ 28

28.


“เฮ้ย พาส”

“พาส” ทั้งคู่ร้องเสียงหลง ก่อนจะวิ่งเข้าไปดูอาการของหญิงสาวที่สลบไม่รู้ตัว

“แวนเนส นายช่วยอุ้มกันพาสไปนอนที่โซฟาก่อน” เสี้ยวเทียนสั่งการ ทั้งคู่ช่วยกันอุ้มหญิงสาวไปนอนพักที่โซฟา แวนเนสวิ่งไปจัดการเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้พาสนา ส่วนเสี้ยวเทียนก็ควานหายาดมมาจ่อที่จมูกหญิงสาว พลางส่งเสียงเรียกเป็นระยะ
.
.
.
.
.
“พาส”

“พาส...เป็นยังบ้าง”

“พาส”

“พาส เฮ้ยอย่าเป็นอะไรนะเว้ย”

“พาสๆ” ทั้งคู่ต่างพยายามส่งเสียงเรียกและเขย่าตัวพาสนาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากร่างบางจนดูน่าเป็นห่วง
.
.
.
.
แต่ในที่สุด 10 นาทีผ่านไปพาสนาก็เริ่มรู้สึกตัว เสี้ยวเทียนกับแวนเนสช่วยกันพยุงเธอให้ลุกขึ้นนั่ง พลางถอยห่างให้เธอได้มีอากาศหายใจ

“เป็นยังไงบ้างพาส” แวนเนสถามอย่างเป็นห่วง

“อืม...เมื่อกี๊ชั้นเป็นอะไรไปเหรอ” หน้างงๆคิ้วยุ่งๆของเธอทำให้รู้ว่า หญิงสาวคงยังไม่ค่อยมีสติเท่าไรนัก น่าจะยังงุนงงอยู่มาก เพราะเธอสลบไปหลายนาทีเลยทีเดียว

“อยู่ดีๆแกก็เป็นลมไป พวกชั้นตกใจแทบแย่” เสี้ยวเทียนเป็นคนตอบคำถามของหญิงสาว ส่วนแวนเนสนั้น ลุกไปจัดการเอาน้ำมาให้เธอดื่ม

“เอ้า...กินน้ำซะก่อน” แวนเนสยื่นแก้วน้ำให้

“ขอน้ำเย็นไม่ได้เหรอ” คนป่วยพยายามต่อรอง ทั้งๆที่ตัวเองก็หน้าซีดจะแย่อยู่แล้ว

“ไม่ได้ ตัวร้อนขนาดนี้ยังจะกินน้ำเย็นอีก” แวนเนสทำเสียงดุ หน้าเคร่ง ไม่ยอมใจอ่อนไปกับสายตาออดๆนั้น มือหนาค่อยๆประคองแก้วไปจ่อที่ปากหญิงสาว เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีแรงแม้แต่จะถือแก้วน้ำเอง

“ค่อยๆพาส เลอะหมดแล้วเห็นมั้ย ยังกะเด็กๆ” แวนเนสบ่นเมื่อเห็นพาสนารีบดื่มน้ำด้วยความกระหายจนหกเลอะเทอะ เพราะคนป้อนก็ป้อนไม่ถนัด คนดื่มก็ดื่มไม่ถนัด แต่สุดท้ายเค้าก็ไม่วายเอื้อมมือหนาๆไปขยี้ผมเธอเล่นด้วยความเอ็นดู

...พาสมันน่ารักดีเนาะ ถึงจะดื้อจนน่าตีไปบ้างก็เถอะ... แวนเนสคิดในใจ

“เดี๋ยวจะไปทำอะไรให้กิน แกนอนพักก่อน ไปแวนเนส...ไปช่วยชั้นในครัว” ร่างหนาของชายหนุ่มอีกคนในห้องลุกจากโซฟาพลางดึงเพื่อนให้ลุกตาม แต่อีกฝ่ายกลับทำท่าอิดออด

“นายก็ทำไปคนเดียวสิ ทำได้อยู่แล้วนี่นา ชั้นเข้าไปก็ได้แต่ช่วยยุ่ง เดี๋ยวชั้นอยู่เป็นเพื่อนพาสดีกว่า” แวนเนสขืนตัวไว้ ไม่ยอมลุกไปตามแรงดึง จนเสี้ยวเทียนขึงตาใส่นั่นแหละถึงได้ยอมลุก แต่ก็ไม่วายบ่นอิดๆออดๆ

“อะไรวะ ปกติจะไปช่วยก็ไล่ออกมา วันนี้ผีเข้าหรือไงวะ”

“แล้วแกจะนั่งกวนไอ้พาสมันทำไม ให้มันนอนพักอ่ะดีแล้ว” ปากก็พูด แต่ตาก็ขยิบยิบๆเป็นเชิงส่งสัญญาณ

“เออๆ ลืมไป งั้นนอนพักไปนะพาส เดี๋ยวข้าวเสร็จแล้วเรียก” แวนเนสให้มาบอกร่างบางที่นั่งเอนพิงพนักโซฟาอยู่ ซึ่งฝ่ายนี้ก็พยักหน้าให้เบาๆ ก่อนจะหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย ซึ่งเมื่อเสี้ยวเทียนเห็นดังนั้นก็ทนไม่ไหว ร่างสูงส่ายหัวพลางเดินย้อนกลับมาช้อนส่วนเท้าของหญิงสาวขึ้นเพื่อจัดท่าทางให้เธอนอนราบไปกับโซฟาดีๆ แล้วยังอุตส่าห์หยิบหมอนอิงมารองศีรษะให้เธอด้วย ซึ่งตลอดเวลาพาสนาก็ได้แต่ทำเสียง อือๆอาๆ อย่างรำคาญใจที่มีคนมากวนตอนจะนอน


พอจัดการกับตัวปัญหาเสร็จเสี้ยวเทียนก็จัดการลากแวนเนสเข้าไปในครัว ชายหนุ่มจัดการหั่นผักและเนื้อสัตว์ แล้วโยนลงหม้ออย่างรวดเร็ว เค้าตัดสินใจว่าจะทำซุปแบบง่ายๆให้พาสนา จากนั้นก็ทิ้งตั้งไฟไว้ แล้วหันมาหาแวนเนส

“แวนเนส เรื่องนี้เอาไงดีวะ” สีหน้าของคนพูดดูจะหนักใจอยู่ไม่น้อย

“ไม่รู้ว่ะ เรามันคนนอกซะด้วยสิ เรื่องแบบนี้ให้คนสองคนเคลียร์กันเองมันจะดีกว่านะ” แวนเนสให้ความเห็น แม้ว่าเค้าอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยอย่างไรก็ตาม แต่เรื่องความรักมันยากที่คนอื่นจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เค้ากลัวว่ายิ่งช่วยมันจะยิ่งยุ่งซะมากกว่า

“แต่ชั้นโดนเอาไปเกี่ยวด้วยนะโว้ย...คิดๆแล้วยังเคืองไม่หาย อาเจิ้นมันเอาสมองส่วนไหนคิดวะว่าชั้นจะไปแย่งแฟนมัน” นึกๆแล้วเสี้ยวเทียนก็ได้แต่ปลงกับการคิดเองเออเองของเพื่อนรัก

“แหม...ก็เห็นภาพตำตาซะอย่างนั้นตั้งสองครั้งสามครั้ง ไหนจะข่าวหนังสือพิมพ์อีก เป็นใครใครก็เข้าใจผิดได้วะ” แวนเนสพยายามปกป้องเพื่อน

“แล้วมันไม่ถามซักคำเลยนะโว้ย คิดเองเออเองเสร็จสรรพ แล้วนี่ก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้ แฟนตัวเองไม่สบายน่ะรู้บ้างหรือเปล่า” ระดับเสียงที่ใช้เริ่มดังขึ้นตามอารมณ์ของคนพูด จนเพื่อนต้องรีบเอามือมาปิดปาก

“ชู่ววววว์.... เบาๆสิวะ เดี๋ยวพาสมันก็ได้ยินหรอก แค่นี้มันก็ไม่สบายใจจะแย่แล้ว”

“ไอ้นี่ก็อีกคน ทิฐิไม่เข้าเรื่อง ดื้อก็ที่หนึ่ง ไอ้เรารึหวังดี จะไปอธิบายกับอาเจิ้นมันให้ แม่เจ้าประคุณก็ห้ามซะอย่างนั้น”

“แล้วนี่มันจะเป็นอะไรมากป่าววะ ชั้นเห็นมันเป็นลมไปเมื่อกี๊แล้วเป็นห่วงว่ะ เรื่องแค่นี้ถึงกับไม่สบายเลยเหรอ มันคงเสียใจมากเนาะ ปกติพาสดูแข็งแรงจะตาย ตั้งแต่รู้จักกันมาชั้นยังไม่เคยเห็นมันเจ็บป่วยกับชาวบ้านเค้าเลยว่ะ” ขณะพูดตาตี่ๆก็ชำเลืองออกยังโซฟาห้องรับแขกที่มีร่างเล็กนอนหลับอยู่อย่างเป็นห่วง

“ถ้าแค่ทะเลาะกับเจอรี่มันก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอก อย่างมากก็โกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง แต่นี่เมื่อวานมันโดนตะปูตำ ก็ที่ชั้นเล่าให้แกฟังนั่นแหละ ที่ชั้นต้องประคองมันกลับมาจนเจอรี่เข้าใจผิดอ่ะ หมอก็สั่งให้มันกินยา กับห้ามใช้ขามากๆ แต่มันดันดื้อ ไปทำงานไม่พอ ตอนเช้าเราอุตส่าห์ไปส่ง ที่ไหนได้ ตอนเย็นดันมาเอารถตัวเองขับไปตานสุ่ยเฉย แล้วนี่ก็คงไม่ได้กินยาตรงเวลาด้วยแหละ แผลจะอักเสบมั้ยก็ไม่รู้ ตัวก็ดูรุมๆทำท่าว่าจะเป็นไข้อีกอย่าง ท่าพรุ่งนี้มันยังไม่ดีขึ้น เป็นตายยังไงนายกับชั้นก็ต้องช่วยกันจับมันไปหาหมออีกรอบให้ได้แหละ” เสี้ยวเทียนบ่นเป็นชุด

“เหอๆๆ พาสมันดื้อได้ใจจริงๆ อาเจิ้นมันชอบเข้าไปได้ไงวะ หน้าตาก็น่ารักอยู่หรอก แถมบทจะดีก็ดีใจหาย เก่งก็เก่ง แต่บทจะร้ายจะดื้อนี่อยากจะจับมาฟาดซะหลายๆที ใครเอาเป็นแฟนปวดหัวตาย หรือนายว่าไง” แวนเนสเปรยอย่างสงสัย

“จะไปรู้เจอรี่มันเหรอ” เสี้ยวเทียนตอบสั้นๆ สีหน้าเปลี่ยนไปแป๊บนึงเหมือนมีพิรุธอะไรบางอย่าง แต่แวนเนสไม่ทันสังเกต เพราะเผอิญหันหน้าไปนอกห้องครัวพอดี

“แล้วนี่เราจะไม่บอกอาเจิ้นมันจริงๆเหรอว่าพาสมันไม่สบายอ่ะ” แวนเนสถามซ้ำอีกครั้ง

“ตอนนี้มันหายหัวไปไหนยังไม่รู้เลย และจะไปบอกมันได้ยังไงวะ” อีกฝ่ายย้อนกลับ

“มันคงไปอยู่บ้านแม่มันน่ะแหละ ชั้นเช็คกับแฟนนี่แล้ว อาเจิ้นมันขอยกเลิกงานช่วงนี้หมดเลย เล่นเอาแฟนนี่หัวหมุนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง”

“อะไรนะ มันยกเลิกงานเนี่ยนะ อาเจิ้นมันไม่เคยเหลวไหลอย่างนี้นี่นา” เสี้ยวเทียนบ่น

“เออ ก็เป็นไปแล้วแหละ นี่มันก็คงไปหาหม่าม๊าเหมือนทุกครั้งเวลาที่มันมีเรื่องไม่สบายใจอ่ะ ชั้นว่านะ”

“เออว่ะ ก็ลืมไปว่าหมอนี่มันไม่ชอบไปไหน เวลามีเรื่องที่ไรก็กลับไปกอดหม่าม๊าทุกที”

“แล้วตกลงเอาไงวะ ไปหามันกันมั้ย” แวนเนสชวน

“แล้วให้ทิ้งไอ้พาสไว้คนเดียวเนี่ยนะ” ถ้าถามเค้า ยังไงเค้าก็ไม่อยากทิ้งพาสนาไว้คนเดียวเท่าไหร่ เห็นเธอล้มลงไปเมื่อกี๊แล้วใจไม่ดียังไงไม่รู้ นี่ยังไม่นับเรื่องดื้อไม่ยอมทำตามที่หมอสั่งด้วยนะ ...คนอย่างไอ้พาสน่ะ ต้องมีคนคุม... เสี้ยวเทียนคิดในใจ เค้ายังกะอยู่เลยว่า คืนนี้คงต้องอยู่เฝ้าอาการของเธอจนกว่าจะดีขึ้น แล้วนี่จะให้ปล่อยให้เธออยู่คนเดียว ยังไงเค้าก็ไม่ไว้ใจ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง

“ตามไอ้ไจ๋มาอยู่เป็นเพื่อนพาสมั้ย” ไวเท่าความคิดแวนเนสรีบกดโทรศัพท์ไปหาไจ่ไจ๋ทันที เสี้ยวเทียนจะห้ามก็ไม่ทัน

“เฮ้ย! ไอ้ไจ๋มันไปถ่ายละครที่อื่นไม่ใช่เหรอ” พูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงแวนเนสพูดกับอีกฝ่ายไปทางโทรศัพท์

“ไจ๋ ทำไรอยู่วะ เกิดเรื่องว่ะ ว่างมั้ยมาที่ห้องชั้นหน่อยดิ” แวนเนสพูดไปเป็นชุดแล้วก็ได้แต่หน้าจ๋อยเมื่อได้ฟังคำตอบจากปลายสาย

“อ้าวเหรอ อืมๆๆ ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวกลับมาค่อยเล่าให้ฟังแล้วกัน เล่าไปตอนนี้นายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี อือ แค่นี้นะ” เสร็จแล้วเค้าก็วางสายไป ก่อนจะหันมาบ่นกับเสี้ยวเทียน

“ไจ๋มันถ่ายละครว่ะ มาไม่ได้”

“ชั้นก็บอกแกอยู่เมื่อกี๊ ไม่ฟังให้ดีซะก่อนจะโทร”

“บอกเมื่อไหร่วะ ไม่เห็นได้ยิน” แวนเนสทำหน้าเหรอหรา

“เฮ้อ ช่างเหอะ ว่างๆแคะหูซะมั่งก็ดีนะแก” เสี้ยวเทียนไม่วายกัด

“แล้วทีนี้จะเหลือใครล่ะ” หนุ่มตี๋ทำท่าจะนึกถึงเหยื่อรายต่อไป

“ไม่ต้องไปหาใครมาเลย ชั้นไม่ไว้ใจ เดี๋ยวเฝ้าเอง” เสี้ยวเทียนบอก พลางคิดต่อในใจ ...ไม่ว่าใครเค้าก็ไม่ไว้ใจทั้งนั้นแหละ ระดับพาสนามันต้องเค้าเท่านั้นถึงจะเอาอยู่...

“อ้าว แล้วจะไปหาเจอรี่ยังไงวะ ให้ชั้นไปคนเดียวเหรอ ไม่เอานะเว้ย เรื่องนี้แกพูดเองดีที่สุด ชั้นช่วยแจมได้ แต่อย่าให้เป็นคนเริ่มเลยว่ะ”

“ก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวโทรหาหม่าม๊าก่อนว่ามันไปอยู่กับหม่าม๊าจริงมั้ย แล้วฝากให้หม่าม๊าเฝ้ามันให้จนกว่าเราจะไปจัดการเคลียร์กับมันได้” สรุปเสร็จ ชายหนุ่มก็จัดการโทรไปหาเลี่ยวมาม่า แล้วก็พบว่าเจอรี่อยู่ที่นั่นจริงๆ
.
.
.
“เสี้ยวเทียนเหรอลูก อืม อาเจิ้นอยู่ที่นี่จ้ะ เพิ่งมาถึงเมื่อกี๊นี้เอง มีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมอาเจิ้นดูซึมๆ แม่ถามอะไรก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าเหนื่อยขอนอนพักก่อน แต่แม่ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรใช่มั้ย” เสียงเลี่ยวมาม่าถามมาตามสาย เมื่อเค้าโทรไปถามหาเจอรี่

“พอดีมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยฮะหม่าม๊า นี่มันหลับเหรอครับ” ชายหนุ่มยังไม่อยากบอกอะไรหม่าม๊ามากนัก

“จ้ะ ขึ้นห้องไปพักใหญ่แล้วล่ะ หม่าม๊าถามหน่อยสิเสี้ยวเทียน เรื่องที่เข้าใจผิดกันเนี่ย เกี่ยวกับพาสด้วยใช่มั้ย” คำถามของเลี่ยวมาม่าทำเอาเค้าถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบด้วยคำถามกลับไป

“ทำไมหม่าม๊ารู้ล่ะครับ”

“ก็วันนี้หม่าม๊าถามถึงพาสว่าไม่ได้มาด้วยกันเหรอ อาเจิ้นก็ไม่ยอมตอบอะไรเลย บอกแต่ว่าเหนื่อย แล้วก็หนีขึ้นห้องไป หม่าม๊าว่ามันผิดปกติ เพราะตั้งแต่รู้จักพาส ไม่เคยมีครั้งไหนที่คุยกับอาเจิ้นแล้วไม่ได้ยินชื่อพาสเลย นี่แสดงว่าทะเลาะกันมาใช่มั้ย แล้วนี่พาสไปไหน ทำไมไม่โทรมาเอง”

“พาสมันไม่ค่อยสบายครับ นี่ก็นอนอยู่ พวกผมเป็นห่วงทั้งมันทั้งอาเจิ้น ก็เลยว่าจะโทรมาปรึกษาหม่าม๊าก่อน” ว่าแล้วเสี้ยวเทียนก็จัดการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้หม่าม๊าฟัง ตั้งแต่เรื่องที่เค้าชวนพาสนาไปซื้อกีตาร์แล้วกลายเป็นข่าว ไปจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตานสุ่ย

“เฮ้อ เรื่องเข้าใจผิดกันแท้ๆเลย เสี้ยวเทียนจะให้หม่าม๊าช่วยพูดกับอาเจิ้นให้มั้ย หรือจะพูดเอง เดี๋ยวหม่าม๊าไปตามมาให้”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมอธิบายกับอาเจิ้นเองดีกว่า เพราะจะว่าไปเรื่องนี้ส่วนหนึ่งมันก็เกิดขึ้นเพราะผมด้วย แต่หม่าม๊าไม่ต้องไปตามมันมาหรอกครับ ไว้เดี๋ยวผมไปคุยกับมันเองเลยดีกว่า แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ เพราะไม่มีคนอยู่เป็นเพื่อนพาส ไข้มันสูงมากจนไม่ไว้ใจให้อยู่คนเดียว รบกวนหม่าม๊าเบรคๆมันไว้บ้างก็ดีฮะ อย่าให้มันหนีไปหลบที่ไหนอีก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้ผมกับแวนเนสคงไปบ้านหม่าม๊านะครับ” เสี้ยวเทียนขอร้องอย่างสุภาพ

“เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ แล้วนี่พาสเป็นอะไรมากมั้ย ฝากบอกด้วยนะว่าหม่าม๊าเป็นห่วง ขอให้หายไวไว” เลี่ยวมาม่าไม่วายฝากถึงพาสนา ผู้ซึ่งเธอรักและเอ็นดูเหมือนลูกสาวอีกคน

“คิดว่าให้ทานยาแล้วนอนพักน่าจะดีขึ้นครับ เดี๋ยวผมจะบอกพาสให้นะครับว่าหม่าม๊าเป็นห่วง หม่าม๊าครับ เรื่องอาเจิ้นฝากด้วยนะครับ แล้วผมจะหาทางเคลียร์กับมันให้เร็วที่สุด”

“จ้ะ ไว้หม่าม๊าจะดูอาเจิ้นให้ ไม่ต้องห่วงนะเสี้ยวเทียน” เลี่ยวมาม่ารับปากรับคำเป็นอย่างดี ก่อนจะวางสายไป

พอดีกับที่ซุปที่เสี้ยวเทียนต้มไว้เคี่ยวจนได้ที่ ทั้งเสี้ยวเทียนและแวนเนสจึงจัดการยกออกไปให้พาสนา

“พาสๆ ตื่นมากินอะไรรองท้องหน่อย” แวนเนสเรียกเบาๆ

“หืมมม อะไรนะ” แม้ว่าจะเหนื่อยมาก แต่ด้วยความปวดแผลก็ทำให้พาสนานอนหลับไม่สนิทนัก หญิงสาวรู้สึกตัวทันทีที่แวนเนสสะกิดเรียก

“ลุกขึ้นมากินซุปซะหน่อย จะได้กินยา แล้วค่อยนอนต่อ” เสี้ยวเทียนช่วยเสริมพลางเลื่อนถ้วยซุปควันกรุ่นมาตรงหน้าหญิงสาว ซึ่งรับช้อนมาตักซุปเข้ามากอย่างว่าง่าย
.
.
.
“อืม อร่อยดี ฝีมือนายเหรอเสี้ยวเทียน” หลังจากซุปหมดไปได้เพียงครึ่งถ้วยพาสนาก็วางช้อนทำท่าจะอิ่ม

“อร่อยก็กินเข้าไปอีก อะไรกัน บอกว่าอร่อยแต่ไม่ยอมกินให้หมด จริงใจป่าวเนี่ย?” คนทำซุปแกล้งงอน

“บ้า จริงใจสิ แต่ชั้นอิ่มแล้วจริงๆ หัวก็ไม่ล้าน อย่าขี้น้อยใจสิ น๊า” หางเสียงทอดยาวอย่างอ้อนๆนั้น ไม่เคยทำให้เจ้าตัวผิดหวัง เพราะใช้ได้ผลทุกที แต่สงสัยจะยกเว้นกับชายหนุ่มที่ชื่อจูเสี้ยวเทียนคนนี้ไว้คนหนึ่ง

“ไม่ได้ ต้องกินให้หมด จะกินเองดีๆ หรือจะให้ป้อน” ไม่พูดเปล่า เสี้ยวเทียนถึงกับตักซุปมาจ่อที่ริมฝีปากบางเป็นเชิงบังคับกลายๆ

“อื้อ...อิ่มแล้วจริงๆน๊า…” คนพูดส่ายหัวดุ๊กดิ๊กประกอบ ยังไม่เลิกอ้อน ...ชริ เสี้ยวเทียนโหดอ่ะ... พาสนานินทาในใจ

“อ้าปาก” เสี้ยวเทียนยังคงไม่ยอมใจอ่อน จ่อช้อนมาชิดริมฝีปาก พร้อมส่งสายตาแกมบังคับ จนเธอต้องยอมอ้าปากรับซุปที่เค้าบรรจงป้อนให้

“ไม่ต้องป้อนแล้ว เดี๋ยวกินเอง” หญิงสาวรีบห้ามเมื่อเห็นเค้าทำท่าจะตักซุปช้อนใหม่มาป้อนอีก ซึ่งเสี้ยวเทียนก็ยอมยกช้อนให้เธอแต่โดยดี แอบหันไปลอบยิ้มสะใจกับแวนเนส ที่แอบยกนิ้วโป้งให้ด้วยความนับถือ ที่จัดการพาสนาได้
.
.
.
“อ้ะ พอใจยัง” พาสนาถามแกมประชด เมื่อเลื่อนถ้วยซุปว่างเปล่าไปตรงหน้าเสี้ยวเทียนในอีก 15 นาทีให้หลัง

“กินหมดแล้ว งั้นก็กินยาซะ” แวนเนสที่รอคิวอยู่แล้วรีบยื่นยาพร้อมน้ำแก้วโตมาให้

“โหย...พวกนายนี่มันจะอะไรกันนักหนาวะ แต่ละคน ชั้นโตแล้วนะโว้ย ดูแลตัวเองเป็น ไม่ต้องมาทำเหมือนชั้นเป็นเด็ก 5 ขวบ” หญิงสาวเริ่มอดรนทนไม่ไหว

“พวกเราหวังดีนะ กินยาแล้วก็นอนพักซะ จะได้หายไวไว” แวนเนสเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ชั้นรู้ตัวชั้นเองดีน่า ว่าอะไรไหวไม่ไหว พวกนายจะมารู้ดีกว่าชั้นได้ไง”

“ก็ไอ้รู้ตัวดีของแกอ่ะ ถึงได้เป็นลมอยู่หน้าห้องนั่นไง รู้มั้ยว่าคนเค้าเป็นห่วง จะทำอะไรอ่ะดูสภาพตัวเองมั่ง คนนะไม่ใช่เหล็กไหล จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย ถ้าแกเป็นอะไรไปรู้มั้ยจะมีคนเสียใจแค่ไหน” เสี้ยวเทียนเริ่มโมโหจี๊ดขึ้นมาบ้าง จนแวนเนสต้องปราม

“เฮ้ย เสี้ยวเทียนใจเย็นๆ ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน พาสเองก็เถอะ รู้มั้ยว่าพวกเราเป็นห่วง ไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ไม่ดีเลยนะ จำได้มั้ย แต่ก่อนพาสเคยสอนอาเจิ้นว่ายังไง แล้วทำไมตอนนี้พาสเป็นซะเองล่ะ พาสไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ ถึงจะไม่มีญาติพี่น้องที่นี่ แต่พาสก็ยังมีพวกเรานะ รู้มั้ยว่าพาสกำลังทำให้พวกเราเป็นห่วงมาก เราหวังดีกับพาสนะ ไม่ได้อยากบังคับ แต่ก็อยากให้พาสหายไวไว” แวนเนสพูดเป็นเชิงสอน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พาสนาโดนแวนเนสดุ ปกติเธอมองภาพเพื่อนคนนี้ว่าเป็นคนตลก สนุกสนานและอารมณ์ดีอยู่เสมอ มาเจอแบบนี้ก็เลยอึ้งไปเหมือนกัน

“พาสรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง แต่ทำไงล่ะ นิสัยพาสเป็นอย่างนี้ พาสไม่ชอบให้ใครมาบังคับ พาสบังคับตัวเองจนชินแล้ว พาสดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายน่ะ รู้นะว่าทุกคนหวังดี แต่ช่วยเข้าใจพาสหน่อยสิ” พาสนาพยายามอธิบาย เธอไม่ได้ดื้อ เธอแค่มีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งบางครั้งเหตุผลนั้นมันอาจจะไม่ถูกใจคนอื่นเท่าไรนัก

“เอาเป็นว่าเราจะพยายามเข้าใจแล้วกันนะพาส แต่ตอนนี้พาสช่วยฟังพวกเราหน่อยได้มั้ย พบกันครึ่งทาง เราจะไม่จ้ำจี้จ้ำไชอะไรพาสอีก แต่พาสต้องดูแลตัวเอง พักผ่อนเยอะๆ กินยาตามที่หมอสั่ง แล้วก็อย่าคิดมาก โอเคมั้ย” ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอ โดยตลอดเวลาเค้าก็คอยสะกิดเตือนเสี้ยวเทียนไว้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรออกมา ด้วยรู้ในฝีปากของเพื่อนตัวเองดี เลยกลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งไปกันใหญ่

“ก็ได้ พาสจะพยายามแล้วกัน” พาสนายอมรับปาก ก่อนจะเอื้อมไปหยิบยาที่แวนเนสส่งให้มากิน



Create Date : 13 ตุลาคม 2549
Last Update : 14 ตุลาคม 2549 0:02:46 น. 0 comments
Counter : 220 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

+mosminly+
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หลังไมค์ถึงมอสซี่เชิญกดเลยค่ะ
Friends' blogs
[Add +mosminly+'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.