Group Blog
 
All blogs
 
ตอนที่ 13

13.


เช้าวันรุ่งขึ้น เจอรี่ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าหมองๆ จนเสี้ยวเทียนอดจะออกปากถามไม่ได้

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าอาเจิ้น หน้าตาดูไม่ดีเลย”

“เหรอ ไม่รู้ดิ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับอ่ะ ปวดหัวนิดหน่อย” เจอรี่ตอบพลางยกมือเรียวๆขึ้นลูบหน้า

“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า กินยามั้ย เดี๋ยวชั้นหาให้” เสี้ยวเทียนได้ยินดังนั้นก็เป็นห่วงเพื่อน พาลคิดไปว่าเจอรี่ไม่สบายจนนอนไม่หลับ

“ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวค่อยไปงีบบนเครื่องเอา” ก็จะให้เค้าบอกได้ยังไงล่ะ ว่าไอ้ที่นอนไม่หลับเนี่ย เพราะมัวแต่คิดเรื่องของใครบางคน คนที่จนถึงตอนนี้เค้าก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเธอนั้นมันคืออะไรกันแน่

“อืม แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็บอกนะ” เสี้ยวเทียนยังไม่วายเป็นห่วง

“อือ” เจอรี่ส่งเสียงรับคำเบาๆ ท่าทางยังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่ เสี้ยวเทียนได้แต่ส่ายหัวกับสภาพของเพื่อน

...ไม่รู้มันไปเจอเรื่องอะไรมา ท่าทางคิดหนัก เอาไว้เดี๋ยวค่อยๆเลียบๆเคียงๆถามก็แล้วกัน...

“งั้นเอางี๊ นายนอนพักไปก่อนแล้วกัน ยังไม่ถึงเวลารถมารับ เดี๋ยวยังไงชั้นให้เสี่ยวจือ หรือแฟนนี่ขึ้นมาตาม ว่าแต่นายหิวหรือยัง ไปกินข้าวด้วยกันก่อนมั้ย หรือจะให้สั่งขึ้นมาให้ที่ห้อง” เสี้ยวเทียนก็เป็นอย่างนี้ ถึงคนนอกจะมองว่าเค้าเย็นชาหรือเข้าถึงยากเพียงใด แต่กับเพื่อนหรือคนรอบข้างของตัวเองแล้ว เค้ามักจะคอยดูแลเอาใจใส่ทุกคนอยู่เสมอๆ จนบางครั้งก็ถูกล้ออยู่บ่อยๆว่าชอบทำตัวเป็นแม่แก่ขี้บ่น แต่เค้าก็ไม่เดือนร้อน เพราะการได้ดูแลคนที่เค้าแคร์มันก็เป็นความสุขของเค้าอย่างหนึ่งเช่นกัน

“ไม่เป็นไร ชั้นยังไม่หิว นายลงไปเถอะไม่ต้องเป็นห่วง รถมาแล้วให้ใครมาตามแล้วกัน” เจอรี่บอกเรียบๆ

“อ้อ เดี๋ยว…เสี้ยวเทียน” เจอรี่ ร้องเรียก ร่างหนาที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องชะงัก หันกลับมา พร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ขอบใจนะ” เจอรี่บอกเบาๆ เสี้ยวเทียนได้ยินดังนั้น ก็ยกมือบอกเป็นเชิงว่า ...ไม่เป็นไร พักผ่อนเถอะ... ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันหลังเดินออกจากห้องไป


เมื่อประตูห้องปิดลง ใบหน้าเรียวๆที่เจ้าตัวพยายามปั้นให้สดใสเมื่อครู่เพื่อไม่ให้เพื่อนต้องเป็นห่วงมากนัก ก็กลับมาดูเคร่งเครียดเหมือนเดิม คิ้วเรียวขมวดกันเป็นโบว์ นัยน์ตาคมแลดูว่างเปล่า เพราะเจ้าของกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

...ทำไมเราต้องคิดถึงเค้าขนาดนี้ กับแค่คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน...

...ถูกชะตา มันก็แค่คนที่ถูกชะตามากๆคนหนึ่งเท่านั้นแหละ...

...แต่คนนี้ไม่เหมือนคนอื่นนะ เราไม่เคยเอาแต่คิดถึงใครคนนึงมากขนาดนี้...

...อ๋อ รู้แล้ว เค้าเก่งไงอาเจิ้น นายชื่นชมคนมีฝีมือนี่นา มันก็แค่เจอคนที่มีลักษณะที่นายชอบหลายๆอย่างเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก...

...เราไม่ได้คิดอะไรกับเธอแน่นะ ก็ถ้าไม่ได้คิดอะไร แล้วทำไม ตอนนี้เราต้องมานั่งปวดหัวขนาดนี้ล่ะ...

...ก็น้องสาวไง นายไม่เคยมีน้องสาว นายอยากมีน้องสาวมาตลอดนี่อาเจิ้น แล้วน้องเค้าก็น่ารัก ตัวเล็กๆ ซนๆ ขี้อ้อน น่าเอ็นดู นายก็แค่รู้สึกเหงาที่ต้องจากน้องสาวที่เพิ่งเคยมีนั่นแหละ...

...แน่ใจเหรอว่านายคิดกับเธอแค่น้องสาว...

...ก็น้องสาวสิ จะคิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไง...

...แล้วทำไมเราต้องแคร์เธอ ทำไมต้องกลัวเธอโกรธ ทำไมต้องคิดถึงเธอขนาดนั้น ทำไม? ทำไม? ทำไม?...


ชายหนุ่มพยายามตั้งคำถามและหาคำตอบให้กับความรู้สึกตัวเองตอนนี้ แต่จนแล้วจนรอดเค้าก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ ไม่รู้ว่าเพราะมันไม่มีคำตอบ หรือเพราะเค้ากลัวที่จะตอบกันแน่ เจอรี่คิดวนไปวนมาอยู่อย่างนี้ จนในที่สุดก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลีย เพราะเมื่อคืนเค้าก็แทบไม่ได้นอน มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่ได้ยินเสียงคนเคาะประตู พร้อมด้วยเสียงเรียกของแฟนนี่

“อาเจิ้นๆ รถมาแล้วนะ”

“อาเจิ้นๆ ตื่นหรือยัง” แฟนนี่เรียกดังขึ้น เธอกำลังตัดสินใจว่าจะโทรเข้าไปปลุกดีมั้ย ก็พอดีได้ยินเสียงตอบรับจากด้านในห้องซะก่อน

“ครับ ตื่นแล้วครับ รอเดี๋ยวนะแฟนนี่” อึดใจต่อมาประตูห้องก็เปิดออก พร้อมด้วยร่างสูงที่อยู่ในสภาพเรียบร้อยพร้อมเดินทาง

“กระเป๋าเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวจะได้ให้คนมายก” แฟนนี่ถาม พลางมองลอดไหล่สูงเข้าไปในห้อง

“เรียบร้อยแล้วฮะ วางอยู่ปลายเตียงนะ ทั้งของผม ของเสี้ยวเทียนเลย”

“อืม งั้นเราไปกันเถอะ เสี่ยวจือ กับเสี้ยวเทียนไปรอที่รถแล้วมั้งป่านนี้” แฟนนี่บอกก่อนจะเดินนำไปที่ลิฟท์


เมื่อทั้งคู่มาถึงรถก็พบว่า เสี่ยวจือ และเสี้ยวเทียนมารออยู่ก่อนแล้วจริงๆ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จึงเริ่มออกเดินทางไปยังสนามบิน

ระหว่างทางเจอรี่ยังคงนั่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่เหมือนเดิม จนทั้งแฟนนี่และเสี่ยวจือเริ่มเป็นห่วง พอจะอ้าปากถาม ก็ได้สัญญาณห้ามจากเสี้ยวเทียน เป็นเชิงว่า ...ปล่อยให้มันคิดอะไรเงียบๆไปดีกว่า อย่าเพิ่งไปรบกวนมันเลย...

พอใกล้ถึงแอร์พอร์ต เสี้ยวเทียนก็สังเกตเห็นว่า เจอรี่หยิบมือถือขึ้นมาทำท่าเหมือนจะโทรหาใคร แต่แล้วก็เปลี่ยนใจลดมือถือลง อีกซักพักก็ทำท่าจะกดหมายเลขใหม่ แต่แล้วก็เอาลงอีก ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จนเค้าอดสงสัยไม่ได้

“อาเจิ้น นายจะโทรหาใครเหรอ” เสี้ยวเทียนถามเสียงไม่เบานัก จนเจอรี่ที่กำลังจมอยู่ในพะวังถึงกับสะดุ้ง

“ฮะ นายว่าอะไรนะ”

“ชั้นถามว่า นายจะโทรหาใคร เห็นจดๆจ้องๆกับโทรศัพท์อยู่นานแล้ว” เสี้ยวเทียนถามซ้ำอย่างขำๆ

...วันนี้มันเป็นอะไรของมัน ท่าทางแปลกๆ ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้มาก่อน...

“เอ่อ...” เจอรี่อ้ำๆอึ้งๆ จนเสี้ยวเทียนต้องตัดบท

“ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ชั้นก็แค่สงสัย ถามไปอย่างนั้นแหละ” เสี้ยวเทียนบอกอย่างไม่ติดใจอะไร

“เปล่า” เจอรี่รีบปฏิเสธ เค้าไม่เคยมีความลับกับเพื่อนอยู่แล้ว

“แค่ว่าจะโทรหาพาสน่ะ แต่เห็นเมื่อวานบอกไว้ว่ามีงาน กลัวจะโทรไปกวน ไม่รู้ว่าวันนี้จะมาส่งพวกเราหรือเปล่า”

“อ๋อ...โทรหาไอ้พาสเหรอ เมื่อตอนก่อนออกจากโรงแรมชั้นเพิ่งคุยกับมัน เห็นบอกว่า งานเพิ่งเสร็จ ไม่รู้จะมาทันมั้ย” เสี้ยวเทียนบอก เพราะก่อนหน้านี้ พาสนาเพิ่งโทรมาหาเค้า เพื่อจะบอกว่าเพิ่งเสร็จงานอาจมาส่งพวกเค้าไม่ทัน เลยโทรมาอวยพรให้พวกเค้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ เธอบอกว่าโทรเข้าเครื่องเจอรี่แล้วแต่ไม่ติด ฝากเค้าบอกเจอรี่ให้ด้วย แต่เค้าก็ลืม จนเจอรี่พูดขึ้นเมื่อกี๊เลยนึกได้

“เหรอ” เจอรี่รับคำหงอยๆ แม้จะแอบหวังไว้ว่าหญิงสาวจะมาทัน แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ว่า ทำไมพาสนาไม่โทรหาเค้า แต่กลับโทรหาเสี้ยวเทียน หารู้ไม่ว่าเธอพยายามโทรแล้ว แต่ติดต่อเค้าไม่ได้ต่างหาก


หลังจากนั้นทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งมาถึงสนามบิน แม้ว่าคราวนี้การมาเมืองไทยของเจอรี่และเสี้ยวเทียน จะเป็นความลับ แต่ทางทีมงานก็ต้องการป้องกันไว้ก่อน เผื่อมีข่าวรั่วไปถึงแฟนเพลง แล้วจะเกิดความวุ่นวายขึ้นที่สนามบิน ดังนั้นเมื่อมาถึงทั้งคู่จึงถูกนำไปยังห้องวีไอพีโดยทางพิเศษ เพื่อรอเวลาที่จะเช็คอินขึ้นเครื่อง ระหว่างทางตั้งแต่ลงจากรถจนเข้ามานั่งในห้องวีไอพี ชายหนุ่มร่างสูงมีท่าทางอยู่ไม่สุขตลอดเวลา เค้าเอาแต่หันซ้ายหันขวา เหมือนกำลังมองหาใครซักคนอยู่ ซึ่งทั้งเสี้ยวเทียน เสี่ยวจือ และแฟนนี่ต่างก็รู้ดีว่าใครที่คนที่เจอรี่มองหาอยู่ และทุกคนต่างก็หวังว่าชายหนุ่มคงไม่ต้องรอเก้อ

“อาเจิ้น นายไม่เมื่อยคอบ้างเหรอ พักบ้างก็ได้ เดี๋ยวพาสมันก็มาน่า” และก็เป็นเสี้ยวเทียนเหมือนเดิม ที่อดไม่ได้ ต้องเบรคเพื่อนซะบ้าง

“แต่มันใกล้ได้เวลาแล้วนะ” เจอรี่หันมาบ่นกับเพื่อนอย่างกังวล ถึงจะทำใจไว้แล้วก็เถอะ เพราะเมื่อวานหญิงสาวก็บอกไว้แล้วว่าอาจจะมาไม่ทัน แต่ก็อดหวังไม่ได้

“เอาน่า นายนั่งเฉยๆเหอะ ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเค้าจ้องนายกันใหญ่แล้ว” ตอนนี้สายตาเกือบทุกคู่ให้ห้องรับรอง จ้องมาที่เค้าสองคนเป็นตาเดียว ซึ่งเสี้ยวเทียนเชื่อว่ามันไม่ใช่เพราะเค้าหรอก แต่เป็นเพราะไอ้ท่าทางหลุกหลิกๆของเพื่อนเค้านั่นแหละ

เพราะคำพูดของเสี้ยวเทียนทำให้เจอรี่ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่หันซ้ายหันขวา เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า คราวนี้การมาของเค้าทั้งสองคนเป็นความลับ และต่างก็สวมหมวก ใส่แว่นตาดำ แต่ด้วยท่าทางและรูปร่างอันโดดเด่นของทั้งคู่ จึงช่วยไม่ได้ที่จะทำให้คนที่พบเห็นต้องมองตามอย่างสนใจ หลายคนอาจจะรู้สึกคุ้นๆ แต่ก็คงยังไม่แน่ใจ เพราะฉะนั้นตอนนี้การทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจจึงน่าจะเป็นการดีที่สุด

ระหว่างนั้น อยู่ดีๆเสี่ยวจือก็เดินออกไปจากห้องหลังจากได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาภายในเวลาไม่กี่นาที พร้อมกับใครคนหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลัง เสี้ยวเทียนหันไปมองเสี่ยวจือที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยความสงสัย เพราะสีหน้าเสี่ยวจือดูยิ้มๆแบบมีเลศนัยยังไงอยู่ แล้วเค้าก็แทบจะร้องอ๋อ เมื่อเห็นคนที่เดินตามมาด้านหลังเสี่ยวจือ ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นทักทายเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา พลางมืออีกข้างหนึ่งก็เอื้อมไปสะกิดเจอรี่ที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง ทำเอาเจอรี่ต้องเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนอย่างสงสัย ...มันสะกิดอะไรวะ... ก่อนจะมองตามสายตาเพื่อนไปทางที่เสี่ยวจือเพิ่งเดินเข้ามา แล้วก็ได้คำตอบเมื่อเสี่ยวจือเบี่ยงให้เห็นคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ร่างเล็กๆที่เค้าคอยมองหาตั้งแต่มาถึง คนที่เค้ายกโทรศัพท์ขึ้นมาหลายรอบเพื่อจะกดโทรหาเธอ คนที่ทำให้เค้าต้องตั้งคำถามกับตัวเองมาทั้งคืน คนที่เค้าพยายามบอกตัวเองมาตลอดว่าเธอเป็นเหมือนน้องสาวที่เค้าไม่เคยมี

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“พาส” เจอรี่หลุดปากเรียกออกมาอย่างดีใจ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ สาวเท้าก้าวเร็วๆไปยังหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาในห้อง ยิ้มปากแทบจะฉีกไปถึงใบหู เผยให้เห็นรักยิ้มที่ข้างแก้ม ใบหน้าของเค้าตอนนี้ต่างจากเมื่อกี๊ราวกับคนละคน

“เกอเกอ หวัดดีฮะ โทษที พาสนึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว หวัดดีเสี้ยวเทียน” พาสนาเอ่ยปากทักชายหนุ่มที่ก้าวมาถึงตัวเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปทักเสี้ยวเทียนที่เดินตามเจอรี่มาทางด้านหลัง

“พี่ก็นึกว่าพาสจะมาไม่ทันซะแล้ว” เจอรี่บอกอย่างดีใจ

“ใช่ หมอนี่หันซ้ายหันขวาซะจนคอแทบเคล็ด” เสี้ยวเทียนบอก แล้วก็โดนเจอรี่แอบศอกเข้าให้ที่ท้องซะหนึ่งทีโทษฐานเอาเพื่อนมาเผา

“เวอร์ไปเสี้ยวเทียน อะไรจะขนาดนั้น ไม่ต้องมาอำ ถึงชั้นมาไม่ทันยังไงเราก็ลากันแล้วนี่นา อีกอย่างพวกนายกลับไปแล้วเราก็ยังติดต่อกันได้นี่นา” พาสนาตอบขำๆ เธอนึกว่าเสี้ยวเทียนพูดเล่น ก็กับแค่เธอไม่ได้มาส่ง มันไม่เห็นจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรซักหน่อย เมื่อได้ยินดังนั้นเจอรี่ก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ ส่วนเสี้ยวเทียนก็ได้แต่มองเพื่อนอย่างสงสารแกมขำ

หลังจากนั้นทั้งสามก็คุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่แฟนนี่จะมาตามเพราะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว


“เดินทางปลอดภัยนะฮะ เกอเกอ นายด้วยนะเสี้ยวเทียน” พาสนาบอกก่อนที่ทั้งหมดจะเดินออกไปจากห้อง

“ขอบใจ ไว้ว่างๆชั้นโทรหานะ ไว้เดี๋ยวว่างจะมาให้พาไปเที่ยวทะเลอีก” เสี้ยวเทียนบอกยิ้มๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เค้าไม่ถูกชะตาด้วยตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ตอนนี้จะกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ และหลังจากที่ตัดอคติต่างๆออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็พบว่า ทั้งเค้าและพาสนา ต่างมีรสนิยมและความคิดอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันมากที่เดียว

“บ๊ายบายนะพาส ดูแลตัวเองดีๆล่ะ” เจอรี่สั่งอย่างเป็นห่วง

“เกอเกอก็ดูแลตัวเองดีๆนะฮะ ไม่เอาแล้วนะ แบบซ้อมจนไม่ดูตัวเองน่ะ” พาสนาย้อนกลับ เธออดที่จะเป็นห่วงเค้าไม่ได้ แม้ว่าการเอาจริงเอาจังกับการทำงานจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ควรจะไม่ลืมลิมิตของตัวเองด้วย

“จ้า รับรองจะดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ให้พาสต้องเป็นห่วง” เจอรี่บอกยิ้มๆ

“เพื่อตัวเกอเกอเองหรอกฮะ เดี๋ยวเกิดไม่สบายไปแล้วจะลำบาก” หญิงสาวรีบแย้งเสียงเข้ม

“จ้ะ แล้วไว้พี่จะโทรหานะ” เจอรี่บอกพลางเอื้อมมือไปลูบผมหญิงสาวเป็นการลา

“เกอเกออ่ะ เล่นหัวพาสอีกแล้วนะ ไปเถอะฮะได้เวลาแล้ว”

“ฮ่าๆๆ เล่นนิดเล่นหน่อยทำหวง พี่ไปแล้วนะ” ประโยคท้ายเจอรี่พูดด้วยเสียงหงอยๆ ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วนักก็ไม่รู้

“คร๊าบบบ ไปได้แล้วคร๊าบบบ แฟนนี่กับเสี่ยวจือยืนรอนานแล้วนะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกนะ” เจอรี่พูดเบาๆอย่างจะเปรยกับตัวเองมากกว่า

“ต้องได้เจอสิฮะ อย่างน้อยพาสว่ายังไงตอนเปิดตัวอัลบั้มเราคงได้เจอกันแหละฮะ ถ้าไม่มีใครติดงานอะไรนะ”

“เออ จริงสิ พี่ลืมไป พาสดูแลตัวเองดีๆนะ” ก่อนจะไปเจอรี่ยังไม่วายย้ำกับหญิงสาวอีกรอบ

“ฮะ บ๊ายบายฮะ เกอเกอ” หญิงสาวพูดเป็นการตัดบท เพราะเห็นว่าใกล้เวลาเข้ามามากแล้ว ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินไปสบทบกับเสี่ยวจือและแฟนนี่ที่ยืนรออยู่ตรงประตู

“โชคดีนะฮะแฟนนี่ เสี่ยวจือ ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันนะฮะ” พาสนาบอกลาทั้งคู่

“ค่ะ ทางเราก็ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับคุณค่ะ” แฟนนี่บอกอย่างอัธยาศัยดี

“ใช่ครับ หวังว่าเราคงได้มีโอกาสร่วมงานกันอีกนะครับ” เสี่ยวจือเสริม เค้าพอใจมากที่การทำงานคราวนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีเหตุวุ่นวายอะไรเกิดขึ้น และทางทีมงานไทยก็ให้ความร่วมมือกับเรื่องต่างๆเป็นอย่างดี

“ฮะ” พาสนายิ้มรับก่อนจะจับมือทั้งคู่เป็นเชิงอำลา ก่อนที่ทีมงานจากไต้หวันทั้งหมดจะเดินทางไปขึ้นเครื่อง


บนเครื่องบินเจอรี่นั่งติดกับเสี่ยวเทียน ส่วนเสี่ยวจือและแฟนนี่ก็นั่งด้วยกันทางด้านหลัง ตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาเจอรี่ที่นั่งริมหน้าต่างก็เอาแต่มองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย เวลาผ่านไปซักพัก เสี้ยวเทียนก็อดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถามขึ้น

“อาเจิ้น ถามจริง วันนี้นายเป็นอะไร มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” จริงๆเค้าก็คิดว่าเค้ารู้นะว่าเพื่อนเค้าคิดเรื่องใคร แต่ก็ยังไม่เห็นประเด็นว่าทำไมมันจะต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น

“เปล่า ก็แค่คิดอะไรนิดหน่อย” เจอรี่หันมาตอบเบาๆ แต่ก็ไม่ยอมบอกอะไรมากกว่านั้น

“มีอะไรให้ชั้นช่วยมั้ย”

“อืม ไม่รู้สิ ชั้นแค่สับสนกับความรู้สึกตัวเองนิดหน่อย”

“เรื่องพาสนาใช่มั้ย” เสี้ยวเทียนถามออกไปตรงๆ ทำเอาเจอรี่หันมามองหน้าเค้าอย่างตกใจ

“ทำไมนายรู้”

“ก็ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ท่าทางนายชัดขนาดนั้น” เสี้ยวเทียนบอกง่ายๆ ใครๆก็ดูออกทั้งนั้นแหละ ว่าหมอนี่กำลังคิดถึงใคร

“เหรอ แล้วท่าทางชั้นมันเป็นยังไง” เจอรี่ถามกลับ เค้าไม่รู้ตัวเลยว่า เค้าแสดงอาการอะไรต่างๆออกไปมากขนาดนั้น

“ก็ท่าทางผิดปกติไง ร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นนายสนใจหรือเอาใจใส่ใครมากขนาดนี้ ถามจริงนายคิดยังไงกับเค้าวะ”

“ไม่รู้สิ น้องสาวมั้ง แบบว่าเค้าดูเด็กๆน่ารักดี แล้วเค้าก็เป็นนักดนตรีที่เก่งมากๆเลยนะ ไอเดียแต่ละอย่างเจ๋งๆทั้งนั้น นายก็รู้เสี้ยวเทียน ชั้นชอบคนเก่ง” เจอรี่ตอบเสี้ยวเทียน อย่างที่เค้าพยายามตอบตนเองมาตลอด

“แน่ใจนะว่าน้องสาว ชั้นว่ามันน่าจะมากกว่านั้นนะ” เสี้ยวเทียนมองอย่างจับผิด ก็ไอ้ท่าทางที่เค้าเห็นมันไม่ชวนให้คิดว่าอาเจิ้นมันคิดกับเธอแค่น้องสาวเลยนี่นา

“เอ่อ...” เจอรี่อ้ำๆอึ้งๆ เพราะคำถามนี้ก็เป็นคำถามที่เค้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน

“นายลองถามตัวเองดีๆ ลองทบทวนความรู้สึกให้ดีก่อน ถ้านายมั่นใจว่าคิดกับเค้าแค่น้องสาว งั้นนายก็คงสามารถอธิบายกับตัวเองได้นะ ว่าทำไมนายถึงรู้สึกอย่างที่รู้สึกตอนนี้” เสี้ยวเทียนบอกอย่างรู้ใจเพื่อน เจอรี่นิ่งไปซักพักหนึ่งเพื่อทบทวนความรู้สึก จริงๆการได้มีคนปรึกษามันดีกว่าการเถียงกับตัวเองอยู่คนเดียวมากจริงๆ จนในที่สุดเค้าก็เอ่ยปากตอบคำถามของเสี้ยวเทียน

“ไม่รู้สิ จะว่าแค่น้องสาวก็คงไม่ใช่ เอาเป็นว่า ชอบ แล้วกัน ชั้นยังไม่กล้าพอที่จะใช้คำว่ารัก เวลามันน้อยมาก จนชั้นไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่ ชั้นรู้สึกถูกชะตากับเค้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า ยิ่งได้เห็นความสามารถของเค้าแล้วก็ยิ่งทึ่ง ชั้นคุยกับเค้าได้อย่างสนิทใจ อย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครแบบนี้มาก่อน นายก็รู้เสี้ยวเทียน ว่าชั้นสนิทกับคนยากแค่ไหน” มาถึงตอนนี้เสี้ยวเทียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อาการอย่างนี้ ทั้งเค้าและเจอรี่เป็นเหมือนกัน ไม่เหมือนแวนเนสและไจ่ไจ๋ สองคนนั้นเข้ากับคนง่ายกว่ามาก

“แต่ชั้นรู้สึกสนิทใจกับเค้ามากนะเสี้ยวเทียน มันเหมือนเจอญาติหรือเพื่อนสนิทที่คบกันมาเป็นสิบๆปี ไม่ใช่คนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน ตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ที่นี่ ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้เวลาในการคิดถึงผู้หญิงคนนี้ไปมากเท่าไหร่ รู้แต่ว่ามาก แล้วพอจะต้องกลับ...มันใจหายน่ะ มันรู้สึกเหมือนยังไม่อยากไป หรือแม้แต่รู้สึกคิดถึง ทั้งๆที่ยังไม่ได้เดินทาง ความรู้สึกนี้มันคงไม่ใช่แค่น้องสาวมั้ง แต่ตอนนี้ชั้นยังพอใจที่จะเรียกมันแค่ว่า ‘ความชอบ’ อยู่ หรือนายว่าไง” เจอรี่หันมาถามความเห็นจากเพื่อน แล้วก็พอสายตาคมๆของเสี้ยวเทียนที่จ้องมาที่เค้าอยู่ก่อนแล้ว

“นายก็ตอบตัวเองได้แล้วนี่อาเจิ้น แล้วนายจะมาถามชั้นทำไม”

“แต่ชั้นไม่แน่ใจนะเสี้ยวเทียน ความรู้สึกมันเกิดขึ้นไวมากจนชั้นไม่อยากเชื่อ ชั้นไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ ชั้นเชื่อว่ามันต้องใช้เวลามากกว่านั้นกับการที่เราจะรักใครซักคน แล้วอีกอย่างท่าทางเค้าก็ห้าวซะขนาดนั้น บอกตรงๆชั้นไม่แน่ใจเลยว่ะ ว่าเค้าจะคิดแบบเดียวกับชั้นหรือเปล่า” สุดท้ายเจอรี่ก็พูดออกมา นี่เองคือเหตุผลที่เค้าไม่กล้าตอบตัวเองว่าเค้าคิดยังไงกับพาสนา เพราะลักษณะท่าทางที่หญิงสาวแสดงออกตลอดมา บอกตรงๆก็คือ เค้ายังไม่อยากผิดหวัง และไม่อยากทำลายความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน ...ความเป็นพี่น้อง... เค้ายังอยากรักษาความสัมพันธ์ในจุดนั้นไว้อยู่

“แล้วชั้นจะตอบนายได้มั้ย คนที่จะตอบนายได้นู่น คนที่อยู่ที่เมืองไทยนู่น”

“ก็ชั้นเห็นว่านายสองคนสนิทกัน แถมความคิดอะไรหลายๆอย่างก็คล้ายกัน นายน่าจะบอกชั้นได้”

“สนิทก็ส่วนสนิทสิวะ ชั้นกับไอ้พาสคนละคนกันนะเว้ย ถึงจะไม่ปฏิเสธว่ามีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกันก็เหอะ”

“งั้นไม่ต้องตอบแทนพาส แต่เอาความรู้สึกของนายเอง นายว่าเค้าคิดกับชั้นยังไงวะ” เจอรี่ถามอย่างจะขอกำลังใจ เค้าไม่มั่นใจในตัวเองเลยจริงๆ

“ตอบยากว่ะ แต่ชั้นว่าถึงมันจะดูห้าวจะดูแมน แต่มันก็ยังมีความอ่อนหวานอยู่นะ โดยเฉพาะกับนาย แล้วอีกอย่างดูมันเป็นห่วงนายมากด้วย แต่ถ้านายคิดจริงจังก็คงต้องเหนื่อยหน่อยล่ะ”

“เหรอ นายว่ามันยังพอมีหวังใช่มั้ย” เจอรี่ย้อนถาม สีหน้าดูดีขึ้นมาก

“ก็คงต้องพยายามดูแหละนะ ถามตัวเองให้แน่ใจก่อนแล้วกัน” เสี้ยวเทียนบอกอย่างเป็นห่วงเพื่อน เค้าไม่อยากให้เจอรี่ทำอะไรไปแล้วต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

“ชั้นแน่ใจ” เจอรี่ตอบกลับมาทันควัน เมื่อทะเลาะกับตัวเองเสร็จ เค้าก็กล้าพอที่จะมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเองแล้ว คงต้องขอบคุณเสี้ยวเทียน ที่ช่วยให้เค้าคิดได้

“งั้นชั้นเอาใจช่วยนายแล้วกัน” เสี้ยวเทียนเอื้อมมือมาตบบ่าอย่างให้กำลังใจ

“ขอบใจนะเสี้ยวเทียน” เจอรี่ยิ้มให้อย่างขอบคุณ ตอนนี้เค้าสบายใจขึ้นมาก

“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง” เสี้ยวเทียนบอกอย่างไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เค้ายินดีช่วยเพื่อนอยู่แล้ว และเจอรี่ก็ถือเป็นเพื่อนที่เค้าสนิทและรักมากคนหนึ่งเลยทีเดียว

“ฮ้าว ชั้นง่วงแล้วล่ะ ของีบก่อนนะ ถึงแล้วปลุกด้วย” พอสบายใจ ร่างกายที่ฝืนมานานก็เริ่มประท้วง

“ฮ่าๆๆ เมื่อคืนคิดมากจนนอนไม่หลับล่ะสิท่า” เสี้ยวเทียนล้ออย่างขำๆ

“ก็ใช่อ่ะสิ เพิ่งได้หลับเมื่อตอนก่อนนะออกจากโรงแรมไปแป๊บเดียวเอง” เจอรี่พูดพลางหาวหวอดๆ

“เออ นอนไปเถอะ ชั้นก็จะงีบเหมือนกัน” เสี้ยวเทียนบอก

จากนั้นทั้งคู่ก็ต่างคนต่างหลับจนเครื่องบินไปถึงที่หมาย ประเทศไต้หวัน อันเป็นประเทศบ้านเกิดของเค้าทั้งคู่ ในขณะที่ห่างออกไป ณ ประเทศไทย หญิงสาวอีกคนก็กลับไปทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ พวกเค้าจะได้พบกันอีก...



Create Date : 13 ตุลาคม 2549
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:54:19 น. 0 comments
Counter : 233 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

+mosminly+
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หลังไมค์ถึงมอสซี่เชิญกดเลยค่ะ
Friends' blogs
[Add +mosminly+'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.