Group Blog
 
All blogs
 
ตอนที่ 14

14.


วันเวลาผ่านไป ทั้งเจอรี่และพาสนาต่างก็ต้องทำงานในหน้าที่ของตัวเอง อาจจะมีบ้างบางเวลาที่จะเผลอคิดถึงคนที่อยู่ห่างไกล ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แม้ว่าจะสนิทแนบแน่นขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงกับที่จะพัฒนากลายเป็นคนรู้ใจ โดยเฉพาะทางฝ่ายของพาสนา ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีท่าทีจะแสดงให้เห็นว่ารู้สึกกับเจอรี่มากไปกว่าเพื่อนและพี่ชายที่สนิทคนหนึ่งเท่านั้น ตลอดเวลาที่ไม่เจอกัน เจอรี่มักจะเป็นฝ่ายติดต่อพาสนาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ หรือ E-mail เค้าเฝ้าแต่นับวันรอให้ถึงวันโปรโมตอัลบั้มที่ไต้หวัน เพราะพาสนาในฐานะโปรดิวเซอร์จะต้องมาร่วมงานแถลงข่าวด้วยอย่างแน่นอน

ผ่านไปเกือบ 3 เดือนในที่สุดก็ถึงกำหนดการแถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้ม คราวนี้งานจัดขึ้นที่ไต้หวัน ศิลปินทุกคนที่มีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้ต่างเดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง รวมถึงโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มด้วย โดยงเดชาที่หายเจ็บแล้วได้เป็นตัวแทนทีมงานมาร่วมงาน ตอนแรกที่ได้ยินข่าวนี้ เจอรี่ก็ออกจะผิดหวังหน่อยๆ ถึงเค้าจะดีใจที่เดชาหายดีก็เถอะ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าพาสนาจะไม่ได้เดินทางมาร่วมงานแถลงข่าวด้วยน่ะสิ ถึงอย่างนั้นเจอรี่ก็ไม่ได้แสดงอาการทักท้วงอะไรออกไป ร้อนถึงเสี้ยวเทียนที่ทนเห็นท่าทางซังกะตายของเพื่อนไม่ไหว เกือบจะยื่นมือเข้าไปจัดการเรื่องนี้เองซะแล้ว แต่บังเอิญเค้าได้เข้าไปคุยเรื่องงานที่โซนี่ แล้วก็ได้รับข่าวดีซะก่อน เมื่อประชุมเสร็จเลยรีบต่อสายถึงเพื่อนรักทันที

“เหวย ว่าไงเสี้ยวเทียน มีอะไร” เจอรี่รับสายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ เค้าเป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว จนทีมงานต่างพากันเป็นห่วงว่าชายหนุ่มมีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า

“อะไรวะ ถ้าไม่มีธุระ ชั้นจะโทรหานายไม่ได้หรือไง” เสี้ยวเทียนแกล้งทำเสียงงอนๆ

“เปล่า โทรได้ ตกลงนายมีอะไร” เจอรี่ในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำกับใครทั้งนั้น เนื่องจากกำลังอยู่ในอารมณ์เซ็งแบบสุดๆ

...ตอนแรกนึกว่าจะได้เจอกันวันแถลงข่าว แล้วถ้าเป็นอย่างนี้เราจะมีโอกาสได้ไปเมืองไทยอีกเมื่อไหร่ล่ะเนี่ย เพราะยังไงเธอก็คงไม่มาหาเค้าที่ไต้หวันแน่ๆ...

“ก็ไม่มีอะไร แค่โทรมาคุยเล่น นายว่างอยู่หรือเปล่า” เสี้ยวเทียนตอบกลั้วหัวเราะ
“ก็ว่าง ดูท่าทางนายอารมณ์ดีนะ นี่อยู่ไหนเนี่ย” เจอรี่เริ่มสงสัย

...ทำไมวันนี้เพื่อนเค้าดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ สงสัยไปเจอเรื่องอะไรดีๆมา...

“อยู่โซนี่น่ะ พอดีชั้นกะเสี่ยวจือเข้ามาคุยเรื่องงานแถลงข่าวเพิ่มเติม”

“อืม” เจอรี่พึมพำรับรู้ เพราะเค้าก็เข้าไปคุยเรื่องนี้มาแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน จนมานั่งเซ็งอยู่ทุกวันนี้

“นายไม่อยากรู้เหรอ ว่าชั้นไปคุยมาว่ายังไงมั่ง” เสี้ยวเทียนถามแย็บๆ

“มันก็คงเหมือนกันกับที่ชั้นเค้าไปคุยมานั่นแหละ” เจอรี่ตอบกลับอย่างไม่สนใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่เค้าจะไม่มีอารมณ์กระตือรือร้นกับเรื่องงานแบบนี้

“วันนี้ชั้นถามเรื่องทีมงานเมืองไทยที่จะมาร่วมงานแถลงข่าวด้วยนะ” เสี้ยวเทียนหยอดต่อ ทำไมเค้าจะไม่รู้ล่ะว่าเพื่อนเค้ากำลังเซ็ง ก็ในเมื่อหลังจากที่มันไปประชุมมามันก็มาเล่าให้เค้าฟังหมดแล้ว ถึงจะไม่บอกออกมาตรงๆว่าผิดหวังที่พาสนาไม่ได้มาร่วมงานก็เถอะ แต่เค้าก็เป็นเพื่อนกันมานาน มีหรือที่จะดูไม่ออก

“แล้วไง” น้ำเสียงเจอรี่ดูสนใจขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินคำว่าทีมงานจากเมืองไทย

“ก็ไม่แล้วไง แค่โทรมาบอกเผื่อว่านายจะอยากรู้”

“อยากรู้ว่าอะไร” เจอรี่ถามกลับ

“ก็ว่าใครจะมางานแถลงข่าวมั่งไง”

“จะอยากรู้ทำไม ชั้นก็เพิ่งไปประชุมมา ก็เล่าให้นายฟังไปแล้วนี่” เจอรี่ตอบน้ำเสียงงงๆ ยิ่งพูดเรื่องนี้เค้ายิ่งเซ็ง เมื่อคิดว่าคงอีกนานกว่าจะได้มีโอกาสเจอคนที่เค้าคิดถึง...เฮ้ออออ

“แต่มีข่าวอัพเดตนะโว้ย” เสี้ยวเทียนยั่วต่อ

“อัพเดตอะไรวะ”

“ก็มีทีมงานจากไทยมาเพิ่มเติมไง” เสี้ยวเทียนยังคงกั๊กไม่ยอมเล่าจนหมด

“เหรอ ใครอ่ะ” น้ำเสียงเจอรี่ตื่นเต้น มีความหวังขึ้นมาทันที

“ก็คนที่นายอยากให้มาไง” เสี้ยวเทียนเฉลย เป็นที่รู้กันว่า...คนที่นายอยากให้มา...คือใคร หุหุหุ

“จริงเหรอ” ทั้งน้ำเสียงและหน้าตาเจอรี่ในตอนนี้ดูดีขึ้นทันที จากที่ตอนรับโทรศัพท์ตอนแรกทำหน้าซักกะตาย แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้ากระดี๊กระด๊าสุดฤทธิ์ ชนิดที่เรียกได้ว่า ถ้าเสี้ยวเทียนเห็นเค้าคงหัวเราะก๊ากกกกก

“ไม่จริงมั้ง” เสี้ยวเทียนยวนกลับ

...เอ๊ะ ไอ้หมอนี่ ก็บอกอยู่ ยังมาถามว่าจริงมั้ย เดี๋ยวก็ไปยุไอ้พาสให้มันไม่ต้องมาซะหรอก... เสี้ยวเทียนคิดอย่างหมั่นไส้

“อ้าว เอาไงแน่” เจอรี่เริ่มหงุดหงิด คนยิ่งซีเรียสๆอยู่ ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดันเอาแต่ทำเป็นเล่นอยู่ได้

“โธ่เอ๊ย ล้อเล่นแค่นี้เอง ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยวะเพื่อน” เสี้ยวเทียนตอบกลับมาเสียงกลั้วหัวเราะ

...ไม่เคยเห็นอาเจิ้นมันจะยั่วง่ายขนาดนี้มาก่อนเลย สนุกจริงจริ๊งงงง ฮ่าๆๆๆ...

“แต่ชั้นไม่ขำด้วยนะโว้ย ตกลงว่าไงกันแน่” เจอรี่ถามย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง เค้าไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นกับเพื่อนซักเท่าไหร่ตอนนี้

“ก็ไม่ว่าไง จะโทรมาส่งข่าวว่า สรุปแล้วน้องร่วมโลกนายจะมางานนี้ด้วย” เมื่อเห็นว่าแกล้งเพื่อนพอหอมปากหอมคอแล้ว เสี้ยวเทียนเลยเริ่มพูดอะไรเป็นการเป็นงานบ้าง แต่ก็อดแขวะถึงคู่กัดที่อยู่เมืองไทยไม่ได้

“จริงสิ แล้วไหนตอนนั้นว่าไม่มา” เจอรี่ยังไม่หายข้องใจ ก็ตอนนั้นเค้าได้ยินมากับหูว่าจะเป็นเตโชที่มาแทน

“ไม่รู้ดิ เนี่ยก็เพิ่งรู้จากที่ประชุมเมื่อกี๊เหมือนกัน สงสาร...ไม่อยากเห็นคนทำท่าซังกะตายเลยโทรมาส่งข่าวซักหน่อย” เสี้ยวเทียนอธิบายแกมเหน็บ

“ไหน ใครทำท่าซังกะตาย ไม่มีซะหน่อย” เจอรี่ทำปากแข็ง

“ใครก็ไม่รู้ว่ะ พอรู้ว่าใครบางคนจะไม่มางานแถลงข่าว ก็ทำหน้าเบื่อโลก หงุดหงิด ใครก็เข้าหน้าไม่ติด อย่านึกว่าไม่ได้ออกงานด้วยกันแล้วชั้นจะตกข่าวนะเว้ย ฮ่าๆๆ” เสี้ยวเทียนได้ทีรีบอวดใหญ่

...โธ่ เรื่องแบบนี้แทบไม่ต้องอาศัยสปายเรื่องก็มาถึงหูเค้าแบบสบายๆ รวมไปถึงหูของเพื่อนอีก 2 คนที่เหลือของ F4 ด้วย ก็ไอ้อาการผิดปกติของคุณเหยียนเฉิงซวี่ พี่ใหญ่แห่งF4 มันมีให้เห็นบ่อยๆซะเมื่อไหร่ล่ะ...

“ใครเหรอ ไหน นายพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย เอาล่ะๆ หมดธุระแล้วใช่มั้ย งั้นแค่นี้นะ” เจอรี่รีบตัดบทเมื่อเห็นว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัวมากขึ้นทุกทีๆ

“โห อะไรวะ แซวแค่นี้ทำเขิน จะรีบไปไหน ฮ่าๆๆ” เสี้ยวเทียนยังส่งเสียงแซวมาตามสายอย่างไม่หยุดหย่อน

“เออน่า แค่นี้นะ คุยนานแล้วเปลืองค่าโทรศัพท์”

“อะไรวะ ถึงจะเปลืองก็ชั้นเปลือง เกี่ยวไรกะนายด้วย เออๆๆ แค่นี้ก็แค่นี้ ขี้เกียจคุยแล้ว ไว้เจอกัน บ๊ายบาย”

“บ๊ายบายเสี้ยวเทียน ขอบคุณมาก” ก่อนจะวางหู เจอรี่ก็ไม่ลืมขอบคุณเพื่อนรักที่เอาข่าวดีมาบอก

“ไม่เป็นไร ก็แค่ตัวว่านายจะเฉาตายไปซะก่อน บาย” เสี้ยวเทียนไม่วายแซวอีกซักนิด ก่อนจะเป็นฝ่ายวางหูไปก่อน ทางฝ่ายเจอรี่ตอนนี้ก็กลับดูอารมณ์ดีผิดไปเป็นคนละคน จนแฟนนี่ที่เข้ามาตามไปทำงานต่ออดจะแปลกใจไม่ได้


ตั้งแต่เจอรี่รู้ข่าวว่าพาสนาจะบินมาร่วมงานแถลงข่าวด้วย เค้าก็ออกอาการตื่นเต้น พยายามเคลียร์คิวให้ว่างในช่วงนั้น เพื่อจะได้ไปรับหญิงสาวที่สนามบิน รวมถึงพาเธอไปเที่ยวยังที่ต่างๆตามที่ได้เคยสัญญาไว้ด้วย แต่โชคไม่เข้าข้าง ก่อนที่หญิงสาวจะเดินทางมาถึงแค่วันเดียว แฟนนี่ก็มาบอกว่า วันรุ่งขึ้นเค้ามีงานด่วนต้องไปถ่ายแบบซ่อมให้กับนิตยสารฉบับหนึ่งกระทันหัน ทำให้ไม่สามารถไปรับเธอที่สนามบินได้ ได้แต่ส่งเสี้ยวเทียนเป็นตัวแทนไป ซึ่งขานั้นก็อิดออดว่าทำไมจะต้องไปรับ โดยให้เหตุผลว่า

‘พาสมันก็ไม่ใช่เด็กๆ อีกอย่างทีมงานทางโซนี่เค้าก็ดูแลอยู่ มันไม่หลงหรอกน่า’

แต่จนถึงที่สุดเสี้ยวเทียนก็ต้องยอมไปรับหญิงสาวตามคำสั่งเพื่อนเค้าจนได้


“หวัดดีพาส” เสี้ยวเทียนเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน เมื่อหญิงสาวขึ้นมานั่งบนรถตู้ที่เค้านั่งรออยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะหันไปทักเตโชที่ก้าวขึ้นรถตามมา

“สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณเดชา”

“สวัสดีครับคุณเคน” เต้ทักกลับด้วยภาษาอังกฤษ ก่อนจะขยับไปนั่งกับทีมงานที่เบาะแถวหน้า ส่วนพาสนาก้าวมานั่งลงข้างๆเสี้ยวเทียน

“อ้าว หวัดดีเสี้ยวเทียน มาด้วยเหรอ” พาสนาทักอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อกี๊ก็เห็นแต่ทีมงานของโซนี่ ไต้หวัน ที่มารอรับ ไม่คิดว่าพอขึ้นรถจะมาเจอเสี้ยวเทียนนั่งรออยู่

“ถ้าไม่มา แล้วนี่แกพูดกับใครอยู่วะ เฮ้ย! พาส หรือว่า...แกถูกผีหลอก” ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าตาตื่น

“ไอ้บ้าเสี้ยวเทียน กวนไม่เลิกนะนาย ชั้นหมายถึงว่า เมื่อกี๊ไม่เห็นนาย นึกว่าไม่มาซะแล้ว”

“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นแค่นี้ทำโมโห...ชั้นรู้แล้วว่าอาเจิ้นมันติดนิสัยขี้หงุดหงิดมาจากใคร” ประโยคสุดท้ายเค้าพูดกับตัวเองเบาๆ ไม่กล้าให้คนที่เพิ่งก้าวขึ้นมานั่งข้างๆได้ยิน เพราะไม่อย่างนั้นอาจเป็นเรื่องได้

“ขืนชั้นลงไปรอรับแกดิ คนได้แตกตื่นกันทั้งสนามบิน” เสี้ยวเทียนอธิบายต่อ

“แตกตื่นเพราะกลัวนายน่ะเหรอ ฮ่าๆๆ” พูดจบพาสนาก็หัวเราะชอบใจ

“ไอ้บ้า ปากเสียแต่วันนะแก แตกตื่นเพราะเห็นนักร้องดังอย่างชั้นต่างหาก”

“แหวะ ไอ้คนหลงตัวเอง” หญิงสาวทำท่าแหวะประกอบอย่างหมั่นไส้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงก็เถอะ ที่เสี้ยวเทียนพูดมาก็ถูก ขืนเค้าเข้าไปรอรับเธอข้างใน เป็นได้แตกตื่นทั้งสนามบินแน่ คิดไปก็น่าสงสารชีวิตคนดัง ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ จะไปไหนก็ต้องคอยปลอมตัว ปิดข่าว ไม่ให้คนจำได้

“แล้วนี่นึกยังไงถึงมารับชั้นได้เนี่ย” พาสนาถามต่ออย่างสงสัย

“ก็เกอเกอบังเกิดเกล้าของแกน่ะสิ ตัวเองติดธุระมารับไม่ได้ ก็เลยมาเคี่ยวเข็ญเพื่อนอย่างชั้นให้มารับแทน” ชายหนุ่มพูดพลางเบ้ปากอย่างหมั่นไส้

“อ๋อ ที่แท้เกอเกอใช้มานี่เอง เกอเกอนี่ดีนะ เป็นห่วงเป็นใยน้อง ไม่เหมือนใครบางคน” หญิงสาวพูดพลางปรายตาไปยังคนข้างๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ...ชั้นหมายถึงนายนั่นแหละ...

“เออ เกอเกอแกน่ะ มันดีเพอร์เฟคทุกอย่าง” เสี้ยวเทียนลากเสียงประชด

...แหม ก็ไอ้พี่น้องร่วมโลกคู่นี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็เห็นดีเห็นงามกันไปซะหมด ทั้งๆที่เค้าเห็นว่าพวกมันสองคนน่ะ คนนึงก็กวนประสาทเป็นที่หนึ่ง คนนึงก็ใช่ย่อยบทจะรั้นขึ้นมาใครก็ห้ามไม่อยู่ มิน่าเลยเข้าพวกกันได้ พวกคนแปลก เหอะๆๆ... ชายหนุ่มคิดไปก็ได้แต่ปลงกับความไม่พอดีของเพื่อนแต่ละคนของตนเอง

“แล้วเกอเกอไปไหนล่ะ มีงานเหรอ ถึงต้องให้นายมารับแทน” ตอนนี้รถตู้แล่นมาจนใกล้จะถึงโรงแรมที่พักที่ทางทีมงานจัดไว้ให้พวกเธอแล้ว

“ใช่ พอดีอาเจิ้นมันมีงานด่วนน่ะ นิตยสารที่มันไปถ่ายแบบไว้ภาพมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องไปถ่ายซ่อม”

“ช่วงนี้เกอเกองานยุ่งเหรอ” พาสนาถามเสียงหงอยๆ ก็ถ้าเจอรี่งานยุ่ง ก็หมายความว่าเค้าคงจะไม่ว่างพาเธอเที่ยวอย่างที่เคยบอกไว้น่ะสิ

“ก็ไม่ยุ่งหรอก ทำไม กลัวไม่มีคนพาเที่ยวล่ะสิ ไม่เป็นไร ถ้าอาเจิ้นไม่ว่าง เดี๋ยวชั้นพาเที่ยวเอง ช่วงนี้ว่างอยู่ กำลังเตรียมอัลบั้มใหม่” เสี้ยวเทียนเสนอ

“จริงนะ พูดแล้วห้ามคืนคำ” พอได้ยินเรื่องเที่ยวเท่านั้นแหละ ตาหญิงสาวกลายเป็นประกายปิ๊งปั๊งขึ้นมาทันที ก็นิสัยเธอน่ะชีพจรลงเท้าใช่ย่อยอยู่เมื่อไหร่ ปกติอยู่เมืองไทยถ้ามีเวลาว่างก็มักจะหาเวลาไปเที่ยวที่ต่างๆเสมอ ซึ่งโดยมากก็มักไปคนเดียว เพราะไม่ชอบบรรยากาศยุ่งวุ่นวาย แต่มาที่ต่างถิ่นแบบนี้ ครั้งแรกๆอาศัยเจ้าถิ่นพาเที่ยวก่อนก็น่าจะมี พออีกซักพักแล้วค่อยบินเดี่ยว

“เออ ไว้เสร็จงานแถลงข่าวแล้วจะพาไปเที่ยว เธอนี่เหมือนเด็กๆเลยนะ พูดเรื่องเที่ยวหน่อยตาเป็นประกายขึ้นมาเชียว แต่บอกไว้ก่อนนะที่เที่ยวของอาเจิ้น กับที่เที่ยวของชั้นน่ะ ไม่เหมือนกันนะ ขานั้นเค้าชอบธรรมชาติ ส่วนถ้าให้ชั้นพาเที่ยว แบบใกล้ๆก็ไม่พ้นที่กินเหล้าฟังเพลงเทือกนั้นน่ะ ไม่อีกอย่างก็ทะเล แต่ชั้นว่าทะเลเมืองไทยสวยกว่าทะเลไต้หวันว่ะ” เสี้ยวเทียนบอกพลางอมยิ้มอย่างขำๆ ก็มาดเพื่อนเค้าตอนได้ฟังเรื่องไปเที่ยวนี่ดูยังไงก็ไม่เหมือนโปรดิวเซอร์มือดีที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเลย ดูยังไงๆก็เด็กโข่งคนนึงเท่านั้น

“ไปไหนก็ไป ชั้นไม่เรื่องมากอยู่แล้ว ดีซะอีก ได้รู้จักที่เที่ยวหลายๆแบบ ต่อไปจะได้ไปเองได้” หญิงสาวตอบนิ่งๆพลางเอาหัวพิงพนักมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องอะไรซักอย่าง

“พูดยังกับจะอยู่ที่นี่นานนักนี่ เดี๋ยวแถลงข่าวเสร็จไม่กี่วันก็ต้องกลับแล้วไม่ใช่เหรอ จะมีเวลาอยู่เที่ยวซักกี่วันเชียว” เสี้ยวเทียนถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว พอหันไปดูอีกทีปรากฏว่าคนที่พูดจ๋อยๆกับเค้าอยู่เมื่อกี๊ ตอนนี้ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัวอย่างเอ็นดู

...หลับง่ายอย่างกับเด็ก คนเรา...


จากนั้นไม่นาน รถตู้ก็มาถึงโรงแรมที่พักของพาสนาและเดชา ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอัลบั้มใหม่นี้ด้วย เสี้ยวเทียนไม่ได้ลงไปส่งทั้งคู่ เพียงแต่นัดเจอกันที่งานแถลงข่าวซึ่งจะมีขึ้นในตอนเย็นเท่านั้น

ทางฝ่ายเจอรี่ การถ่ายแบบซ่อมมีปัญหามากกว่าที่คิด ทำให้กินเวลานาน จนเกือบจะไปงานแถลงข่าวไม่ทัน เมื่อเค้าไปถึงก็ถูกจับเข้าห้องแต่งตัวทันที ไม่มีโอกาสได้พูดกับใครทั้งสิ้น แต่งตัวยังไม่ทันเสร็จดีก็ถูกตามไปขึ้นเวทีซะแล้ว ทุกอย่างดูรีบร้อนไปหมด แต่ชายหนุ่มก็ชินเสียแล้ว กับการทำงานที่ฉุกละหุกแบบนี้


งานแถลงข่าวครั้งนี้มีนักข่าวให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นอัลบั้มชุดพิเศษที่รวบรวมเอานักร้องชื่อดังจากหลายประเทศมาไว้ในอัลบั้มเดียวกัน รวมถึงเพลงในอัลบั้มทั้งหมดก็เป็นเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่เพลงเก่าที่ถูกนำมาผลิตซ้ำแบบอัลบั้มรวมศิลปินอื่นๆ ศิลปินทั้งหมดต่างถูกยิงคำถามกันจนแทบจะตอบไม่ทัน โดยคำถามส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องการร่วมงานระหว่างประเทศต่างๆ และอีกสองคนที่ได้รับความสนใจไม่น้อยกว่าตัวศิลปินเลย ก็คือ เดชา และพาสนา โปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้นั่นเอง ทั้งคู่ต้องตอบคำถามหลายคำถามซึ่งโดยมากก็จะเป็นเรื่องแนวเพลง และประสบการณ์ในการทำงานของทั้งคู่ จนผ่านไปเกือบชั่วโมงงานแถลงข่าวจึงเสร็จสิ้นลง ทั้งทีมงานและศิลปินทุกคนต่างก็พากันไปร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นการภายในเพื่อเป็นการฉลองที่อัลบั้มนี้ทำสำเร็จออกมาอย่างน่าพอใจ


ภายในงานเจอรี่พยายามหาโอกาสที่จะทักทายพาสนา แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากหญิงสาวโดนบรรดาผู้บริหารของโซนี่ดึงตัวไว้คุยอยู่ค่อนข้างนาน ชายหนุ่มจึงได้แต่คอยมองอยู่ห่างๆว่าหญิงสาวจะปลีกตัวออกมาเมื่อไหร่

“เฮ้ย อาเจิ้น นายได้ยินที่ชั้นถามมั้ย” เสียงนุ่มๆเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับมือที่เอื้อมมาสะกิดไหล่ชายหนุ่มร่างสูง ที่เอาแต่มองออกไปนอกวงสนทนา ขณะนี้พวกเค้ากำลังยืนคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง

“ฮะ! นายว่าอะไรนะไจ่ไจ๋” เจอรี่ถึงกับสะดุ้งหันกลับมา เพราะโดนเพื่อนหนุ่มสะกิดเข้าไปเต็มแรง งานนี้ทั้งไจ่ไจ๋ และแวนเนส ต่างมาร่วมให้กำลังใจเค้ากับเสี้ยวเทียนด้วย พวกเค้าเป็นอย่างนี้เสมอ เมื่อมีใครในกลุ่มเปิดตัวอัลบั้มใหม่ คนที่เหลือก็มักจะไปร่วมอวยพร หรือไม่ก็ส่งดอกไม้มาให้กำลังใจเสมอๆ

“นายเหม่อไปไหนน่ะเจอรี่ ไจ่ไจ๋มันเรียกนายอยู่ตั้งนานแล้วนะ” แวนเนสเสริมอย่างแปลกใจ ก็คุยกันอยู่ในวง 4 คนนี่อยู่ดีๆ แต่พอผ่านไปซักพักทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่าเสียงเจอรี่ขาดหายไปจากวงสนทนา พอหันไปมองก็พบว่าชายหนุ่มเอาแต่เหม่อมองไปที่อีกฟากของห้อง

“เปล่าๆ นายจะถามว่าอะไรนะไจ่ไจ๋” เจอรี่รีบปฏิเสธ

“ก็จะถามว่านายมองหาอะไรวะ เห็นมองอยู่ตั้งนานแล้ว” ไจ่ไจ๋ถามเจอรี่ แต่กลับส่งสายตาสงสัยไปที่เสี้ยวเทียน ...หมอนี่มันท่าทางแปลกๆ มันต้องรู้เรื่องอะไรของอาเจิ้นที่เราไม่รู้แน่เลย...

“เปล่านี่ ก็มองอะไรไปเรื่อยๆ” เจอรี่ปฏิเสธซ้ำ พลางละสายตามาจากหญิงสาวที่ยืนคุยอยู่ที่อีกฟากของห้อง

“มองเรื่อยๆอะไรวะ ชั้นเห็นนายมองไปแต่ทางนั้นตั้งนานแล้ว” แวนเนสไม่ยอมให้เจอรี่รอดตัวไปได้ง่ายๆ ดูๆแล้วเพื่อนเค้าสองคนมันต้องมีลับลมคมนัยอะไรกันแน่เลย ดูสายตาเสี้ยวเทียนก็รู้ แล้วยิ่งข่าวลือที่เค้ากับไจ่ไจ๋ได้ยินมาเรื่องพฤติกรรมของเจอรี่ที่แปลกๆไปตั้งแต่กลับมาจากเมืองไทยอีกล่ะ

“เอาน่า ช่างเหอะ มาๆคุยกันต่อ เมื่อกี๊ถึงเรื่องอะไรนะ” เจอรี่พยายามเปลี่ยนเรื่อง ตลอดเวลาเสี้ยวเทียนยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างขำๆ อยากจะรู้นักว่ามันจะปิดแวนเนสกับไจ่ไจ๋ไปได้ซักกี่น้ำ แค่นี้อาการก็เด่นจะตายอยู่แล้ว และเค้าก็เชื่อว่าถึงมันไม่ยอมพูด แต่ตัวเค้าเองก็คงไม่พ้นโดนสองคนนั่นซักฟอกจนขาวอยู่ดี

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย นายมีความลับอะไรที่พวกเราไม่รู้หรือเปล่า นายด้วยเสี้ยวเทียน” ไจ่ไจ๋คาดคั้น ไม่ยอมให้เจอรี่เปลี่ยนเรื่องง่ายๆ


แต่ก่อนที่ใครจะได้ตอบอะไร เสียงหวานๆที่เหมือนระฆังช่วยชีวิตของเจอรี่ก็ดังขึ้น...



Create Date : 13 ตุลาคม 2549
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:54:57 น. 0 comments
Counter : 178 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

+mosminly+
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หลังไมค์ถึงมอสซี่เชิญกดเลยค่ะ
Friends' blogs
[Add +mosminly+'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.