Group Blog
 
All blogs
 

ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย ตอนพิเศษ Epilogue

ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย ตอนพิเศษ Epilogue

นรสิงห์ไม่ได้รู้สึกกลัวแบบนี้มานานแล้วเขารู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ผู้หญิงหลายคนก็ต้องผ่านแต่เสียงโวยวายของมาลิกายามน้ำคร่ำแตกทำให้เขาเริ่มสติเสียเสียงดังโพละคล้ายลูกโป่งแตกยังดังก้องอยู่ในหัว

“น้ำคร่ำ”เขากระซิบ

“ใช่น้ำคร่ำ น้ำคร่ำฉันแตก ยายหนูกับตาหนูจะมาแล้ว”มาลิกายืนท่ามกลางน้ำคร่ำที่เจิ่งนองพื้นท้องของเธอใหญ่เสียกว่าลูกแตงโมเนื่องจากข้างในมีเด็กแฝดอยู่สองคน ตอนแรกที่รู้ว่าตั้งครรภ์เธอก็ตกใจมากแล้ว แต่เธอยิ่งช็อกเมื่อทราบหลังการอัลตราซาวด์ว่าจะได้ลูกแฝดหากตอนนั้นนรสิงห์เห็นเป็นเรื่องดีไปเสีย

‘ดีออกนะ คุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหลายรอบไง’

ทว่าตอนนี้พ่อคนรักสบายกลับหน้าซีดตัวสั่นแทนภรรยาเสียอย่างนั้น

“ไปโรงพยาบาล” ว่าที่คุณพ่อพูดราวกับท่องเหมือนหุ่นยนต์เขาลนลานหาโทรศัพท์วุ่นวาย

“คุณทำอะไรของคุณ”

“โทรฯให้เฉียนเตรียมรถ”

“ตาบ้าฉันเพิ่งโทรฯ หาเฉียนเมื่อกี้ เขากำลังเอารถมา”เธอร้องพลางส่ายหน้าไปมาให้กับความป้ำเป๋อของสามี

“คุณไปหยิบกระเป๋าเตรียมคลอดของฉันมาสิเดี๋ยวก็ลืมหรอก”

“จ้ะ...จ้ะ...”นรสิงห์รีบทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เขางมโข่งหาอยู่หลายนาที มาลิกาก็หมดความอดทน

“หยูหลงกระเป๋าอยู่ในตู้เสื้อผ้า”

“เออ ใช่จริงของคุณ” เขาหัวเราะเสียงแห้ง ก่อนจะรุดไปที่ตู้เสื้อผ้า

ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้กระเป๋าเตรียมคลอดที่เต็มไปด้วยเอกสารสำคัญต่างๆชุดสำหรับใส่กลับบ้าน และของใช้ส่วนตัวส่วนตัวสำหรับคุณแม่

“คุณนี่ตื่นเต้นอะไร เราเตรียมตัวกันพร้อมแล้วไม่ใช่เหรอ” เมื่อรู้กำหนดคลอดพวกเขาก็เตรียมตัวและนับวันถอยหลังรอ แน่นอนว่าพวกเขาตื่นเต้นแต่เห็นได้ชัดว่านรสิงห์ตื่นเต้นกว่าเธอ

“ไม่ไม่พร้อม” เขาคงจะไม่มีวันพร้อมเป็นแน่

“คุณเนี่ยน้า”ใครจะไปคิดว่าคนเก่งกล้าอย่างเขาจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้นี่ใช่ไหมที่เขาว่ากันว่าผู้หญิงเป็นเพศที่เข้มแข็ง เพราะต้องทนรับอะไรหลายๆอย่างที่ผู้ชายทำไม่ได้ อย่างเป็นต้นว่าการคลอด

“คุณเช็ดพื้นไปก่อนนะเดี๋ยวใครมาเหยียบเข้าจะหกล้มหกลุก ฉันจะไปอาบน้ำก่อน...อ๊ะ ไม่ต้องมาห้ามเลยนะหมอสั่งให้อาบน้ำก่อนไปโรงพยาบาล จำไม่ได้เหรอ”เธอชี้นิ้วหยุดเขาไว้เมื่อเห็นเขาเผยอปากขึ้น

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ฉันยังไม่คลอดในอีกนาทีสองนาทีนี้หรอก”

“ไม่เจ็บเหรอ”

“ไม่เจ็บ”แต่เธอเชื่อมั่นว่าตอนคลอดจะต้องเจ็บแน่ๆ เพราะเธอขอหมอคลอดด้วยตัวเองเด็กแฝดท่าทางตัวโตใช่ย่อยแต่เธอก็ดีใจที่จะได้เห็นหน้าสมบัติล้ำค่าที่เธอและสามีเฝ้ารอสักที

“อย่าถามเยอะไปเช็ดพื้นก่อนเลย ฉันไปห้องน้ำเองได้”

“ระวังลื่นนะ”

“คุณน่ะระวังตัวเองก่อนเถอะ”

พูดไม่ทันขาดคำคนป้ำเป๋อก็เหยียบน้ำคร่ำลื่นล้มก้นกระแทกพื้น

“หยูหลง!” เธอร้อง ก่อนจะเดินอุ้ยอ้ายมาทางเขา

“เจ็บไหมนั่น”เธอจะช่วยเขา แต่เขาโบกมือปฏิเสธ

“ผมลุกเองได้คุณไปอาบน้ำเถอะ”

“โอเคก็ดี เจ็บเสียบ้างก็ดี ได้สติขึ้นมาบ้างหรือยัง คุณต้องเป็นที่พึ่งให้ฉันสิ”ปรกติเขาเป็นที่พึ่งของเธอมาตลอด จะมาเสียท่าเอาตอนเธอคลอดลูกนี่แหละ

“ผมขอโทษ”

มาลิกายิ้มจางๆเธอค่อยๆ คุกเข่าลงข้างเขา จับมือเย็นเฉียบของเขาเอาไว้เธอช้อนมองดวงตาสำนึกของเขา น้ำเสียงที่พูดอ่อนโยน

“ไม่ต้องขอโทษเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้รู้ว่าคุณไม่ใช่ยอดมนุษย์” ตั้งแต่รู้ว่าเธอท้องเขาก็ประสาทไวเป็นพิเศษ กลัวนั่นห่วงนี่กังวลเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปหมดจนเธอปวดหัวแต่ดูๆ ไปก็น่ารักดี ไม่นับที่เขาแพ้ท้องแทนเธอ เวียนหัวคลื่นไส้จนทำงานไม่ไหวแถมอยากกินอาหารแปลกๆ ตลอดทั้งวัน จนคนทั้งบ้านอดทั้งขำทั้งสงสารไม่ได้แทนที่จะมีคนท้องแค่คนเดียวก็เหมือนกับมีคนท้องสองคน ดูแลกันสนุกไปเลย

“มาร์”

“อย่าทำหน้าอย่างนี้สิฉันไม่ได้โกรธคุณสักหน่อย”เธอโน้มหน้าเข้าไปใกล้และจุมพิตแก้มที่สากระคายด้วยตอหนวดเขียวๆเขายังสวมชุดนอนแพรสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาของเขาโหลลึกเพราะตอนหลับๆ ตื่นๆอันเนื่องมาจากตะคริวกินขา เขารับอาการคนท้องจากเธอไปเต็มๆ

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะพอฉันอาบน้ำเสร็จเราจะได้ไปโรงพยาบาลกัน”

“ผมรักคุณ”

“ฉันรู้ฉันก็รักคุณ ไม่ต้องตื่นเต้นไปนะ เราจะต้องผ่านมันไปได้คุณไม่อยากจะเห็นหน้าเจ้าตัวเล็กทั้งสองของเราหรอกหรือ”

“อยากสิทำไมจะไม่อยาก”

“อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะได้เจอพวกแกแล้วละ”เธอตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปอาบน้ำหวังว่าออกมาแล้วคุณจะเตรียมตัวพร้อมแล้วนะ ว่าที่คุณพ่อ”

คำสุดท้ายของเธอทำให้นรสิงห์ยิ้มออกมาได้กว่าเก้าเดือนที่รอคอยก็เพื่อวันนี้วันเดียว วันเกิดของลูกๆ ของพวกเขา

คำว่ารอคอยเป็นคำที่ยาวนานมาลิกามารอคลอดที่โรงพยาบาลหลายชั่วโมงกว่าปากมดลูกจะเปิดพร้อมคลอดนรสิงห์เห็นคนที่เข้มแข็งมากกว่าเขาเริ่มหน้าซีดปากสั่นก็เริ่มจะกังวลไปด้วย แต่พยายามเก็บอาการเพราะกลัวจะเป็นภาระแก่เธอเธอยังมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต้องทำสำเร็จ

เขาตามเข้าไปในห้องคลอดใจจริงน่ะป๊อดอยู่ แต่ก็ทิ้งภรรยาไม่ได้เลยสวมชุดปลอดเชื้อและยืนให้กำลังใจข้างเตียง หมอกับพยาบาลง่วนกับการทำคลอดเสียงสั่งให้เบ่งของหมอและเสียงหอบครางของมาลิกาทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความกลัวระคนตื่นเต้นใครจะว่าอะไรเขาก็ช่าง นี่มันยิ่งกว่าโดนปืนยิงเสียอีก เพราะนอกจากชีวิตของเธอยังมีชีวิตเจ้าตัวน้อยๆ เป็นเดิมพันอีกด้วย

“อีกนิดครับเบ่งอีก เด็กจะออกมาแล้ว”

นรสิงห์จับมือของเธอให้กำลังใจแต่เธอบีบมือของเขาแน่น เธอแทบไม่ร้องเลย ได้แต่ครางเบาๆ หากเมื่อเธอร้องจริงจังเธอก็กรีดร้องเสียงดังจนหูเขาชาไปหมด ทว่าเสียงเล็กๆที่ร้องไห้จ้าขึ้นมาดังกลบเสียงเจ็บปวดของเธอเสียสิ้น

“แหมปอดดีจริงเจ้าหนูนี่ ครบสามสิบสองนะครับ”

“ลูกชายหรือครับ”เขามองเจ้าหนูที่ร้องไห้จนหน้ายู่ยี่ ตัวสีแดงจัดและเหี่ยวย่น ดูไม่น่ารักอย่างแรงจนต้องย่นหน้าอย่างกังขาว่านี่น่ะหรือลูกของเขาคนที่เขาคุยผ่านท้องของภรรยามาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา คนที่เขารอคอยจะเห็นหน้า

“ครับ ได้มาแล้วหนึ่งยังเหลืออีกหนึ่ง”

“ทำไมตัวเหี่ยวจัง” คนเป็นพ่อเผลอแสดงความเห็นที่แท้จริงออกมา

คุณหมอหัวเราะ “เด็กแรกเกิดก็เป็นอย่างนี้ทุกคนละครับรออีกวันสองวันขี้คร้านคุณพ่อจะหลงลูกจนโงหัวไม่ขึ้น”เขาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา นรสิงห์มองเจ้าหนูตัวย่นแล้วนิ่วหน้าอย่างไม่เชื่อคุณหมอปล่อยให้คุณพ่อมองลูกชายไป และทำหน้าที่ของเขาต่อ

“เบ่งครับคุณแม่ เบ่งแรงๆ ครับ”

“ที่รักพยายามเข้านะ ลูกชายของเรา...เอ่อ...น่าเกลียดน่าชังมาก”นรสิงห์ฝืนพูดคำว่าน่ารักไม่ได้ ลูกของเขาไม่น่ารักเลยแต่เขาก็ภูมิใจที่ได้เป็นพ่อเจ้าเด็กน่าเกลียดน่าชังนี่เขาจับมือของเธอแน่นไม่ต่างจากเธอ มาลิกาหูอื้อไม่ได้ยินที่เขาหรือหมอพูดรู้แต่ว่าตัวเองจะต้องใช้แรงเบ่งให้ลูกอีกคนออกมาชมโลกให้ได้

“เบ่งครับ เบ่ง”

มาลิกาเบ่งด้วยแรงทั้งหมดก่อนจะร้องลั่น

“กรี๊ด”

นรสิงห์รู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันลืมเสียงร้องบาดหูของเธอ และเจ้าตัวเล็กๆที่หมอเพิ่งเอามาวางบนอกของเธอเป็นคนทำให้เธอร้องอย่างนั้น

“ร่างกายสมบูรณ์ทั้งคู่นะครับ หน้าไม่เหมือนกัน แฝดคนละฝาดูท่าคนนึงจะเหมือนคุณพ่อ อีกคนจะเหมือนคุณแม่”คุณหมอผู้ทำคลอดออกความเห็นอย่างเป็นปลื้ม

พอลูกหลุดออกจากกาย มาลิกาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกหรืออาจจะเป็นเพราะเธอได้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่เธอรอคอยมานานแสนนานความเจ็บก็ปลิดปลิวหายไป

“น่าเกลียดจริงๆ” เธอเหลือบมองลูกแฝดทั้งสองที่นอนอยู่บนอกด้วยสายตาอ่อนโยนริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆ

นรสิงห์พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับเธอยายหนูคนน้องก็น่าเกลียดไม่แพ้เจ้าหนูผู้เป็นพี่ ตัวเล็กจ้อยเป็นสีแดงก่ำ ย่นยู่ ผมและขนดกดำ

“คุณว่าเหมือนใคร”

“เหมือนลูกลิง” มาลิกาหัวเราะทั้งน้ำตา อารมณ์อ่อนไหวอย่างที่สุดและก็เป็นโรคติดต่อที่นรสิงห์หัวเราะตามประกายน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา

“ไม่ใช่ลูกสิงห์หรอกหรือ”

พวกเขาตั้งชื่อลูกว่าสีหราชและเกสรีที่แปลว่าราชสีห์เซธกับเกรซเป็นคนของตระกูลซือเต็มตัวแม้โทดะจะอยากเกี่ยวข้องกับเหลนเพียงใดก็ทำได้แค่มองห่างๆ มาลิกาใจแข็งดุจเพชรไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่กว่าเธอจะยอมให้อภัยคนใจดำอย่างโทดะ

“คงต้องรอให้โตกว่านี้ตอนนี้ตัวแดงๆ หน้าย่นๆ ขนยุบยับ เหมือนลูกลิงมากกว่า”

แต่ยังไงเธอก็รักลูกลิงของเธอ

“ลูกลิงของพ่อกับแม่ สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

จบบทส่งท้าย ตอนพิเศษ Epilogue

3.08

12 พฤษภาคม 2557

สวัสดีค่ะ

คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้สวัสดีอย่างเป็นทางการใน“ใต้เงาพยัคฆ์” เพราะเรื่องนี้ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว อ่านบทนี้แล้วก็อดขำนรสิงห์ไม่ได้สุดท้าย ที่แกล้งมาร์ไว้ยังไง โดนเอาคืนใน Epilogueหมดเลย...เนอะ

แจ้งอีกครั้งนะคะสำหรับคนที่ถามหาอากิระ คิดว่าจะมีต่อแน่ๆ ค่ะ ได้เริ่มวางแพลนนิดๆ แล้วนางเอกของอากิระ...ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงความแสบของเธอคงจะทำให้อากิระมีชีวิตชีวาแน่ๆ

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด“ใต้เงาพยัคฆ์” จะตีพิมพ์กับสนพ. อรุณฯ นะคะ ไว้ได้หน้าปกและรายละเอียดอื่นๆจะมาแจ้งอีกทีค่ะ กดไลค์แฟนเพจไว้อัพเดตข่าวได้นะคะ ไม่ตกข่าวแน่นอน

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานของมิถุนารู้สึกดีใจที่ได้คุยกับทุกคนค่ะ แล้วเจอกันในเรื่องใหม่ไม่ช้าไม่นานค่ะ

มิถุนา

คลิก Like แฟนเพจจะได้ไม่ตกข่าวนะคะ https://www.facebook.com/MithunaNiyay

บล็อกรวมนิยาย (และเรื่องจิปาถะ) //mithuna.bloggang.com

อ่านนิยายตัวโตๆ สะใจได้ที่ //my.dek-d.com/Mithuna

กลัวตกข่าวในแฟนเพจของมิถุนาต้องทำยังไง?

เนื่องจากเฟซบุ๊กลดการฟีดหน้าของแฟนเพจลงถ้าไม่อยากตกข่าว ให้ทำตามดังนี้ค่ะ

1. เลื่อนเมาส์ไปที่ "Like"(อยู่ด้านบนขวา ใต้ Cover Photo)

2. คลิก "GetNotifications" ในเมนูที่โผล่ขึ้นมา

เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ไม่ตกข่าวนิยายของมิถุนาในหน้าเพจแน่นอนค่ะเพราะถ้าบางทีไม่ได้อัพนิยาย จะสื่อสารทางเฟซบุ๊กแทนนะคะ




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2557 13:47:45 น.
Counter : 5333 Pageviews.  

ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย ตอนพิเศษ Prologue Part 2 (จบ)

เรือนหอสวยงามและทันสมัยที่ตั้งอยู่ข้างๆอาคารหลักห้าชั้นของสีหสุวรรณไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของใหม่สักนิด เพราะสองหนุ่มสาวต่างแลกจูบกันอย่างเร่าร้อนเฉียนที่ยกกระเป๋าเข้ามาวางในบ้านก็ถูกเมินไปโดยปริยาย

“ผมไปก่อนนะครับคุณหลง คุณมาร์ อย่าลืมแวะไปหานายท่านด้วยนะครับ” เฉียนกล่าวเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะล่าถอยไปและไม่ลืมล็อกประตูให้นายทั้งสองมีความเป็นส่วนตัว

“เราดูเสียมารยาทไปหน่อยไหม”มาลิกาเพิ่งได้โอกาสพูดเมื่อคนรักถอนจูบดูดดื่ม

“ไม่หรอกเฉียนเข้าใจดี”

“เฉียนก็ด้วยแต่ที่ฉันหมายถึงจริงๆ คืออากงของคุณต่างหาก”

“อากงก็เข้าใจเชื่อผม” เขาตวัดแขนอุ้มร่างเพรียวเดินขึ้นข้างบน

“แต่ว่า...ปล่อยฉันลงนะเรายังคุยกันไม่จบ”

“เดี๋ยวจะปล่อยใกล้จะถึงแล้ว” ที่หมายของเขาคือห้องนอน เขาดันประตูเข้าไปเตียงหลังใหญ่ปูผ้าสีขาวสะอาดตาอยู่เบื้องหน้า เขาโยนเธอลงกลางเตียงร่างบางกระเด้งขึ้นตามแรงส่ง นรสิงห์ไม่ปล่อยให้เธอเดียวดายนาน เขาโจนร่างตามลงไปสองแขนเท้าอยู่ข้างๆ ดวงตาสบมองเธออย่างเร่าร้อนระคนรักใคร่

“ผมคิดถึงคุณเป็นบ้า”เขาก้มลงจูบเธออีกจนเธอหอบฮัก มือทั้งสองข้างเริ่มซุกซน แกะชุดเดินทางของเธออย่างเร่งร้อนมาลิกายกตัวขึ้น ช่วยเขาถอดเสื้อยืดตัวยาวของเธอออก ก่อนจะเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาบ้าง

“คุณบอกไปแล้ว”

“ผมอยากบอกอีก”นรสิงห์กระซิบ ริมฝีปากของเขาขบเม้มเนื้อนวลที่เปิดเปลือยสองมือกอบกุมอกเล็กกระชับ เขารู้สึกถึงยอดอกที่เต่งตึงขึ้นรับสัมผัสของเขา

“หยูหลง”เธอสะอื้นเรียกชื่อเขา

“ผมรักการสัมผัสคุณ”มือของเขาพลิ้วดังมือของนักเล่นดนตรี และเธอเป็นเครื่องดนตรีนั้น เพลงที่เขาบรรเลงเป็นเพลงที่เธอไม่เคยได้ยินเธออ่อนไหวทุกครั้งที่โดนมือต้องมนต์ของเขา เธอเคยกังวลว่าเขาจะรังเกียจหน้าอกเล็กๆของเธอ แต่การกระทำของเขาเปรียบได้ดังการบูชาเทพเจ้า และเธอรักมันเหลือเกินเขาทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสวยและน่าปรารถนา

เธอพยายามแกะตะขอบราด้านหลังอย่างทุลักทุเลเธอต้องการมือร้อนๆ ของเขา ไม่ต้องการให้มีสิ่งใดมาขวางกั้นเนื้อแท้ของพวกเขา

“ช่วยฉันที”

เขาทำตามที่เธอขอ บราเนื้อบางถูกขจัดออกไปจงอยสีชมพูเบ่งบานและชูยอดหาเขา เขาโน้มหน้าลงอย่างไม่ลังเลแรกลิ้นสัมผัสทำให้มาลิกาหลับตาและกลั้นเสียงคราง เธอแอ่นตัวขึ้นเสนอตัวให้เขามากขึ้นเมื่อเขาดูดเม้มอย่างเสน่หา มืออีกข้างของเขาง่วนกับการให้ความสุขหน้าอกอีกข้างที่ว่างลูบไล้จนความอ่อนนุ่มกลายเป็นตุ่มไตแข็งชัน

“อื้อ...”

“อย่าปิดกั้นเสียงของคุณผมอยากได้ยิน” เขาดูดดุนเธอแรงขึ้น รักหน้าอกทั้งสองข้างของเธออย่างเท่าเทียม

“อา...”มาลิกาไม่เหนี่ยวรั้งตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่า และทำให้เขาฮึกเหิม เขาดึงกางเกงเลกกิ้งของเธอลงกางเกงในตัวจิ๋วถูกรูดออกไปพร้อมๆ กัน เธอเปิดเปลือยต่อหน้าเขาดวงตาที่เย็นชาเป็นประกายวาบอย่างพอใจ มือของเขาสำรวจเนินเนื้ออ่อนไหวนิ้วใหญ่สอดลึกข้างในอย่างไม่ลังเล และหยอกล้อจนเธอชุ่มฉ่ำเพื่อเขาเขาเร่งปลายนิ้วจนเธอหัวหมุน เสียงครางดังขึ้นอย่างหมดกลั้น และในที่สุด เธอก็ระเบิดพร่างใส่จนนิ้วของเขาเปียกชุ่ม

“คุณร้อนมาก...และหวานมากด้วย”เขาดึงนิ้วออกแล้วชิมรสชาติของเธอผ่านนิ้วของตัวเองมาลิกาหน้าแดง...ทั้งเต็มตื้นและขัดเขินกับความสนิทสนมของเขา แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเขาก็เถอะแต่ไฟเสน่หาของเขาแผดเผาเธอเสมอ

“ตาบ้า”กระนั้นเธอก็ยังมีแรงตีแขนของเขาโทษฐานทำให้เธอพูดไม่ออก

“เวลาอายอย่างนี้คุณน่ารักมาก แก้มของคุณแดงจัด...เหมือนสีสตรอว์เบอร์รี”นิ้วของเขาลากลงมาตามกรอบหน้าของเธอ “ผมชอบสตรอว์เบอร์รี” เขาเลียสีแดงที่แผ่ลามไปทั่วใบหน้าของเธอริมฝีปากพรมจูบลงมาเรื่อยๆ ตามแนวสีแดงที่ขยายตัวไปทั่วร่างเพรียวเสียงสะอื้นขาดเป็นห้วงๆ บ่งบอกถึงความสุขสมของเธอทำให้เขายิ่งกว่าพอใจ

“ผมชอบให้คุณเป็นสีแดงทั้งตัว...เพื่อผม” เขาหยุดและมองลึกลงไปในดวงตาสีนิลนิ้วมือม้วนปอยผมสีดำเหลือบน้ำเงินของเธอที่ยาวกว่าครั้งแรกที่เขาได้พบเธอ

“ผมของคุณเริ่มยาวแล้ว”

“คงอีกนานกว่าจะยาวเท่าของเดิม” ผมของเธอเคยยาวมาก

“แต่เมื่อมันยาวอีกครั้ง ผมจะเป็นคนได้เห็นมันยาวสยาย...ปกคลุมร่างเปลือยที่แสนน่ารักของคุณ”เขาจับปอยผมของเธอปัดที่ข้างแก้ม มือก็โลมลูบเนื้อนวลอย่างเชื่องช้า

“ฉันชอบร่างกายของคุณ” มาลิกาจูบหน้าอกเปลือยของเขา ลิ้นสีชมพูเล็กๆตวัดไล้รอบวงป้านสีน้ำตาล เขาสูดลมหายใจลึก และเอาคืนเธอด้วยการครอบครองยอดอกของเธอ

“คนขี้โกง”เธอครางประท้วง

“ผมเป็นคนขี้โกงของคุณ”

เขาสลัดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกแผงอกล่ำสันทำเอาเธอน้ำลายสอ แต่เขายังมีเสื้อผ้ามากเกินไปเธอช่วยเขาแกะเข็มขัดออก

“คุณไม่ควรใส่เสื้อผ้ามากชิ้น”

“ผมจะปรับปรุง ครั้งหน้าผมสัญญา” เสียงกระซิบและลมหายใจเป่าพรู ขนอ่อนของเธอลุกเกรียว

กางเกงยังไม่ทันหลุดไปพ้นตัวเขาก็แข็งขึงพร้อมพรัก เขารีบป้องกันตัวเองก่อนจะดันร่างเข้าหาช่องทางที่คุ้นเคย...ช่องทางที่สร้างมาเพื่อเขาร่างกายสอดประสานเป็นหนึ่ง จังหวะเชื่องช้าดำเนินอย่างรัญจวน

“มากกว่านี้ หยูหลงมากกว่านี้”

“แบบนี้หรือ”ชายหนุ่มโถมตัวใส่เธอเร็วขึ้นและแรงขึ้น

“ใช่...ใช่...”

“คุณเป็นของผม”

“ค่ะ ใช่เหมือนที่คุณเป็นของฉัน”

“ผมรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ความจริงเรื่องคุณ”

“หยูหลง...หยูหลง...”

เขารักเสียงแหบๆของเธอ เขาชอบให้เธอครางเพราะเขา ชื่อของเขาฟังดูไม่เหมือนเดิมเมื่อเธอเอ่ย เขาหึกเหิมดุดัน และไม่ออมแรง ความรักและความคิดถึงผลักดันเป็นแรงแก่เขา เสียงครางของพวกเขาเข้ากันอย่างกลมกลืนเกลียวร้อนพัวพันและดึงอารมณ์ของพวกเขาขึ้นสู่ปลายยอดหุบเขา...ดึงพวกเขาขึ้นสูงไปกว่านั้นร่างที่แตกต่างแต่เป็นหนึ่งเดียวกันเกร็งขึ้น ความสุขและการปลดปล่อยตามมาติดๆ เขาซบหน้าลงกับอกของเธอ

“ผมรักคุณ”

“ฉันก็รักคุณ”

จะด้วยคำรักของเธอ หรืออารมณ์พิศวาสของเขาชายหนุ่มก็แข็งผงาดขึ้นมาอีก เจ้าลูกชายของเขากำลังหยอกล้อกับต้นขาของเธอมาลิกาหน้าแดงจัด เขาหัวเราะ

“ก็บอกแล้วว่าผมจะเอาคืนทบต้นทบดอก”

“บ้า” เธอใช้คำนี้บ่อยกับคนช่างยั่ว

“ไม่บ้าหรอก เอาจริงนะ”

นรสิงห์แทรกตัวเองที่มีเครื่องป้องกันเข้าไปในความอบอุ่นของเธอเธอครางทุกความลึกที่เขาจมดิ่งข้างใน เจ้ามังกรเริ่มคืบคลานเข้ามาทีละนิดจนเติมเต็มเธอทั้งหมดแล้วเขาก็หยุดนิ่งจนเธออยากเป็นฝ่ายขยับเสียเอง

“อย่าเพิ่งที่รัก ใจเย็นๆ ก่อน”

“ฉันไม่อยากรอ”

เขามองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว

“ผมอยากให้คุณรอ เพราะคราวนี้เราจะไปด้วยกัน...ช้าๆ”

กว่าพวกเขาจะได้พบหน้าซือต้าหลงและครอบครัวตระกูลซือก็ปาเข้าไปช่วงอาหารเย็น แถมยังมาโชว์ตัวที่โต๊ะอาหารช้ากว่าใครๆ อีกด้วย สายตาหลายคู่หันมาจ้องพวกเขาเป็นตาเดียวมาลิกาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนและเธอยิ่งหน้าแดงเมื่อคนข้างกายรู้ดีก้มหน้าบอกเบาๆ

“ไม่ต้องหลบหน้าไปไหนหรอก ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าผมเป็นยังไงผมไม่รอจนถึงคืนนี้หรอก”

“พูดมาก” มาลิกากระแทกศอกใส่จนเขาจุก

“โอ๊ย”

คนบนโต๊ะอาหารหัวเราะขันทั้งคู่ เสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมาตามลม

“อากงจะได้อุ้มเหลนก็คราวนี้แหละ”

“อากงก็ว่างั้น”

และเพราะอย่างนี้ ซือต้าหลงเลยไม่หงุดหงิดใจที่หลานตัวแสบเห็นความสำคัญของคนรักมากกว่าเขาเขาจำได้ดียามตกอยู่ในห้วงรักนั้นเป็นอย่างไรเขากับภรรยาก็เคยมีอารมณ์เร่าร้อนชนิดที่ตัวติดกัน ขาดกันไม่ได้มาแล้วเช่นกัน

“ขอโทษครับอากงที่พวกเราลงมาช้า” นรสิงห์นั่งด้านขวาของต้าหลงมาลิกานั่งถัดจากเขา เด็กรับใช้ทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ทุกคนเริ่มรับประทาน

“ไม่เป็นไร อากงยอม แต่ขอเหลนมาแลกนะ”

ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ ส่วนมาลิกาเอาแต่เงียบและก้มหน้างุด เสียงหัวเราะของเขาทำเอาเธอหมั่นไส้หยิกต้นขาของเขาเสียแรง

“อูย เจ็บ เจ็บนะมาร์ หยุดเถอะ”

เธอหยุดก่อนที่เขาจะคว้ามือเธอ แถมหลิ่วตาให้อย่างได้ที

“คราวหน้าจะหยิกสูงกว่านี้”เป้าหมายอยู่ที่ตัวการที่ทำให้เธอหมดแรงนี่แหละ

“หน็อย สุดที่รักของผม ระวังตัวไว้เถอะ คืนนี้นะ น่าดู” เสียงพูดของเขาเบาแต่ก็ยังมีคนหูดีได้ยิน

“จัดเต็มไปเลยเฮียหลง ฮัวขอหลานแฝด”สีหน้ายามนี้ของพัณณินเจ้าเล่ห์ไม่แพ้พี่ชาย

“ดี จะได้แบ่งกันเลี้ยง ไม่ต้องแย่งกัน” ต้าหลงเห็นด้วย

มาลิกาหน้าแดงไปจนถึงหูและคอ รู้สึกว่าตัวเองถูกรุมคนเดียว

“ฮ่าๆ ยายหนู ตอนนี้อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยอมๆ เจ้าหลงไปก่อน อยู่กันสองคนจะแข็งใส่เจ้าหลงขนาดไหนก็ทำไป จะไล่ไปนอนนอกห้องก็ได้ อากงอนุญาต”

“อ้าว แล้วกันอากง ไม่เข้าข้างผมแล้วเหรอ” นรสิงห์อุทาน

“แกน่ะ เอาแต่ใจจนเคย โดนซะบ้างก็ดี”

“อย่างนี้ไม่ได้เหลน อากงอย่ามาว่าผมนะ”

“ก็ยังไม่แต่งงานกันไม่ใช่เรอะ รอแต่งงานก่อนก็ได้ อากงรอได้” ต้าหลงรู้ดีว่าจะรออีกไม่นานคนหนุ่มสาวมักใจร้อน

“อะไรกัน ทีเมื่อกี้ไม่เห็นพูดแบบนี้เลย” เขาบ่นอุบอิบ

“สมน้ำหน้า” มาลิกาได้ทีก็ซ้ำเติม

“ใจร้ายที่สุด”

“มารยาใหญ่แล้ว อาเฮียของฮัว เจ๊มาร์ไม่ต้องไปสนใจเฮียหลงหรอกนะคะไม่ได้งอนจริงหรอก”

“ยายฮัว เธอก็เป็นไปกับเขาด้วยเรอะ” คนที่จู่ๆ กลายเป็นหมาหัวเน่าร้อง

“ช่วยไม่ได้ ผู้หญิงก็ต้องเข้าข้างผู้หญิงด้วยกันอยู่แล้ว”น้องสาวหัวเราะเสียงใส “คืนนี้เจ๊มาร์ย้ายมานอนห้องฮัวก่อนก็ได้นะ เตียงฮัวกว้างห้องก็ใหญ่ นอนสองคนได้สบายๆ”

“ไม่ ไม่มีทาง ยายฮัวไม่ต้องมายุมาร์ของพี่เลย” เขาตีปีกกั้นอย่างหวนแหนทุกคนอดหัวเราะไม่ได้ มาลิกายิ่งหัวเราะดังกว่าใครเพื่อนเธอรู้ว่าถ้ามีเขาอยู่ข้างๆ ชีวิตของเธอจะไม่ขาดเสียงหัวเราะ เขาเป็นลมหายใจของเธอ

“ไม่มีใครบอกหรือสั่งให้ฉันทำอะไรที่ไม่ต้องการได้หรอก” เธอบืบมือของเขาดวงตาสานสบลึกซึ้ง

“ฉันต้องการคุณ ฉันก็เลยย้ายมาอยู่ที่นี่...ตรงนี้ ข้างๆ คุณ” มือข้างที่ว่างเลื่อนมาวางบนหัวใจของเขาที่เต้นรับสัมผัสของเธอ

นรสิงห์นึกอยากอุ้มเธอกลับห้องหอเสียตอนนี้ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งจะเริ่มรับประทานอาหารไปได้เพียงครึ่ง

หากคนแก่รู้ใจพูดออกมา

“ไปสิ อากงอนุญาต ถ้าทั้งสองอิ่มกันแล้วนะ”

คนใจร้อนไม่รอการตอบรับจากหญิงสาว เขาดึงมือเธอขึ้น ก่อนจะอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนกันไม่ให้เธอหนีเขาพาเธอเดินดุ่มออกจากห้องอาหาร คนรับใช้รีบหลุบตาลง ขัดเขินแทนคู่หนุ่มสาวแต่ก็อดเหลือบมองผู้เป็นนายทำตัวห่ามเพราะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้มันเป็นภาพที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ดะ...เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่กินไม่อิ่มเลยนะ” มาลิกาละล่ำละลักจากหางตาเห็นคนอื่นมองพวกเธอเป็นตาเดียวก็อายจนพูดไม่ออก

“ไม่ต้องมองพวกเขาหรอก มองอกผมนี่ ผมรู้ว่าคุณกำลังเขิน”

“หยูหลง ทำแบบนี้ทุกที คนอื่นจะเห็นว่าฉันเป็นคนยังไง” เธอโวยวาย

“ก็จะเห็นว่าผมเป็นคนน่ารักน่าพิศวาสจนคุณหักห้ามใจไม่ได้น่ะสิ”

“บ้า!”

“เฉียน อีกครึ่งชั่วโมงเอาข้าวมาส่งที่บ้านด้วย”

“ครับคุณหลง” ลูกน้องตัวดีขานรับหน้านิ่ง แต่ดวงตาไหวระริก

มาลิกาทุบอกชายหนุ่มดังบึ้ก “หยูหลง!”

“โอเคๆ ครึ่งชั่วโมงน้อยเกินไป” หากนรสิงห์แสร้งไม่เข้าใจเธอ “เฉียนขอเป็นอีกหนึ่งชั่วโมง ตั้งโต๊ะให้พร้อม ขอไข่ลวกด้วย”

“ได้ครับคุณหลง” คราวนี้เฉียนยิ้มกว้างจนถึงใบหู เจินจูที่ยืนอยู่ข้างๆพี่ชายมองตามภาพกลมเกลียวของทั้งสองก็รู้ดีว่าเธอควรจะตัดใจจากผู้เป็นนายได้แล้วนรสิงห์ไม่มีสายตาให้ใครยกเว้นผู้หญิงของเขา

มาลิกาอยากจะกรี๊ด แต่ก็ตัดสินใจไม่ทำ เธอกอดคอเขาแล้วซุกหน้ากับอกเขาตามคำแนะนำของเขาแทน

“ตาบ้า คุณจะต้องชดใช้ด้วย” เธอพึมพำ

“ผมจะชดใช้ให้คุณทั้งคืนเลยที่รัก”

เสียงหัวเราะอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องของบุรุษมังกรดังกังวาน หลายๆคนที่ได้ยินเห็นสัญญาณระฆังวิวาห์ในอนาคตอันใกล้ ทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันว่าทั้งนรสิงห์และมาลิกาต่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก

จบบทส่งท้ายตอนพิเศษ Prologue






ทักทายหลังจบตอนพิเศษตอนแรกกันหน่อย

หลังจากแต่งเรื่องนี้จบ มีคิดเรื่องแต่งตอนพิเศษไว้เหมือนกันแต่ก็ขี้เกียจๆ เลยไม่ได้แต่งสักทีจนเริ่มรีไรต์เรื่องนี้หลายๆรอบแล้วรู้สึกว่ามันควรจะต้องมีตอนพิเศษสิน่าก็เลยกลายมาเป็นที่มาของตอนพิเศษทั้งสองนี้

อย่างที่แจ้งไว้ตอนต้น“บทส่งท้ายตอนพิเศษ” มีทั้งหมด 2 ตอน แบ่งเป็น Prologue กับ Epilogue คือ ก่อนและหลังบทส่งท้ายนั่นเองถ้าอ่านบทส่งท้ายแล้วยังรู้สึกว่าฟินไม่พอ กรี๊ดไม่พอ ตามไปอ่านตอนพิเศษแรกกันเลยนะคะยาวจุใจ  เรตนิดๆ (แปะในบล็อกแก๊ง ดูวิธีอ่านได้ในแฟนเพจนะคะ)...แฮ่  ไม่ได้แต่งแนวเรตๆ มานานแล้วค่ะฝีมืออาจจะไม่แซบเท่าเมื่อก่อน แต่ก็พอเป็นกระษัยให้คนอ่านได้เนอะ

พรุ่งนี้เจอกับตอนพิเศษตอนจบปิดท้ายบทส่งท้ายค่ะ พยายามจะแปะให้เสร็จภายในวันหยุดนี้ 

                สุดท้ายนี้เพิ่งได้มีเวลามาทำผังตัวละคร อาจจะช้าไปสำหรับเรื่องที่แต่งมาจนเรียกว่าจบแล้วแต่เผื่อคนอ่านใหม่ๆ สนใจนะคะ จะแปะไว้ในบทแรกค่ะ

แล้วเจอกันค่ะ

มิถุนา

คลิก Like แฟนเพจจะได้ไม่ตกข่าวนะคะ https://www.facebook.com/MithunaNiyay

บล็อกรวมนิยาย (และเรื่องจิปาถะ) //mithuna.bloggang.com

อ่านนิยายตัวโตๆ สะใจได้ที่ //my.dek-d.com/Mithuna

กลัวตกข่าวในแฟนเพจของมิถุนาต้องทำยังไง?

เนื่องจากเฟซบุ๊กลดการฟีดหน้าของแฟนเพจลงถ้าไม่อยากตกข่าว ให้ทำตามดังนี้ค่ะ

1. เลื่อนเมาส์ไปที่ "Like"(อยู่ด้านบนขวา ใต้ Cover Photo)

2. คลิก "GetNotifications" ในเมนูที่โผล่ขึ้นมา

เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ไม่ตกข่าวนิยายของมิถุนาในหน้าเพจแน่นอนค่ะเพราะถ้าบางทีไม่ได้อัพนิยาย จะสื่อสารทางเฟซบุ๊กแทนนะคะ




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2557 0:16:14 น.
Counter : 1052 Pageviews.  

ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย ตอนพิเศษ Prologue Part 1

ทักทายก่อนอ่าน

สวัสดีค่ะ อาจจะงงๆที่บทนี้เปิดมาก็ทักทายกันก่อนเลย อยากจะชี้แจงก่อนอ่านว่า “บทส่งท้ายตอนพิเศษ”นี้มีทั้งหมด 2 ส่วน คือ Prolouge กับ Epilogueในส่วน Prolouge จะมีฉากติดเรตนิดหน่อยค่ะไม่เยอะมาก ไม่เรตรุนแรง แต่อ่านแล้วกระชุ่มกระชวย (อิๆ)แต่เพื่อกันการโดนแบนจากเว็บเด็กดี มิถุนาจะตัดส่วนเรตออกจากเว็บเด็กดีให้หมดและจะแปะไว้ในบล็อกแก๊งที่เดียวค่ะ ใครสนใจจะอ่านทั้งบทแบบสมบูรณ์ อ่านวิธีในหน้าแฟนเพจของมิถุนานะคะมีแปะบอกว่าจะเข้าไปอ่านได้ยังไงค่ะ ต้องขอโทษที่วางลิงก์ไม่ได้เนื่องจากเว็บเด็กดีห้ามค่ะแต่แอบกระซิบว่าห้ามพลาดค่ะ หยูหลงหวาน...และหวามมาก

เอาละค่ะ ตามไปอ่านกันเลยนะคะ

มิถุนา




ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย ตอนพิเศษ Prologue

มาลิกาก้าวลงจากเครื่องบินเป็นครั้งที่สองที่เธอมาเหยียบประเทศไทย ครั้งแรกนั้นถูกบังคับให้ต้องมาส่วนครั้งที่สองเป็นความสมัครใจของเธอเอง ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับครั้งแรกที่เธอมายังกรุงเทพฯเธอไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วเธอจะตัดสินใจอยู่ประเทศไทยตลอดไป

ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

หลังจากทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิมและเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกยามากูชิมาลิกาก็ตัดสินใจ...เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เธอยังจำความอบอุ่นยามมือของนรสิงห์กุมมือของเธอดวงตาสีเข้มคมปลาบดุจดวงตามังกรของเขาสบมองเธออย่างจริงจังได้เป็นอย่างดีพวกเขากำลังบินอยู่เหนือน่านฟ้าประเทศสหรัฐอเมริกา เครื่องใกล้จะร่อนลงจอดเต็มที

‘มาอยู่เมืองไทยกับผมนะ’

‘คุณว่าอะไรนะ’

‘ผมอยากให้คุณมาอยู่ใกล้ๆผม...มาอยู่ตลอดไป ตอนที่ผมชวนคุณกลับบ้านกับผม ผมจริงจังนะ...กับความสัมพันธ์ทั้งหมดนี่’

ความเงียบของเธอเริ่มทำให้เขาหงุดหงิด เขาแสดงออกทางน้ำเสียงที่พูดมือที่จับมือเธอปล่อยกะทันหัน เธอเสียดายความอบอุ่นนั้น นึกอยากฉวยมือของเขาไว้ไม่ปล่อยหากรู้ดีว่าเวลานี้อาจจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่พวกเขาควรจะคุยกันให้รู้เรื่องก่อนจะตัดสินใจครั้งสำคัญ ถึงก่อนหน้าเธอรับปากเขาว่าจะกลับบ้านกับเขาแต่คำว่า ‘ตลอดไป’ มันจะต้องหมายความตามนั้นจริงๆ

‘ทำไมเงียบไปล่ะ ผมนึกว่าคุณตัดสินใจไปแล้ว คุณยังไม่รู้ใจผมอีกหรือทั้งที่เราก็ผ่านเรื่องอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย’

‘ฉัน...’

‘ผมเสียใจนะ’ คนใจร้อนพูดขึ้นมาอีกหน้าออกอาการงอนอย่างเห็นได้ชัด

‘ฉันยังไม่ได้ตอบว่าไม่สักหน่อย’

‘แสดงว่าคุณเซย์เยส’

‘ถามจริง...คุณไม่คิดว่ามันเร็วไปหน่อยเหรอ’

‘ผมรู้ว่าผมเลือกอะไร ผมเลือกคุณ ผมรักคุณนะ’

‘ฉันก็...รักคุณ’

และนั่นทำให้หน้าหน้าบึ้งๆ เริ่มยิ้มขึ้นมาหน่อยแต่ดูท่าคำตอบจะยังไม่เป็นที่น่าพอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคำถามต่อมานั้นคาดคั้นในที

‘แล้วทำไมไม่ตอบรับผมล่ะ’

‘แม่คงจะตกใจ’

‘เพราะอย่างนี้ผมถึงได้ตามมาอเมริกายังไงเล่า ผมจะได้เจอแม่ของคุณ แนะนำตัว...ว่าที่ลูกเขย’

‘ขี้ตู่ ฉันยังไม่ได้ยอมรับสักหน่อย’

‘ไม่มีโอกาสเลยหรือ’

หน้ามุ่ยราวเด็กเอาแต่ใจของเขาทำให้เธอบอกเสียงอ่อน

‘ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่...คุณแน่ใจหรือเพราะเรื่องของเรา...มันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันกลัวว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง เมื่อคุณรู้ใจตัวเองมากกว่านี้คุณจะปลี่ยนใจ’

‘ผมไม่เคยแน่ใจอะไรมากไปกว่านี้แล้ว’

‘ถ้าคุณคิดอย่างนั้น...’

เขาแทรกขึ้นมาก่อนเธอจะพูดจบ

‘ผมแน่ใจว่าเราจะไปด้วยกันได้ แต่คุณล่ะ คุณคิดยังไง คิดจะเปลี่ยนใจจริงๆหรือ ผมคิดว่าเราเข้าใจกันดีแล้วเสียอีก’

‘ฉันไม่ได้เปลี่ยนใจ’ เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำเสียงอ่อนเสียงเบาราวกับกลัวเขาจะเสียใจเต็มประดา

‘ถ้าคุณยังไม่แน่ใจ เราก็...ลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนก็ได้’ อย่างน้อยก็ดีกว่าให้เธอปฏิเสธเขาอย่างไม่มีเยื่อใย

‘ที่ไหน’ พวกเขาอยู่กันคนละมุมโลกเลยก็ว่าได้

‘ที่ที่คุณต้องการ’

‘คุณยินดีจะทิ้งของๆ คุณ คนของคุณตระกูลของคุณมาอยู่กับฉันที่อเมริกาหรือคะ’

ความนิ่งของเขาทำให้มาลิกานึกเสียใจที่พูดออกไปอย่างเห็นแก่ตัวเขาก็มีอาณาจักรของเขา เธอก็มีอาณาจักรของเธอ ไม่ว่าใครต่างก็หวงที่ทางของตนเธอไม่ควรพูดอย่างนั้น แต่เธอคิดผิด...

‘ถ้ามันจะทำให้คุณเชื่อผม ผมก็จะทำ’

‘คุณจะมาอยู่อเมริกา?’

‘ครับ ผมจะทำเพื่อคุณ’

คำบอกรักของเขาคือน้ำทิพย์ชะโลมหัวใจของเธอแต่มันเทียบไม่ได้กับคำพูดยอมรับอย่างอ่อนหวานของเขา

‘ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ขนาดนั้น’

‘งั้นคุณต้องการอะไร’

เธอขันสีหน้าไม่เข้าใจของเขา แต่เธอก็ไม่หัวเราะออกไป เธอสบตาเขาน้ำเสียงที่พูดจริงจัง

‘คุณ’

เขาเลิกคิ้วใส่ เธออธิบายต่อ

‘ดังนั้นคุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น มันคงง่ายกว่าถ้าฉันจะไปอยู่เมืองไทย’ แม้งานของพวกเขาทั้งสองจะสำคัญ แต่ผู้คนพึ่งพาอาศัยเขามากกว่าเธอมีเพียงแม่คนเดียวที่เป็นห่วง เธอไม่ควรบังคับให้เขาเลือก

‘ทำไมถึงเปลี่ยนใจ’

‘บอกแล้วว่าฉันไม่ได้เปลี่ยนใจ ฉันแค่เลือก ฉันเลือกคุณ’ เหมือนที่เขาทำเพื่อเธอ

‘มาร์’

‘ฉันไม่เคยอยู่กับใครมาก่อน’ เธอสารภาพอย่างไม่แน่ใจ

‘ผมรู้’

‘คุณให้คนสืบเรื่องของฉันเรอะ เธอทุบเขาแรงทีเดียว แต่คนหนังหนาไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด

‘ก็ตั้งแต่ตอนที่รู้ชื่อจริงของคุณนั่นแหละ’

‘ช่างสอดรู้’

‘แต่ผมไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว ทำให้คุณต้องทิ้งงานที่คุณรักทิ้งแม่...หรือประเทศของคุณ ผมไม่อยากให้คุณต้องมีเหตุผลมาเกลียดผมในอนาคต’

‘ตอนแรกไม่เห็นพูดแบบนี้เลย’

‘ผม...’

‘ไม่คิดหรือว่ามันอาจจะเป็นความต้องการของฉันเอง’ งานเธอหาใหม่ได้ แม่จะเข้าใจเธอ ส่วนอเมริกา...ถ้าไม่มีเขา อเมริกาก็ไม่ใช่ประเทศที่เธออยากจะอยู่

‘ตอนนี้คุณอาจจะคิดอย่างนี้ แต่ผ่านไปอีกหนึ่งปี สองปี หรือหลายปีล่ะคุณจะคิดแบบนี้หรือเปล่า ไม่มีอะไรรับประกันเลย’

‘ความรักกับความเสี่ยงเป็นของคู่กัน’

‘แต่ผมไม่อยากเสียคุณไป’

‘คุณไม่อยากลองหรือคะ มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่กลัว’

‘แต่คุณทำให้ผมกลัว’ตอนแรกเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ เขาคิดถึงแต่ตัวเอง แต่เมื่อลองคิดตามเธอเขาก็เข้าใจความลังเลแต่แรกของเธอ

‘อย่ากลัวไปเลยค่ะ ฉันยังพร้อมจะเสี่ยงเลย ใครจะไปรู้ ในท้ายที่สุดอาจจะเป็นคุณที่เปลี่ยนใจก็ได้’

‘ไม่มีวัน’

‘อย่าเพิ่งแน่ใจไป’

‘ก็ลองดูสิ’

‘กำลังจะลองอยู่นี่ไง แต่ดันมีใครบางคนเกิดป๊อดขึ้นมา’

‘ผมไม่ได้ป๊อด’

‘งั้นก็ตกลงนะคะ ให้เป็นฉัน ฉันเชื่อว่าฉันจะสามารถทำงานที่ฉันรักในกรุงเทพฯได้’

นรสิงห์ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆเขาถึงได้กลายเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจขึ้นมาทั้งที่เมื่อกี้เขาเป็นฝ่ายไล่ต้อนเธอแท้ๆ แต่เมื่อเห็นความตั้งใจและความรักของเธอผ่านทางดวงตาคู่สวยเขาก็พยักหน้า

‘ตกลง’

และด้วยเหตุนี้หลังจากพาเขาไปพบแม่ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้แม่ฟังโดยละเอียด เธอก็เริ่มมองหาลู่ทางในเมืองไทยนรสิงห์ใช้เส้นสายของตนช่วยเหลือเธอเรื่องงานอีกแรง เขาช่วยให้เธอได้งานชิ้นแรกในกรุงเทพฯและมันจะเริ่มต้นในอาทิตย์หน้า เนื้องานคงไม่แตกต่างกันแต่ลักษณะการทำงานของกองถ่ายภาพยนตร์ในเมืองไทยกับงานในกองถ่ายละครของอเมริกาคงจะไม่เหมือนกัน

ปัจจุบันซ้อนทับกับอดีตเมื่อมาลิกาเห็นใบหน้าของคนรักโดดเด่นท่ามกลางผู้คนที่มารอรับผู้โดยสารขาเข้าเธอไม่ได้เจอเขาเพียงอาทิตย์เดียวเพราะเขาเทียวไปเทียวมาระหว่างเธอจัดการเรื่องการย้ายบ้าน แต่ไฉนจึงรู้สึกนานราวกับเป็นปีมือของเธอปล่อยกระเป๋าที่ลากกะทันหัน ก่อนจะวิ่งไปหาเขา เธอโถมร่างเข้าใส่กอดเขาไว้ด้วยความดีใจ

“หยูหลง”

“คิดถึงจัง” นรสิงห์บอกและไม่อายที่จะแสดงความรู้สึกในรูปของจุมพิตดูดดื่มเขาไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ปัจจุบันของเขามีแต่เธอคนเดียวเท่านั้น

เมื่อคลายความคิดถึงลงไปบ้างเขาก็ปล่อยเธอเป็นอิสระ หน้าของเธอแดงก่ำ เธอพูดไม่ออกสักคำและเธอหายใจแทบไม่ทันด้วย

“จะไม่พูดอะไรกับผมสักคำให้ชื่นใจสักหน่อยหรือ”

“คนบ้า” เป็นคำแรกที่มาลิกาพูดขึ้นมือกำหมัดส่งแรงไปที่ต้นแขนของเขาดังบึ้ก “มาถึงก็เอาใหญ่เชียว ไปโน่นไปเฉียนรออยู่โน่นแล้ว” เธอพยักพเยิดไปทางด้านหลัง บอดีการ์ดของชายหนุ่มผงกศีรษะให้เธอยิ้มๆไม่ถือสาความ ‘เยอะ’ ของผู้เป็นนาย

“ก็ให้เฉียนรอไป”คนเป็นนายไม่สน เขารังแกริมฝีปากที่เริ่มช้ำอีกครา มาลิกาไม่ต่อต้านแถมยังจูบตอบเขาด้วยซ้ำ เฉียนมองภาพตรงหน้าเพลินตา ไม่กลัวจะโดนนายว่าเขารู้ดีว่านรสิงห์ไม่ถือสาเขา เขาดีใจแทนเจ้านายที่มีคนรู้ใจอยู่เคียงข้างนายใหม่ของเขาจะไม่ทำให้นายผู้เป็นที่รักของเขาเบื่อ

“รอให้กลับถึงบ้านก่อนเถอะแล้วคุณจะรู้ว่าผมคิดถึงคุณขนาดไหน” เสียงกระซิบพร่าข้างหูทำเอาแก้มร้อนของเธอเป็นสีจัด

“พอเลยพูดอะไรอยู่นั่นแหละ” เธอหันไปทางกระเป๋าเดินทางที่ลากติดตัวมาหากพบว่ามันอยู่ในการจัดการของเฉียนเรียบร้อยแล้ว

นรสิงห์เดินมาข้างๆและสอดมือใหญ่กอบกุมมือของเธอ

“เรากลับบ้านกันเถอะ”

บ้านของพวกเขาตั้งอยู่ในรั้วรอบขอบชิดของสิงห์ทอง ที่ผู้เฒ่าตระกูลซือสั่งให้คนงานเร่งสร้าง ‘เรือนหอ’ของหลานชายหลังจากข่าวการเปิดตัวคู่รักของนรสิงห์แพร่กระจายไปทั่ว โดยเฉพาะคู่รักที่ว่าไม่ใช่คู่หมั้นของเขาแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักเมื่อทราบว่าหญิงผู้โชคดี...หรือโชคร้าย? เป็นหลานสาวอีกคนของผู้เฒ่ายามากูชิยังไงอำนาจก็ต้องต่อด้วยอำนาจ เงินก็ต้องต่อด้วยเงินเป็นคติพจน์ของพวกคนรวยในยุคสมัยนี้อยู่แล้ว ไม่มีใครแต่งงานเพื่อความรักหรอกแต่ไม่มีใครรู้ความจริงดีไปกว่าเจ้าตัวทั้งสอง...

หลังจากจบเรื่อง ยามากูชิคนเดียวที่มาลิกายังติดต่อคือไหมเธอเข้าไม่ถึงอคิน ส่วนโทดะนั้น ถึงตาเฒ่าจะเพียรติดต่อหรือมาหา เธอก็เมินไม่สนใจเหมือนกับการย้ายมาอยู่เมืองไทยในครั้งนี้ เธอไม่ได้แจ้งพวกยามากูชิ ราวกับว่าเธอไม่ใช่คนของยามากูชิยังไงยังงั้นทั้งที่โทดะอุตส่าห์ให้ข่าวว่าเธอเป็นหลานสาวคนหนึ่งของเขาเธอไม่เคยนับถือโทดะเป็นญาติอยู่แล้ว ถึงเขาจะเพลี่ยงพล้ำหรือเจ็บปวดเธอก็ไม่แคร์เขาสมควรจะรับกรรมเสียบ้าง เธอคิดด้วยซ้ำว่าที่เขาโดนยังน้อยเกินไปคนที่น่าสงสารมากกว่าเขายังมีอีกเยอะแยะ เธอได้แต่หวังว่าคนเหล่านั้นจะก้าวเดินต่อไปในอนาคตไม่จมปลักกับอดีต...เหมือนกับเธอที่ยอมตามใจหัวใจตัวเองมาอยู่กับคนรักในประเทศที่ประกาศว่าจะไม่มาเหยียบ

หลานสาวที่ถูกเก็บเงียบของยามากูชิเป็นข่าวที่น่าสนใจยิ่งมีหน้าตาเหมือนทายาทของยามากูชิ แถมยังเป็นคนรักของทายาทตระกูลดังไม่แพ้กันก็ยิ่งตกเป็นข่าวเกรียวกราวสายข่าวบันเทิงส่งคนมาลอบดูผู้หญิงของนรสิงห์ในวันแรกที่เธอก้าวเข้าสู่บ้านตระกูลซือ

“มีคนมาต้อนรับคุณเต็มไปหมด”ดวงตามังกรปรายมองไปนอกกระจกรถยนต์ นักข่าวหลายคนยืนแกร่วอยู่ข้างนอก ไม่กล้าพุ่งเข้าหารถของพวกเขาเพราะกลัวบอดีการ์ด...หรืออิทธิพลที่ยังคงอยู่ ได้แต่ถ่ายรูปในระยะไกลเขาเห็นเลนส์ซูมของนักข่าวบางคนแต่รู้ดีว่าไม่มีทางที่คนเหล่านั้นจะได้ภาพของมาลิกาถ้าพวกเขาไม่เลื่อนกระจกลงกระจกกั้นแสงปกปิดใบหน้าของพวกเขา

“ต้อนรับแบบนี้ไม่เอาด้วยหรอกนะ”

“แต่คุณหนีไม่ได้หรอกรับรองว่าอาทิตย์หน้า คงมีคนไปรอคุณที่กองถ่ายแหงๆ”

มาลิกาถอนหายใจเฮือก“เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม”

“ไม่”นรสิงห์รีบขัดขึ้นมาทันควัน “ห้ามเปลี่ยนใจแล้ว ไม่มีการถอยหลังกลับไม่งั้นผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

“พูดเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้”หญิงสาวหัวเราะจนตาหยี สนุกที่ยั่วเขาขึ้น

“ห้ามล้อเล่นแบบนี้นะผมไม่ชอบ”

“แน่ะมีงอนด้วย ผู้ชายอะไรใจน้อยก็เป็น” เธอล้อ และได้ดวงตาค้อนๆ เป็นของแถม

“งอนจริงๆเหรอเนี่ย” ดวงตาของเธอเบิกกว้าง “โอ๋...โอ๋...ไม่เอาน่า แบบนี้เกิดข่าวหลุดออกไป ‘เจ้าพ่อสิงห์ทองงอนสาว’ นี่ขายหน้าแย่เลยนะ”เธอกอดเขาอย่างเอาใจ แต่รู้เอาเมื่อสายว่าถูกเขาหลอก

“ไม่เป็นไรเพราะผมจะเอาคืนทบต้นทบดอก ฉลองเรือนหอใหม่ให้เปรมเชียวละ” นรสิงห์ทำเป็นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะจุมพิตเธอโดยไม่สนใจเฉียนที่เป็นคนขับรถสักนิด บอดีการ์ดหนุ่มที่เหลือบมองกระจกหลังเป็นระยะได้แต่ส่ายหน้าไปมาความสุขแต้มบนใบหน้าของเขา เมื่อเจ้านายมีความสุข เฉียนคนนี้ก็มีความสุข

แหมลองเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ รับรองว่าอีกไม่เกินปี จะต้องมีคุณหลงหรือคุณมาร์ตัวน้อยๆออกมาวิ่งเล่นให้ทั้งสองตระกูลปวดหัวกันแน่


(ยาวอีกแล้วค่ะ วางบนบล็อกได้ไม่หมด ต้องไปต่อกันอีกบล็อกนะคะ) 




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2557 0:11:12 น.
Counter : 856 Pageviews.  

ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย Part 2 (จบ)

งานเลี้ยงกลางคืนยิ่งใหญ่กว่างานกลางวันเนื่องจากเป็นงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรส แขกอื่นๆ นอกจากพวกยามากูชิและซือต่างมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ห้องบอลรูมตกแต่งหรูหราด้วยสีเงินและสีทอง สีของยามากูชิและซือ แซมด้วยสีเขียวรื่นรมย์ มาลิกางดงามในชุดแต่งงานสีงาช้างแขนยาวปิดถึงข้อมือแต่ด้านหลังกลับคว้านหลังลึกและมีผ้าโปร่งบางปิด รอยสักพยัคฆ์ปรากฎเลือนราง ชายกระโปรงยาวลากพื้นชนิดที่ไหมต้องคอยช่วยระวังไม่ให้ถูกเหยียบ เครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวนอกจากแหวนแต่งงานเป็นสร้อยคอห้อยจี้เพชรไลต์ไฟร์ นรสิงห์ในชุดสูทสีขาวผูกหูกระต่ายสีทองยืนเคียงข้างไม่ห่าง พวกเขาช่วยกันต้อนรับแขกหน้างาน ญาติๆ กระจายตัวพูดคุยสังสรรค์กับแขกผู้มีเกียรติ บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อแขกกลุ่มใหญ่เดินเข้ามา นรสิงห์เห็นพวกเซอเพนเตมากันพร้อมหน้า ขนาดตาเฒ่าเอมิลิโอก็ยังถ่อสังขารมา น่าเสียดายขาดเลเบดที่บัดนี้ยังอยู่ในซังเตไม่ก็วิ่งเต้นเรื่องคดีความที่ก่อไว้

หลังจากรีดเค้นเอาความจริงจากอสมาได้ โทดะก็ปล่อยเธอไป ยังมาซึ่งความไม่เข้าใจของคนหลายคน แต่คนในอย่างอคินและนรสิงห์ดูจะเข้าใจว่าโทดะคงจะช็อกและปลงจนไม่อยากเอาเรื่องอสมา แล้วอีกอย่างกฎหมายจะลงโทษพวกเลเบดเอง ทรงฤทธิ์รับปากเอาไว้แล้ว และทำได้ดังที่บอก มีเพียงอสมากับธัญญาที่หลุดรอดมาได้คอยวิ่งเต้นช่วยเหลือเลเบดที่เหลือที่อยู่ในคุก อาณาจักรของเลเบดล่มสลาย ธุรกิจถูกสั่งแช่แข็ง ทรัพย์สินถูกยึด เลเบดเจอเรื่องสาหัสและไม่มีโอกาสฟื้นตัว สมกับโทษทัณฑ์ที่พวกเขาทำไว้

ยามากูชิภายใต้การนำของอคินได้พาตัวเองเข้าสู่ธุรกิจสีขาวเต็มตัว โดยมีพวกสิงห์ทองร่วมอุดมการณ์ด้วย แต่ที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจคือเซอเพนเตก็สนใจเช่นกัน แก๊งผู้มีอิทธิพลทั้งสามยังคงรักษาอิทธิพลของตัวเองต่อไป เพียงแต่เริ่มโละธุรกิจที่ไม่ค่อยสะอาดออกไปเสีย การที่ตำรวจขอความช่วยเหลือจากตระกูลซือจึงเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว

“จำได้ว่าเจ้าสาวไม่น่าจะใช่คนนี้ไม่ใช่เรอะ” อนันตชัยนำทีมแซวมังกรหยก

“นั่นสิ หมั้นกับน้อง แต่ดั๊นมาแต่งกับพี่ อย่างนี้จะดีเร้อ” อนันตฤกษ์รีบเสนอหน้าเป็นลูกคู่ แต่น้องสาวคนเล็กของสองหนุ่มกลับขัดขึ้นมา

“พี่โทนี่ พี่แองเจิล คนเขารักกันก็เลยแต่งงานกัน มันผิดตรงไหน”

“เปล๊า ก็ไม่ผิดอะไรหรอก” ดวงตาของอนันตฤกษ์เป็นประกาย “แค่อิจฉา”

“อิจฉาก็เลิกควงสาวๆ ไม่ซ้ำหน้าแล้วรีบแต่งงานบ้างสิ อ้อ แต่บอกไว้ก่อนว่าหนูไม่รับพวกสาวๆ ที่พี่ควงเป็นพี่สะใภ้นะ ไม่ผ่านมาตรฐานสักคน”

“ถ้าเป็นแบบมาร์ถึงจะโอเคใช่ไหม” อนันตฤกษ์ไม่พูดเปล่า ถือวิสาสะคว้าเจ้าสาวมากอดเอว เจ้าบ่าวขี้หวงรีบตามมาแยก

“งกจริงนรสิงห์ ขอควงถ่ายรูปนิดเดียวเอง” เขาหันไปยิ้มให้กล้องที่ตามมาถ่ายพวกเขา

“เออ งก ของของฉัน ฉันหวง”

คำประกาศยังมาซึ่งเสียงโห่แซวความหวานของเจ้าบ่าว มาลิกาหน้าแดง อายที่สามีเวอร์เกินไป

“อย่าไปสนหมอนี่เลยมาร์ อาชีพนักหักอกสาวๆ ทำผู้หญิงเสียใจมานักต่อนักแล้ว”

“เมื่อไหร่แกหรือโทนี่จะแต่งงานบ้างล่ะ ปล่อยให้พวกซือกับยามากูชิแซงหน้าไปได้ยังไง” เอมิลิโอแทรกขึ้นมา มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “ปู่ยังอยากจะเห็นหน้าเหลนก่อนตายนะ”

“ปู่ครับ อย่าพูดแบบนี้สิ ปู่ยังต้องอยู่กับเราไปอีกนานๆ”

“ในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้หรอก เราถึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดยังไง” และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาไม่ขัดขวางอนันตชัยที่อยากจะเปลี่ยนแปลงเซอเพนเตไปในทางที่สะอาดขึ้นและปลอดภัยขึ้น เพราะเขาคงไม่มีปัญญาจะอยู่ปกป้องพวกหลานๆ ไปจนแก่เฒ่า เขาไม่อยากจะเสียหลานๆ เหมือนที่เสียลูกชายทั้งสามไป และสิ่งที่เกิดขึ้นกับยามากูชิกับเลเบดก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการแก้แค้นไม่มีประโยชน์ รังแต่จะทำให้สูญเสียมากขึ้น

“ใช่ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้จริงๆ” โทดะเดินเข้ามาสมทบ “พวกเราคนแก่จึงต้องเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้ทำอะไรดีๆ ที่เป็นประโยชน์บ้าง”

“เท่าที่ดูก็คงจะดีกว่าที่พวกเราทำกันมานั่นแหละ”

“นั่นสิ” โทดะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนจะชวน “เราไปนั่งคุยเรื่องเก่าๆ ของเรากันดีกว่าเอมิลิโอ ปล่อยให้พวกหนุ่มๆ สาวๆ เฮฮากันไป”

กว่าส่งแขกจนหมดงานก็ปาเข้าไปห้าทุ่ม พวกยามากูชิและซือแห่ไปส่งบ่าวสาวถึงห้องพัก ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ โทดะไม่วายพูดทิ้งท้าย

“อย่าลืมละหยูหลง อย่าทำให้ปู่ผิดหวัง”

“แน่นอนครับปู่” นรสิงห์รับคำพลางหัวเราะ ก่อนจะร้องโอ๊ยเพราะเจ้าสาวกระแทกส้นรองเท้าใส่เท้าเขา

“รับเป็นลูกคู่กันเชียว ไม่ต้องสงวนท่าทีกันแล้วหรือไง”

“ใช่ อยู่กันสองคนไม่ต้องสงวนท่าทีแล้ว” เขาตอบไปคนละทาง แถมยังหันไปรวบร่างเพรียวอุ้มเดินไปที่เตียง

“อุ๊ย!” หญิงสาวอุทาน แก้มถูกรุกรานรุนแรง “เล่นอะไรน่ะคุณ”                       

“ชื่นใจ รู้ไหมว่าผมรอเวลานี้มาตั้งนานแล้ว”

“คุณก็ คึกไปได้”

นรสิงห์โยนเธอลงกลางเตียง กระโปรงบานฟูรอบกาย เธอมองใบหน้าของเขาลดต่ำลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากของเขาแตะริมฝีปากของเธอ จุมพิตเริ่มต้นอย่างแผ่วเบาและอ่อนหวาน ก่อนเจตนาจะแปรเปลี่ยนเป็นดูดดื่มและร้อนแรง มือต่างตระกองกอดกันและแบ่งปันสัมผัสเสน่หา

เขาถอนริมฝีปากออกและกระซิบคลอเคลีย “คิดถึง”

“เจอกันทุกวัน วันนี้ก็เจอกัน ยังจะคิดถึงอยู่อีก”

“ไม่รู้ละ ก็อยากพูด...คิดถึงนะ” แล้วก็ขโมยลมหายใจของเธออีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้หยุดง่ายๆ มือเริ่มยุกยิกที่ชุดแต่งงานของเธอ กระดุมด้านหลังติดขัด ขณะที่เธอพยายามช่วยเขาถอดเสื้อและกางเกง ต่างคนต่างเร่งรีบจนกลายเป็นขัดขวางกันเอง

“หยูหลง คุณต้องหยุดถอดเสื้อนอกก่อน ไม่อย่างนั้นก็แกะกระดุมให้ฉันไม่ได้หรอก” เธอหัวเราะ มือของทั้งสองปล่อยลงพร้อมกัน เธอมองเขาถอดเสื้อสูทและกระชากหูกระต่ายโยนลงพื้นทั้งที่ใบหน้ายิ้มอย่างหมายมั่น มือของเขาเอื้อมมาที่ผมของเธอ ดึงหมุดกิ๊บนับสิบออกแล้วสยายผมของเธอที่บัดนี้ยาวเกือบถึงกลางหลัง ประกายสีน้ำเงินแทรกอยู่ในเส้นผมสีดำสนิท

“สวยมาก” เสียงห้าวบอกอย่างหลงใหล

“อีกเจ็ดเดือนคุณยังจะพูดแบบนี้อีกไหม”

คำถามของเธอทำเอาเขานิ่วหน้า “เจ็ดเดือน? ทำไมต้องเจ็ดเดือน”

มาลิกาค่อยๆ เปิดยิ้มอย่างไม่แน่ใจ ชายหนุ่มเริ่มจะเดาความนัยได้ เขาอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง

“คุณท้องเหรอ”

“เพิ่งได้ผลเมื่อวานซืน ยังไม่มีเวลาบอกคุณเลย”

“กี่เดือนแล้ว”

“สองเดือน”

“ตอนนั้นใช่ไหม” นรสิงห์ระลึกถึงฉากหวามระหว่างเขากับเธอเมื่อสองเดือนก่อน พวกเขาใจร้อนจนไม่ได้ป้องกันถึงผลที่จะตามมา เพราะเห็นว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกัน

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งกอดเข่า “หยูหลง คุณโอเคไหม” เขานิ่งเสียจนเธอใจแกว่ง

“โอเคสิ โอเคเสียยิ่งกว่าโอเค” น้ำเสียงนั้นตื่นเต้น “เรากำลังจะมีลูก เรากำลังจะเป็นพ่อแม่”

“แต่คุณทำหน้าเหมือนไม่ดีใจเลย”

“โธ่! ที่รัก” เขาดึงเธอมากอด “ใครว่าผมไม่ดีใจ ผมดีใจ ดีใจมาก แต่ผมแค่กำลังช็อก มัน...มันไม่คาดฝัน”

“ช็อก! ไม่คาดฝัน! งั้นก็หมายความว่าคุณไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนี้น่ะสิ” มาลิกาเริ่มโวยวาย ดูท่าว่าฮอร์โมนคนท้องจะเริ่มเล่นงานเจ้าหล่อนเข้าแล้ว

“ไม่เอาน่ามาร์” นรสิงห์ดันเธอออกให้อยู่ในระยะแขน เขาสบตาเธอและเห็นดวงตาที่ฉ่ำน้ำตา “ร้องไห้ทำไมที่รัก มันเป็นเรื่องน่ายินดี วันนี้เป็นวันดีๆ ของเรานะ เป็นวันที่เราได้เริ่มต้นชีวิตคู่อย่างสมบูรณ์ แล้วไหนจะเจ้าตัวน้อยนี่อีกละ” มือของเขาเลื่อนไปแตะหน้าท้องของเธอซึ่งตอนนี้ยังแบนราบ ส่วนมืออีกข้างเช็ดน้ำตาของเธอที่เริ่มจะไหลออกมา

“ผมดีใจที่เรามีลูกด้วยกัน ดังนั้นอย่าร้องไห้เลยนะ รู้ใช่ไหมว่าผมรักคุณ”

มาลิกาพยักหน้าหงึกๆ น้ำตาเริ่มเหือดหาย

“และผมก็จะรักลูกของเราด้วย ไม่ว่าลูกจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ว่าแกจะเกิดตอนไหน ไม่ว่าเราจะมีลูกกี่คน”

“คุณดีใจหรือ”

“แน่นอนสิ หรือคุณไม่ดีใจ”

“ฉัน...ดีใจ แล้วก็...ตื่นเต้นด้วย มัน...ความรู้สึกมันหลากหลาย ฉันคิดว่าฉันสับสนด้วย”

“ผมรู้ ผมเข้าใจนะ แต่เอาเป็นว่าคุณแน่ใจได้อย่างนึงว่า เด็กคนนี้เกิดมาจากความรัก พ่อแม่ของแกรักกัน และทำให้แกเกิดมา ผมรักคุณกับลูกนะที่รัก”

 เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอ เขาก็โล่งใจและเริ่มยิ้มออกบ้าง

“แม่ของคุณกับตาเฒ่าคงจะดีใจ ขอหลานขอเหลนได้รวดเร็วทันใจ”

“ตาคุณก็ไม่หยอกนะ สนับสนุนกันใหญ่เชียว”

“ความสุขของคนแก่น่ะ”

เธอเอนศีรษะพิงไหล่ของเขาและรำพัน “อีกเจ็ดเดือนมันจะเป็นยังไงนะ”

“ในฐานะพ่อแม่มือใหม่ เราคงจะวุ่นวายน่าดู แต่ผมเต็มใจ” มือของเขาแตะท้องของเธออีกครั้ง

“สวัสดีลูก นี่คือพ่อของลูกนะ อีกเจ็ดเดือนเจอกัน”

 มาลิกาหัวเราะคิก “คุณพูดกับลูกเหรอ” เห็นหน้าขรึมๆ อย่างเขาทำอะไรกุ๊กกิ๊กๆ แบบนี้แล้วมันช่าง...ไม่เข้ากันที่สุด

“อ้าว คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ที่เขาว่าเด็กๆ มีพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในท้อง พ่อแม่ควรจะพูดคุยสื่อสารกับลูกเพื่อพัฒนาการที่ดีของลูก”

“เคย แต่กับคุณ...มันไม่เข้ากันเลย”

“เอาน่า ผมคงไม่ไปพูดให้ใครเห็นหรอก”

“ทำไมคะ เสียภาพลักษณ์มังกรหยกหมดเหรอ”

“ก็...นิดนึง”

“แหม นึกว่าเสียไปตั้งแต่ตอนเสนอตัวลงข่าวบินไปง้อสาวถึงอเมริกาแล้ว”

“ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณได้...และตอนนี้ก็มีลูกอีกคนนั่นแหละ”

“ขอบคุณนะ” มือของเธอประสานกับมือของเขา นิ้วสอดเกี่ยวด้วยกัน พวกเขาค่อยๆ ล้มตัวลงนอนกลางเตียง ศีรษะเคียงข้างกัน ก่อนจะหันมาสบตาหวาน

“ขอบคุณเหมือนกันที่ยอมมาอยู่ที่นี่กับผม ผมรู้ว่ามันยากสำหรับคุณกับแม่ที่ต้องย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย กลับมาสู่ชีวิตที่เคยหนี” เขาดีใจที่เธอเลือกมาเพราะเขา มากกว่าสนใจข้อเสนอของโทดะหรืออคิน ซึ่งมันตอกย้ำความรักของเธอที่มีต่อเขา

“ถ้าคุณกับอากิระไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงอะไร ฉันก็คงตัดสินใจไม่ได้ง่ายๆ อย่างนี้ คุณก็รู้ใช่ไหม”

“ครับ” นรสิงห์ปัดผมของเธอให้พ้นดวงตาเพื่อจะได้เห็นประกายหวานเจือความนับถือและความมั่นใจในแก้วตาเธอ

“เราจะเริ่มสร้างอาณาจักรของเราด้วยกัน อาณาจักรที่มีคุณ ผม ลูกๆ ของเรา ครอบครัวของเรา อยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป”

จบบริบูรณ์

สวัสดีค่ะ

มาถึงบทส่งท้ายของเรื่องนี้กันแล้ว บทนี้อ่านยาวๆ ฟินๆ กันค่ะ ส่งท้ายกันให้จุใจไปเลย ตัวละครบางคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมโดนไม่สาสมกับที่ทำไปเลย แต่อย่างโทดะก็ดูจะกลายเป็นตาแก่ธรรมดา (ที่ออกจะเจ้ากี้เจ้าการไปสักหน่อย) หรือชีวิตที่ดูจะมีปัญหาของอากิระหรือทาเคตะจะลงเอยยังไง มิถุนาคิดว่าจะแต่งเรื่องของอากิระต่อค่ะ เริ่มได้ไอเดียเล็กๆ อยู่ในใจ ขอเวลาสักหน่อย คงจะได้เจอกันในอนาคต ส่วนใครที่รออ่าน “พี่เมฆ” จากแผนซ้อนซ่อนกลรัก (Hidden Love…ซ่อนอะไรไว้ความลับ) และวายร้ายไม่หน่ายรัก รอกันด้วยนะคะ มิถุนายังไม่ลืม คิดว่าจะเริ่มแต่งหลังจากใต้เงาพยัคฆ์นี่แหละ อาจจะสลับกับเรื่องของอากิระ

ใครอ่านแล้วชอบ แวะทิ้งคอมเมนต์ ให้คะแนน เขียนวิจารณ์เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งได้นะคะ

นิยายเรื่องนี้จะวางแผงราวเดือนก.ค. ค่ะ จะออกกับสนพ. อะไร ราคาเท่าไหร่ หน้าปกสวยไหม จะอัพเดตข่าวในหน้าของนิยาย บล็อก และเฟซบุ๊ก ใครที่กลัวตกข่าว แนะนำคลิก LIKE Facebook ไว้นะคะ น่าจะเป็นช่องทางที่เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับช่องทางอื่นๆ

ก่อนจะลาจากกันไปจริงๆ แอบกระซิบว่ามี “อภินันทนาการพิเศษ” สำหรับผู้อ่าน เป็นPrologue ของบทส่งท้าย (และกำลังดูแนวโน้มความขี้เกียจว่าจะเขียน Epilogue ของบทส่งท้ายด้วยไหม) หวานๆ กันต่อกับมาร์และหยูหลง ห้ามพลาด แต่เนื่องจากมีฉากกระต่าย (ฉากเรต) อยู่นิดๆ ถ้าลงในเว็บเด็กดี มิถุนาจะตัดออกไปเลยค่ะ ส่วนคนที่อ่านในบล็อกแก็งจะยังได้อ่านกันอยู่ อาจจะไม่เรตแรงมาก แต่กันเรื่องการโดนแบนในเว็บเด็กดีค่ะ ดังนั้นใครชอบอ่านฉากกระต่าย เข้าไปอ่านในบล็อกนะคะ เดี๋ยวจะแจ้งอีกทีตอนแปะ Prologue

แล้วเจอกันในตอนพิเศษเร็วๆ นี้ค่ะ

มิถุนา

คลิก Like แฟนเพจ จะได้ไม่ตกข่าวนะคะ https://www.facebook.com/MithunaNiyay

บล็อกรวมนิยาย (และเรื่องจิปาถะ) //mithuna.bloggang.com

อ่านนิยายตัวโตๆ สะใจได้ที่ //my.dek-d.com/Mithuna

กลัวตกข่าวในแฟนเพจของมิถุนา ต้องทำยังไง?

เนื่องจากเฟซบุ๊กลดการฟีดหน้าของแฟนเพจลง ถ้าไม่อยากตกข่าว ให้ทำตามดังนี้ค่ะ

1. เลื่อนเมาส์ไปที่ "Like" (อยู่ด้านบนขวา ใต้ Cover Photo)

2. คลิก "Get Notifications" ในเมนูที่โผล่ขึ้นมา

เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ไม่ตกข่าวนิยายของมิถุนาในหน้าเพจแน่นอนค่ะ เพราะถ้าบางทีไม่ได้อัพนิยาย จะสื่อสารทางเฟซบุ๊กแทนนะคะ




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2557 0:34:59 น.
Counter : 729 Pageviews.  

ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย Part 1

ใต้เงาพยัคฆ์ บทส่งท้าย

มาลิกามาอยู่เมืองไทยได้เกือบปีแล้ว มันเป็นแผนการชีวิตที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวเป็นพี่ชายต่างแม่ เสี่ยงอันตรายแทนเขา เกือบตายแทนเขา ตกลงปลงใจอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำงานเป็นช่างแต่งหน้าอิสระในกองละครและภาพยนตร์ เปิดโรงเรียนสอนแต่งหน้าเต็มรูปแบบ และสุดท้ายลงเอยด้วยการแต่งงานกับคนรักของเธอ

ชุดโออิโรนะโอชิ...ชุดแต่งงานกิโมโนสีขาวซ้อนทับกันหลายชั้น หนาและหนัก ไม่เหมาะกับเมืองร้อนเป็นอย่างยิ่ง กำลังสร้างภาระให้กับมาลิกา เธอสยองชนิดไม่กล้าลุกยืน...เพราะกลัวจะลุกไม่ไหว แค่แบกชุดบนไหล่ก็รู้สึกว่ามันหนักมากแล้ว รวมเบ็ดเสร็จน่าจะหลายกิโลอยู่ เธอหันไปมองทสึโนกากูชิ...เครื่องประดับศีรษะของชุดแต่งงานที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างๆ แล้วเบ้หน้า

ลองถ้าสวมเจ้านี่อีกชิ้น เธอคงไม่ต้องเดินไปไหนแน่ๆ แค่ชุดแต่งงานก็หนักจะแย่ อึดอัดด้วย...อ้อ ลืมไป เธอจะมีคนช่วยประคองระหว่างเดิน ไม่ต้องกลัวจะเดินไม่ไหว

ช่างแต่งหน้าถอยออกเมื่อบรรจงทาลิปสติกสีแดงสดให้เธอเสร็จ เป็นครั้งแรกที่มาลิกามีคนแต่งหน้าใคร ปรกติเธอมักจะแต่งหน้าเอง...และไม่แต่งเต็มยศขนาดนี้ด้วย

“เจ้าสาวสวยมากค่ะ” ช่างแต่งหน้าออกความเห็นพร้อมยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหมุนเก้าอี้ให้เธอหันไปทางกระจกเงา

มาลิกาจำตัวเองแทบไม่ได้ เธอดูผ่องใสและชวนตะลึงสมกับวันงานสำคัญ เธอไม่ได้ทาลิปสติกสีแดงมาตั้งแต่เลิกเป็นวัยรุ่นแล้ว ใครจะไปคิดว่ามันจะเข้ากันกับผิวขาวๆ และผมสีเข้มเหลือบน้ำเงินของเธอ

“ใช่ สวยมาก”

เสียงคุ้นเคยเรียกให้เธอหันไป ดวงตาสีเข้มเบิกกว้างอย่างยินดี นรสิงห์ในชุดกิโมโนแต่งงานของผู้ชายเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว มือของเขาถือพัดกระดาษโบกไปมาอย่างทักทาย ดวงตาเย็นชามีชีวิตชีวิตเมื่อเห็นผู้หญิงคนสำคัญของเขา ช่างแต่งหน้าหลบออกไป ปล่อยให้สองหนุ่มสาวอยู่กันตามลำพังอย่างรู้ใจ

“อิจฉาคุณจัง ชุดใส่สบายกว่าฉันจมเลย”

“นี่ขนาดใส่สบายกว่านะ ผมว่าผมต้องสวมอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ แถมยังต้องถือพัดตลกๆ นี่ด้วย”

“มาดูชุดของฉันก่อนเป็นไงแล้วค่อยพูด”

“ชุดของคุณสวย เหมาะกับคุณ” นรสิงห์แตะไหล่ภายใต้ผ้าสีขาวสะอาดตาอย่างทะนุถนอม “ลิปสติกสีแดงก็เหมาะกับคุณมาก...มากเสียจนผมอดใจไม่ไหวเลยเชียวละ” เขาไม่พูดเปล่า ดึงให้เธอแหงนหน้าขึ้นรับจุมพิตดูดดื่มของเขา สีแดงย้ายมาเคลือบริมฝีปากของเขา ดูน่าขัน...และขณะเดียวกันก็น่าเอ็นดู

“คุณก็เหมาะกับลิปสติกสีแดงเหมือนกันนะ” เธอยิ้ม

ชายหนุ่มหัวเราะ เขาไม่เช็ดริมฝีปาก เพราะรู้แก่ใจว่าจะมีครั้งที่สอง เขาดึงร่างเพรียวที่ตอนนี้ทั้งหนาและหนักด้วยชุดกิโมโนมาสวมกอดแล้วจุมพิตเธอหนักๆ อย่างเสน่หา สองหนุ่มสาวแทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้บุกรุก หรือเสียงกระแอม...

“อะแฮ่ม”

เมื่อครั้งแรกไม่เป็นผลก็มีครั้งที่สอง

“แฮ่ม แฮ่ม” ตามมาด้วยเสียงดังแซวอย่างขบขันโดยหวังว่าคราวนี้จะเรียกความสนใจได้บ้าง

“เอ้าๆ ลิปสติกหลุดหมดแล้วนั่น”

ได้ผล นรสิงห์ปล่อยว่าที่เจ้าสาวพลัน แต่ยังโอบกอดร่างเพรียวไว้ไม่ปล่อย หน้าของเขาแดงเหมือนริมฝีปาก แต่นอกเหนือจากนั้น เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ เว้นแต่ภาคภูมิใจ

“ไฮ มาร์”

“พี่สาว พี่หลง”

ไหมกับปัตถ์ยืนที่หน้าประตู ไหมยิ้มเขิน...หน้าแดงแทนพวกเขา ส่วนปัตถ์อมยิ้มล้อเลียน พวกเขาบินมาจากอเมริกาเพื่อมาร่วมงานแต่งงานของสองหนุ่มสาว

ไหมเป็นนักเรียนโรงเรียนสอนแต่งหน้าแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย กำลังสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เธอเลือกด้วยตัวเอง โดยมีปัตถ์กับแม่คอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ แม่ทำใจเรื่องโทดะและอคินได้มากกว่าตอนแรก กระนั้นแม่ก็ไม่ขอมาร่วมงานแต่งงานของมาลิกากับนรสิงห์ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการกลับเมืองไทยอีก ไหมเคารพการตัดสินใจของแม่ และเธอเห็นว่ามันอาจจะดีต่อแม่...และพวกยามากูชิมากกว่า แม่กับโนริโกะเปิดคอร์สสอนทำอาหารไทยแบบตัวต่อตัว แรกๆ ทำเพื่อแก้เบื่อ สอนเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง หากหลังๆ เมื่อเริ่มมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และได้รับคำโฆษณาแบบปากต่อปาก พวกเธอก็ยึดเป็นงานจริงๆ จังๆ ก่อนจะหันมาเปิดร้านอาหารไทยแทน ด้วยรสมือสุดยอดของทั้งสอง กิจการจึงเป็นไปด้วยดี พวกเธอรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เธอทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำและไม่ต้องพึ่งพาใคร ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับยามากูชิ ที่การทำอาหารก็เป็นแค่การเลี้ยงคนในบ้านให้อิ่มท้อง

คนที่ปรับตัวได้ยากกว่าใครเห็นจะเป็นทาเคตะ ความผิดของโนริโกะและความลับเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงทำให้เขาเสียศูนย์ไปนาน กว่าจะยอมรับความจริงได้ว่าตัวเองเป็นลูกของใคร ทาเคตะลอยชายท่องเที่ยวรอบสหรัฐอเมริกาอยู่เป็นเดือน จนวันหนึ่งปัตถ์พาเขาไปที่กองถ่ายเพื่อเปิดหูเปิดตา กลายเป็นว่าผู้กำกับเกิดถูกใจทาเคตะ ชักชวนเขาไปเป็นตัวแสดงแทนนักแสดงประกอบที่เกิดเจ็บกลางกองถ่ายกะทันหันในบทบาทเสี่ยงตาย เขาแสดงได้ประทับใจ และถูกทาบทามมาทำงานร่วมด้วย จนปัจจุบันได้เลื่อนขั้นกลายเป็นตัวแสดงแทนและผู้ฝึกสอนศิลปะป้องกันตัวประจำกองถ่ายไปเสียแล้ว แต่ทาเคตะก็ยังเหมือนมีอะไรหน่วงอยู่ในใจตลอดเวลา เพียงแต่ว่างานใหม่ทำให้เขาไม่มีเวลาให้คิดฟุ้งซ่านเหมือนก่อน

ไม่ต่างกับทาเคตะ โทดะสิ้นฤทธิ์ไปมาก หลังถอยห่างจากการบริหารยามากูชิ โดยมีอคินรับช่วงงานไปพัฒนาต่อ เขาก็หันเข้าสู่การนั่งสมาธิเพื่อทำจิตใจให้สงบ ซึ่งช่วยได้มาก หลังจากจิตใจเริ่มมั่นคง เขาก็บินไปหาทาเคตะที่อเมริกาพร้อมกับปรานต์ซึ่งกลายมาเป็นคนดูแลเขาแทนทาเคตะ จุดประสงค์เพื่อทำความรู้จักกับลูกชายของเขาอีกครั้ง ทาเคตะสงวนท่าทีกับเขา เห็นเขาเป็นเพียงนายท่าน...แต่ไม่ใช่นายท่านคนเดิมที่ทาเคตะกริ่งเกรงและนับถือ และเขาเป็นคนทำลายศรัทธานั่น ส่วนโนริโกะและศศิมายังคงไม่ให้อภัยเขา ตรงข้ามกับมาลินและชบาที่ต้อนรับเขาอย่างเกรงในที ถ้าเป็นเมื่อก่อน โทดะคงไม่แคร์ แต่เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครคิดว่าเขาจะปล่อยผู้อยู่เบื้องหลังการฆ่าลูกชายและตัวการวางแผนฆ่าหลานชาย สนับสนุนให้หลานสาวคนเล็กเรียนทางด้านศิลปะ หรือปล่อยวางบ่วงอำนาจที่เขาสร้างขึ้น และกลายมาเป็นคนแก่ธรรมดาที่ออกจะจุกจิกวุ่นวายไปสักหน่อย บางคนอาจคิดว่าพวกเขารับโทษไม่สาสมกับความผิดที่พวกเขากระทำ แต่มาลิกาไม่เห็นด้วย เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีใครที่เป็นเหมือนเดิม

“สบายดีนะ”

“สบายดี”

“ไหมก็สบายดี”

“ส่วนฉันคงไม่ต้องถามเธอว่าสบายดีไหม หน้าเธอฟ้องหมดแล้ว”

“ไอ้บ้าปัตถ์ มาถึงก็ปากดีเลยนะ” มาลิกาเดินเข้าตัวปลิวทั้งที่ชุดก็หนัก เมื่อถึงเป้าหมายก็ซัดที่แขนเขาแรงๆ เอาคืน ไหมหัวเราะชอบใจ

“เอาอีกพี่สาว แรงๆ เลย เขาไม่เจ็บหรอก อีตานี่นอกจากจะหนังหนา ยังชอบแหย่ไหมอยู่เรื่อย ปากหาเรื่องตลอดเวลา”

“มาอิจัง พอมีพวกเข้าหน่อยละเอาใหญ่เชียวนะ” ปัตถ์ขยี้ศีรษะของเธออย่างมันเขี้ยว

“ฮึ ก็ใครเล่าชอบแกล้งฉันอยู่เรื่อย”

“ก็ใครเล่าแหย่ขึ้นอยู่เรื่อย”

ไหมกระทืบเท้าที่คนรักล้อเลียนเธอจนเขาร้องโอ๊ย เธอไม่สนใจ ปัดมือเขาออกแล้วโผนไปหาพี่สาว กอดแขนอีกฝ่ายไว้แน่น

“ดูสิพี่สาว” เธอฟ้อง

“แหย่กันเป็นเด็กๆ ไปได้ ไม่เปลี่ยนเลยสินั่น”

“ไม่มีวันเปลี่ยนหรอก ไม่มีวัน”

อ้อ อาจจะมีคู่หนึ่งละที่ไม่เปลี่ยน...วันแรกเป็นยังไง วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น มาลิกาคิดยิ้มๆ

ปัตถ์ยืนยันความรู้สึกของเขา ตาสบมองคนที่อยู่ตรงข้าม สื่อบอกว่าสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือใจของเขา นับตั้งแต่เริ่มเข้าใจหัวใจตัวเองทีละนิด เขาก็เริ่มยอมรับมัน และโชคดีที่เธอก็มีหัวใจเดียวกับเขา

“เอ้า หวานกันซะให้พอ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันเลย” นรสิงห์แทรกขัดขันๆ

“ช่วยไม่ได้ ใครบางคนไม่เกรงใจก่อน” ปัตถ์ยักไหล่ หน้ายวนๆ

“ช่วยไม่ได้ ใครบางคนทำให้อดใจไม่ไหว” หนุ่มมังกรเล่นคำกลับ พลางส่งตาหวานให้ ‘ใครบางคน’ ซึ่งแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทั้งที่แก้มเริ่มออกสีจัดชนิดที่ซ่อนอย่างไรก็ไม่มิด

“นายนี่มันจริงๆ เล้ย” ปัตถ์รู้ดีว่าเจอคู่แข่งสำคัญซะแล้ว...อ้อ จะว่าไปเขาก็รู้มาตั้งแต่แรกแล้วละ เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ยอมรับเท่านั้น

“ก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ”

“นั่นสิพี่สาว พวกผู้ชายนี่เป็นแบบนี้ทุกทีเลย เราไปเติมลิปสติกกันดีกว่า พี่หลงทำเสียหายหมดเลย” น้องสาวเข้ามาประคองมาลิกาแล้วพาไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง

ปัตถ์ที่เคยเหม็นขี้หน้านรสิงห์มาก่อนปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว

“พวกผู้หญิงเนี่ยน้า ได้ทีก็รวมหัวกันใหญ่เลย”

“นายก็จับคู่กับหยูหลงสิ ปัตถ์ ไม่มีใครว่าอะไรนี่” มาลิกาหันมาตะโกนยุส่ง

“ก็ด้าย แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน จะมาขอเจ้าบ่าวคืนตอนหลังไม่ได้นะ” ปัตถ์ลากเสียงแล้วแสร้งทำชะม้ายตาไปทางว่าที่เจ้าบ่าว แต่ก่อนที่เขาจะได้คล้องแขนกับนรสิงห์ หนุ่มมาเฟียก็ร้องออกมาอย่างรังเกียจ

“หยุดเลย ไม่ต้องมาแตะฉันเชียว ฉันไม่นิยมไม้ป่าเดียวกัน”

“แหม ทีอย่างนี้ละมาทำกลัว เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นเลยนี่” ปัตถ์แซว จำได้ดีว่าเมื่อปีก่อนนรสิงห์ตามติดมาลิกาที่ปลอมตัวเป็นอคินชนิดที่ว่าถึงไล่ก็ไม่เลิก

“นั่นมันคนละคนกัน” นรสิงห์ตามไปหาผู้หญิงของเขา และช่วยประคองเธอเดินจนถึงโต๊ะ

“ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นหรอก ฉันถึงจะยอม”  

“จ้า รู้แล้วจ้า หวงกันขนาดนี้ แสดงความเป็นเจ้าของซะขนาดนี้ ใครจะกล้าเป็นมือที่สาม”  

“นายก็มีคนของนายอยู่แล้วนี่ นายคงไม่มาสนคนของฉันหรอก” เขาพยักพเยิดไปทางไหมที่กำลังบรรจงปาดพู่กันจุ่มลิปสติกสีแดงสดบนริมฝีปากของเจ้าสาว ทันเห็นมือของเจ้าหล่อนสั่นนิดๆ ที่ถูกกล่าวถึง

“ไม่ต้องบอกก็รู้น่า”

“แล้วนี่ไปหาอากิระรึยัง หรือแวะมาที่นี่ก่อน” ถึงอคินจะมีศักดิ์เป็นพี่ มาลิกาก็ไม่คิดจะเรียกเขาว่าพี่ พวกเขาไม่อาจเรียกได้ว่าสนิทกัน แต่นรสิงห์สนิทกับอคิน เธอจึงพลอยได้ทำความรู้จักกับอคินไปโดยปริยาย อคินดีกว่าที่เธอคิดไว้มาก เขาเป็นคนน่าสงสาร ยังคงคิดถึงสิ่งที่ศศิมาก่อไม่หาย เขาไม่เคยปริปาก แต่เธอเห็นมันในดวงตาของเขา เขาดูเย็นชาเสียยิ่งกว่านรสิงห์ เขาเหมือนคนไม่มีความรู้สึก...หรือเคยมี  แต่บัดนี้ได้มลายหายไปแล้ว 

เธอไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกิจธุระของยามากูชิ เธอไม่เคยนับว่าตัวเองเป็นยามากูชิ หรือถ้าจะนับ ก็คงเป็นได้แค่ยามากูชินอกคอก เธอไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ของพวกยามากูชิด้วยซ้ำ แต่กลับหาที่อยู่และสร้างธุรกิจของตัวเอง เธอรู้ว่าโทดะเข้ามาจุ้นจ้านช่วยหาลูกค้าให้เธอบ้าง แต่เธอไม่โวยวาย นั่นเป็นเรื่องที่พอจะรับได้ ถ้าเขาอยากจะทำก็ตามสบาย

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เลยไปหาฝาแฝดของแพต แถมแวะไปเดินเล่นมาทั่วแล้วด้วย โรงแรมตกแต่งสถานที่สวยมาก ตื่นเต้นจังพี่สาว เป็นครั้งแรกที่ไหมจะได้ร่วมงานแต่งงานแบบชินโตเลยนะเนี่ย”

เจ้าภาพงานนี้เป็นฝ่ายยามากูชิ จัดที่สวนรื่มรมย์ ณ โรงแรมเดอะไฮด์อเวย์ อาจจะเรียกได้ว่าโชคดีที่เจ้าสาวไม่ต้องยุ่งเกี่ยวเรื่องการจัดงานให้ปวดหัวเหมือนเจ้าสาวสติแตกหลายคน เพราะโทดะเสนอตัวจัดการให้ และเจ้าตัวก็ไม่ร้องขอจะทำเอง เธอเห็นว่าคงจะดีกว่าถ้าให้โทดะจัดการตามที่ขอ...แม้จะขออย่างอ้อมๆ ก็เถอะ

‘จะจัดงานแต่งทั้งที ให้เสียชื่อยามากูชิไม่ได้หรอก’

‘งั้นคุณอยากจะทำอะไรก็ทำตามสบายละกัน ไหนๆ ก็จะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้นี่’

ใช่ อยู่ๆ มีคนเสนอตัวจ่ายเงินจัดงานให้ฟรีๆ เธอคงโง่ที่คิดปฏิเสธ

โทดะไม่ทำให้ยามากูชิเสียชื่อ พิธีแต่งงานแบบชินโตอันเป็นภาพร่างแรกในความคิดของเขาบัดนี้ถูกแปลงเป็นงานกลางสวน ใต้ร่มเงาของร่มคันใหญ่ เจ้าสาวเดินเคียงคู่เจ้าบ่าวโดยมีไหมคอยช่วยประคองร่างเพรียวในชุดแต่งงานหนักอึ้งเข้ามาในสวน สองหนุ่มสาวดูเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของผู้เฒ่าร้อนผ่าว น้ำตาไม่ไหล ไม่งั้นเขาคงขายหน้าแย่ ยากจะเชื่อว่าเขาจะผูกพันกับหลานสาวที่เขานึกรังเกียจส่งไปอยู่ไกลหูไกลตาและดึงกลับมาเพื่อใช้ประโยชน์ ใครจะคิดว่าหลานสาวนอกคอกคนนี้กลับเป็นหลานคนแรกที่ได้แต่งงาน...แต่งกับพวกสิงห์ทองที่เขาหมายตาไว้แต่แรกเสียด้วย

หัวหน้านักบวชพระนิกายชินโตถูกเชิญมาทำพิธีการแต่งงานศักดิ์สิทธิ์ให้สองหนุ่มสาวถึงเมืองไทย มีเพียงญาติพี่น้องของฝ่ายยามากูชิและซือเท่านั้นที่ร่วมพิธีนี้ แม้จะไม่ได้จัดในศาลเจ้า แต่ก็จำลองทุกอย่างมาจนเหมือนจริง ศาลเจ้าสีขรึมตั้งอยู่กลางสวนสวย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยืนอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยแขกเหรื่อที่นั่งประจำที่นั่งพิเศษ นักบวชทำพิธี สาวมิโกะที่ทำหน้าที่รับใช้เทพเจ้าในศาลเจ้าทำการสักการะเทพเจ้า ก่อนจะรินสาเกให้คู่บ่าวสาวดื่ม จิบแรกนั้นหมายความว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน มาลิกาลอบมองคนข้างกายและพยายามระงับอาการตื่นเต้น การซักซ้อมเมื่อวานดูไหลลื่นผิดจากที่กลัว นรสิงห์ความรู้สึกไวเหลือบตามองหญิงสาวและยิ้มให้กำลังใจ พวกเขาดื่มสาเกจากถ้วยสามใบ ใบละสามครั้ง รวมทั้งหมดเก้าครั้ง

มาลิกาเพิ่งจะได้เห็นแหวนแต่งงานของตัวเองครั้งแรก เพชรกลมสีชมพูเม็ดเขื่องน้ำสะอาดส่องประกายสะท้อนในดวงตาของเธอ ก้านแหวนประดับเพชรดูบอบบางเช่นเดียวกับเจ้าสาว นรสิงห์บรรจงเลื่อนแหวนเข้านิ้วนางข้างซ้ายของเธอ

“พอดีเป๊ะ เหมาะกับคุณมาก”

“เหมือนไลต์ไฟร์”

“ใช่” ทันทีที่เขาเห็นเพชรสีชมพูเม็ดนี้ เขาก็รู้ว่าเขาจะต้องเอามันมาเป็นของเธอ มันจะเข้ากับสร้อยคอไลต์ไฟร์ได้อย่างเหมาะเจาะ

เสร็จสิ้นในส่วนของชายหนุ่ม หญิงสาวก็เริ่มหน้าที่ของตน มือสั่นๆ พยายามสวมแหวนปลอกมีดสีเงินแบบเรียบๆ ให้เขา แต่ก็สวมไม่เข้าสักที

“อะไรกัน ตื่นเต้นพิธีการจนมือสั่น หรือไม่อยากจะได้ผมเป็นสามีกันแน่”

“ทั้งสองอย่าง” เธอกระซิบงึมงำ มือง่วนกับการสวมแหวนให้เขา “บางทีฉันอาจจะคิดผิดที่ปล่อยให้โทดะจัดการงานแต่งงานให้ มัน...มันดูยิ่งใหญ่เป็นบ้า” ใครจะไปคิดว่าตาเฒ่าที่เริ่มสงบหงิมจะลุกขึ้นมาทำอะไรใหญ่โตวุ่นวาย

เขาช่วยเธอดันนิ้วเข้าไป และในที่สุดเธอก็สวมแหวนให้เขาได้ แหวนสีเงินอยู่เคียงข้างกับแหวนเพชรสีชมพู ที่ทำเป็นคู่เข้ากับจี้รูปเสือโคร่งกอดเพชรไลต์ไฟร์ที่ซุกอยู่ในชุดโออิโรนะโอชิของเจ้าสาว

“ช้าไปหน่อยละ นี่เพิ่งเริ่มต้นเองนะ”

พวกเขายังมีงานยกน้ำชาแบบจีนตอนบ่ายและงานเลี้ยงฉลองแต่งงานแบบฝรั่งในตอนค่ำอีก เรียกได้ว่าวันนี้เหนื่อยกันทั้งวันแน่ๆ

“อีกอย่าง ผู้ชายคนนี้ ขายแล้วขายเลย ซื้อแล้วงดรับคืนนะ”

“แล้วจะคอยดู วันไหนมาโอดครวญนี่จะซัดให้ดู”

“งั้นคุณคงต้องเก็บมือสวยๆ นี่ไว้เฉยๆ แล้ว เพราะจะไม่มีวันนั้นหรอก”

ริมฝีปากบางเหยียดกว้าง เธอหลุบตาลงซ่อนยิ้ม วาทะสัญญาที่บอกว่าจะซื่อสัตย์และรักกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ถูกถ่ายทอดจากปากของเจ้าบ่าว ให้บรรดาญาติพี่น้องเป็นสักขีพยาน เมื่อนรสิงห์อ่านจบ แขกก็รู้คิวลุกขึ้นยืนทำความเคารพด้วยการโค้งลง ก่อนทั้งหมดจะถูกเชิญไปยังห้องจัดเลี้ยงเพื่อประกอบพิธียกน้ำชา มาลิกาเหลือบตามองผู้ชายที่เธอเรียกได้เต็มปากว่าเป็นของเธอ สายตาสื่อว่ายังพิธีการนี้อีกยาวไกล

“บางทีผมน่าจะชวนคุณหนีตั้งแต่แรก”

“บอกตอนนี้คงจะช้าไปหน่อยแล้วละ”

มาลิกาและนรสิงห์ถูกแยกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่สองของคู่บ่าวสาวถูกผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว มาลิกาสวมชุดกี่เพ้าสีแดงสดปักลายสิงห์สีทอง เธอไม่รู้ว่ามันถูกสั่งทำพิเศษเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงของนรสิงห์ เธอได้แต่อิจฉาที่เขาสวมชุดสูทสีดำ หูกระต่ายของเขาเป็นสีทองกลมกลืนกับสีชุดของเธอ  

“อิจฉาคุณอีกแล้วนะ เกิดเป็นผู้หญิงนี่ช่างไม่ยุติธรรมเลย” ถึงชุดกี่เพ้าจะไม่หนักและไม่มีขั้นตอนการใส่ยุ่งยากเท่ากับโออิโรนะโอชิ แต่มันก็ทั้งรัดและแคบจนเดินเหินลำบาก

“ตอนเป็นอากิระเห็นบ่นใหญ่”

“สถานการณ์มันไม่เหมือนกัน”

“งั้นสงสัยต้องมาสลับตำแหน่งกับผม เผื่อคุณจะเปลี่ยนใจ เมื่อกี้ผมโดนน้องสาวคุณเรียกค่าผ่านทางอานเลย ทำไมจะต้องกั้นประตูเงินประตูทองด้วยก็ไม่รู้” ชายหนุ่มบ่นอุบ นึกถึงความวุ่นวายที่เพิ่งผ่านพ้นเมื่อครู่แล้วยังสยองไม่หาย

“เพื่อนยายไหมก็แสบๆ ทั้งนั้น สรรหามาแต่ละอย่าง แต่ละคำถาม ไม่นับที่สั่งให้ปั่นจิ้งหรีดกับวิดพื้น แล้วก็แว็กซ์ขนหน้าแข้งนะ ถ้าภาพหลุดออกไปคงได้ฮากันถ้วนหน้า”

“คนที่โดนแว็กซ์ขนหน้าแข้งคือเฉียนไม่ใช่รึ” เธอเตือนความจำเขาที่ส่งเพื่อนเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายไปทำหน้าที่รับการแว็กซ์จนน้ำตาเล็ดและได้รับหน้าแข้งขาวๆ ข้างเดียวตอบแทน

“มันก็เหมือนกันละน่า” พูดแล้วอดนึกถึงคนที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ ป่านนี้คงรู้สึกโล่งขาพิลึก รู้งี้ส่งปัตถ์ไปเป็นตัวแทนถูกแกล้งตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เพื่อยายไหมจะเห็นใจ...เอ หรือจะยิ่งอยากแกล้งมากกว่าเดิมละสิไม่ว่า สองคนนี้เป็นคู่รักคู่กัดกันนี่นา

“สู้ไม่ไหวฝ่าฟันไม่ได้ก็ไม่ต้องมารับฉันสิ”

“ได้ยังไง มาถึงขนาดนี้แล้ว”

“อ้าว เห็นบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เลยนึกว่าจะฝ่อ”

“ไม่ฝ่อหรอก ยังไงก็ไม่ฝ่อ เพราะผมมีแผนกะจะทบต้นทบดอกแทนคำบ่นคืนนี้เหมือนกันละ”

แก้มของมาลิการ้อนนิดๆ แต่ก็ยังปากดีพูดต่อว่า “ปรกติคืนแต่งงานเขามักจะนั่งนับซองกันต่างหาก”

“นั่นมันเขา ผมน่ะใคร” นรสิงห์หลิ่วตาให้อย่างเจ้าชู้

“ย่ะ พ่อคนถึก แล้วจะคอยดู”

ดวงตาของเขาขยายอย่างตื่นเต้น นิ้วชี้พลางยิ้มร่า “อย่าท้าเชียวนะ คุณท้าผมทีไรได้เรื่องทุกที”

หญิงสาวนึกถึงจูบแรกระหว่างเธอกับเขาที่โรงยิมมาเอดะ คราวนี้สีแดงแผ่ลามไปทั่วทั้งหน้า ทำเอาคนรับคำท้าฉีกยิ้มจนแทบถึงรูหู และเธอก็ยังไม่เข็ด พูดเปิดช่องตามประสาคนปากกล้าและปากไว

“อย่านึกนะว่าจะกลัว”

“ก็ไม่คิดว่าคุณจะกลัวหรอก และเพราะอย่างนี้ไง ผมถึงได้รักคุณ”

มาลิกายิ้มอ่อนโยน “ฉันก็เหมือนกัน ฉันรักที่คุณเป็นคุณ หยูหลง”

สองหนุ่มสาวนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าซือต้าหลงผู้เป็นหัวเรือใหญ่จัดงานพิธียกน้ำชาแบบจีน ข้างกายเขาเป็นโทดะที่มีฐานะเท่าเทียมกัน ถนัดไปเป็นมาลินที่มีโอกาสได้ร่วมงานยกน้ำชาในฐานะแม่ของเจ้าสาว นรสิงห์และมาลิกาช่วยกันยกน้ำชาให้โทดะซึ่งอาวุโสที่สุด และได้รับโฉนดที่ดินแปลงงามของยามากูชิมาทำทุน ต้าหลงจิบน้ำชาที่หลานชายและหลานสะใภ้ยื่นมาให้พอเป็นพิธี ก่อนจะคืนน้ำชาที่เหลือใส่กาน้ำชามอบเป็นทุนกลับไปให้คู่บ่าวสาว พร้อมกับทุนของจริง...ที่ดินแปลงงามไม่แพ้กับของยามากูชิ ราวกับต้องการจะข่มอีกฝ่ายยังไงยังงั้น ถึงทั้งสองจะไม่ได้มีบทบาทอำนาจในตระกูลแล้ว แต่สิงห์แก่และเสือเฒ่าก็ยังไม่สิ้นลาย

มาลิกาและนรสิงห์ยื่นถาดน้ำชาให้มาลินเป็นลำดับสุดท้ายในฐานะผู้อ่อนอาวุโสที่สุด เธอทำตามโทดะและต้าหลง จิบน้ำชาเล็กน้อย น้ำตาของเธอไหลยามมองลูกสาวคนเดียว เธอไม่เคยว่าจะได้เห็นลูกสาวมีวันนี้ มาลิกาหัวแข็งช่างขบถและพึ่งพาตัวมาโดยตลอดเสียจนเธอเกรงว่ามาลิกาจะอยู่เป็นโสดไปจนวันตาย แต่เห็นได้ชัดว่าเธอคิดผิด ยังมีรักแท้ในโลกของมาลิกา และเมื่อความรักเข้ามา อะไรก็ขวางไม่ได้

“นรสิงห์ มาลิกาเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่รักของแม่มานาน แม่ยอมทำทุกอย่างเพื่อยายหนู แต่ตอนนี้ยายหนูของแม่มีคนมาขอดูแลแทนแล้ว ดังนั้นดูแลลูกสาวของแม่ให้ดีๆ นะ” มือของเธอจับมือของลูกสาวและเจ้าบ่าว

“แม่ครับ” นรสิงห์บีบมือเล็กที่หยาบกระด้างจากการทำงานหนักอย่างให้สัญญา “ผมจะดูแลมาร์ให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ทั้งมาร์หรือแม่ผิดหวังครับ”

ความอบอุ่นเต็มตื้นอยู่ข้างในใจของคนฟัง น้ำอุ่นๆ ซึมออกจากหางตา แต่ก่อนที่มันจะไหลเปื้อนแก้มนวล คนข้างกายก็ใช้นิ้วเช็ดให้อย่างอ่อนโยน มาลินมั่นใจว่าลูกของเธอจะอยู่ในมือที่เหมาะสม

“ขอให้รักกันยั่งยืน มีหลานมาให้แม่อุ้มไวๆ นะ”

“คืนนี้ไม่พลาดครับแม่” นรสิงห์ทำหน้าจริงจัง และโดนมาลิกาถองที่เอวจนจุก มาลินเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ

“พูดมากกับแม่ฉันเชียวนะ”

“แม่จะได้ไม่ผิดหวังยังไงล่ะ”

“ตาด้วย จะรออุ้มเหลนคนแรก”

“ใช่ รีบๆ มีเจ้าตัวน้อยๆ ไวๆ ขี้เกียจรออากิระแล้ว ท่าทางจะอีกนาน” โทดะบุ้ยใบ้ไปยังอคินที่หลังจากแสดงตัวเป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าบ่าวเรียบร้อย เขาก็ถอยมาดูห่างๆ ท่าทางขรึมเหมือนเคย...อาจจะยิ่งกว่าเคย เพราะหลังจากตื่นจากโคม่าและรู้บุคคลที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร เขาก็ช็อกไม่ต่างจากโทดะหรือทาเคตะที่เปิดหนีไปอยู่อเมริกา ไม่กลับมาเหยียบแผ่นดินไทยอีก

“คุณ!” มาลิการ้อง หน้าของเธอแดง

“จะจัดให้อย่างว่องเลยครับปู่”

โทดะหัวเราะชอบใจ “ดี ดี มันต้องแบบนี้สิ” เขาตบหลังมังกรหยกแรงๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกมีความสุข...ความสุขที่แท้จริง

“ตีซี้กับโทดะเชียวนะ ปู่ ปู่ เชอะ”

“มาริ” น้ำเสียงที่เรียกเจ้าสาวอ่อนเนือย “หลานจะเรียกฉันว่าปู่สักครั้งไม่ได้เลยเชียวหรือ” ตั้งแต่รู้จักกันอย่างเป็นทางการ มาลิกาไม่เคยเรียกเขาอย่างสนิทสนมเลย ตอนแรกเขาไม่แปลกใจ แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องกับอคิน เขาก็รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาพยายามเจาะทะลุกำแพงใจของเธอ พยายามแม้กับทาเคตะ แต่ก็ล้มเหลวเหมือนเช่นที่ได้ผลกับเธอ

มาลิกาลังเล นรสิงห์มองทั้งหญิงสาวและโทดะอย่างให้กำลังใจ เขาจะไม่บังคับใจเธอ เขาอยากจะให้เธอยอมด้วยหัวใจตัวเอง มาลิกาสบตาเขา เขาเพียงพยักหน้าให้ เธอหันไปทางโทดะซึ่งรออย่างมีความหวัง

“คุณปู่” เธอเรียกเสียงเบา แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายว่า

“แต่มันจะไม่ง่ายหรอกนะ” นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เธอเรียกเขาว่า ‘คุณปู่’ เธอยอมลงให้เขาเพราะนี่เป็นวันแห่งความสุขของเธอ

“ปู่รู้ ปู่เข้าใจ”

เขาทำกรรมเอาไว้มากเหลือเกิน มันก็สมควรที่เขาจะโดนกรรมศอกกลับ และจากนิสัยหลานสาว เขาเชื่อว่าเขาจะต้องเหนื่อยอีกนานแน่ๆ  

(เนื่องจากเนื้อหายาวจัด เลยต้องแบ่งเป็น 2 Part นะคะ) 




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2557 0:35:34 น.
Counter : 1044 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

มิถุนายน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]





บล็อกนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมนิยายของมิถุนาให้เป็นหลักแหล่ง และต่อมาได้เพิ่มความชอบเกี่ยวกับเครื่องสำอาง การท่องเกี่ยว การกิน และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ค่ะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะคะ

มิถุนา (busaba401แอตhotmail.com)

แวะทักทาย/ฝากคำถามได้ที่ cbox นะคะ แล้วจะมาตอบให้ทุกคนค่า








Fanpage นิยายของมิถุนา
(เฉพาะนิยายนะคะ ไม่ได้อัพเรื่องเครื่องสำอางค่ะ)
มิถุนา Mithuna นิยาย

โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ



E-book ของมิถุนา
คืนปรารถนา
มิถุนายน
www.mebmarket.com
ทั้งหมดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด...อชิระคิดว่ามิลินท์หักหลังเขา เขาจึงใช้ความรักที่เธอมีให้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น มิลินท์จาก...
ร้ายนัก(ไม่)รักเสียดีไหม
มิถุนายน
www.mebmarket.com
เมื่อยอดคุณป๊า ที่ถือคติที่ว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” พยายามจับคู่ลูกๆ ที่เหลือให้ครบ อดีตคู่กัดสมัยละอ่อนเลยได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว...
New Comments
Friends' blogs
[Add มิถุนายน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.