Group Blog
 
All blogs
 
ใต้เงาพยัคฆ์ บทที่ 5

ใต้เงาพยัคฆ์ บทที่ 5

ประเทศไทยอาจจะเป็นที่น่าพิศมัยของชาวต่างชาติหลายคน แต่มาลิกาแทบจะอัดใจตายตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่เหยียบผืนแผ่นดินนี้ มันร้อนจนแทบหายใจไม่ออก สูทที่สวมมาก็ยิ่งทำให้อึดอัดยิ่งขึ้นไปอีก ไม่รู้ว่าอีตาอากิระทนไปได้อย่างไร นี่ขนาดว่าไม่ต้องผูกเนกไทนะ ถ้าจู่ๆ เดินๆ ไปแล้วดันเป็นลมล้มพับขึ้นมา เธอจะไม่แปลกใจเลย

ปัตถ์เดินหลังตรงอยู่ข้างๆ กระซิบกระซาบขึ้นมา “ร้อนเป็นบ้าเลย”

“อื้อ จริง ร้อนมาก” มาลิกาพยักหน้า

“สองคน อย่าบ่นให้มาก” เสียงของโทดะดังเบาๆ

สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากันแล้วลอบถลึงตาใส่กัน สื่อทำนองว่าตาเฒ่ายามากูชิได้ยินที่พวกเขาพูดได้อย่างไรในเมื่อพวกเขาพูดเสียงเบา แล้วอีกอย่างเคยแต่ได้ยินว่าคนแก่มักจะหูตึง สงสัยคงต้องยกเว้นโทดะเป็นกรณีพิเศษ

ทั้งหมดเดินไปที่อาคารจอดรถ ไม่มีใครมารอรับอย่างที่มาลิกาคาด...แต่ก็ไม่ผิดไปจากเหตุผลที่เดาเท่าไหร่ เพราะโทดะอยากให้ ‘อากิระ’ กลับบ้านอย่างเงียบที่สุด แต่เธอยังสงสัยว่ามันจะไม่มีข่าวเล็ดลอดออกไปเลยเชียวหรือ ในเมื่อพวกเขาแสดงตัวอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้ปกปิดอะไรเลย ไอ้เครื่องแบบมาเฟียแม้จะเรียกว่าธรรมดา แต่ผู้ชายสามคนและผู้ชายเก๊อีกหนึ่งคนแต่งตัวคล้ายๆ กัน เดินกันเป็นกลุ่ม และแผ่รังสีพิฆาตออกมารอบกาย มันออกจะพิลึกพิลั่นเกินกว่าธรรมดาไปสักหน่อย

มาลิกาเอานิ้วปาดเหงื่อที่เริ่มย้อยลงมา ไม่มีคราบแป้งหรือเครื่องสำอางหลุดติดนิ้วมา ต้องขอบคุณเครื่องสำอางติดทนทานชั้นเยี่ยมที่ทำให้การแปลงโฉมของเธอไม่โป๊ะแตกตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นแสดงบนเวที ดวงตาสีเข้มมองไปข้างหน้า...ทางที่ทาเคตะนำไป รถหลากยี่ห้อและราคาเรียงรายเต็มไปหมด แต่ดูเหมือนว่าทาเคตะจะรู้ว่ารถของพวกเขาคือรถคันไหน ก็นั่นแหละ พวกเขาคงมีการเตรียมการไว้ก่อน

“ตอนแรกนึกว่าจะได้นั่งเฮลิคอปเตอร์เสียอีก” ปัตถ์กระซิบประชด

“ปุณณ์” เสียงเหี้ยมคำรามมาจากทางด้านหน้า ไม่ใช่เสียงของใครแต่เป็นทาเคตะที่ปั้นหน้าเหมือนคนท้องผูกมาตลอดการบิน

เจ้าของชื่อใหม่รู้ตัวว่าถูกเตือนเลยได้แต่เหล่ตามองเพื่อนข้างบ้านแล้วทำปากขมุบขมิบบ่นแบบไม่ออกเสียง แต่ไอ้ข้าวบูดทาเคตะราวกับนกรู้ หับขวับมาทิ้งสายตาดุๆ แวบหนึ่งซึ่งปัตถ์ก็ทำเป็นแลบลิ้นใส่อย่างล้อเลียน เรียกรอยยิ้มจากมาลิกาได้นิดๆ ดูเหมือนว่านักแสดงที่เพิ่งเล่นละครครั้งแรกยังไม่เจนเวทีดี มาลิกาหุบยิ้มเพราะนี่เพิ่งเป็นการเริ่มต้น ต่อจากนี้ไป ออกจากสนามบิน เธอคงไม่ได้เป็นตัวของตัวเองแหงๆ

“ลองทายซิว่ารถของมาเฟียจะเป็นรถอะไร” ปัตถ์ถามเพื่อนสาว เขาชอบเรียกยามากูชิว่ามาเฟีย ซึ่งโทดะยืนยันว่าพวกเขาเป็นยามากูชิ ไม่ใช่มาเฟีย...เหอะ ไม่ใช่มาเฟียแต่เป็นพวกผู้มีอิทธิพลงั้นเรอะ แต่ไอ้ที่ทำๆ อยู่มันก็มาเฟียนั่นแหละ...ยิ่งพวกเขาปฏิเสธเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น

มาลิกาขยับไหล่ไหวนิดๆ...ออกท่าของอากิระแล้วตอบ “ไม่รู้สิ รถเก๋งไฮโซสีดำมั้ง” อย่างกับเธอจะรู้จักยามากูชิ แม้ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาจะเป็นช่วงเวลาที่เธอได้รู้จักยามากูชิมากที่สุดก็เถอะ

“ผิด เธอโดนตัดแต้ม” หนุ่มสไตลิสต์บอกเมื่อเห็นไฟหน้าและท้ายของรถยนต์โฟร์วีลเจ็ดที่นั่งสัญชาติญี่ปุ่นสีเงินวาววับที่ไม่เห็นฝุ่นเกาะสักนิด เขาเข้าใจว่าทาเคตะคงจะมีวิธีการลับไม่ลับนั่นแหละ

“เออ ลืมไปว่ายามากูชิชาตินิยม แถมยังสีเงินสีตราประจำแก๊งนั่นอีกล่ะ” เธอเอ่ยประชด เธอมารู้ในภายหลังว่ายามากูชิมีสัญลักษณ์เป็นเสือเงิน ดังเป็นที่มาของรอยสักเสือโคร่งสีขาวเงินบนหลังเธอนั่นแหละ

โชคดีที่ทาเคตะกำลังสนใจกับการเปิดประตูให้ผู้เฒ่าขึ้นรถ เลยไม่ได้หันมาถลึงตาใส่พวกเธอให้น่ารำคาญใจอีก

“นายไปนั่งข้างหน้า” ทาเคตะบอกคู่แฝด

ปัตถ์ส่งยิ้มทิ้งท้ายให้เพื่อนสาวก่อนจะเข้าไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับตามคำสั่ง

“ส่วนคุณอากิระ...” นายข้าวบูดพูดไม่ทันจบมาลิกาก็แทรกขึ้น

“นั่งข้างคุณปู่” เธอเริ่มเรียกโทดะว่าปู่ตามที่อากิระเรียก

ทาเคตะขับรถพาพวกเขากลับรัง บ้านตระกูลยามากูชิตั้งอยู่ในซอยติดถนนใหญ่ใจกลางเมือง ภายในซอยอาจจะดูเล็กเช่นเดียวกับหน้าประตูทางเข้าบ้านยามากูชิที่เป็นแผงไม้ทึบสไตล์ญี่ปุ่น แต่เมื่อประตูเลื่อนเปิด มาลิกาก็แทบไม่อยากเชื่อว่าภายในซอยเล็กๆ จะมีบ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่ได้ แถมยังเป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นเสียด้วย ถึงจะไม่ใช้บ้านญี่ปุ่นจ๋า แต่กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นนั้นชัดเจนทีเดียวเชียวละ ดูอย่างหลังคามุงกระเบื้องทรงปั้นหยาสีเทาเข้มนั่นเป็นต้น ไม่นับประตูเลื่อนติดกระจกสีนวลแบบขุ่นกับลายหินบนบ้านนั่นอีก

“จำแผนผังในบ้านได้แล้วใช่ไหม” โทดะเอ่ยขึ้นมา ตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง รอบๆ บริเวณตกแต่งด้วยต้นไม้ดัดแบบญี่ปุ่น ริมขวาสุดมีสวนหินแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่

“คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาครับ”

“เอาเถอะ ปู่บอกคนอื่นไปแล้วว่าอากิระได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองเล็กน้อย อาจจะมีอาการความจำเสื่อมในบางช่วงความทรงจำ” เขาหยุดไปนิดและหันมามองหลานสาวด้วยสายตาจริงจัง “แต่ก็หวังว่าหลานจะไม่ต้องใช้ข้ออ้างนี้”

“ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน” มาลิกาสบตาตอบอย่างไม่กลัวเกรง หน้าก็เชิดขึ้นด้วยความถือดี ทำเอาผู้เป็นปู่ถึงกับเหยียดมุมปากข้างหนึ่งขึ้นสูง...ยิ้มท่าเดียวกับอากิระไม่มีผิด

“อากิระ” เขาเรียกชื่อเตือนผู้แสดงแทน “เคยมีคนบอกหรือเปล่าว่าทำแบบนี้แล้วเหมือนผู้หญิงขี้งอน”

ผู้หญิงขี้งอนเลยยิ่งเชิดหน้ามากกว่าเดิม ก่อนจะสะบัดหน้ามองไปทางอื่น

ภายในบ้านโอ่โถงกว้างขวางไม่แพ้ด้านนอก ตกแต่งแบบเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น โดยมีธีมสีหลักคือสีขาวและน้ำตาล พื้นบ้านปูด้วยไม้โอ๊ก ด้านนอกสุดเป็นห้องโถงใหญ่และมีชุดรับแขกขนาดหกที่นั่งตั้งอยู่โดดๆ ตัวเดียว เคียงข้างกันนั้นมีดอกไม้จัดแบบอิเคบานะหรือการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่นที่เน้นความเรียบง่ายวางบนโต๊ะแทนที่วางในช่องมินชูกุแบบที่ห้องญี่ปุ่นมักมีกัน

                โทดะนำโดยมีมาริเดินเยื้องอยู่ข้างๆ ทาเคตะและปัตถ์เดินตามมาด้านหลัง ดูเหมือนว่าจะมีคนรู้ว่าพวกเขาจะมา เพราะเมื่อเข้ามาในห้องรับแขกใหญ่ พวกเขาก็เห็นหญิงวัยกลางคนสองคนก็นั่งอยู่ข้างใน คนนึงนั่งบนโซฟา ส่วนอีกคนนั่งห่างออกมาบนเก้าอี้ที่เล็กกว่าและเตี้ยกว่า ท่าทางก็นอบน้อมผิดกับผู้หญิงอีกคนที่นอกจากจะแต่งกายภูมิฐานยังดูมีมาดมากกว่า

                “คุณท่าน” ทั้งคู่เรียกโทดะพร้อมโค้งศีรษะลงต่ำทักทาย ไม่มีใครนั่งลง แต่มีคนหนึ่งที่เดินตรงมาทางพวกเขา

                “อคิน” ผู้หญิงคนดูสง่ากว่าในชุดกระโปรงสีครีมเดินตรงเข้ามาหามาลิกา เธอจำได้ทันทีว่าเป็นใคร

                ศศิมา แม่ของอากิระ พี่สาวคนละแม่ของแม่เธอ

                เมื่อเห็นหน้าศศิมา มาลิกาก็ไม่ประหลาดใจที่เธอเหมือนแฝดของอากิระ ในเมื่อใบหน้าของศศิมาดูคล้ายกับแม่ของเธอเป็นอย่างมาก ผิดแต่ว่าน้ำเสียง เสื้อผ้า ทรงผม และกิริยาท่าทางต่างกัน อ้อ แล้วก็ไม่อวบเท่าแม่ของเธอด้วย ไม่งั้นคงจะได้มีแฝดเหมือนอีกคู่

เอาละ แผนจะแตกหรือไม่แตก ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่า มันอาจจะเป็นโชคดีของเธอที่ศศิมาไม่ได้สนิทกับอากิระเหมือนแม่ทั่วๆ ไป เพราะอากิระอยู่ในความดูแลของโทดะและฮายาโตะผู้เป็นบิดาตั้งแต่เล็กๆ

                มาลิกากดเสียงเล็กน้อยแล้วเรียก

“คุณแม่”

                ศศิมาโผนเข้ากอดคนที่เธอเข้าใจว่าเป็นลูก และคงจะกอดแน่นกว่านี้ถ้าโทดะไม่ปราม

                “เบาๆ หน่อยศิ อากิระเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล ซี่โครงที่หักเพิ่งจะสมานตัวกันดี”

                “โอ๊ยตาย ดิฉันก็ลืมไปว่าอคินซี่โครงหัก” ศศิมาอุทานแล้วรีบถอยออกมาเล็กน้อย สองมือประคองหน้าลูกพิศมองด้วยดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตา

                “แม่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกแล้ว”

                มาลิกาพ่นลมหายใจเบาๆ ในช่องท้องผ่อนคลายเมื่อผ่านด่านแรกมาได้ เธอหวังว่าต่อจากนี้ไปเธอจะตื่นเวทีน้อยลง

                “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณแม่ แค่เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น” เธอย้ำสถานะของอีกฝ่าย แม่...ไม่ใช่ป้า

                “ฉันก็บอกเธอแล้วศิว่าอากิระไม่เป็นไร”

                “ค่ะ ดิฉันทราบ แต่มันอดไม่ได้” ถึงจะไม่ได้ผูกพันกับลูกมากเท่าที่ควร แต่เอาเข้าจริงแต่แรกที่ทราบข่าวอุบัติเหตุของอคิน เธอก็ช็อกจนเกือบหมดสติ

                “ให้อากิระไปพักก่อนเถอะ เดินทางมาตั้งนาน น่าจะเหนื่อยแล้ว”

                “นั่นสิคะ ดิฉันก็มัวแต่คิดถึงลูกจนลืมไปเลย ปวดแผลบ้างไหม คุณพ่อบอกว่าอคินไม่เป็นอะไร แต่...” เธอกลั้นสะอื้น แล้วมาลิกาก็รีบพูดเพราะไม่อยากเห็นน้ำตาของอีกฝ่าย

                “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมแทบจะไม่เป็นอะไรเลยด้วยซ้ำ โชคดีมากทั้งที่รถออกจะยับเยินขนาดนั้น”

                “ปุณณ์ก็โชคดีเหมือนกันนะ ทั้งสองคนโชคดีมากๆ เลย” ศศิมามองไปทางเบื้องหลัง แฝดคนเล็กได้แต่เพียงทำหน้านิ่งตามแบบฉบับของบอดีการ์ดยามากูชิ นึกขอบคุณหน้าที่นี้ที่ไม่ต้อง ‘แสดง’ มากเท่ามาลิกา

                “เดี๋ยวเย็นนี้แม่จะให้แม่ครัวทำของชอบของอคินให้ มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษไหมจ๊ะ”

                มาลิกาเกือบจะลืมตัวส่ายหน้า แต่ก็รีบพูดว่า “ไม่ครับ” เหตุเพราะอคินไม่ทำกิริยานี้ เขาจะพูด...หนักแน่นและแน่วแน่

                “งั้นก็ไข่เจียวหมูสับกับต้มยำทะเลก็แล้วกันนะ” ศศิมาเอ่ยชื่อของโปรดลำดับแรกๆ ของอคิน

                “ดีครับ” ใช่ ดีจริงๆ ที่อากิระชอบกินอาหารไทยพื้นๆ อย่างไข่เจียวและต้มยำ ขืนกินอะไรแปลกๆ ไม่คุ้นลิ้นเธอคงแย่แน่ๆ

“อคินไปพักเถอะจ้ะ แม่ให้โนริโกะจัดห้องไว้ให้แล้ว” เธอหันไปพยักพเยิดให้หญิงวัยเดียวกันที่อยู่เบื้องหลัง

โนริโกะเป็นแม่ของทาเคตะ เป็นคนญี่ปุ่นร้อยเปอร์เซ็นต์ หน้าตาผิวพรรณดูดีกว่าตำแหน่งคนรับใช้ประจำตัวของศศิมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้...บางทีถ้าได้รับการแต่งตัวดีๆ เธออาจจะดูเทียบเท่าได้กับศศิมาด้วยซ้ำ เธอสวมเสื้อสีขาวกับกระโปรงสีดำซึ่งเป็นสีเครื่องแบบของคนรับใช้ ผมมวยไว้เรียบร้อย หน้าที่มีริ้วรอยตามวัยนิ่งเฉยเหมือนคนของยามากูชิคนอื่นๆ เธอแต่งงานกับคาซึมะ ลูกน้องคนสนิทของโทดะ แต่ปัจจุบันคาซึมะเสียชีวิตแล้ว ทาเคตะเลยกลายมาเป็นมือขวาของโทดะแทน ยังมาซึ่งความภูมิใจแก่โนริโกะเป็นอย่างมาก

มาลิกาลิงโลดในใจที่จะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวสักที แต่ความยินดีก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงแหลมเล็กและเรียกร้องของใครบางคนดังนำมาก่อนตัว

“คุณแม่ ไหมอยากได้ผ้าพันคอรุ่นลิมิตเตดเอดิชันที่จะวางขายพรุ่งนี้ ต้องหาคนไปจองก่อนห้างเปิดให้ไหมนะคะ”

ร่างเล็กแบบบางของไหมหรือมาอิโผล่กลางโค้งประตูห้องรับแขก เธอสวมชุดนักศึกษา เสื้อสีขาวตัวเล็กกับกระโปรงแคบที่ทั้งรัดและสั้นเสียจนปัตถ์ที่เหลือบไปเห็นแทบจะเป่าปากแซว ผมสีดำยาวถึงกลางหลังแกว่งไปมาและหยุดนิ่งเหมือนน้ำตกที่ทิ้งตัวเป็นสายเมื่อเธอหยุดยืน ดวงตาสีดำแบบยามากูชิเป็นประกายซึ่งแปรเปลี่ยนไปเมื่อเห็นว่าใครอยู่กลางห้อง

“พี่ชาย!” เธอร้องตะโกนแล้ววิ่งข้ามห้องโผนเข้าใส่ เธอมักจะแทนตัวด้วยชื่อเล่นภาษาไทยและเรียกอคินว่าพี่ชาย

“เบาๆ ไหม เดี๋ยวอคินเจ็บ” ศศิมาเตือน แต่ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะไม่ได้ยิน...ไม่ใส่ใจ

เบื้องหลังของไหม ปัตถ์มองเห็นตัวเองยืนอยู่ตรงนั้น ส่งยิ้มจางๆ มาให้อย่างสำรวม ดวงตาสีดำของอีกฝ่ายบอกว่าดีใจแค่ไหนที่เห็นหน้าเขา...ปรานต์แยกไม่ออกว่าเขาไม่ใช่ปุณณ์

“โอ๊ยตาย มาแล้วก็ไม่บอกกันเลย” ไหมหันขวับไปทางมารดา “คุณแม่ไม่โทร.บอกไหมสักนิดว่าพี่ชายมาถึงแล้ว”

“แม่บอกหนูแล้วนะ หนูลืมไปหรือเปล่า”

“ไม่ลืม แต่แม่ไม่ได้บอกเวลา” เธอพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

“แม่เองก็ไม่รู้เวลาเหมือนกัน” การมาของโทดะและคณะเป็นความลับ มีไม่กี่คนที่รู้ แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่เธอ

ไหมไม่ตอบ เธอเลิกสนใจแล้วรัดวงแขนรอบกายพี่...พี่ที่บัดนี้เป็นพี่สาวเสียแน่น

“โอ๊ย ไหม อย่ากอดพี่แรง” มาลิกาแสร้งร้องประท้วงเบาๆ กลัวจะไม่สมบทบาทคนเพิ่งหายเจ็บ

ไหมปล่อยมือทันควัน เธอขยับออกมาเอามือไขว้หลังแล้วยิ้มเผล่ใส่อย่างน่ารัก

“ขอโทษทีค่ะ ไหมลืมตัว...ดีใจที่ได้เห็นหน้าพี่ชาย เจ็บมากไหมคะ พี่ชายเป็นอะไรบ้างไหม คุณปู่ไม่ยอมพูดอะไรเลย ไหมเป็นห่วงพี่ชายจะแย่” ไหมถามรัว นอกจากอคินที่เธอชอบประจบแล้ว คนไม่เกรงกลัวใครอย่างเธอหวาดเกรงโทดะเพียงคนเดียว เวลากล่าวถึงจึงได้ไม่กล้าทำเสียงเล็กเสียงน้อยประชดประชันหรือกล่าวหาใส่

“ไม่เป็นอะไรมากนักหรอก แต่อย่ากอดพี่แรง เดี๋ยวซี่โครงจะพานหักอีกรอบ”

“อุ๊ย ถึงขั้นซี่โครงหักเลยหรือคะ” เธออุทาน “ทำไมถึงไม่ใส่เฝือก หมอดูแลพี่ชายประสาอะไรเนี่ย”

“ตอนนี้กระดูกประสานกันแล้วล่ะ แค่ซี่โครงหักไม่ถึงขั้นต้องใส่เฝือกหรอก”

“แน่ใจหรือคะ แล้วทำไมหักที่อื่นเขาถึงได้ใส่เฝือกกันโครมๆ”

“แน่ใจสิ บางคนเขาก็ไม่ต้องใส่ ลองถ้าอาการอย่างพี่ต้องใส่เฝือกแล้วโรงพยาบาลไม่ใส่ให้ คุณปู่คงไม่ยอมหรอก”

“ตอนแรกที่รู้ข่าว...ไหมนึกว่าพี่ชายจะ...” ไหมไม่ได้พูดต่อให้ครบถ้วน หน้าที่สดใสพานสลดลง ดวงตาก็มีน้ำตาคลอ

“แต่ตอนนี้พี่ไม่เป็นไรแล้วนี่”

“ใช่ค่ะ ไหม...ไหมดีใจที่สุดเลย ถ้าไม่มีพี่ชาย...” เธอสั่นหน้า เลิกคิดในแง่ร้าย แล้วกอดผู้เป็นพี่อย่างแสนรัก

                มาลิกายิ้มนิดๆ ให้ “ขอบใจที่เป็นห่วงพี่นะเธอลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ...ท่าทางแบบที่อคินชอบทำเวลาเอ็นดูมาอิ...ขณะนี้ไหมน่าเอ็นดูจริงๆ แม้การปรากฏตัวครั้งแรกจะ ‘ออกอาการ’ มากไปสักหน่อย

“จะไม่ห่วงได้ยังไง เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง” น้องสาวยิ้มตอบก่อนจะหันไปทางมารดา หารู้ไม่ว่าพี่ชายกำมะลอได้แต่สะท้อนในใจ

ถ้าไหมรู้ว่าตัวเองมีพี่...พี่สาวอีกคนล่ะ ไหมยังจะน่ารักเหมือนตอนนี้หรือเปล่า

ไม่...ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น โลกของสาวน้อยคงจะถล่มทลายลงเป็นแน่

ปัตถ์มองภาพการพบกันครั้งแรกระหว่างมาลิกากับไหมแล้วเบนสายตาไปยังปรานต์ เขานึกสงสัยว่าถ้าอยู่กันตามลำพัง ปรานต์จะเข้ามาหาเขาแบบไหมหรือเปล่า แล้วถ้าได้รู้จักกันจริงๆ ปรานต์จะจับผิดเขาได้ไหม

“คุณแม่คะ เรื่องผ้าพันคอ” ไหมทวงถามเรื่องที่พูดมาตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในห้อง

                “รู้แล้วจ้ะ ร้านเดิมใช่ไหมจ๊ะ” ศศิมาทราบดีว่าลูกสาวโปรดผ้าพันคอร้านเสื้อยี่ห้อดังที่มักจะขยันสร้างคอลเล็กชันใหม่ๆ ออกมายั่วน้ำลายลูกค้าเสมอๆ บางครั้งก็ออกลายลิมิตเตดเอดิชัน...มีเพียงร้อยผืนในเมืองไทย ทำเอาสาวกต้องตะลีตะลานไปยืนจองหน้าร้านก่อนร้านเปิดเพราะกลัวว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าของผ้าพันคอลายเก๋ ไหมเองก็มักจะใช้คนของยามากูชิไปต่อคิวซื้อผ้าพันคอให้บ่อยๆ

                “ใช่ค่ะ ร้านเดิม คราวนี้ต้องไปเช้ากว่าคราวก่อนนะคะ ครั้งที่แล้วไปเจ็ดโมง เกือบไม่ได้ของแน่ะ ดีนะที่พอถึงคิวเพิ่งจะเป็นคนที่เก้าสิบ ไม่งั้น...” ไหมพูดไม่จบประโยค ทว่าดูเหมือนศศิมาจะเข้าใจเป็นอย่างดี

ใช่ ดีจริงๆ ไม่งั้นไหมคงได้วีนแหลก...อาละวาดไปหลายวัน ผู้เป็นมารดาคิดอย่างระอา ก่อนจะตอบรับ

                “จ้ะ แล้วแม่จะย้ำคนของเราให้” 

                ปัตถ์ที่ได้ประจักษ์ความเวอร์ของคุณหนูไหมถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ งานนี้เขาจะต้องแย่แน่ๆ คุ้มครองใครไม่คุ้มครอง ดันต้องมาปะเหมาะเคราะห์...ร้าย เจอคุณหนูร้อยกระเบียดนิ้วนี่ ท่าทางจะเอาแต่ใจร้ายกาจน่าดู

                “ไหมจ๊ะ ให้อคินไปพักเถอะนะ เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ”

                “ก็ได้ค่ะ แต่ไหมไปส่งพี่ชายเอง” พูดจบก็ควงแขนพี่ชายพาเดินไปตามทางเดินพร้อมพูดจ๋อยๆ ไปตลอดทาง ทำให้มาลิกาตระหนักว่าบางทีนิสัยล้นๆ ของไหมก็มีข้อดีเหมือนกัน

                หารู้ไม่ว่าคนที่จะได้อยู่กับไหมชนิดตัวติดกันได้แต่ขนพองสยองเกล้าในใจ แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อมือๆ หนึ่งวางบนไหล่ของเขาเบาๆ เมื่อหันไปก็พบกับแฝดคนรองของเขา

                “แผลเป็นไงบ้าง”

                “ก็...ดีขึ้นมาก” ปัตถ์เอ่ยไม่เต็มเสียงนัก ไม่ใช่เพราะต้องปั้นเรื่องโกหก แต่ว่าเขาไม่ชินกับการมีพี่น้องเพิ่มอีกสอง...และไม่ชินกับบทบาทที่ต้องสวมรอยด้วย

                “งั้นก็ดีแล้ว ตอนรู้ข่าวเป็นห่วงแทบแย่ ที่เขาว่าฝาแฝดจะสื่อใจถึงกันได้ไม่เห็นจะจริงเลย ฉันไม่รู้อะไรสักอย่าง นี่นายไม่ได้เป็นอะไรแน่แล้วจริงนะ” ปรานต์ยังไม่กล้าเชื่อเต็มร้อย น้อยครั้งที่ปุณณ์จะเจ็บป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าครั้งนี้จะต้องมีอะไรที่ทำให้ปุณณ์ทนไม่ได้เป็นแน่

                “แผลใกล้แห้งแล้วละ แต่ตอนนี้ที่เห็นจะแย่จริงๆ คงเป็นเสียโฉมหมดหล่อนี่แหละ”

                เขาสะดุดเมื่อได้ยินเสียงไอโขลกๆ ดังมาจากด้านหน้า เป็นไหมนั่นเอง แถมเธอยังหันมามองเขายิ้มๆ อีกต่างหาก

            หน็อย ยายตัวแสบ ยิ้มเยาะกันหรือไง ไม่รู้รึว่าเขาเสียสละกับยามากูชิมากขนาดไหน ไอ้รอยแผลที่หน้าผากนี่จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิตเลยนะ แค่คิดก็สยองแล้ว

                และไม่เพียงแต่ไหมเท่านั้นที่ไม่เก็บอาการขบขัน ปรานต์ก็เช่นกัน

                “แหม ไม่เจอหน้ากันหลายวัน ห่วงหล่อด้วยเหรอ ปรกติไม่เห็นนายจะเป็นกังวลนี่ อุบัติเหตุทำสมองฝ่อไปหมดแล้วเรอะ” เขาล้อ

                ปัตถ์เพิ่งตระหนักว่าเขาได้พูดสิ่งที่ผิดแผกไปจากนิสัยของปุณณ์ เขาจึงหัวเราะกลบเกลื่อน “สงสัยคงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเห็นฉันบ้าๆ บอๆ ก็อย่าไปใส่ใจนักล่ะ หมอบอกว่าเป็นเพราะสมองคงได้รับความกระทบกระเทือน”

                “อย่าบ้าบอบ่อยไปละกัน เดี๋ยวใครๆ จะพากันประหลาดใจที่ปุณณ์หน้าตายเปลี่ยนไป”

                แฝดน้องได้แต่หัวเราะเสียงแห้ง จะให้เขาบอกได้อย่างไรว่าตอนนี้ปุณณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ




สวัสดีค่ะ

แวะมาแปะบทที่ 5 ตัวละครใหม่ๆ มาเพียบ คิดว่าแม่ของอคิน น้องสาว รวมทั้งปรานต์ของเราเป็นยังไงมั่งคะ ทั้งหมดยังมีบทบาทมากกว่านี้ (เลยทำให้นิยายเรื่องนี้ค่อนข้างยาวไปด้วย) และในบทต่อไปจะมีตัวละครสำคัญเพิ่มค่ะ พลาดไม่ได้เลย แล้วเจอกันบทที่ 6 เร็วๆ นี้นะคะ

อย่าลืมมาร่วมตอบคำถามชิงนิยายเรื่อง “จันทร์แผลงรัก” และ “เล่ห์พิรุณ” (แจกทั้งหมด 4 รางวัล)


            คำถามสำหรับคนที่อ่านเรื่องใต้เงาพยัคฆ์ คือ “หลังจากได้รู้จักมาริ ยามากูชิมา 4 บท คิดว่าผู้ชายแบบไหนที่จะมากุมหัวใจของมาริได้คะ” ส่วนคนที่ไม่ได้อ่านเรื่องใต้เงาพยัคฆ์ คำถามคือ “อ่านนิยายเล่มล่าสุดเรื่องอะไร แนวไหน ชอบหรือไม่ชอบเพราะเหตุใด” โดยคำตอบทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้จับฉลากเลือกผู้โชคดีจำนวน 4 ท่านค่ะ

ส่งคำตอบมาที่ busaba401@hotmail.com ลงชื่อหัวข้อเมลว่า “ตอบคำถามกับมิถุนา” หมดเขตรับคำตอบวันที่ 6 พ.ย. 2556 ประกาศผู้โชคดีวันที่ 7 พ.ย. โดยมิถุนาจะอีเมลไปหาผู้ได้รับโดยตรง และประกาศโดยรวมอีกทีเมื่อลงนิยายบทใหม่นะคะ

อย่าลืมส่งมาร่วมสนุกกันค่ะ

มิถุนา

บล็อกรวมนิยาย (และเรื่องจิปาถะ) //mithuna.bloggang.com

แฟนเพจน้อยๆ https://www.facebook.com/MithunaNiyay

ตัวโตๆ สะใจได้ที่ //my.dek-d.com/Mithuna/control/writer.php




Create Date : 02 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2556 18:30:09 น. 3 comments
Counter : 1143 Pageviews.

 
ถือว่าผ่านใช้่ไหมเนีย จะมีใครจับได้ไหมหน่า



ส่งไปร่วมสนุกด้วยนะคะ เพี้ยงงงงงงง ติด1 ใน4


โดย: sakeena IP: 124.120.1.181 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2556 เวลา:13:17:03 น.  

 
เป็นครอบครัวที่ไม่ค่อยสนิทกันเลยนะคะ ถึงสวมรอยได้แบบจับไม่ได้เลยได้ง่ายอย่างนี้ หรือนานไปจะโดนจับได้คะ
ท่าทางปัตถ์จะหลุดให้จับได้ก่อนมาริแน่


โดย: goldensun IP: 61.91.4.2 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2556 เวลา:12:24:57 น.  

 
sakeena ช่ายค่ะ ตอนนี้ผ่าน แต่ว่าขึ้นเวทีแล้ว ลงไม่ได้แล้วจนกว่าม่านจะปิด เอาใจช่วยนักแสดง...เอ๊ย มาริกับปัตถ์ด้วยนะคะ
แล้วเจอกันค่ะ

goldensun ช่ายค่ะ โดยเฉพาะโทดะ กับศศิมา ไว้จะทยอยอธิบายแทรกไปในเรื่องเรื่อยๆ ค่ะ แต่จะถูกจับได้ไหม และส่วนปัตถ์จะทำเสียแผนไหม มาลุ้นกันนะคะ


โดย: มิถุนายน วันที่: 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา:2:41:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิถุนายน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]





บล็อกนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมนิยายของมิถุนาให้เป็นหลักแหล่ง และต่อมาได้เพิ่มความชอบเกี่ยวกับเครื่องสำอาง การท่องเกี่ยว การกิน และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ค่ะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะคะ

มิถุนา (busaba401แอตhotmail.com)

แวะทักทาย/ฝากคำถามได้ที่ cbox นะคะ แล้วจะมาตอบให้ทุกคนค่า








Fanpage นิยายของมิถุนา
(เฉพาะนิยายนะคะ ไม่ได้อัพเรื่องเครื่องสำอางค่ะ)
มิถุนา Mithuna นิยาย

โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ



E-book ของมิถุนา
คืนปรารถนา
มิถุนายน
www.mebmarket.com
ทั้งหมดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด...อชิระคิดว่ามิลินท์หักหลังเขา เขาจึงใช้ความรักที่เธอมีให้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น มิลินท์จาก...
ร้ายนัก(ไม่)รักเสียดีไหม
มิถุนายน
www.mebmarket.com
เมื่อยอดคุณป๊า ที่ถือคติที่ว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” พยายามจับคู่ลูกๆ ที่เหลือให้ครบ อดีตคู่กัดสมัยละอ่อนเลยได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว...
New Comments
Friends' blogs
[Add มิถุนายน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.