วันที่สามของการเดินทางแล้ว วันนี้เราตื่นกันแปดโมงครึ่ง เช้านี้ท้องฟ้ามัวซัว มีฝนพรำนิดหน่อย โชคดีที่พอสายๆท้องฟ้าก็เริ่มแจ่มใสเป็นระยะๆ ออกไปหาอะไรกินแถวๆที่พัก แล้วเราก็เริ่มออกชมเมืองกัน วันนี้เราจะไป The Tower of london , Tower Bridge และย่านธุรกิจที่อยู่ในส่วนของ City of London
พอเริ่มดีขึ้นก็นั่งรถไฟต่อไปยังจุดหมายได้ค่ะ ลงจากรถไฟขึ้นมาด้านบน ข้างหน้าก็จะเห็น Tower of London ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า จัดแจงถ่ายภาพทันที แต่ภาพที่เห็นมันไม่ได้ดังใจเล๊ย ก็ท้องฟ้ามัวๆ แล้วก็รถเยอะจังเลย ภาพที่ได้ก็เลยเป็นแบบนี้ล่ะ
The Tower of London
ส่วนภาพด้านล่างนี้เป็นด้านตรงข้ามกับหอคอย (เรียก Tower of London ว่าหอคอยก็แล้วกันนะ)วิวที่เห็นมันตัดกันดีน่ะ สิ่งก่อสร้างแบบเก่า ตั้งคู่กับอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจ ที่จริงมันไม่อยู่ใกล้กันหรอกนะ ตึกเก่าอยู่ใกล้กับหอคอย แต่เจ้าอาคารใหม่นี้มันอยู่ไกลไปอีก
เก็บภาพจนพอใจ เราก็เดินข้าถนนเพื่อจะเข้าไปในหอคอยกัน ค่าเข้าชมก็ ผู้ใหญ่คนละ 11.30 ปอนด์ เด็ก 7.50 ปอนด์ ด้านหน้าทางเข้าเนี่ย จะมีทหารใส่ชุดโบราณ Yeomen Warders of Her Majesty's Royal Palace and Fortress the Tower of London หรือเป็นที่รู้จักในนาม "The Beefeaters"ในสมัยก่อนก็ถือว่าเป็นคนที่เฝ้าหรือดูแลตรวจตราหอคอย ปัจจุบันนี้หน้าที่หลักก็เป็นไกด์ บรรยายให้เราฟังด้วย จะเดินตามเค้าก็ได้แต่ต้องรอให้เป็นกลุ่มใหญ่พอประมาณ แต่ถ้าอยากจะเดินดูเองก็ได้ตามสะดวก อยากดูรายละเอียดก็ตามไปดูได้ คลิ๊กที่นี่
เอาประวัติมาแปะไว้นิ๊ดนึง The Tower of London สร้างขึ้นใสมัยที่ Willem I เป็นกษัตริย์ เพื่อใช้เป็นพระราชวังและป้อมปราการป้องกันกรุงลอนดอน มีการขุดคูคลองล้อมรอบปราสาทเพื่อป้องกันระหว่างกำแพงชั้นในและนอก และในช่วงต่อมา ได้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษที่เป็นเจ้านายชั้นสูง ปัจจุบันใช้เป็นที่เก็บมงกุฎและของใช้ส่วนพระองค์ของกษัตริย์และพระราชินี ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้
ลานข้าง White Tower เป็นที่อยู่ของอีกาสีดำตัวโตที่เรียกว่า Raven มีคำกล่าวที่ว่า หากอีกาหายไปจากลานนี้เมื่อไหร่ก็จะถึงเวลาล่มสลายของราชวงศ์
เจ้าตัวนี้แหละที่เรียกว่า Raven
White Tower เป็นที่ประทับของกษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ของอังกฤษ เป็นทั้งที่ตั้งของศาลและที่ทำการของรัฐบาลด้วย
เข้าไปดูข้างใน White Tower เข้าไปชั้นแรกก็จะเจอกับ Chapel of the Evangelist เป็นโบสถ์โรมันที่ถือว่าสวยที่สุดในลอนดอน (หนังสือเค้าว่างั้นอ่ะ) ชั้นต่อไปก็จะเป็นที่แสดงอาวุธปืนต่างๆและดินปืน
Tower Green อาคารด้านข้างหอหอยเลือด เป็นสถานที่คุมขัง Lady Jane Grey ซึ่งมีอายุแค่ 16 ปีในตอนนั้นและเป็นพระราชินีได้เพียงแค่ 9 วัน และต่อมาก็ได้ถูกสังประหารชีวิต และ Katharine Howard พระชายาคนที่สองของกษัตริย์ Hendrik ที่ 8
วิวมองจากสะพาน ตึกที่เห็นนั้นจะอยู่ไกลไปอีกทางด้านหลังของ Tower of London เราจะเดินไปดูใกล้ๆในตอนบ่ายๆ
City Hall เป็นที่ตั้งของ Great London Authority Headquarters ตั้งอยู่ทางใต้ของของแม่น้ำเทมส์ ยังไม่เก่าจนเกินไปเพระเพิ่งเปิดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2002 นี้เอง
แล้วก็มาเจอกับตึกทรงสูง เรามองแล้วก็ให้นึกถึงตัวเครื่องจักรอะไรสักอย่างที่อยู่ในโรงงาน เพียงแต่สัดส่วนมันใหญ่โตกว่าเครื่องจักรมากๆ ด้านหน้าของตึกมีการตรวจตารักษาความปลอดภัยด้วย ดูท่าจะเข้าไปในตึกนี้ลำบากจังเลยถ้าไม่ใช่พนักงานเนี่ย อ้อ อาคารนี้มีชื่อว่า Lloy's Building ออกแบบโดย Richard Rogers ผนังด้านนอกจะใช้เหล็กสแตนเลส (stainless steel)อาคารนี้เป็นที่ทำการของ สถาบันประกันภัยของ Lloyd's of London ใช้เวลาสร้าง 8 ปีด้วยกัน (1978-1986) อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่
Lloy's Building
ด้านนี้จะมองเห็นลิฟท์อยู่นอกตัวอาคาร
เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอตึกรูปทรงรีแล้ว ตึกนี้ชื่อทางการว่า 30 St Mary Axe แต่ชื่อที่รู้จักทั่วไปคือ The Gherkin หรือ The Swiss Re Tower, Swiss Re Building หรือ Swiss Re Centre ออกแบบโดย Sir Norman Foster and ex-partner Ken Shuttleworth และได้รับรางวัล Pritzker-prize ด้วย ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่