All Blog
รำลึกถึง เพื่อน...ที่จากไป


หลังจากดองเค็มบล็อคไว้เป็นเดือน วันนี้มีโอกาสได้แวะเข้าไปป้วนเปี้ยนในบล็อคเพื่อนๆ ก็ไปสะดุดกับ "ร่มไม้เย็น" เธอเขียนถึง "ฆ่าตัวตาย" เราอ่านจั่วหัวแล้วก็แว้บถึงเพื่อนที่เคยใช้ชีวิตสนุกสนานด้วยกันอยู่ช่วงหนึ่ง ... แล้วเขาก็จากไปด้วยการฆ่าตัวตาย

เขาเป็นตำรวจ .. จบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ..
ใจเด็ดมาก อมกระบอกปืน.. แล้วลั่นไก
...
เขาทำงานอยู่กองทะเบียนประวัติอาชญากร เพื่อนคนนี้ ใช้ชีวิตความเป็นชายอย่างพลาดพลั้ง ที่สุดก็ติดเอดส์จากใครสักคน
เขารู้ตัวดีว่าเป็นเอดส์ แต่ไม่ยอมบอกให้ใครรู้ เราเชื่อว่า ทุกคนในบ้านเขารู้ แต่ไม่มีใครพูด โชคยังดีที่ไม่มีใครรังเกียจ
เขาประคับประคองชีวิตกัดฟันสู้กับความเจ็บปวด เพื่อรอให้เลยงานฉลองวันเกิดแม่ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย...

เช้าวันที่ 8 ธันวาคม วันนั้น เรานัดกัน.. ฉันนัดไปรับเขาที่บ้านเพื่อจะพาไปหาหมอตามนัดที่โรงพยาบาลตำรวจ เรานัดกันตอนแปดโมงเช้า ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน เขาบอกฉันว่า "...คุณนิ่มไม่ต้องโทรฯมาแล้วนะ ถึงเวลา ก็มาเลย.." ฉันไม่ได้เอะใจกับคำพูดของเขาเลยที่บอกว่า ...ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ...

วันนั้น เขาหลบออกไปจากบ้านแต่เช้ามืดโดยไม่มีใครในบ้านรู้ว่าเขาออกไปตอนไหน ...ฉันขับรถไปจอดหน้าบ้านเขาตั้งแต่ 7 โมงเช้าแต่ไม่กล้าเข้าไปในบ้าน นั่งรอเวลาให้ถึง 8 โมงตามนัดก่อน เพราะเขาสั่งไว้ว่า ...ถึงเวลานัด ก็มาเลย... พอถึงเวลา 8 โมง ฉันก็เข้าไปในบ้าน สวัสดีพ่อ แม่ และบอกว่า "นัดมารับ พี่...ไปหาหมอ" ฉันเรียกเขาว่าพี่ เพราะเขาแก่กว่าฉันหลายปี

8.30 น. เด็กในบ้านขึ้นไปตามเพื่อนในห้องนอนเพราะเห็นว่าฉันมารอนานแล้ว อึดใจก็วิ่งมาบอกว่า เขาไม่อยู่ในห้องและมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เราพรวดขึ้นไปดูในห้อง ไม่มีเขาอยู่ในห้อง และห้องนอนถูกปรับเปลี่ยนไปแล้วทั้งหมด ห้องถูกจัดใหม่จากห้องนอนให้กลายเป็นห้องพระ ที่นอนถูกเก็บแอบไว้มุมหนึ่งและซ้อนกองกันไว้สูงแค่เอว มีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนวางไว้บนฟูก "เผา" ด้านหนึ่งของห้อง มีโต๊ะหมู่บูชาจัดวางพระพุทธรูปไว้เป็นระเบียบ ดอกไม้ในแจกันถูกเปลี่ยนใหม่ และจัดวางหนังสือพระไว้ข้างๆเรียบร้อย เสื้อผ้าข้าวของส่วนตัวถูกเก็บมารวมไว้อีกด้าน

เราทุกคนในบ้านเริ่มลงมาค้นหารอบบ้าน ทั้งในสวน ในห้องเก็บของ และรอบๆ นอกรั้วบ้าน ไม่มีวี่แววของเขา รองเท้าที่เขาสวมประจำทุกคู่หายไปหมด จาน ชามที่เขาใช้ทานข้าวก็หายไป ตั้งแต่เขาป่วยและกลับมาพักฟื้นที่บ้าน เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังที่สุด ไม่ทานอาหารร่วมกับใคร แยกช้อม แยกชาม และของใช้ส่วนตัวทั้งหมด ซึ่งบัดนี้ ของใช้ที่ว่า ได้หายไปพร้อมกับตัวเขา

ฉันโทรไปถามหาเขาที่กรมตำรวจ ปลายสายก็ถามฉันกลับแปลกๆ ถามว่าเป็นใคร ทำไมโทรมาที่นี่ และถามอื่นๆ อีกเยอะจนแทบจะเรียกว่าถูกซักซะมากกว่า แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไร

ฉันลากลับไปทำงาน และสั่งว่า ถ้าเขากลับมาก็โทรฯไปบอกด้วยนะ จะได้หายห่วง

10 โมงเศษ แม่เพื่อนก็โทรฯมาหาฉัน "... ตายแล้ว เขายิงตัวตาย"ฉันน้ำตาร่วง ลางานแล้วขับรถมุ่งไปสถานีตำรวจ คำพูดและอาการแปลกๆของเพื่อนเริ่มพรั่งพรูเข้ามาในความคิด

เขาบอกฉันว่า ...ไม่ต้องโทรฯมาแล้วนะ ถึงเวลา ให้มาเลย... เขาไม่ต้องการให้ฉันโทรฯไปอีกเพราะเขาคงตัดสินใจไปแล้วว่าจะทำอะไร และไม่ต้องการให้ฉันทำให้เขาเขว คืนวันที่ 7 ก่อนที่เขาจะตาย เขาคงไม่ได้นอนเลยทั้งคืน หลังอาหารเย็นแล้ว เขาก็อยู่แต่ในห้องนอน จัดเก็บห้องและเตรียมทำทุกอย่างจนเสร็จ พอเช้ามืดก็แอบออกไปจากบ้านโดยไม่มีใครรู้ เขาคงนั่งแท๊กซี่ไปโรงพยาบาลนพรัตน์ฯ ซึ่งไม่ไกลจากบ้านนัก และเข้าไปในสวนของโรงพยาบาล นั่งพิงต้นไม้ หันหน้าออกไปที่ลำธาร และจบชีวิตไปพร้อมกับความเจ็บปวดที่รักษาไม่หาย

เขาไม่ต้องการจบชีวิตในบ้าน เพราะไม่ต้องการให้ใครกลัว และไม่ให้คนที่บ้านเดือดร้อน
เขาเลือกที่จะตายที่โรงพยาบาลเพราะเป็นที่สาธารณะที่มีเรื่องเจ็บตายกันประจำอยู่แล้ว
เขาเขียนสาเหตุของการตายและเบอร์ติดต่อกลับทิ้งไว้ เพื่อไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ยุ่งยาก
เขานัดฉัน 8 โมง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มีคนพบศพเขา เขาต้องการให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนแม่เขาตอนที่รู้ว่าเกิดเรื่อง หรือเขาต้องการให้ฉันไปรับศพเขา เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ฉันยังไม่เข้าใจ

เช้าวันนั้น ตอนที่เราโทรไปหาเขาที่ทำงาน ปลายสายถามฉันแปลกๆ คงเป็นเพราะเขารู้แล้วว่าเพื่อนฉันยิงตัวตาย เพราะเขาเป็นข้าราชการตำรวจ เจ้าหน้าที่คงแจ้งมาที่ต้นสังกัดก่อนแล้ว แต่ปลายสายเห็นว่าฉันไม่ใช่คนในครอบครัวก็เลยยังไม่ยอมบอก

เพื่อนฉันได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายไปพร้อมๆ กับโรคร้ายที่เกิดขึ้นเพราะความสนุกสนานแบบฉาบฉวย ฉันยังทำบุญให้และระลึกถึงเขาเสมอ ฉันจะเล่าเรื่องราวของเขาให้คนอื่นฟังเสมอถ้ามันจะเป็นบทเรียนชีวิต หรือเตือนสติให้ใครดำรงความสุขของตัวเองด้วยความไม่ประมาทได้

นี่ถ้าเพื่อนฉันรู้ว่า ฉันเกิดวันที่ 9 ธันวา และตั้งใจจะฉลองวันเกิดกับเขาหลังจากพาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลแล้ว เขาอาจจะยืดวันตายออกไปอีกหน่อยก็ได้ เพราะเขามักทำอะไรเผื่อคนอื่นอยู่เสมอ

แต่ฉันก็รู้สึกอิ่มใจ เมื่อคิดว่า ยังได้มีโอกาสทำอะไรให้เขาสุขใจตั้งเยอะแยะก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป.




Create Date : 25 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2551 17:35:53 น.
Counter : 4094 Pageviews.

106 comment
นอนโรงพยาบาลครั้งแรก ... ภาคจบค่ะ
หายไปหลายวัน หลังจากเล่าเรื่องบนเตียง (คนไข้) ภาค 1 ไปแล้ว
ช่วงนี้ งานหนาแน่นผิดหูผิดตา เลยไม่ค่อยว่างเข้าบล็อค เอ้า.. เล่าต่อเลยแล้วกันนะคะ

วันที่ 3 ... หลังจากเจี๋ยน
28 สิงหาคม… พยาบาลเข้ามาตรวจวัดไข้และความดันแต่เช้า เรายังลุกไม่ขึ้น ได้แต่พลิกตัวไปมา
พอสายๆ หมอก็เข้ามาตรวจ “เป็นไงบ้าง … ดูหน่อยซิ … อืม.. ผายลมบ้างไหม เดี๋ยววันนี้ลุกเดินได้แล้วนะ”
พยาบาล : “เดี๋ยวจะมาถอดสายฉี่ให้นะคะ” สักพักก็กลับมาพร้อมกระโถนสแตนเลส แล้วก็น้ำยาอะไรเยอะแยะ
“ยกก้นขึ้นหน่อยค่ะ… นิดเดียวนะคะ ถอดสายออกแล้วจะได้ลุกเดินสะดวกๆ”
ตอนถอดสาย ก็ เรด R ไม่แพ้ตอนใส่นั่นแหละค่ะ แต่ง่ายกว่า เร็วกว่า ไม่เจ็บ แต่ มันแปร้บบบบบ…..
“จะเอาสายน้ำเกลือออกให้นะคะ ….” พยาบาลค่อยๆ ดึงเข็มออกจากหลังมือ เอาผ้าก๊อซมาปิด

เราค่อยๆ ประคองตัวลุกขึ้นอย่างยากเย็น อีตอนลุกขึ้นนั่งนี่ มันเจ็บบบบ มาก เพราะตึงที่แผลค่ะ พยาบาลบอกว่า แผลผ่าตัดยิ่งลุกเดินได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งหายเร็วเท่านั้น
พยาบาล : “ต้องลุกเดินบ่อยๆนะคะ ถ้านอนมากๆ ท้องจะอืด แล้วไม่ดีกับแผล”
คงจะจริงค่ะ ความที่เมื่อวาน เราลุกไม่ขึ้น ได้แต่พลิกไปพลิกมาบนเตียง รู้สึกว่าท้องเริ่มอืดหลามมาถึงลิ้นปี่เลย ทรมานมาก ถ่ายก็ไม่ถ่าย ผายลมก็ไม่ออก ทั้งที่รู้สึกมีลมครืดคราดอยู่ในท้อง
เวลาไปชิ้งฉ่อง ตอนลุกขึ้นจากเตียง มันเจ้บบบบ พอลงจากเตียงแล้ว ก็ค่อยๆ ประคองท้องตัวเองเดินกะด๊อกกะแด๊กไปห้องน้ำ ถามว่าตอนเดินเจ็บแผลไหม? แปลกค่ะ ไม่เจ็บนะคะ แต่แสบแผลมาก แสบเหมือนเราเอาแอลกอฮอล์ลาดไปที่แผลอยู่ตลอดเวลา แต่จะมารู้สึกเจ็บแผลมากๆอีกที ก็ตอนหย่อนตัวนั่งเก้าอี้นี่แหละค่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง กะลังหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ ก้นยังไม่ทันแตะพื้นเลย ก็ต้องเด้งตัวขึ้นยืนตรงทันที “โอ้ยยยย….” มันเจ็บจี๊ดดด เลยค่ะ นั่งไม่ลง แต่ก็ต้องค่อยๆ ฝืนนั่งลงไปใหม่

เที่ยงวันนี้ หมอเริ่มให้เราทานอาหารมื้อแรกหลังจากอดมา 2 วัน
ปกติเมื่อเราถูกวางยาสลบ อวัยวะต่างๆ ในช่องท้องจะหยุดทำงานชั่วคราว โดยเฉพาะระบบย่อยอาหาร ดังนั้น มื้อแรกก็เลยต้องเป็นอาหารอ่อนก่อน อ่อนมากๆค่ะ มีน้ำซุปรสออกเค็มๆ 1 ชาม กะ น้ำขิงว๊าน หวาน 1 แก้ว (ที่บอก ว๊าน หวาน น่ะเพราะเราไม่ชอบทานหวาน)

บ่ายวันนั้น เราก็เริ่มผายลม มันโล่งค่ะ ค่อยคลายอึดอัดไปได้หน่อย
ทุกครั้งที่พยาบาลเข้ามาตรวจ ก็จะถามซ้ำๆ กัน “ฉี่กี่ครั้ง ถ่ายกี่ครั้ง” เราก็เลยต้องคอยจำไว้ว่า วันนี้ฉี่กี่รอบ ฉี่มากฉี่น้อย แต่เรื่องถ่าย เราไม่รู้จะเอาอะไรมาถ่าย เพราะยังไม่มีอาหารตกลงท้องเท่าไหร่

อีกอาการหนึ่งที่เราเป็นตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัด คือเจ็บคอ เคยอ่านในคู่มือการเตรียมตัวในการผ่าตัดที่ทางโรงพยาบาลแจกมาให้อ่าน เขาบอกว่า ถ้ามีอาการเจ็บคอ ให้หาหมอนหรืออะไรมากดที่แผลไว้ กันแผลแยก แล้วหายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง จากนั้นก็ฝืนไออกมา ก็จะหาย แต่เราไม่เอาด้วยหรอก ทนเจ็บแผลไม่ไหว แค่หัวเราะก็น้ำตาเล็ดแล้ว เรื่องไอ เรื่องจามนี่ระวังสุดๆ เลยค่ะ บอกเคล็ดลับให้ เผื่อเพื่อนคนไหน ดวงดีมีโอกาสได้ผ่าตัดกะเขามั่งจะได้เอาไปใช้ พอรู้สึกเริ่มระคายคอจะไอ เราก็กินเม็ดอมสมุนไพรเข้าไป 2-3 เม็ด พอใส่ปาก อมนิดๆ ให้พอออกรสแล้วเคี้ยวเลยค่ะ ค่อยๆ เคี้ยวเบาๆ ช้าๆ ไปเรื่อยๆ ชะงักเลยค่ะ ไม่กระแอม ไม่ไอ ตอนแผลใหม่ๆ ถ้าเราไม่ได้เม็ดอมสมุนไพรนี่สงสัยจะแย่ เม็ดอมพวกนี้หาซื้อง่ายค่ะ ใน 7-eleven ก็มีขาย ขวดละ 12 บาท มีทั้งรสส้ม รสมะนาว รสบ๊วย นี่เห็นในบุญคุณที่เม็ดอมช่วยเราไม่ให้เจ็บแผลนะ ก็เลยช่วย PR ให้

วันที่ 4 ...
29 สิงหาคม…. ตื่นแต่เช้า หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก็พยายามนั่งชักโครก เพราะอยากถ่ายเป็นกำลัง มันอึดอั๊ด อึดอัด ไม่ยอมถ่ายมาหลายวันแล้ว (มิน่า เขาถึงเรียกว่า ถ่ายทุกข์ เพราะถ้ามันไม่ถ่าย มันก็ทุกข์จริงๆ) นี่ยังดีนะ ที่ยังผายลมบ้าง ไม่งั้นตายแน่

เช้านี้ เราเริ่มได้ทานอาหารที่เป็นเนื้อเป็นหนังกับเขาแล้ว มีข้าวต้มทะเล ของโปรด เสร็จแล้วก็ลงจากเตียงมาเดินยืดเส้นท้อง จ๊ากกกกก… แสบแผลอีกแล้ว ถ้าใครมาเห็นเราตอนนี้ ต้องคิดว่ามาคลอดลูกแน่เลย เพราะเวลาเดินต้องเอามือประคองท้องไปด้วย โอยไป… โอยมา
“วัดไข้ วัดความดันหน่อยค่ะ” เจ้าประจำค่ะ พยาบาลเข้ามาตรวจวัดไข้รายวันแล้ว “ฉี่กี่ครั้ง ถ่ายกี่ครั้ง… ฉี่ปกติดีไหมคะ แสบไหม… เดินเยอะๆนะคะ เดินรอบๆ เตียงก็ได้ค่ะ จะได้หายเร็วๆ”
เราเป็นเด็กว่าง่ายค่ะ พอพยาบาลกลับออกไป ก็ตะเกียดตะกายลงจากเตียงมาเดินวนไปวนมา ยังกะเดินจงกรมรอบห้องอีก
บ่ายๆ ก็มีญาติพี่น้องมาเยี่ยม หอบหิ้วนมบ้างแบรนด์บ้าง วางไว้เต็มตู้ น่าเปิดร้านขายซะจริงๆ

ค่ำๆ ก็มีเพื่อนที่ทำงานไปเยี่ยมอีกชุดหนึ่ง ที่มาเยี่ยมค่ำๆ เพราะที่ทำงานอยู่ไกลค่ะ แถวๆเพลินจิต กว่างานเลิกก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็น ส่วนเรานอนป่วยอยู่โรงพยาบาลแถวปากน้ำ (สมุทรปราการ) กว่าเพื่อนๆจะขับรถฝ่า Traffic มาได้ก็เล่นเอา แฮ่กเหมือนกัน ตกใจกะซึ้งใจค่ะ ที่เพื่อนมาเยี่ยม ไม่คิดว่าจะมีน้ำใจ + มานะขนาดนั้น แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะมากันถูกด้วย เพราะแต่ละคนไม่เคยมาย่านนี้เลย แล้วก็มาเฉลยที่ ระบบแผนที่นำทางของรถค่ะ เพื่อนบอกว่า เราจะไปไหน ก็ set ชื่อเข้าไป ระบบมันก็จะบอกให้เรารู้ว่า ตั้งอยู่ตรงไหน ใช้เส้นทางไหน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปกี่กิโล แหม มันทันสมัย + รวยจริงๆเพื่อนเรา มีกะตังซื้อระบบแผนที่นำทางมาติดในรถด้วย ตั้งใจว่าไปทำงานได้เมื่อไหร่ จาไปขอดูความทันสมัยของมันซะหน่อย

วันที่ 5 ... กลับบ้านได้แว้ว
30 สิงหาคม…. วันนี้หมอลงตรวจสายหน่อย เพราะเป็นวันเสาร์ (เกี่ยวกันไหมเนี่ย)
หมอ : “อืม… ดีขึ้นแล้วนะ ผายลมบ้างหรือเปล่า… เดี๋ยววันนี้กลับบ้านได้นะ …หมอจะเปลี่ยนพลาสเตอร์ไปให้ เป็นพลาสเตอร์กันน้ำ จะได้อาบน้ำได้ …นี่เป็นไหมละลาย ไม่ต้องตัดไหม”
สักพัก พยาบาลก็มาทำแผล เปลี่ยนพลาสเตอร์ เป็นพลาสเตอร์ใส กันน้ำเข้าแผล ตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัดมา เราไม่เคยเห็นแผลของตัวเองเลยว่ายาวแค่ไหน เพราะมีผ้าก๊อซขนาดใหญ่ปิดทับไว้ ตอนพยาบาลทำแผล ก็เลยถามเขาว่า แผลยาวไหม …เย็บกี่เข็ม
พยาบาล : “…อืม ตอบไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหมอเขาเย็บหลายชั้น ชั้นนอกนี่หมอจะค่อยๆ สะกิดให้ติดกันเท่านั้นค่ะ มองไม่ออกหรอก เป็นรอยกรีดนิดเดียวเอง”

แรกๆ เรามองไม่เห็นแผลหรอกค่ะ เพราะแผลมันตึง ก้มตัวลงไปดูไม่ไหว รู้แต่ว่า หมอผ่าที่ท้องน้อย เป็นแนวยาวขวางลำตัว ไม่เหมือนสมัยก่อน เขาจะผ่าจากสะดือลงไปถึงท้องน้อยเป็นแนวตั้ง (ตอนแม่เราผ่าคลอดน้องชาย ต้องผ่าแบบนี้) ซึ่งเราว่ามันต้องเจ็บมากเลย เพราะเวลาลุกขึ้นนั่ง ลำตัวมันจะพับ แผลผ่าตัดก็จะงอไปตามตัว โอ้ย แค่คิดก็เจ็บแล้ว เดี๋ยวนี้ เขานิยมผ่าแนวขวางตัวใต้เข็มขัด เรียกว่า แผลหายสนิทแล้ว ใส่ทูพรีสเล่นน้ำทะเลได้เลย ก่อนจะเขียนบล็อควันนี้ หยิบเอาสายวัดมาวัดแผลดู ยาวเอาเรื่องเหมือนกัน เกือบ 15 เซ็นแน่ะ ตอนนี้ถึงแผลข้างนอกจะหายแล้ว แต่ก็ยังต้องรักษาข้างในต่อไปอีก หมอห้ามไม่ให้ยกของหนัก หรือมีกิจกรรมทางเพศ 3 เดือน แล้วก็ยังนัดให้ไปตรวจดูอาการเดือนละครั้ง

จำที่เคยเล่าให้ฟังตอนแรกได้ไหม ว่าก่อนผ่าตัด พยาบาลต้องโกนขนหน้าท้องเรื่อยไปจนถึงน้องสาวให้ นั่นแหละๆ ตอนนี้ผมน้องเริ่มยาวแล้ว คุณขา… เคยมีประสบการณ์ตอนตัดผม แล้วเศษผมที่ตัดหลงเข้าไปในคอเสื้อ แล้วมันแทงคอไหม มันหยุกหยิก จิ๊ดจ๊าด แสบๆ คันๆ ชวนเสียอาการแบบนั้นเลยค่ะ ถ้าอยู่ในห้องส่วนตัวก็พอจะหาวิธีบรรเทา แต่ท่ามกลางต่อหน้าฝูงชนนี่มัน ทรมานสุดๆ

จบแล้วค่ะ สำหรับประสบการณ์น้อยนิด จากแพ๊คเกจ 5 วัน 4 คืน ในโรงพยาบาล ขอบคุณสำหรับกำลังใจทุกดวงที่มีให้ ขอบคุณในความห่วงใยของเพื่อนๆ ซึ่งบางคน ก็ส่งไปให้ถึงขอบเตียงเลยค่ะ


คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ





Create Date : 14 ตุลาคม 2551
Last Update : 14 ตุลาคม 2551 11:01:25 น.
Counter : 805 Pageviews.

7 comment
นอนโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิต
เกริ่นนำหน่อยค่ะ

เราป่วยเข้าโรงพยาบาล ด้วยโรคเนื้องอกในมดลูก ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหา ก่อนไป... ก็ได้ล่ำลาเพื่อนพ้องน้องพี่ในบล็อคเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็ปิดบ้านไปหนึ่งเดือนกะอีกนิดๆ ตอนนี้หายดีในระดับหนึ่งแล้วค่ะ เริ่มมาทำงานตามปกติ และก็เพ่นพ่านในบล็อคได้เหมือนเดิม

วันที่เราเข้าโรงพยาบาล เป็นวันเดียวกับที่พันธมิตรเคลื่อนพลเข้ายึดทำเนียบไทยคู่ฟ้า พอดิบพอดี ป่วยไปคราวนั้น ก็เลยได้นอนดูข่าวการเมืองกันทั้งวัน เลยออกอาการติดค่ะ ช่วงนี้ก็เลยแวะเข้าไป "โต๊ะราชดำเนิน" ถี่หน่อย กว่าจะได้ฤกษ์อัพบล็อคของตัวเอง ก็เลยล่วงเลยหลายวันไปนิด จึงแจ้งมาเพื่อขออภัย ณ ที่นี้นะคะ

เข้าเรื่องเลยแล้วกันค่ะ


วันที่ 1 กับการนอนโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิต

26 สิงหาคม 2551 …. หมอนัด admit ตอนห้าโมงเย็น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดในวันรุ่งขึ้น เราถูกสั่งงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน (ตอนเราตัดสินใจจะรักษาด้วยการผ่าตัด หมอได้ส่งไปตรวจเช็คความพร้อมของร่างกายอย่างละเอียดยิบ วัดคลื่นหัวใจ เอ็กซเรย์ปอด วัดความดัน ตรวจปัสสาวะ เช็คความเข้มข้นของเลือด และขออนุญาตเจาะเลือดไปตรวจเอดส์ --ค่ะต้องใช้คำว่าขออนุญาต เพราะการตรวจเอดส์ต้องได้รับการยินยอมจากคนไข้ก่อน-- จากนั้นก็นับวันผ่าตัดไม่ให้ตรงกับช่วงมีรอบเดือน หมอให้เหตุผลว่า จะไม่ผ่าให้ถ้ามีรอบเดือน เพราะไม่ต้องการให้ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป) พอวัน admid ก็เลยไม่ได้ต้องเช็คอะไรมาก นอกจากนอนเตรียมใจและทำตัวให้คุ้นเคยกะโรงพยาบาลไปก่อน


วันที่ 2 กับการผ่าจริง เจ็บจริง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สแตนอิน

เช้าวันที่ 27 …. ตื่นตั้งแต่ตี 5 หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว พยาบาลก็เข้ามาตรวจวัดความดัน วัดปรอท โกนขนหน้าท้องเรื่อยไปจนถึงผมน้องสาว (งงดิ …นั่นแหละ… น้องสาว) ปิดท้ายด้วยการสวนก้น (คล้ายๆ กับทำดีท๊อกซ์นั่นแหละค่ะ) จากนั้นก็ให้ไปเข้าห้องน้ำถ่ายของเสียที่ตกค้างออกให้หมด เพื่อป้องกันท้องอืดหลังการผ่าตัด เรียกว่า ล้างไส้กันเลยหละ

เราทำความสะอาดร่างกาย สระผม แล้วก็สวมชุดใหม่มานอนรอที่เตียง สักพักพยาบาลคนเดิมก็เข้ามาบอกว่าจะใส่สายฉี่ให้ scene นี้ เรด R ถึง X ค่ะ สงสัยจาเล่าลำบาก (ใครอยากรู้วิธีใส่สาย อนุญาตให้ถามมาหลังไมค์นะคะ จาตอบให้เป็นพิเศษ ตอบหน้าไมค์ไม่ได้จริงๆ) ตอนนี้บอกได้สั้นๆว่า เจ็บค่ะ

ราว 8 โมง ก็มีพยาบาลอีกชุดเข้ามาเสียบสายน้ำเกลือ คุณเอ้ย.. ความจริงเราก็ไม่ใช่คนกลัวเข็มสักนิด บริจาคโลหิตรึก็บ่อย แต่คราวนี้มัน จ๊าก..ก จริงๆ ….ตอนแทงเข็มเข้าเส้นเลือดหลังมือ ‘อื๋ย Y_Y เจ้บบบบ…’ เจ็บจริงๆ อะ
พยาบาล : “อย่าเกร็งค่ะ” สงสัยตอนเราหลับตาปี๋ คงเผลอเกร็งหมัดแน่นแหงม
พยาบาลอีกคน : “เดี๋ยวขอฉีดยาหน่อยนะคะ” ว่าแล้ว ก็เข้ามายืนประชิดที่แขนขวาของเรา “อย่าชักแขนหนีนะคะ..”
(น่าน… ต้องมีอะไรพิเศษแน่เลย ถึงพูดหยั่งงี้) สักพักก็เอาเข็มจิ้มปื๊ดไปที่ท้องแขนข้างขวา
….. จ๊าก..ก..ก… ตอนฉีดน่ะไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก แต่ทันทีที่เดินยาเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกมัน โคตะระ เจ็บเลยค่ะ ราวกับเอามีดคัตเตอร์คมๆมากรีดลงไปที่แขน เรียกว่าตัวยาเดินไปไกลแค่ไหน ก็เหมือนลากมีดกรีดลึกลงไปไกลแค่นั้น
มิน่า.. ถึงบอกล่วงหน้าว่าห้ามชักแขนหนี (สงสัยจะเป็นการลองตัวยาอะไรซักอย่างหนึ่งที่จะใช้ตอนผ่าตัด ดูว่าเราแพ้ไหมแหงมๆ เลย) จากนั้น เขาก็เอาปากกาหมึกแห้งวงไว้รอบรอยเข็ม
อึดใจนึง.. พยาบาลคนเดิมเข้ามาพลิกแขนดู “อืม.. ใช้ได้” (ลองบอกใช้ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนยาตัวใหม่ดิ …น่าดู)
เราสงสัยเหมือนกันว่าเป็นยังไง ก็ลองยกแขนดูมั่ง เห็นเป็นตุ่มนูนขึ้นมาตามรอยเข็ม แต่ไม่แดงนะ นูนขึ้นมาเฉยๆ

8 โมง 45 เจ้าหน้าที่ก็เอาเตียงมารับ แล้วเข็นไปห้องผ่าตัด ตื่นเต้ลๆๆ ไม่เคยนอนบนเตียงให้ใครเข็น แล้วก็ไม่เคยเข้าห้องผ่าตัดด้วย เคยเห็นแต่ในหนัง เวลาพระเอกโดนยิงตอนโดดไปรับกระสุนแทนนางเอกแล้วนอนตาลอยมองเห็นไฟบนเพดานทางเดินผ่านไปแว้บๆ นั่นแหละค่ะ แบบนั้นเลย
พอเข้าประตูห้องผ่าตัด สัมผัสแรก คือ กลิ่น… (ม่ายใช่กลิ่นธูป นั่นมัน เดอะช็อค) กลิ่นของห้องนี้ ไม่เหมือนกลิ่นที่ไหนเลย บอกไม่ถูก …ตะแรกคิดเอาเองว่า …นี่เรากะลังถูกเข็นผ่านไอยาสลบมั๊ง สงสัยหมอคงค่อยๆปล่อยไอยาสลบมาให้เราดมทีละนิด พอถึงเตียงผ่าตัด ก็สลบพอดี (นั่น คิดได้ไงเนี่ย)

เจ้าหน้าที่เข็นเรามาแอบไว้ด้านหนึ่งของห้องผ่าตัด เรามองเห็นประตูห้องผ่าตัดย่อยออกไปอีก 2-3 ห้อง อันนั้นน่าจะเป็นห้องที่ใช้ผ่าตัดจริงๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นจะเป็นห้องที่เรา ต้องเข้าไปนอนให้หมอเจี๋ยนต่อไปในอนาคตอันใกล้
หมอผู้ชายคนแรกเดินเข้ามาทัก ถามชื่อ และรายละเอียดการป่วยของเรานิดหน่อย สักพักก็มีหมอผู้หญิงท่าทางใจดี้ดี (น่าจะเป็นวิสัญญีแพทย์) เข้ามาถามว่า เราเคยผ่าตัดไหม แพ้ยาอะไรหรือเปล่า คำตอบคือไม่ และไม่ค่ะ คุณวิสัญญีบอกว่าจะวางยาสลบให้หลับ ดีจังๆ เรากลัวบล๊อคหลังมาก ให้มันหลับๆไปงี้แหละดีค่ะ ไม่เสียวดี

พอห้องผ่าตัดพร้อม เจ้าหน้าที่ก็เข็นเราเข้าไปข้างใน ตอนเข้า เขาเข็นเอาด้านหัวเข้าไปก่อน ก็เลยมองไม่เห็นสภาพภายในห้องมากนัก พอเข้าไปด้านในก็ต้องเปลี่ยนเตียงอีกครั้ง “เลื่อนตัวไหวไหมคะ … ขยับมานอนเตียงนี้นะคะ” พยาบาลเลื่อนเตียงมาเทียบกับเตียงผ่าตัด แล้วช่วยกันเลื่อนตัวเราให้ย้ายไปอีกเตียง

เราเห็นไฟผ่าตัดดวงเบ้อเริ่ม อยู่เหนือเตียง พยาบาลและหมอเข้ามายืนอยู่รอบเตียง คนที่อยู่ปลายเตียงไม่รู้ว่าเอาอะไรมาหนีบที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เหยียดแขนเราออกสองข้างยึดติดไว้กับแท่นวางแขน เอาเครื่องวัดชีพจรมางับที่นิ้ว เอาเครื่องวัดความดันมาพันที่แขน มีอีกคนนั่งอยู่ที่หัวเตียง ก็รวบผมเราเก็บไว้ในหมวก (คนนี้น่าจะเป็นหมอที่คอยดูแลการหายใจของคนไข้ระหว่างการผ่าตัด) นอกนั้นก็มีพยาบาลอีกหลายคนคอยหยิบโน่นเตรียมนี่อยู่ใกล้ๆ คุณวิสัญญีคนเดิมซึ่งตอนนี้ปิดปากปิดจมูกเห็นแต่ดวงตาใสใจดี้ใจดีมายืนข้างๆ “หมอจะให้หลับแล้วนะ” พอสิ้นเสียง ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งเข้ามาทางซีกซ้ายของร่างกาย …นับ 1 –2 –…. ไม่ถึง 3 ……….. zzz

10 โมงเศษ…
“ตื่นได้แล้วค่ะ เสร็จแล้วนะคะ” เสียงพยาบาลเรียกพร้อมกับรู้สึกว่ามีมือมาแตะที่แขน
“คลื่นไส้ไหมคะ ….. (เราส่ายหัว) …ดีค่ะ แสดงว่าไม่แพ้” (มารู้ทีหลังว่า เป็นอาการข้างเคียงอย่างหนึ่งสำหรับคนไข้บางรายที่แพ้ยาสลบ)
เราถูกเข็นให้มานอนอยู่ในห้องสังเกตอาการ ความรู้สึกแรกที่ฟื้น เจ็บคอม๊าก มาก เพราะตอนสลบ หมอต้องสอดท่อช่วยหายใจเข้าไปในคอ กับรู้สึกปวดหลังแบบทรมานๆ ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้เข้าใจดี เรานอนกระสับกระส่ายจนพยาบาลเดินเข้ามาถาม แล้วก็ฉีดยาแก้ปวดให้ 1 เข็ม
ราว 2 ชั่วโมงผ่านไป เจ้าหน้าที่ก็เข็นเรากลับมาที่ห้องพัก
พยาบาล : “จะเปลี่ยนเตียงนะคะ …. เอามือกอดอกไว้ค่ะ” เจ้าหน้าที่ก็ช่วยกันยกเรามาวางไว้ที่เตียงคนไข้ จากนั้นก็จัดสายโน่นสายนี่ให้เข้าที่เข้าทางก่อนที่จะออกไป สักพักก็กลับมาพร้อมด้วยเครื่องมือวัดไข้ วัดความดัน แล้วก็บอกว่ายังทานอะไรไม่ได้ พอพยาบาลออกไปสักพัก เราก็หลับต่อไปอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าเพลียหรือยาสลบตกค้าง

“… เป็นไง.. คนตัวเล็ก เมื่อกี้ตอนพี่มาหนูยังไม่ออกจากห้องผ่าตัด …เลยออกไปหาอะไรกินกันก่อน” พี่สาวเอามือมาแตะเบาๆ ที่แก้ม ปลุกให้เราตื่นขึ้นมาแบบสะลึมสะลือนิดๆ
“สบายมาก … ไม่เจ็บเลย” (แน่ะทำเก่ง ความจริงน่ะเจ็บหลายเจ็บเลยแหละ)
“วางยาสลบ หรือบล็อคหลังล่ะ”
“วางยา .. หลับไปเลย ไม่รู้เรื่อง … แต่ก่อนหลับ เจ็บโคตร โคตร”
สักพัก พี่สาวเหลือบไปเห็นขวดใสหัวเตียง ใส่อะไรไว้ไม่รู้ หยิบมาดู เห็นเป็นชิ้นเนื้อใหญ่และยาวเท่านิ้วหัวแม่มือ เห็นมันมีตุ่มๆเหมือนหนวดปลาหมึกด้วย ถูกแช่ไว้ในน้ำยาใสๆ ตะแรกคิดว่าหมอเก็บก้อนเนื้องอกไว้ให้ดู
ถามหมอว่าคืออะไร
หมอ : “ไส้ติ่งไงครับ … หมอเก็บไว้ให้ดู”
“หนู… (แทนตัวเองซะน่ารักเชียว) …นึกว่าเป็นเนื้องอก”
หมอ : “อันนั้น ส่งไปตรวจแล้ว” และมารู้ผลภายหลังว่า เป็นเนื้อดี ไม่ใช่เนื้อร้าย …โล่งอกค่ะ

คืนนั้น เรานอนไม่ค่อยหลับ เพราะกระสับกระส่ายกับอาการปวด ไม่รู้ปวดแผล หรือปวดหลัง ที่สุด พยาบาลต้องฉีดยาแก้ปวดให้เข็มนึง ถึงได้หลับลงได้ แต่ก็ต้องถูกปลุกขึ้นมาอีกเป็นระยะๆ เพราะพยาบาลต้องเข้ามาตรวจความดันและวัดไข้ทุก 3 ชั่วโมง พอหลังเที่ยงคืนไปนี่สิคะ เราแทบไม่ได้หลับเลย ตื่นขึ้นมาทุกครึ่งชั่วโมง เพราะมันปวดหลัง แปลกค่ะ เราไม่เจ็บแผลเท่าไหร่ แต่กลับปวดหลังมั่กๆ พลิกซ้าย พลิกขวาทั้งคืนจนเช้า อีตอนพลิกตัวเนี่ย มัน เจบบบบบ… >__< จี๊ด จริงๆ


To be continue ...



Create Date : 08 ตุลาคม 2551
Last Update : 8 ตุลาคม 2551 17:24:23 น.
Counter : 709 Pageviews.

11 comment
วันจันทร์... ใส่เสื้อเหลือง


วันนี้เป็นวันจันทร์ อยากเขียนเรื่องเบาๆ แต่ลึกซึ้ง... เกี่ยวกับวันจันทร์
......

วัฒนธรรมการใส่เสื้อเหลืองในวันจันทร์
ใช่... อยากเรียกว่าวัฒนธรรมจังเลย
เพราะมันเหมือนจะเป็นวัฒนธรรมประจำตัวเราไปซะแล้ว
ว่า... วันจันทร์ต้องหยิบเสื้อสีเหลืองมาสวมใส่
และจะไม่ยอมใส่เสื้อสีหม่นดำในวันนี้ (ถ้าไม่จำเป็น)

ถอยย้อนไป เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว
รัฐบาลขอความร่วมมือจากคนไทย
ให้สวมเสื้อเหลืองเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวโรกาสฉลองศิริราชสมบัติครบ 60 ปี

ตอนนั้น ทุกคนพยายามแสวงหาเสื้อเหลืองมาสวมใส่
เพื่อเป็นการร่วมเทิดพระเกียรติแด่พระองค์
จะแพงแค่ไหน พ่อค้าจะฉวยโอกาสขูดเลือดกันยังไง
เราก็ยอมซื้อไป... บ่นไป

หลังจากงานพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่
รัฐบาลก็ขอให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ
สวมเสื้อสีเหลืองทุกวันจันทร์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

เราไม่ได้ทำงานราชการหรอก
แต่เราสวมเสื้อเหลืองกับเขาด้วย
เราทำ... เพราะอยากทำ และทำด้วยความเต็มใจ
ตกลง ปีนั้นทั้งปี
เราสวมเสื้อสีเหลืองตลอดจนสิ้นปีเลยค่ะ

ปีต่อมา เป็นปีฉลอง 80 พรรษาของพระองค์ท่าน
เราก็สวมเสื้อเหลืองต่อ โดยไม่ต้องให้ใครมาร้องขอ

ทุกวันนี้... เรายังสวมเสื้อเหลืองทุกวันจันทร์
และเมื่อมองไปทางไหน ทุกวันนี้ เราก็ยังเห็น
คนไทยสวมเสื้อสีเหลืองในวันจันทร์เหมือนเดิม

หลายคน... ยังไม่ถอดสายรัดข้อมือสีเหลือง
เรา... ก็ยังไม่ถอดออกจากข้อมือเหมือนกัน

ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้ใครมาขอ
ความจงรักภักดีที่มีอยู่ในใจ ยังคงมีอยู่ และจะคงอยู่ตลอดไป
มีทางใดที่สามารถแสดงออก หรือสื่อถึงความรู้สึกในใจเหล่านั้นออกมาได้

เชื่อว่า... เราทุกคนก็อยากจะทำ
...
ทรงพระเจริญ





ขอบคุณภาพกราฟิคการ์ดสวยๆ จาก photoontour.com



Create Date : 18 สิงหาคม 2551
Last Update : 18 สิงหาคม 2551 10:43:16 น.
Counter : 1704 Pageviews.

22 comment
.. ยอดรัก สลักใจ ... ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ


เมื่อคืนดูข่าวคุณยอดรักแล้วสะเทือนใจค่ะ

สงสารคุณยอดรักและครอบครัวมาก

เราเป็นแฟนเพลงของคุณยอดรักมาตั้งแต่ฟังเพลงลูกทุ่งเป็น

ร้องเพลงของคุณยอดรักได้มากกว่านักร้องลูกทุ่งชายคนอื่นๆ

ตั้งแต่วันแรกที่รู้ข่าวโรคที่คุณยอดรักเป็น

....ใจหายค่ะ

เมื่อวาน เห็นหัวข้อข่าวว่า

คุณยอดรักยกธงขาว บอกหมอ ....ขอพักยาว

.... สะเทือนใจสุด สุด

สงสารทั้งคนที่ป่วย และญาติที่อยู่รอบข้าง....

เราไม่มีโอกาสไปลงชื่อเยี่ยมคุณยอดรักที่โรงพยาบาล

เหมือนแฟนเพลงคนอื่นๆ

ก็ขอใช้พื้นที่บล็อคนี่แหละค่ะ ร่วมส่งกำลังใจ ไปให้คุณยอดรักนะคะ

.......................


(ขอบคุณภาพประกอบจาก ผู้จัดการออนไลท์ค่ะ)



Create Date : 07 สิงหาคม 2551
Last Update : 7 สิงหาคม 2551 17:57:00 น.
Counter : 5264 Pageviews.

22 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

คุณน้ำตาล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



เดิมอยู่วงเวียนใหญ่ เรียนหนังสือหนังหาอยู่ย่านฝั่งธนฯ พอโตขึ้นหน่อยก็อยากเป็นศิลปิน เลยหันเหไปเรียน Art ปัจจุบันทำมาหากินอยู่แถวเพลินจิต ย่านใจกลางเมืองที่รถติดจนอ่อนใจ
Friends Blog
[Add คุณน้ำตาล's blog to your weblog]
MY VIP Friend