อ่านเอามาเล่า

มอบดวงจันทร์ (นิทานเซนหนึ่งนาที)

     แต่ก่อน  อาจารย์เซนผู้หนึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขา  คืนหนึ่งขณะกำลังกลับจากการเดินเล่นในป่าใต้แสงจันทร์ที่สว่างพร่างพรายมาถึงหน้ากระท่อมที่พัก  ก็พบว่ามีขโมยมาเยือน  เขากลัวว่าเจ้าขโมยจะแตกตื่น  จึงยืนรออยู่หน้ากระท่อม.......

     เจ้าขโมยหลังจากรื้อค้นไม่พบสมบัติมีค่าใดๆ  กำลังหมุนตัวจะจากไปก็เผชิญหน้ากับอาจารย์เซน  ขณะกำลังตกใจกลัวอยู่นั้น  อาจารย์เซนกล่าวขึ้นว่า

     “เจ้าอุส่าห์เดินทางไกลขึ้นเขามาเยี่ยมข้า ยังไงเสียก็ปล่อยให้เจ้ากลับบ้านมือเปล่าไม่ได้”  พูดจบก็ถอดเสื้อคลุมที่ตนเองสวมใส่อยู่ยื่นให้แล้วพูดว่า  “ดึกแล้ว  ข้างนอกหนาวมาก  เจ้าคลุมเสื้อตัวนี้กลับไปเถิด”  พูดจบ  อาจารย์เซนก็คลุมเสื้อให้กับเจ้าขโมย  เจ้าขโมยไม่รู้จะทำอย่างไรดีได้แต่ก้มหัวแล้ววิ่งออกไป  อาจารย์เซนมองตามหลังเจ้าขโมย  พูดอย่างสะท้อนใจว่า  “ช่างน่าสงสาร  ข้าหวังว่าจะสามารถมอบจันทร์สว่างให้เจ้าสักดวง”

        วันรุ่งขึ้น  แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นสาดส่องต้องมาที่กระท่อม  อาจารย์เซนเปิดประตูออกมา  พลันเห็นเสื้อคลุมตัวที่คลุมให้เจ้าขโมยเมื่อคืนนี้  ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่หน้าประตู  อาจารย์เซนรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง  พึมพำกับตัวเองว่า  “ในที่สุด  ข้าก็ได้มอบดวงจันทร์ที่สว่างใสให้กับเขาแล้ว......”

*****




 

Create Date : 16 มกราคม 2559   
Last Update : 16 มกราคม 2559 10:07:19 น.   
Counter : 459 Pageviews.  

พุทธะวิสัชนา

ปุจฉาทำอย่างไรจึงจะเกิดความสมดุลระหว่างความสุขกับความทุกข์

วิสัชนาคนเรามีหัวใจเพียงดวงเดียวแต่มีสองห้อง ห้องหนึ่งความสุขอาศัยอยู่ อีกห้องหนึ่งความทุกข์อาศัยอยู่ จงอย่าหัวเราะดังเกินไป เพราะอาจจะไปปลุกให้ความทุกข์ตื่นได้




 

Create Date : 14 มกราคม 2559   
Last Update : 14 มกราคม 2559 10:06:09 น.   
Counter : 324 Pageviews.  

ขอดวงตา (นิทานเซนหนึ่งนาที)

ขณะที่อาจารย์เซนหวินเหยนกำลังถักรองเท้าฟางอยู่นั้น อาจารย์เซนตุ้งซานเดินผ่านมา พอพบหน้ากันก็เอ่ยขึ้นว่า

       “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะขออะไรท่านสักอย่างได้ไหม”

       “ไหนลองพูดมาสิ”  อาจารย์เซนหวินเหยนตอบ

ตุ้งซานพูดอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเลยว่า  “ข้าพเจ้าอยากได้ดวงตาของท่าน”

อาจารย์เซนหวินเหยนกล่าวอย่างสงบว่า  “ขอดวงตา แล้วดวงตาของท่านเองล่ะ”

       “ตุ้งซานว่า  “ข้าพเจ้าไม่มีดวงตา”

อาจารย์เซนหวินเหยนยิ้มอย่างราบเรียบกล่าวว่า  “หากว่าท่านมีดวงตาแล้ว ท่านจะจัดการอย่างไร”

ตุ้งซานไม่รู้จะตอบว่ากระไร

อาจารย์หวินเหยนจึงพูดต่ออย่างเคร่งขรึมจริงจังว่า  “ข้าคิดว่าดวงตาที่ท่านอยากได้นั้น น่าจะไม่ใช่ดวงตาของข้า แต่เป็นดวงตาของท่านเองต่างหาก”

อาจารย์เซนตุ้งซานเปลี่ยนน้ำเสียงพูดว่า  “ความจริงแล้วสิ่งที่ข้าอยากได้นั้นหาใช่ดวงตาไม่”

และแล้วอาจารย์เซนหวินเหยนอดรนทนไม่ได้ต่อวิธีพูดที่ขัดแย้งกันเองของตุ้งซานอีกต่อไป จึงตะคอกไปว่า

       “ท่านจงออกไปซะ”

       อาจารย์เซนตุ้งซานไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด ยังคงพูดอย่างจริงใจว่า  “ออกไปน่ะได้ แต่ว่าข้าไม่มีดวงตา มองไม่เห็นหนทางในอนาคต”

อาจารย์เซนหวินเหยนใช้ฝ่ามือคลำที่หัวใจตนเอง แล้วพูดว่า  “ก็ให้ท่านไว้ตั้งนานแล้วนี่ ยังบอกว่ามองไม่เห็นอีก”

       ในที่สุด อาจารย์เซนตุ้งซานก็ได้ตื่นรู้จากคำพูดประโยคนี้

       การที่อาจารย์เซนตุ้งซานจะขอดวงตาจากผู้อื่นเป็นเรื่องประหลาดมาก ต่อให้ผู้ปราดเปรื่องอย่างอาจารย์หวินเหยน ในตอนแรกยังได้แต่บอกว่าดวงตานั้นอยู่ที่หน้าผากของอาจารย์เซนตุ้งซานเอง แล้วใยต้องไปขอจากผู้อื่น ท้ายสุดก็รู้ว่าสิ่งที่ตุ้งซานอยากได้นั้นไม่ใช่ตาเนื้อ อาจารย์เซนหวินเหยนใช้วิธีที่แยบคายในการชี้แนะถึงดวงตาที่ใจ ตุ้งซานจึงได้ตื่นรู้ในบัดดล

       ดวงตาเนื้อใช้ในการมองเห็นสรรพสิ่งในโลกที่สั้น ยาว กลม เหลี่ยม เขียว แดง ดำ ขาว การมองเห็นนี้เป็นสิ่งผิวเผิน เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดแล้วดับ แต่ดวงตาแห่งใจนี่ต่างหากที่สามารถสังเกตุมองเห็นแก่นแท้ของสรรพสิ่งบรรดามีในจักรวาล การสังเกตนี้เป็นสิ่งทั่วไป เป็นเอกภาพทั้งภายในภายนอก มิน่าเล่าตุ้งซานแม้จะมีดวงตาเนื้อ ยังคงไม่เห็นแจ้งในหนทางแห่งอนาคต หนทางนี้เป็นหนทางที่เป็นตัวตนที่แท้จริง เป็นเป้าหมายของการบรรลุธรรม สำเร็จมรรคผล เมื่ออาจารย์เซนบอกเขาเรื่องดวงตาแห่งใจ ทำให้ตุ้งซานได้ตื่นรู้ทันที

*****




 

Create Date : 13 มกราคม 2559   
Last Update : 13 มกราคม 2559 12:50:14 น.   
Counter : 295 Pageviews.  

เหมือนขี้ควาย (นิทานเซนหนึ่งนาที)

กาลครั้งหนึ่ง  ซูตุงพอ  นักอักษรศาสตร์ในสมัยราชวงศ์ซ้องเหนือ ได้ไปที่วัดจินซันเพื่อนั่งสมาธิทำวิปัสนา

กรรมฐานกับพระอาจารย์เซนฝอยิ่น  ซูตงพอรู้สึกว่าปลอดโปร่งกายสบายใจ จึงถามอาจารย์เซนว่า

        “ท่านอาจารย์  ท่านดูซิว่าท่านั่งของข้าพเจ้านั้นเป็นเช่นไร”

        “ช่างสง่างามดุจพระพุทธรูป”

        ซูตงพอได้ฟังแล้วรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง อาจารย์เซนฝอยิ่นจึงถามซูตุงพอต่อว่า

        “ท่านบัณฑิต  แล้วท่านั่งของข้าล่ะ  ท่านดูแล้วเป็นอย่างไร”

        ซูตุงพอไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะยั่วเย้าอาจารย์เซนท่านนี้ได้ผ่านไป  จึงรีบตอบว่า  “เหมือนขี้ควายกองหนึ่ง”

        อาจารย์ฝอยิ่นได้ฟังแล้วก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่งเช่นกัน  ซูตุงพอคิดในใจว่าการที่อาจารย์เซนฝอยิ่นถูกตนเปรียบดัง

ขี้ควายกองหนึ่งแล้วไม่อาจโต้ตอบได้นั้นเป็นชัยชนะของตนที่เหนือกว่าอาจารย์ฝอยิ่น  ดังนั้น  เมื่อพบปะผู้ใดก็จะ

บอกว่า  “วันนี้ข้าชนะอาจารย์ฝอยิ่น แล้ว” ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดถึงหูของซูเสี่ยวเม่ยน้องสาวของเขา  น้องสาวจึงถาม

ว่า

        “พี่ชนะท่านอาจารย์ฝอยิ่นอย่างไรหรือ”

        ซูตุงพอยิ้มอย่างเริงร่าแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้น้องสาวฟัง

        ซูเสี่ยวเม่ยเป็นสตรีที่ชาญฉลาด  มีปัญญาเลิศล้ำ  หลังจากที่เธอได้ฟังคำบอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจของซู

ตุงพอผู้พี่จบลง  จึงพูดอย่างจริงจังว่า

        “พี่  ท่านแพ้แล้วล่ะ  ในใจของท่านอาจารย์เซนดุจดั่งพระ  ฉะนั้นท่านมองดูพี่ก็เหมือนดั่งพระ  ในใจของพี่ดุจ

ดั่งขี้ควาย  ฉะนั้นจึงเห็นอาจารย์เป็นขี้ควาย  ซูตุงพอเงียบไป  พลันจึงรู้ว่าวิชาเซนของตนเองยังห่างไกลอาจารย์

ฝอยิ่นยิ่งนัก

***เซน  ไม่ใช่ความรู้  หากคือความตื่นรู้  เซน  ไม่ใช่การโต้แย้งที่เฉลียวฉลาด  แต่คือปัญญา  อย่าเข้าใจว่าความ

เฉียบแหลมคมคายของอาจารย์เซนที่บางครั้งสงบนิ่งไม่พูดหรือไม่ได้สื่อสารออกมาทางอักษรใดๆ นั้น  แต่แท้จริง

แล้วก็สามารถเปล่งเสียงธรรมที่สะท้านหูได้เหมือนกัน

*****




 

Create Date : 09 มกราคม 2559   
Last Update : 9 มกราคม 2559 13:41:25 น.   
Counter : 393 Pageviews.  

พุทธะวิสัชนา

ปุจฉา มีคนพูดว่าเวลาทำให้ความรักจืดจางลง พระองค์ทรงเห็นอย่างไร

วิสัชนาความรักทำให้คนลืมเวลา แต่เวลาก็ทำให้คนลืมความรัก




 

Create Date : 08 มกราคม 2559   
Last Update : 8 มกราคม 2559 10:23:52 น.   
Counter : 574 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

Krareinpa
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add Krareinpa's blog to your web]