กรรมฐาน > Meditation
Group Blog
 
All Blogs
 

วิญญานเด็ก ๒ คน


Free TextEditor

 ปัจจุบัน สู่ อดีต 


     
เมื่อวาน น้องผู้ชายคนนึง มาปรึกษา เรื่องทำแท้ง (งานเข้าแล้วไง)
เค้าก็รู้ว่าเราไม่ให้ทำแน่ๆ เราก็โน้มน้าวแบบชักแม่น้ำทั่วโลก
ให้ไหลมารวมที่ประเทศไทย
จนในที่สุดเช้าวันนี้เค้าตัดสินจะไม่ทำร้ายเด็กในท้องของแฟนเก่า จะรับผิดชอบ
แม้ว่าจะใช้ลูกเค้าหรือไม่  เราดีใจและปลื้มใจ ที่น้องผู้ชายคนนี้
เค้าเชื่อในสิ่งที่เราพูด  วันนี้ได้ช่วยไว้ได้ อีก ๑ ชีวิต
เมื่อคืนยอมรับว่าเครียดมาก ถึงจะไม่ใช่เรื่องตัวเอง



     เมื่อ ๑ ปี ๑ เดือน ที่ผ่านมา เพื่อนผู้หญิงคนนึง มาปรึกษา
เรื่อง ท้อง หาทางออกยังไงดี  (งานเข้าแล้วไง) เค้าก็รู้ว่าเราไม่ให้ทำแน่ๆ  
เราโน้มน้าวเธอคนนี้ได้ ด้วยเหตุผล ต่างๆนานา  ทางศาสนา
และบาปกรรม เธอตัดสินใจที่จะเลี้ยงลูกคนนี้
ตามลำพังแบบไม่มีพ่อ 


 ปัญหา ผู้ชายไม่รับผิดชอบ ใดๆทั้งสิ้น
บอกเลิกทันที แถมด้วย มีเมียที่บ้านแล้ว  ทางแม่ของผู้หญิงคนนี้ ก็บอกให้เอาออก
เช่นกัน ด้วยเหตุผล หน้าตาทางสังคม ปัญหาที่ตามมาคือ ฝ่ายชาย
พยายามจะดึงตัวไปทำแท้งให้ได้ เธอก็หนีแบบย้ายที่อยู่ไปเลย ฝ่ายแม่ของเธอก็พยายาม
จะพาไปทำแท้งเช่นกัน เธอหาทางออก ด้วยการโกหก ทั้ง ๒ ฝ่ายว่า ทำแท้งไปแล้ว
เพื่อให้เลิกพยายามพาเธอไปทำแท้ง  เราก็ช่วยให้กำลังใจเธอ จนถึงวันที่คลอด  ในภาพ
คือภาพเด็กคนนี้ ตอนนี้ หนูน้อย อายุ ๔ เดือนแล้ว 
เด็กผู้หญิงนะค่ะ  ปัจจุบันแม่ของเพื่อน ยอมรับในความน่ารักน่าชังของหนูน้อยมาก 
ทุกอย่างดีขึ้น ตามที่เราแนะนำเธอ



      เมื่อกลางปี ๒๕๕๒  อรกำลังทำกรรมฐานอยู่ที่ห้องพักที่ฟาร์ม
เดินจงกรม และลงนั่งสมาธิตามปกติ วันนั้นกำหนดลมหายใจ ที่ท้องได้แล้ว
รู้แล้วว่าวันนี้ได้ถึงจุดสมาธิ สงบดี เรายังกำหนดลมหายใจที่ท้องไปเรื่อย
ๆ ภาพสว่างขึ้น 


       
มันสว่างมาก แต่ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แบบไหน  เราเห็นกรอบรูปสีทอง ใหญ่ๆ 
กรอบลุยส์มีเด็กผู้หญิง ผู้ชาย ประมาณ ๕ ขวบ อยู่ในกรอบรูปนั้น  แยกกัน 
เด็กหญิงอยู่กรอบรูปทางขวา  เด็กชายอยู่กรอบรูปซ้าย กรอบรูปลอยมาใกล้ จนเห็นภาพชัด
มาก แบบใกล้จนแทบมองไม่เห็นกรอบ



       ในกรอบรูปมีการเคลื่อนไหว เด็กผู้หญิง ใส่ชุดกระโปรงสีชมพู
เอามือซ้ายปิดตาตัวเอง แล้วมือขวาชี้ไปขวา เรามองตามมือน้อยๆ นั้น ก็เห็นเด็กผู้ชาย
สูงไล่เลี่ยกัน เด็กผู้ชาย ใส่ชุดทหารน้อยๆ ผมหยิกฟู ผมสีน้ำตาลน่ารักมาก
เค้าทำท่าทีแสนซน ใส่เรา แล้วชี้หน้าเรา


มีเสียงดังขึ้นมาว่า "อย่าลืมพวกเรานะ"  ไม่มีน้ำเสียงอาฆาต
หรือโกรธแค้นเลย เชิงขอร้องมากกว่า


เราก็นึกในใจว่า  "เอ๊ะ ..  นั่นลูกใคร เราทำอะไรกับเด็ก ๒ คนนี่ไว้"
แล้วเราก็ระลึกกรรม ขึ้นมาเลย 



   
เด็กผู้หญิง ลูกของเพื่อนผู้หญิง ที่เค้าปรึกษาเรา ให้เราหาที่ทำแท้งให้
เราเป็นคนชี้เป้า ว่าทำที่ไหน"  เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด


     เด็กผู้ชาย
ลูกของน้องผู้ชาย ที่เค้าปรึกษาเรา ให้เราหาที่ทำแท้งให้ เราก็เป็นคนชี้เป้าหมาย
พาไปอีก ตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด อีกแล้ว



นานแสนนานมาแล้ว
ลืมสนิทเลย ทำกรรมฐาน ไม่เคยแผ่เมตตาให้วิญญานของเด็ก ๒ คนนี่เลย 
วิบากกรรมที่ได้รับก็มากมาย  ตามความเลวที่ได้ทำไว้


ครบเวลา
แผ่เมตตาออกไป ให้วิญญานเด็ก ๒ คนแล้ว
จนถึงทุกวันนี้และคงตลอดชีวิตนี้เลยล่ะ


ออกกรรมฐานโทรไปหา คนทั้ง ๒ คน  ว่าลูกเค้าๆ
ยังต้องการบุญกุศล อีกมาก ให้ได้มากพอจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า
สัมภเวสีตอนนี้



       ผลกรรมจากการทำแท้ง พระพุทธองค์ยังได้ตรัสอีกว่า
ผู้ที่เคยทำแท้ง ขณะมีชีวิตจะได้รับผลกรรมสนองจากโรคร้าย ป่วยหนัก อายุสั้น
การถูกขัดขวางไม่ให้พบความเจริญ ความฉิบหายมาสู่ตนอย่างหาสาเหตุไม่ได้



      
ครั้นจบชีวิตแล้วจิตวิญญาณต้องได้รับโทษทัณฑ์ที่แสนสาหัสในนรกภูมิเป็นเวลาอันยาวนานมิอาจประมาณได้
และยิ่งถ้าหากเด็กผู้ตายนั้นมีจิตอาฆาตพยาบาทด้วยแล้วยิ่งลำบากหนัก
เพราะจิตอาฆาตนั้นจะเฝ้าจองเวรกันทุกลมหายใจเข้าออก
ทำให้ชีวิตไม่เป็นสุขทุกข์ทรมานต้องพบกับความล้มเหลวอย่างไม่หน้าจะเป็นไปได้


      
หรือบางท่านพบแต่ความทุกข์ระทม
ล้มละลายทั้งชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวหาความสงบสุขได้ยาก
ต้องชดใช้กรรมกันอย่างสาสม จนกว่าแรงกรรมนั้นจะได้ชำระกันจนหมดสิ้น หรือ
จนกว่าเป็นที่เพียงพอของจิตวิญญาณนั้น ที่สุดยกให้เป็นอโหสิ



ดีใจที่ได้ช่วย
๒ ชีวิตให้ได้ลืมตาดูโลก  และเสียใจ ที่ทำให้อีก ๒ ชีวิต
ไม่ได้เกิดมา


แต่กรรมฐานสามารถทำให้กรรมเบาบางลงได้ อยากให้คนที่ทำแท้งไปแล้ว
ตัดสินใจพลาดไปแล้ว ได้ช่วยกันเจริญกรรมฐานใช้กรรม
เอากุศลให้ วิญญานของเด็กด้วยนะค่ะ 









 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2553 13:37:07 น.
Counter : 551 Pageviews.  

วิญญานมาเยอะจัง (วันโกน)

Free TextEditor


วันนี้ รูมเมทไม่อยู่ห้อง เราลั่นสัจจะว่า


"
หลังสวดมนต์เสร็จ จะทำกรรมฐาน โดย เดินจงกรม ๓๕ นาที และ นั่งสมาธิ ๓๕ นาที "



       ตอนเดินจงกรม จิตคอยแต่วิ่งเล่น แต่ก็พยายามดึงรั้งจิตให้นิ่ง ด้วยการปักจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ครบเวลา ๓๕
นาที
เราก็ลงนั่งสมาธิต่อ เพียง เริ่มนั่ง รู้สึกเลยว่า จิตกลับดิ่งเร็ว
เหลือเกิน
ดีใจจัง



     ไม่นานนัก ภาพก็สว่างขึ้น เห็นกลุ่มทหารใส่ยูนิฟอร์มทหาร สีเขียวเข้ม ไม่มีลายพรางใดๆเลย
ใส่หมวกเหล็ก
ที่มีตาข่ายครอบหมวกไว้ ภาพที่เห็น มีสีขาวเป็นเส้นๆ ในแนวตั้ง
ขวางภาพอยู่
เราพยายามดู เส้นสีขาว ค่อยจางลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลืออะไรมาบดบังภาพที่เคลื่อนอยู่ตรงหน้า



          กลุ่มทหารที่เห็น มีไม่ต่ำกว่า ๑๐ คน เค้ามากันเป็นทีมเลย ในมือถือปืน แต่มีหญ้าสูงถึงเกือบ อก บังพวกเค้า
ไว้
เหล่าทหารกำลังมุ่งหน้าไปทางซ้าย อย่างเร่งรีบ และ ระมัดระวัง
ทุกอย่างเงียบ
เราได้ยินเสียงลมพัด กับเสียงที่ทหารกลุ่มนี้แหวกหญ้า
เพื่อเร่งไปไหนซักแห่ง



       เหมือนภาพเป็นแบบภาพสไลด์เลย มีอะไรดึงภาพตรงหน้าไปทางขวามืออย่างรวดเร็วจนเรา ไม่ทันตั้งตัว ภาพตรงหน้า
นั่น
มองปุบ เห็นเป็นส่วนสีแดงซะส่วนใหญ่ 
(
เหมือนในวัด ในโบถส์ ที่ทาสีแดง ตัดสีทอง แบบนั่น) พอมองดีๆ ก็คือในวัดนั่นเอง มีศาลาตรงกลาง อยู่ในศาลาวัดอีกที เหมือนวัดเก่าแก่ในเพชรบุรีเลย เช่น วัดพิกุลแก้ว


         ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ให้นึกถึงบ้านทรงไทยโบราณที่อยุธยาน่ะค่ะ ที่เป็นส่วนที่อยู่กลางบ้านเป็นศาลาไว้ทานข้าว น่ะค่ะ ถ้าอรได้ไปวัดพิกุลแก้ว จะถ่ายภาพมาประกอบไว้ อีกทีค่ะ



           พอรู้ว่าเป็นวัด สายตาก็จ้องไปที่ เชิงเทียน ที่ตั้งไว้ ๒ อัน ที่มีร่องรอยของน้ำตาเทียนเหลืออยู่ แล้วเราก็เห็นอะไรหลังเชิงเทียนแว้บๆ นั่นคือ ทหารกลุ่มนั้น กำลัง เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ผ่าน เชิงเทียน นั่นไป ทีละคน



             เรานึกในใจ นี่เค้ายังไม่รู้อีกหรือว่า เค้าเหล่านั้น ได้ตายไปแล้ว วิญญานยังไม่ได้ไปไหน ยังคงอยู่ในสงครามตามเดิม
ซึ่ง
ป่าตอนแรกที่เห็น แท้จริงปัจจุบันคือวัดไปแล้วนั่นเอง



         เราเห็นปุบ ก็ตกกะใจอะ รีบกำหนด เห็นหนอ เห็นหนอ ไปเรื่อยๆ และกลับมา ภาวนา พองหนอ ยุบหนอตามเดิม เราเพียงเอ่ยว่า จงมาอยู่ใกล้ รอรับบุญ กุศล
ที่วันนี้เราจะแผ่ออกไปให้ท่านทหารกล้า
ทั้งหลายที่ยังวนเวียนไม่ได้ไปสู่ สุขคติ เพราะห่วงบ้านห่วงเมือง



             เราต่างอยู่คนละภพภูมิแล้ว คนละโลกกัน ที่ที่เรายืนอยู่สำหรับอีกภพนึง อาจจะเป็นป่า ในโลกของวิญญาน
 แต่ในโลกมนุษย์
เราก็อาจเห็นเป็นเมือง



นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน สวรรค์ไม่ได้อยู่บนฟ้า มนุษย์อยู่บนดิน


แต่ ๓ โลก ได้อยู่ซ้อนทับกัน ทั้ง ๓
โลก
บนพื้นดินแห่งนี้นี้ล่ะ



ปกติจะทำกรรมฐานก็จะนึกในใจ เชิญ วิญญาน ที่ต้องการบุญ กุศล มารออยู่ใกล้นะ
ขออนุญาตลุงเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องเรา
ว่า ให้เค้าเหล่านั้นสามารถเข้ามาในห้องได้



 เมื่อกลับมากำหนด พองหนอ ยุบหนอต่อ


            มีผู้หญิง เดินผ่านหน้าเราไปอย่างเร็วมาก เราเห็นเธอเดินผ่าน แต่แบบไม่มีเสียงเดินเลย แบบวินาทีเดียวฟิ้วววววววววว ไปหน้าห้องแล้ว
เธอเดินจากขวามือเราไปทางซ้าย
เธอหยุดที่ประตูห้องเหมือนจะออกไป แต่ยังหยุดนิ่ง หันหลังให้เรา ในกรรมฐาน เราหันไปมองเธอคนนั้น หลังจากเธอ ฟิ้วววววววววว ผ่านหน้าเราไปอะ เราพิจารณาเธอทันที เห็นหนอ เห็นหนอ



           เธอ ผมสั้นสีดำแบบบ๊อบ ผิวขาวเหลือง ใส่ชุดเกาะอก สีขาว ลายดอกไม้ มีสายเชือกสีขาวผูกที่คอ มองปุบ เราก็ เอ๊ะ คุ้นคุ้น เฮ้ย มันชุดของอิชั้นนี่นา เป็นชุดที่เราซื้อมา เมื่อ ต้นเดือนธันวา แต่ยังไม่เคยใส่เลย เนื่องจากยังไม่มีสถานการณ์ใดๆ ที่เอื้ออำนวยให้เราได้ใส่ชุดนั้นเลย  เธอสวมรองเท้าส้นสูงสีขาว หุ้มส้น เราเลยบอกว่า รอก่อนนะ ครบเวลาจะแผ่เมตตาออกไปให้



            กลับมากำหนด พองหนอ ยุบหนอต่อ ไม่นาน เห็นศพเสืออยู่ข้างถนน มีผู้ชายคนนึงกำลังแหล่เนื้อออก แว้บเดียว ผู้ชายคนนั่นก็ คว้าศพเสืออีกตัว มาโยนไว้ข้างๆ กับศพเสือตัวแรก ตอนแรก เราก็กำหนดเลยว่า
"
โอ้....เสือ"
แต่พอเห็น ศพเสือตัวที่ ๒


ถึงพิจารณาใหม่ สติบอกว่า นั่น สิงโตตัวเมีย (เพราะ มันมีขนสีน้ำตาล ไม่มีลาย
และไม่มีแผงคอ)
แหะแหะ สติ ว่าเราซะงั้น เถียงกันมันส์ดี


แล้วก็ยอมสติ 
"
โอเค นั่นสิงโตตัวเมีย ๒ ตัว"   เราบอก เดี๋ยวคุณสิงโตรอก่อนนะ ครบเวลาจะแผ่เมตตาให้จ้า




         ใกล้ครบเวลา ครูเวทนาก็มาจนได้
ปวดหลังจัง เราก็กำหนดปวดหนอ ปวดหนอ
ปวดหลังจังหนอ ภาพที่เรียกช่างที่ฟาร์มมาตีงูในห้องน้ำเรา ผุดขึ้นมาอีกแล้ว งูตัวนั้นถูกตีกลางตัว หลังหักและตาย
ตั้งแต่ตอนเห็นศพงูตัวนั้น สติก็บอกเลย ว่าเตรียมรับมือการแก้แค้นเร็วๆนี้
เนื่องจากทำกรรมฐาน เจ้ากรรมนายเวรที่เราก่อขึ้นใหม่จะมาทวงเร็วมาก รู้สึกว่า
งูตายเดือนมกราคม มีนาคมก็ต้องถูกส่งตัวเข้า
emergency
room
ด้วยอาการ ปวดหลังอย่างที่เรียกว่า เดินไม่ได้เลยทีเดียว สาเหตุเกิดจาก
ตื่นขึ้นมาก้มลงเก็บของที่หล่นที่พื้น แล้วก็ปวดเลย
แต่ยิ่งปวดเราก็ยิ่งเห็นภาพงูตัวนั้น งูในสภาพถูกตีจนหลังหักตาย หมอฉีดมอร์ฟีนระงับอาการปวดเข้าที่หลัง
เราดีขึ้น แต่พอยาหมดฤทธิ์ก็ปวดอีก สาเหตุก็ยังหาไม่เจอจนป่านนี้
บ้างก็ให้ยาคลายกล้ามเนื้อมากิน ตามประสา แต่มีเพียงเราที่รู้ว่ามันคืออะไร โอ้ นอกเรื่องไปเยอะ



          คืนนี้เป็นการทำกรรมฐาน ที่ต้องพยายามจำ
ว่า ต้องแผ่ออกไปให้ใครบ้าง
แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี แปลกจัง
วันนี้ทำไมมากันเยอะแยะไปหมด



คิดหนอ คิดหนอ ว๊าก!!!
วันนี้วันโกนนี่นา มิน่าล่ะ โอเคๆ เข้าใจล่ะ









 

Create Date : 24 ธันวาคม 2552    
Last Update : 13 มกราคม 2553 12:42:54 น.
Counter : 3162 Pageviews.  

"ท่านสุวาน"พาไปเที่ยวนรกอีกแล้ว




        วันนี้เหนื่อยๆ แต่ก็ถึงเวลาต้องเล่าแล้ว เรื่อง "นรก"  น่ะเจ้าค่ะ ตั้งแต่ทำกรรมฐานมาไปนรกมา ๒ ครั้งแล้ว ท่านสุวาน ท่านพาไปน่ะเจ้าค่ะ (ที่ไม่เล่า เพราะคิดว่า อาจจะมีคนเข้ามาอ่านแล้ว ว่าเรา โอ้อวดน่ะค่ะเลยไม่ได้เขียน กลัวตรงนี้จริงๆ)  ครั้งแรกที่ไป นานมากแล้วค่ะ ไม่คิดจะเล่า แต่พอท่านสุวานพาไปอีก ก็คิดว่า คงจะเล่าดีกว่าแล้ว


         นานมาแล้ว กำลังนั่งกรรมฐาน อยู่ กำหนด พองหนอ  ยุบหนอ อยู่ เมื่อจิตนิ่ง และได้สมาธิแล้ว ภาพเปลี่ยนไป เรายืนอยู่ในที่ที่ ลุ่มๆ ดอนๆ พื้นไม่เรียบ มีเนิน สูงต่ำ มองพื้น ก็มองไม่เห็นเท้า มันมืดเป็นสีดำหมด แสงสลัวๆ มองพอเห็นรูปร่างอะไรต่ออะไร เป็นเงาดำๆ


          ด้านซ้ายของเรา มีผู้ชายคนนึงยืนอยู่ ตอนนั่นไม่รู้ว่าใคร  รู้สึกเพียงว่า ท่านเป็นผู้ที่ดูแล คุมการลงโทษในนรกทั้งหมด เพราะเราเห็นผู้คุมคนอื่น เออ....   ทำงานน่ะ  งานที่ว่า คือ ลงโทษวิญญานอื่น

          ท่านพาเรามายืนตรงนี้ เพียงเสี้ยววินาที  พอเรารู้ตัวว่าท่านอยู่ข้างๆ ซึ่งเราไม่กล้าแม้แต่หันไปมองท่านเลย ท่านชี้มือขวาขึ้น และชี้ไปทางขวา เรามองตามมือนั่นไป เห็นเป็นบ้านไม้ ใต้ถุนสูง แบบบ้านไทยทั่วไป แบบแสงที่มืดสลัว ทำให้เราเห็นไม่ชัด เพียงแค่พอดูออกว่าอะไร  เมื่อรู้แล้ว ว่านี่เป็นบ้านไม้ไทย ใต้ถุนสูง ก็มีเสียงออกมาจากบ้านหลังนี้  เสียง ผู้ชาย กะ ผู้หญิง ทะเลาะกัน ด่าทอกัน  จำไม่แล้ว ว่าด่าประมาณไหน   

         เหมือนท่านรอให้เราฟัง และรับรู้ว่า บ้านนี้มี ผัว เมีย ทะเลาะกัน ท่านก็เอ่ยขึ้นมาว่า " เห็นไหม ผัว เมีย บ้านนี้ ทะเลาะกัน มันบาปหนานะ "

พร้อมกลับ ชี้มือขวา ไปทางซ้ายสุด เรามองตามมือนั่นอีกครั้ง

"นั่นคือผลกรรม ที่มันจะได้รับ"

           ภาพที่เห็น น่ากลัวเหลือเกิน ภาพต้นงิ้ว ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ มีหนามแหลม โผล่ออกมา เต็มเลย มีผู้หญิง และผู้ชาย  เปลือยกาย (โป๊อะ แต่ด้วยความสลัว อรเห็นไม่ชัดหรอก แต่ดูก็พอรู้ว่าโป๊หมดเลย) ปีนอยู่บนต้นงิ้ว  เลือดไหลออกตามผิวกาย เพราะ โดนหนามงิ้วแทงโดน  ด้านล่างของต้นงิ้วยักษ์น่ะ มีผู้คุม อยู่ข้างล่าง ด้วย  หลายคน ไล่ให้ หญิง ชาย ปีนขึ้นไป

          เรามองภาพนั่น อย่างไม่วางตาเลย และคิดว่า นี่มันนรกจริงๆ  หรือนี่ ? กวาดสายตาไปก็เห็นกะทะทองแดง แต่ไม่ได้ทันได้ พิจารณาว่าเป็นแบบไหน ยังไง ท่านที่ยืนข้างๆ ก็พูดขึ้นมาว่า

"จงจำไว้นะ ถ้าผัว เมีย ทะเลาะกัน ก็จะได้รับกรรมเช่นนี้"

อรไม่ได้เล่าให้ใครฟังมาก เพราะเราคิดว่า เอ...  การทะเลาะกัน ของ คนเป็น สามี ภรรยา เนี้ย มันบาปหนา ถึงขั้นปีนต้นงิ้วนั่นหรือ  ?

         ทำไมตอนเรียนมา เค้าว่า ต้องเป็นชู้ล่ะ ถึงได้รับโทษปีนต้นงิ้ว นี่ล่ะทำให้ไม่เล่า เพราะ มัน เหมือนดาบสองคม  ที่คนอื่นจะเอามาว่าเรา ให้เราเสียใจน่ะค่ะ  ไม่มีความโกรธใครหรอก ถ้าใครมาว่าเราว่า เพ้อเจ้อ หรือบ้าบอ  

        วันนึงเราค้นพบว่า พอเรารู้สึกโกรธ อรจะรีบ กำหนด โกรธหนอ ไปเรื่อยๆ  เรากลับรู้ใจตนเอง ว่าเราเสียใจมากกว่า ที่จะเป็นความโกรธ เสียใจหนอ เสียใจจริงๆ ที่เค้า ว่าให้เราเสียใจ  น่ะค่ะ

         ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ ทุกอย่างก็กลับมาอีก แต่กลับมาอย่างสนุกสนาน วันนั้น เฮียไม่สบายมาก อรรู้ตอน ๔ ทุ่มแล้ว คุยกะแม่เฮีย เพราะเฮียไม่อยู่ในอาการที่จะคุยได้ ใจก็หาย ไหนแม่เฮียต้องไปงานพระราชทานเพลิงศพของญาติอีก ไหนเฮียจะมาป่วยอีก คิดแล้วก็ รีบโทรขอลา บอส เดินทางคืนนั่นเลย  เกิดอุบัติเหตุนิดนึง ที่ปั๊มน้ำมัน ที่ทางด่วนดาวคะนอง เพราะเราเริ่มไม่มีสติน่ะ หลับใน ก็ว่าได้ แต่แผลเล็กน้อย ก็ขับรถต่อมา ด้วยความเร่ง ทำให้เรา ลืมดูปฏิทินว่า  เราจะอยู่บ้านเฮีย ในวันพระด้วย ไม่ได้เตรียมชุดขาว มานอนวัดกะแม่เฮีย ในวันพระ   

        งานพระราชทานเพลิงศพญาติเฮียเรียบร้อยไปแล้ว เรารับ ส่ง พาแม่ไปทำธุระ ต่างๆ แทนเฮีย แล้ววันถัดมาก็วันพระพอดี แม่ก็ต้องไปนอนวัด (ในช่วงเข้าพรรษา) ปกติเราก็จะไปนอนกะแม่ แต่ก็ห่วง คนป่วยตัวอ้วนกลมแล้วไม่ได้เตรียมชุดขาวมาด้วย ใจก็ไม่อยากไปเพราะเรามีห่วง แต่เฮียก็บอกว่า ไม่ต้องห่วง ให้เราไปถือศีลอุโบสถ ที่วัดกะแม่ เฮียดีขึ้นแล้ว (ไม่รู้แกล้งดีขึ้นหรือดีขึ้นจริงๆ) แต่เราก็ตัดสินใจ ไปนอนวัด

         ที่วัดแพะโคก สระบุรี แม่ๆ ป้าๆ ยายๆ ตาๆ จะเน้นสวดมนต์ และถือศีลเคร่งน่ะค่ะ  แต่จะมีการพักอยู่ ๑ ชั่วโมง ในรอบบ่าย ก่อนพระมาเทศน์ อรก็จะอาศัยช่วงนี้  ขออนุญาตแม่ๆ ทำกรรมฐาน เดินจงกรม นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง ทุกครั้ง  

         เดินจงกรม เสร็จ ลงนั่งสมาธิ แป้บเดียว ก็รู้เลยว่า วันนี้นั่งได้แน่ๆ จิตนิ่ง อาจจะเพราะ สวดมนต์ตั้งแต่ ๗ โมงเช้า เพราะ หลวงพ่อจรัญเคยสอนว่า การที่เราสวดมนต์ ก่อนทำกรรมฐาน จะช่วยให้จิตเราช้าลง  ไม่วิ่งเร็ว  และจับจิตได้อยู่หมัด ให้จิตอยู่นิ่ง  เวลาทำกรรมฐาน อาจจะนิ่งตั้งแต่เดินจงกรมเลยก็มี ค่ะ

         แล้ว แสงก็สว่างขึ้นมา มีผู้ชายคนหนึ่ง  มาหาเรา เราสัมผัสได้ว่า ท่านคือใคร  ท่านสุวาน นั่นเอง ท่านมาหาเรา แต่เราก็ไม่เห็นหน้าท่านหรอก ไม่เห็นแม้แต่การแต่งกาย

ท่านมายืนอยู่ด้านซ้ายมือเรา แล้วบอกเราอย่างอารมณ์ดีว่า

" ปะ วันนี้จะพาไปเที่ยว นรก"

              เพียงเท่านั่น เสี้ยววินาที เรารู้สึกว่า ตัวเอง กระโดด เล็กน้อย พร้อมท่าน  แล้วรอบข้าง กลายเป็น ที่ที่คุ้นเคย ที่เคยมาแล้ว เมื่อครั้งนานมาแล้ว เราในตอนนั้น มีความสุขเหลือเกิน เหมือนมาเที่ยว เฮฮา พูดเล่นกะท่านสุวาน อย่างสนุกสนาน

            รอบข้าง มีแต่แสงสลัว แต่ความรู้สึกกลับต่างกับครั้งแรกที่มา เราเห็น แท่น แบบโต๊ะ สูงท่วมหัว ต้องเงยหน้ามองเลยล่ะ ถึงไม่เคยเห็น แต่เรากลับรู้ว่านั่นคือ โต๊ะ ที่ใช้วางบัญชีหนังหมาไว้

เรายิ้ม และรีบปีนขึ้นไปถึงโต๊ะตัวนั่น เมื่อปีนถึงแล้ว  ขาเราเหยียบไม่ถึงพื้น เราเอาศอกดันตัวขึ้นเล็กน้อย พยุงตัวให้ตัวพาดอยู่บนโต๊ะนั่น

เราพูดกะท่านสุวาน ที่ยังยืนอยู่ด้านหลังเราดูเราพยายามปีนโต๊ะขึ้นไปให้ได้

" ไหนไหน  ดูบัญชีหนังหมาของอรดิ " (ขอบอกพูดแบบนี้จริงๆ แบบสนิทเกิดเหตุ ไม่รู้สูงต่ำเลย)

ระหว่างที่พูด ตาก็มองบัญชีหนังหมา ลักษณะเป็นหนังสือเล่มใหญ่มากๆ สมแล้วที่โต๊ะที่วางใหญ่สุดๆ ปกเป็นเหมือนหนังแข็ง แต่ใจไม่ได้คิดอะไร รีบเปิด ดูทันที

เพียงพลิกบัญชีครั้งเดียว ก็ขึ้นมาหน้าที่เป็นกรรมของเราทันที รายชื่อของเรา บัญชีกรรมของเรา หน้านั่นเลย  

เรายังไม่ทันอ่าน  แว้บเดียวท่านสุวาน มายืนอยู่อีกด้านของโต๊ะยักษ์แล้ว เราก็ยังตกใจว่า ท่านมาได้เร็วจริงๆ เราเองปีนตั้งหลายอึดใจ

        เมื่อท่านมาอยู่ต่อหน้าเรา เราหันมามองท่าน แต่จำหน้าไม่ได้ ทำไมจำไม่ได้ไม่รู้ แต่จำรูปร่างของท่านสุวานได้ ตัวเล็ก รูปร่างสันทัด ไม่บึ้กสูงกว่าเรานิดเดียว แต่ผิว เรากลับมองเห็นเพียงแสงสลัวๆ มืดๆ

เรามองลักษณะของท่านเพียงแว้บเดียว แล้ว ท่านก็ก้มหน้า ตรวจดูบัญชีหน้าของอร ระหว่างที่ท่านจะเริ่มดู ท่านพูดอย่างสนุกสนาน แซวเราว่า

"อย่างอรน่ะ  ไม่เหลือกรรมแล้วม๊างงงงงงงงงงงงงง"

แต่ระหว่างที่ท่านพูด เราก็มองไปที่หน้ากระดาษ สองหน้านั่น เราพิจารณากระดาษ มันเป็นกระดาษ หนามาก  สีน้ำตาลแบบเนื้อไม้เลย มีตัวหนังสือไทย เขียนหางหวัดๆ แบบโบราณ ตัวอีกษรสีดำ สลักลึกลงไปในเนื้อกระดาษ เรามองไป เห็นแต่กรรมต่างๆ แต่อ่านไม่ออก ทั้งที่รู้ตัวอักษรแต่อ่านไม่ออกเลย  

        ในวินาทีที่ ท่านสุวานพูดจบว่า " อย่างอรน่ะ ไม่เหลือกรรมแล้วม๊าง"  มีอักษรอยู่ ๒ บรรทัด สว่างจ้าขึ้นมาเป็นสีน้ำเงินสะท้อนแสง แล้วตัวอักษรลอยขึ้นมาเลย

อันนึง อยู่บนบน เกือบบนสุด บ่งบอกว่า กรรมนี้ เมื่อไม่นานมานี้

อีกอัน อยู่ด้านล่างๆ บ่งบอกว่า เราทำกรรมนี้มานานแสนนานแล้ว

เรากลับอ่านออกทุกตัวอักษรว่าเราทำกรรมอะไรไว้  แล้วยังไม่ได้ชดใช้ให้มันจบกันไปเลย (ตรงนี้บอกไม่ได้เจ้าค่ะ)

เสียงท่านสุวาน ยังพูดด้วยอาการ สนุกสนาน ฮาเฮ เช่นเดิม " เอ้ายังมีอีก ๒ กรรม  นี่ไง กรรมที่เหลือของอรน่ะ"  

เราเลยรู้ ณ ตอนนั้น ว่า

          กรรมที่ได้ชดใช้ อโหสิกรรมไปแล้ว จะเห็นเป็นตัวอักษรที่สลักลึกลงในกระดาษ เป็นหมึกสีดำ ไม่มีแสงอะไรทั้งนั่น

         กรรมที่ยังไม่ได้ชดใช้ ยังส่งผลกรรม วิ่งตามเราอยู่ จะเห็นเป็นอักษรที่สลักลึกลงในกระดาษ เป็นหมึกสีน้ำเงินเข้มสะท้อนแสง พอดูปุบก็ลอย ขึ้นมาให้เห็นเด่นชัดเลย

เราเห็นตามนั่น ก็ใจหดหู่ ในกรรมที่ตัวเองทำไว้ กลับขึ้นมาเองดื้อๆเลย แล้วกำหนด พองหนอ ยุบหนอ ไปจนครบเวลา ก็แผ่เมตตาออกไปตามปกติ

ไม่นานพระท่านก็มาเทศน์ให้พวกเราฟัง เรื่องมโหสถชาดก เฮียขวดแว้บ เอาน้ำปานะ มาถวาย พวกเรา พวกเราก็เอ่ยสัพพีติโย ให้เฮียขวดหายจากความเจ็บป่วยเร็วๆ  ^_^

สิ่งที่เราต้องขอบคุณท่านสุวานคือ การตอกย้ำให้เราเห็น ว่า บาป นั่น มีจริง และ ช่วยให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ให้หมั่นสร้างความดี และ ถ้าเรามีครอบครัว เราจะไม่ทะเลาะกะ คู่ชีวิตเราล่ะ เราจะขอคุยกันให้เข้าใจกันมากขึ้นดีกว่า มาขึ้นเสียง ด่าทอ ทะเลาะกัน  ข้อนี่เรากลัวมาก พูดแล้วยังนึกถึงสภาพ หญิง ชาย คู่นั่น อยู่เลย น่าสังเวชใจยิ่งนักเจ้าค่ะ  


ps  โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน   อย่าลืมนะค่ะ  อย่าเชื่อถ้าคุณยังไม่ได้พิสูจน์ด้วยตนเองค่ะ   





Free TextEditor




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 13 มกราคม 2553 12:49:15 น.
Counter : 641 Pageviews.  

ในที่สุดก็ระลึกชาติได้ เป็นครั้งที่ ๒





วันนี้บอสโทรมา บอกว่า ไม่อยู่ หวานแมวแล้ว มีที่ทำกรรมฐานแล้ว
ก็ที่ห้องทำงานบอสนั่นเอง ไม่มีใครกล้าเข้ามากวน เวลาทำกรรมฐานแน่นอน


ลั่นสัจจะว่า จะทำกรรมฐาน เดินจงกรม ๔๕ นาที
นั่งสมาธิ ๔๕ นาที  รวมเก็บแต้มคืนนี้ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที


เริ่มด้วย สวดมนต์
(ตามหลักพระสังฆราชสอน)


ตามด้วย เริ่มเดินจงกรม  จิตวิ่งเร็วมาก
จับไม่อยู่เลย ต้องอาศัยปักจิตที่ลิ้นปี่  "ฟุ้งซ่านหนอ ฟุ้งซ่านหนอ" ไปเรื่อยๆ
เสียงมากระทบให้ได้ยิน ก็ "เสียงหนอ เสียงหนอ"  ใจเราก็คิด
ทำไมเดินจงกรมวันนี้ไม่นิ่งเหมือนวันพระที่ไปนอนวัดเลยหนอ.....   แต่ก็พยายาม
จะจับจิตให้นิ่ง  ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง 
ใจก็คิดวันนี้คงไม่ได้พระกรรมฐานมาสถิตย์แน่ๆ  จนนาฬิกาดังว่า ครบ ๔๕
นาที


เราลงมานั่งสมาธิอีก ๔๕ นาที
แต่ความประหลาดใจก็บังเกิดเจ้าค่ะ  เรากำหนด พอง ยุบ ได้ ตั้งแต่ประมาณ ๕
นาทีแรกเลย  ดีใจจัง  แป้บนึงจิตก็คิดเรื่อง ระลึกชาติ เราก็คิดว่า
"เมื่อไหร่จะทำกรรมฐานได้แกร่งเหมือนสมัยเราอยู่ที่ฟาร์มอยุธยานะ  ขนาดว่าทำกรรมฐาน
๓ ชั่วโมง ต่อวัน ถึงจะระลึกชาติได้ แล้วนี่ เราได้ทำบ้างไม่ได้ทำบ้าง
ได้แต่สวดมนต์ทุกวัน จะได้ระลึกชาติได้อีกไหมหนอ ครั้งนั้น
เห็นแป้บเดียวเอง"


การจับ พอง ยุบ ของเรา ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่า
เราหายใจทางสะดือ เรามองรอบๆตัวว่าเราอยู่ไหน


"เอ.... นี่ที่ไหนนะ " เรากำลังมองไปที่สะดือ


"อ้าว ที่เราอยู่ในท้องแม่นี่ 
กลับมาจำความรู้สึกในท้องแม่ได้แล้ว หายใจและกินผ่านสะดือแม่" จิตดิ่งลงไปแล้ว
เริ่มย้อนลึกขึ้นเรื่อยๆ


ทันใดนั้น ภาพเปลี่ยนทันทีจากความมืด
เป็นสว่างทันที  แสงแดดอบอุ่น ไม่ร้อนเกินไป เรามองออกไปเห็นบ้านคน
เป็นประตูบ้านไม้ที่ทาสีขาวมี ๓ ซุ้มโค้งประตู แต่ละซุ้มประตูมีไม้ฉลุงดงามมาก  
ตรงไม้ฉลุ เป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับสีขาวสวยงามมาก ดูแล้วทำให้เราคิดถึง
ไม้ฉลุที่เป็นประติมากรรม จาก พระที่นั่งวิมานเมฆ และ  พระราชวังมฤคทายวัน 
เรามองดูอยู่ไกลๆ  ในใจก็คิด


"เอ..... นี่มันบ้านของเรา ในอดีตชาติเหรอนี่ ?
คงไม่มั๊ง ชาติก่อน สมัยสงครามในอยุธยา ยังเป็นแค่สามัญชน กระเดียดไปทางทาส เลย
คงไม่มีวาสนาได้อยู่บ้านนี้หรอก เพ้อแน่เลย " 


เราคิดว่าเพ้อเจ้อ เรากำหนด "เห็นหนอ  เห็นหนอ" 
ภาพหายไป เรากำหนดพอง ยุบ ต่อตามปกติ


ไม่นาน ภาพใหม่ปรากฏขึ้นมาเป็น
เรากำลังยืนอยู่หน้ารูปภาพขนาดเท่าตัวจริงของใครคนหนึ่ง ภาพนั่นเสมือนตัวจริง
เพียงแต่เป็นภาพวาดเก่าโบราณ มีสีสันชัดเจน


คน คนนั่นในภาพ เป็นผู้ชายสูงวัย
แต่สง่างามยืนตัวตรง ทรงผมมหาดไทย ตาดุ ไว้หนวดหนา ทรงโค้งตวัดขึ้น คางแหลม
รูปร่างผอมแต่สูง จนเราต้องเงยหน้ามองภาพนั้น เสื้อผ้าใส่ชุด ราชประแตน เสื้อขาว
โจงกระเบนน้ำเงินเข้ม จำไม่ผิดมือซ้าย ท่านถือไม้เท้า


เรามองภาพนั่น  "เอ... คนนี่พ่อเราในชาตินั่นเหรอ
ไม่หรอกมั๊ง อย่างเราคงไม่มีปัญญาได้เกิดในตระกูล เจ้าขุนมูลนายหรอก"  ไม่รู้ทำไม 
ถึงคิดว่าคนนี้คือพ่อ


เราคิดว่าเพ้อเจ้อ เรากำหนด "เห็นหนอ  เห็นหนอ" 
ภาพหายไป เรากำหนดพอง ยุบ ต่อตามปกติ


ภาพใหม่สว่างวาบขึ้นมา อ้าว..!
บ้านไม้หลังนั่นกลับมาอีกแล้ว แต่ไกลขึ้นไม่เต็มจอแบบตอนแรก
ประตูบ้านที่เห็นเมื่อกี้ อยู่ทางซ้ายสุด เรามองไปทางขวาว่ามีอะไร
เป็นทางเดินทำเป็นซุ้มไม้เชื่อมไปหาบ้านไม้หลังใหญ่อีกหลัง สีเขียวอ่อน ปนเทา
ดูเก่าๆ ไม่สดใสเหมือนสีประตูหน้าบ้านเลย  ทันใดนั่น
เสียงหนึ่งตะโกนออกมาทางด้านซ้ายว่า  "ท่านพ่อเรียกๆ  รีบไปที่ตึกใหญ่เร็ว"  
เราได้ยินเสียงคนหลายคนวิ่งขึ้นตึกไป
เสียงเท้าคนกำลังวิ่งกระทบกับพื้นบ้านที่เป็นไม้ เรามองตามไปที่ตึกใหญ่ทันที
เรารู้สึกถูกดูด จิตเราลอยตามเสียงฝีเท้าคนกลุ่มนั่นทันที


แว้บเดียว เรามองเห็น เรากำลังยืนอยู่ในห้องนอน ของ
ท่านขุน คนนั่น แกยังใส่ชุดราชประแตนชุดนั้น  นอนอยู่บนเตียงไม่มีผ้าห่ม
เตียงตั้งหันด้านข้าง หัวอยู่ทางขวาปลายเท้าอยู่ซ้าย  เรามองเห็น ท่านขุนไม่ถนัดนัก
เพราะ ที่ข้างเตียง มีคนที่วิ่งขึ้นไปหาท่าน นั่งคุกเข่าแต่ไม่นั่งทับส้นเท้า 
เพียงแต่คุกเข่าลง นั่งเรียงกันตัวติดกันเลย ทั้ง ๕ คน  หันหลังให้เรา เราจ้องมอง
เห็นเป็น ผู้หญิง ๕ คน ใส่เสื้อผ้าแบบสาวไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ (คิดว่านะ)
ใส่ผ้านุ่งประมาณปิดหัวเข่า  เสื้อมีสองชั้น ตัวนอกเป็นสีขาวแบบลูกไม้
มองทะลุเห็นเสื้อตัวในได้ สาว ๕ คนใส่เสื้อตัวในสีสันแตกต่างกัน ออกไป
เราจำไม่ได้ว่าสีอะไรบ้าง น่าจะมีคนนึงใส่สีเหลืองอ่อน คนนึงสีเขียวอ่อน   ทรงผม
สั้นประบ่า แล้วดัดหยิกเล็กน้อย
ผมสีดำเป็นเงาเหมือนชะโลมด้วยน้ำมันมะกอก


สายตาเราจ้องมองไปที่ผู้หญิงคนที่นั่งคุกเข่า อยู่ตรงกลาง เรามองดูว่า
เธอใส่เสื้อสีอะไร เราเห็นชายเสื้อสีน้ำตาลอ่อน จิตเรารู้ทันทีว่า  เฮ้ย!!! 
นั่นมันตัวเรานี่ แถมอวบด้วย !!! ถึงไม่ได้เห็นหน้า เพียงเห็นเท่านั่น
เราก็จำได้ทันที่ว่านั่นคือตัวเรา (แอบเคือง แหม...อวบกว่า ในบรรดา ๕ คน )
เหมือนพ่อเรียกพวกเราไปสั่งเสียก่อนตายเลย  เศร้านิดๆ ตอนเห็นภาพนั่น
มันสะเทือนใจ


เรากำหนด เห็นหนอ  เห็นอดีตชาติแล้วหนอ  แล้วก็กำหนด
พอง ยุบ จนครบเวลา  จากนั้นแผ่บุญออกไปตามเดิม



ปล. จะวาดภาพคร่าวๆอีกที






Free TextEditor




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 13 มกราคม 2553 12:54:09 น.
Counter : 1171 Pageviews.  

เทวดามาเตือนครั้งที่ ๓






ก่อนจะไปทำกรรมฐานในรอบเย็น  เรามีเรื่องจะเล่าให้เพื่อนๆฟัง 
เมื่อเช้าทำกรรมฐานประมาณ ๑๐ โมงเช้า ตั้งสัจจะว่า  ขอเดิน ๓๕ นาที   นั่ง ๓๕ นาที
ระหว่างช่วงที่นั่งสมาธิอยู่  จิตก็กำหนด พอง ยุบ ที่ท้อง ได้แล้ว 
รู้สึกสบายจังเลย ความมืด กลับมาสว่างอีกแล้ว เราเห็น พรรณ  จ๊อกกี้
ยืนอยู่หน้าห้อง เรามองหน้าเพื่อนทั้ง ๒ คน   แล้วก็มีเสียงที่ไม่บ่งบอกว่าหญิง
หรือ ชาย ดังขึ้น ว่า


"เดี๋ยวเย็นนี้ ๒ คนนี้จะชวนออกไปข้างนอก  อย่าไปนะ!
จะมีอันตราย"


เราได้ยินเท่านี้ แต่ความหมายที่ในใจรับรู้ คือ 
จะเกิดอุบัติเหตุ กับ เราและเพื่อน


เรารีบกำหนดเห็นหนอ เห็นหนอ แล้วคิดว่า
จะบอกเพื่อนเลยดีไหม หรือ จะรอบอกเพื่อน ๒ คนนี้
ถ้าตอนเย็นเค้ามาชวนเราออกไปข้างนอกจริงๆ  คิดแค่นี้ก็ กลับมากำหนด พอง ยุบ 
แบบเดิมไปเรื่อยๆ จนครบเวลา


     มองเวลาก็ จะเที่ยงแล้ว เดินไปหาพรรณ จ๊อกกี้
ที่ห้อง คุยไรกันเล็กน้อย แล้วเดินไปโรงอาหาร กลับมาเห็น ๒ คนยืนซื้อขนมอยู่
นึกขึ้นมาได้ทันที   ใจคิดไม่ได้ล่ะ
ต้องรีบบอกเลยดีกว่า ไม่ว่าเพื่อนจะชวนออกไปหรือไม่ชวน


เรา  "พรรณ กะ จ๊อกกี้  วันนี้ตอนเย็น
จะออกไปข้างนอกไหม"


จ๊อกกี้  "ไม่ไปหรอก  เวียนหัวอะ" 
(เธอแพ้ท้องอยู่)


เราเล่าตามข้างต้น ให้เพื่อนทั้ง ๒ คนฟัง


บ่าย ๓ ครึ่ง  เวลาที่ขายกุ้งของฟาร์ม ตามปกติ
ทุกคนต้องมาช่วยทำงานขายร่วมกัน   เราเดินมาถึง ที่ลานแพ็คลุกกุ้ง จ๊อกกี้
ทำหน้ากังวลเล็กน้อย


จ๊อกกี้ "พี่อร
เค้าต้องออกไปทำธุระข้างนอกเย็นนี้น่ะ   มันฉุกเฉิน "


เรา " เลื่อนไปทำพรุ่งนี้ได้ไหมล่ะ 
เดี๋ยวขับรถพาออกไปตอนเช้าเลย"


เรา หันมาถามพรรณว่าจะไปไหนกัน  ตอนเที่ยงยังบอกว่า
ไม่ได้แพลนว่าจะไปไหนนี่นา


พรรณ "ก็เพิ่งเจอกันเนี้ยล่ะ 
ไม่รู้เหมือนกัน"


เรา " จ๊อกกี้ งั้นอย่าไปเลยนะ 
ไปกันพรุ่งนี้ดีกว่าเนอะ"


จ๊อกกี้ "อืม "


เราคิดนะ  บางคนอาจจะคิดว่า  ไร้สาระ
แต่เราคิดเสมอว่า ป้องกันไว้ดีกว่าแก้  เพราะ  เรากะ เพื่อนอีก ๒ คนก็ไม่สบายใจน่ะ 
ไปพรุ่งนี้น่าจะสบายใจกว่า  เทวดาท่านอุตส่าห์มาช่วยเตือน 


หนีไป สวดมนต์ ทำกรรมฐาน ซัก ๑ ชม ๑๐ นาที นะ 
เดี๋ยวกลับมา  ฟิ้ววววววววววววววววววววววว






Free TextEditor




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 13 มกราคม 2553 12:57:19 น.
Counter : 562 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Aorn_N
Location :
เพชรบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Ciao, io sono Aorn. mi piace il molto scuba diving.

เราอร KU 57 , Fisheries 48 ค่ะ เกิด 1978 ค่ะ จะเรียก พี่ เรียก ป้า ก็ตามใจค่ะ อิอิ

ชอบและ สนใจ เป็นพิเศษ กรรมฐาน ปฏิบัติมาตั้งแต่จนปี ๒๕๔๑ ถึง ปัจจุบัน

กีฬาที่ชอบ ดำน้ำ scuba diving , ขี่ม้า

ภาพยนตร์ในใจ Spirited away ( 2001 Japanese animated film written and directed by Hayao Miyazaki)

นักเขียนที่ประทับใจ S.P. Somtow


แวะทักทายได้ที่ http://hatcheryorn.multiply.com

ตาม link ด้านล่างนะค่ะ
New Comments
Friends' blogs
[Add Aorn_N's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.