กรรมฐาน > Meditation
Group Blog
 
All Blogs
 
ในที่สุดก็ระลึกชาติได้ เป็นครั้งที่ ๒





วันนี้บอสโทรมา บอกว่า ไม่อยู่ หวานแมวแล้ว มีที่ทำกรรมฐานแล้ว
ก็ที่ห้องทำงานบอสนั่นเอง ไม่มีใครกล้าเข้ามากวน เวลาทำกรรมฐานแน่นอน


ลั่นสัจจะว่า จะทำกรรมฐาน เดินจงกรม ๔๕ นาที
นั่งสมาธิ ๔๕ นาที  รวมเก็บแต้มคืนนี้ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที


เริ่มด้วย สวดมนต์
(ตามหลักพระสังฆราชสอน)


ตามด้วย เริ่มเดินจงกรม  จิตวิ่งเร็วมาก
จับไม่อยู่เลย ต้องอาศัยปักจิตที่ลิ้นปี่  "ฟุ้งซ่านหนอ ฟุ้งซ่านหนอ" ไปเรื่อยๆ
เสียงมากระทบให้ได้ยิน ก็ "เสียงหนอ เสียงหนอ"  ใจเราก็คิด
ทำไมเดินจงกรมวันนี้ไม่นิ่งเหมือนวันพระที่ไปนอนวัดเลยหนอ.....   แต่ก็พยายาม
จะจับจิตให้นิ่ง  ซึ่งได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง 
ใจก็คิดวันนี้คงไม่ได้พระกรรมฐานมาสถิตย์แน่ๆ  จนนาฬิกาดังว่า ครบ ๔๕
นาที


เราลงมานั่งสมาธิอีก ๔๕ นาที
แต่ความประหลาดใจก็บังเกิดเจ้าค่ะ  เรากำหนด พอง ยุบ ได้ ตั้งแต่ประมาณ ๕
นาทีแรกเลย  ดีใจจัง  แป้บนึงจิตก็คิดเรื่อง ระลึกชาติ เราก็คิดว่า
"เมื่อไหร่จะทำกรรมฐานได้แกร่งเหมือนสมัยเราอยู่ที่ฟาร์มอยุธยานะ  ขนาดว่าทำกรรมฐาน
๓ ชั่วโมง ต่อวัน ถึงจะระลึกชาติได้ แล้วนี่ เราได้ทำบ้างไม่ได้ทำบ้าง
ได้แต่สวดมนต์ทุกวัน จะได้ระลึกชาติได้อีกไหมหนอ ครั้งนั้น
เห็นแป้บเดียวเอง"


การจับ พอง ยุบ ของเรา ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่า
เราหายใจทางสะดือ เรามองรอบๆตัวว่าเราอยู่ไหน


"เอ.... นี่ที่ไหนนะ " เรากำลังมองไปที่สะดือ


"อ้าว ที่เราอยู่ในท้องแม่นี่ 
กลับมาจำความรู้สึกในท้องแม่ได้แล้ว หายใจและกินผ่านสะดือแม่" จิตดิ่งลงไปแล้ว
เริ่มย้อนลึกขึ้นเรื่อยๆ


ทันใดนั้น ภาพเปลี่ยนทันทีจากความมืด
เป็นสว่างทันที  แสงแดดอบอุ่น ไม่ร้อนเกินไป เรามองออกไปเห็นบ้านคน
เป็นประตูบ้านไม้ที่ทาสีขาวมี ๓ ซุ้มโค้งประตู แต่ละซุ้มประตูมีไม้ฉลุงดงามมาก  
ตรงไม้ฉลุ เป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับสีขาวสวยงามมาก ดูแล้วทำให้เราคิดถึง
ไม้ฉลุที่เป็นประติมากรรม จาก พระที่นั่งวิมานเมฆ และ  พระราชวังมฤคทายวัน 
เรามองดูอยู่ไกลๆ  ในใจก็คิด


"เอ..... นี่มันบ้านของเรา ในอดีตชาติเหรอนี่ ?
คงไม่มั๊ง ชาติก่อน สมัยสงครามในอยุธยา ยังเป็นแค่สามัญชน กระเดียดไปทางทาส เลย
คงไม่มีวาสนาได้อยู่บ้านนี้หรอก เพ้อแน่เลย " 


เราคิดว่าเพ้อเจ้อ เรากำหนด "เห็นหนอ  เห็นหนอ" 
ภาพหายไป เรากำหนดพอง ยุบ ต่อตามปกติ


ไม่นาน ภาพใหม่ปรากฏขึ้นมาเป็น
เรากำลังยืนอยู่หน้ารูปภาพขนาดเท่าตัวจริงของใครคนหนึ่ง ภาพนั่นเสมือนตัวจริง
เพียงแต่เป็นภาพวาดเก่าโบราณ มีสีสันชัดเจน


คน คนนั่นในภาพ เป็นผู้ชายสูงวัย
แต่สง่างามยืนตัวตรง ทรงผมมหาดไทย ตาดุ ไว้หนวดหนา ทรงโค้งตวัดขึ้น คางแหลม
รูปร่างผอมแต่สูง จนเราต้องเงยหน้ามองภาพนั้น เสื้อผ้าใส่ชุด ราชประแตน เสื้อขาว
โจงกระเบนน้ำเงินเข้ม จำไม่ผิดมือซ้าย ท่านถือไม้เท้า


เรามองภาพนั่น  "เอ... คนนี่พ่อเราในชาตินั่นเหรอ
ไม่หรอกมั๊ง อย่างเราคงไม่มีปัญญาได้เกิดในตระกูล เจ้าขุนมูลนายหรอก"  ไม่รู้ทำไม 
ถึงคิดว่าคนนี้คือพ่อ


เราคิดว่าเพ้อเจ้อ เรากำหนด "เห็นหนอ  เห็นหนอ" 
ภาพหายไป เรากำหนดพอง ยุบ ต่อตามปกติ


ภาพใหม่สว่างวาบขึ้นมา อ้าว..!
บ้านไม้หลังนั่นกลับมาอีกแล้ว แต่ไกลขึ้นไม่เต็มจอแบบตอนแรก
ประตูบ้านที่เห็นเมื่อกี้ อยู่ทางซ้ายสุด เรามองไปทางขวาว่ามีอะไร
เป็นทางเดินทำเป็นซุ้มไม้เชื่อมไปหาบ้านไม้หลังใหญ่อีกหลัง สีเขียวอ่อน ปนเทา
ดูเก่าๆ ไม่สดใสเหมือนสีประตูหน้าบ้านเลย  ทันใดนั่น
เสียงหนึ่งตะโกนออกมาทางด้านซ้ายว่า  "ท่านพ่อเรียกๆ  รีบไปที่ตึกใหญ่เร็ว"  
เราได้ยินเสียงคนหลายคนวิ่งขึ้นตึกไป
เสียงเท้าคนกำลังวิ่งกระทบกับพื้นบ้านที่เป็นไม้ เรามองตามไปที่ตึกใหญ่ทันที
เรารู้สึกถูกดูด จิตเราลอยตามเสียงฝีเท้าคนกลุ่มนั่นทันที


แว้บเดียว เรามองเห็น เรากำลังยืนอยู่ในห้องนอน ของ
ท่านขุน คนนั่น แกยังใส่ชุดราชประแตนชุดนั้น  นอนอยู่บนเตียงไม่มีผ้าห่ม
เตียงตั้งหันด้านข้าง หัวอยู่ทางขวาปลายเท้าอยู่ซ้าย  เรามองเห็น ท่านขุนไม่ถนัดนัก
เพราะ ที่ข้างเตียง มีคนที่วิ่งขึ้นไปหาท่าน นั่งคุกเข่าแต่ไม่นั่งทับส้นเท้า 
เพียงแต่คุกเข่าลง นั่งเรียงกันตัวติดกันเลย ทั้ง ๕ คน  หันหลังให้เรา เราจ้องมอง
เห็นเป็น ผู้หญิง ๕ คน ใส่เสื้อผ้าแบบสาวไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ (คิดว่านะ)
ใส่ผ้านุ่งประมาณปิดหัวเข่า  เสื้อมีสองชั้น ตัวนอกเป็นสีขาวแบบลูกไม้
มองทะลุเห็นเสื้อตัวในได้ สาว ๕ คนใส่เสื้อตัวในสีสันแตกต่างกัน ออกไป
เราจำไม่ได้ว่าสีอะไรบ้าง น่าจะมีคนนึงใส่สีเหลืองอ่อน คนนึงสีเขียวอ่อน   ทรงผม
สั้นประบ่า แล้วดัดหยิกเล็กน้อย
ผมสีดำเป็นเงาเหมือนชะโลมด้วยน้ำมันมะกอก


สายตาเราจ้องมองไปที่ผู้หญิงคนที่นั่งคุกเข่า อยู่ตรงกลาง เรามองดูว่า
เธอใส่เสื้อสีอะไร เราเห็นชายเสื้อสีน้ำตาลอ่อน จิตเรารู้ทันทีว่า  เฮ้ย!!! 
นั่นมันตัวเรานี่ แถมอวบด้วย !!! ถึงไม่ได้เห็นหน้า เพียงเห็นเท่านั่น
เราก็จำได้ทันที่ว่านั่นคือตัวเรา (แอบเคือง แหม...อวบกว่า ในบรรดา ๕ คน )
เหมือนพ่อเรียกพวกเราไปสั่งเสียก่อนตายเลย  เศร้านิดๆ ตอนเห็นภาพนั่น
มันสะเทือนใจ


เรากำหนด เห็นหนอ  เห็นอดีตชาติแล้วหนอ  แล้วก็กำหนด
พอง ยุบ จนครบเวลา  จากนั้นแผ่บุญออกไปตามเดิม



ปล. จะวาดภาพคร่าวๆอีกที






Free TextEditor


Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 13 มกราคม 2553 12:54:09 น. 5 comments
Counter : 1169 Pageviews.

 
อุตส่าห์ข้ามชาติมาแล้วยังแอบเคืองความอวบอีกหรือครับ


โดย: oddy.freebird วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:23:00 น.  

 
อะ คุณ oddy

ยังจะแขวะเรื่องอวบ อ้วน ของอรอีก อิอิ

เรื่องนี้ ยอมไม่ได้ค่ะ ^_^


โดย: อร (Aorn_N ) วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:20:15:47 น.  

 
วันนี้ จะทำกรรมฐาน ๑ ชม. ๑๐ นาที ค่ะ


โดย: Aorn_N วันที่: 23 ธันวาคม 2552 เวลา:17:56:43 น.  

 


โดย: clubp_mark วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:0:28:03 น.  

 
ต้องลองดูนะค่ะ ไม่ยาก ค่ะ สามารถรู้ได้ด้วยตนเอง


โดย: อร (Aorn_N ) วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:9:00:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorn_N
Location :
เพชรบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Ciao, io sono Aorn. mi piace il molto scuba diving.

เราอร KU 57 , Fisheries 48 ค่ะ เกิด 1978 ค่ะ จะเรียก พี่ เรียก ป้า ก็ตามใจค่ะ อิอิ

ชอบและ สนใจ เป็นพิเศษ กรรมฐาน ปฏิบัติมาตั้งแต่จนปี ๒๕๔๑ ถึง ปัจจุบัน

กีฬาที่ชอบ ดำน้ำ scuba diving , ขี่ม้า

ภาพยนตร์ในใจ Spirited away ( 2001 Japanese animated film written and directed by Hayao Miyazaki)

นักเขียนที่ประทับใจ S.P. Somtow


แวะทักทายได้ที่ http://hatcheryorn.multiply.com

ตาม link ด้านล่างนะค่ะ
New Comments
Friends' blogs
[Add Aorn_N's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.