εїз ต้นธรรม εїз เติบโตงดงามด้วยคุณธรรม
แหงนหน้ามองขึ้นใปจากโคนต้น เห็นรูปทรงแผ่ระย้ากิ่งสาขา จากร่มเงาแต่ละใบที่ได้มา เกิดจากว่าผู้มีใจไฝ่ในบุญ
Group Blog
 
All blogs
 
ลำดับชั้นคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา / การเข้าใจต่อเรื่องผี 491028


มาอีกแล้ว ขอคำถาม นะ นะ

เพื่อนๆสมาชิกอย่าเพิ่งเบื่อกันนะ


ว่าแต่ว่า ตอนที่พระท่านเห็นคำถาม ท่านจะทำหน้าอย่างนี้หรือเปล่า

....................................................


Chatธรรมวันเสาร์ เรื่องลำดับชั้นคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา / การเข้าใจต่อเรื่องผี
(เมื่อวันที่ ๒๘ ต.ค. ๒๕๔๙)
พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร says:
นมัสการท่านเอกชัยครับ และขอเจริญพรญาติโยมทุกคน

ถ้าคิดผิดทาง การวางตัวต่อกันก็จะผิด says:
กราบนมัสการท่านปิและท่านเอกเจ้าค่ะ ขอนิมนต์ท่านแสดงธรรมด้วยเจ้าค่ะ วันนี้มีหัวข้อคำถามใหม่จากต้นธรรมดังนี้นะคะ
๑. ตัวตน ๒. ประวัติพระพุทธเจ้า
คำถามเก่ามีตกค้างอยู่
1. อริยสัจจ์ข้อที่ 2 ความอยากซึ่งเป็นตัวต้นเหตุของความทุกข์ใจ
2. How to reduce "ego" or "self-delusion"
3. ตามรอยพระอรหันต์ เพื่อเป็นแบบอย่างและประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต
4. วิญญาณ ผี เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีจริงหรือไม่

ตกลงวันนี้เราจะคุยกันเรื่องอะไรดีล่ะ เห็นว่าสัปดาห์นี้มีคำถามเพียง ๒ ข้อเท่านั้นเอง
เริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆ ของคุณวัฒน์ก่อนก็ได้นะ เพราะไม่ต้องวิเคราะห์อะไร คือ คำถามที่ถามเกี่ยวกับพุทธประวัติตอนออกมหาภิเนษกรมณ์ (ออกบวช)
ตอบว่า ในพระไตรปิฎกส่วนที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เองถึงเรื่องราวในครั้งออกมหาภิเนษกรมณ์นั้น ท่านตรัสว่า ท่านทรงออกบวชต่อหน้าพระราชบิดาที่มีพระเนตรเต็มด้วยอัสสุชล(น้ำตา) ซึ่งในส่วนนี้เป็นพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง
ส่วนในอรรถกถา กล่าวไว้อีกอย่างหนึ่ง อย่างที่เราคุ้นเคยกัน คือ กล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงหนีออกจากเมืองในเวลาค่ำคืนโดยม้ากัณฑกะ และมีเทวดาคอยช่วยเหลือในการหนีออกไป

ทำไมเราถึงรู้ในอรรถกถากันซะมากกว่า
ในเมืองไทยเรา โดยมากถือเอาตามนัยของอรรถกถานะ ซึ่งได้รจนา(เรียบเรียง)ไว้ เพราะเหตุว่า คำของพระอรรถกถาจารย์นั้น เป็นคำที่ทรงจำได้ง่าย น่าสนใจ น่าติดตาม น่าตื่นเต้นมากกว่า และแสดงถึงพระบุญญาธิการยิ่งกว่า
ซึ่งต้องเข้าใจลักษณะของเผยแพร่พระธรรมคำสอนว่า ในส่วนของพระประวัติของพระบรมศาสดานั้น สำหรับคนทั่วไป จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่พิเศษน่าจดจำ เพื่อให้เหมาะแก่การบอกเล่าต่อๆ กันไป ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และวรรณคดี

อย่างนี้เราก็ได้รู้เรื่องไม่จริงสิ แล้วเรื่องของม้ากัณฑกะเป็นความจริงหรือเปล่าเนี่ย แล้วจะเลือกเชื่ออย่างไรเจ้าคะ
ในเหตุการณ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติหลายอย่าง ก็มีข้อความซึ่งคล้ายจะขัดแย้งกันระหว่างพุทธพจน์กับอรรถกถาบ้างเหมือนกัน เช่นว่า บางเรื่องพระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสไว้แต่อรรถกถาจารย์ก็กล่าวไว้ ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และโดยมากแม้ว่าจะดูขัดแย้งกัน ก็มีคำของท่านผู้รู้จำนวนมากซึ่งมากล่าวแก้ให้อรรถกถาอีกทีหนึ่ง
เพื่อให้คล้อยตามกันไปกับพุทธพจน์และไม่ถึงกับขัดแย้งกัน
เช่นว่า ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงมีศีรษะโล้น (ตามเรื่องในพระวินัยปิฏก) แต่ในเชิงอรรถกถากลับกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระเกสาม้วนขนดเป็นรูปก้นหอยเต็มพระเศียร เป็นต้น
พระพุทธเจ้าทรงมีพระสรีระเฉกเช่นคนธรรมดา เพียงแต่สูงกว่าเล็กน้อย แต่อรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้ามีพระสรีระสูงได้ ๑๘ ศอก (๙ เมตร) ยิ่งกว่าคนสามัญ ๓ เท่า
พุทธประวัติในตอนที่ว่าด้วยการเสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แสดงพระอภิธรรมเพื่อโปรดพุทธมารดานั้น พระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงกล่าวไว้เลย เป็นคำของอรรถกถาจารย์ทั้งสิ้น และมีเฉพาะในพระอภิธรรมปิฎกและอรรถกถา
หรือแม้แต่ประวัติของพุทธสาวกบางพระองค์ เช่น พระวักกลิเถระ ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า ท่านกระทำอัตตวินิบาตกรรม(ฆ่าตัวตาย) แล้วเจริญวิปัสสนาในขณะนั้นจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่อรรถกาจารย์กลับกล่าวว่า ท่านบรรลุธรรมในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทกลางอากาศแล้วบรรลุธรรม เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างเหล่านี้ก็มีอยู่มากมายนะ เล่าไม่หมดหรอก แต่ก็พอจะเห็นได้ว่า มีลักษณะคล้ายจะขัดแย้งกันอยู่ในบางประเด็น
แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า อรรถกถานั้นผิดหรือกล่าวเท็จ เพราะโดยแท้แล้วเราไม่อาจรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น

รู้จัก, เชื่อ, บังคับ, พอใจ, เคารพ says:
ความน่าเชื่อถือ เราควรจะถือพระไตรปิฎกเป็นอันดับหนึ่งใช่ไหมครับพระอาจารย์

เกณฑ์การตัดสินความถูกต้องของพระธรรมวินัยนั้น สามารถพิจารณาได้จากลำดับชั้นความสำคัญของคัมภีร์ ซึ่งเรียงลำดับดังนี้คือ
๑. พระไตรปิฎก (พุทธวจนะ) เป็นอันดับแรก
๒. คัมภีร์อรรถกถา (คำอธิบายขยายความพุทธวจนะ) เป็นอันดับที่ ๒
๓. คัมภีร์ฎีกา (คำอธิบายขยายความคำอรรถกถาจารย์) เป็นอันดับที่ ๓
๔. คัมภีร์อนุฎีกา (คำอธิบายขยายความคำของฎีกาจารย์) เป็นอันดับที่ ๔
๕. อัตตโนมติ (คัมภีร์ที่นิพนธ์ขึ้นภายหลังคัมภีร์อนุฎีกา) ซึ่งเป็นความเห็นและความเข้าใจของอาจารย์ผู้กล่าวพุทธวจนะนั้น
สงสัยจะ งง กันแล้ว

ง่ะ รู้ได้ไง
คุณเป้ สงสัยวันหลังเราต้องพากันไปที่วัดพระอาจารย์แล้วละ ให้พระอาจารย์ช่วยแนะนำหนังสือแต่ละประเภทอ่ะครับ
สนทนาธรรมกันนอกสถานที่เลย
พระเอกชัย ฐานจาโร says:
คือบันทึกสำหรับบัวเหล่าต่างๆ

ไหนๆ กล่าวแล้ว ก็จะขอขยายความอีกสักนิด เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
๑.พระไตรปิฎกนั้น เกิดขึ้นจากการสังคายนาพระธรรมวินัย เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว ๓ เดือน โดยพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ซึ่งถือว่าเป็นการรวบรวมพุทธวจนะล้วนๆ ไม่ปะปนด้วยความเห็นของผู้ใดทั้งสิ้น
๒. คัมภีร์อรรถกถา เกิดขึ้นจากการรวมรวมมติ ความเชื่อ ความเข้าใจ ความเห็นที่เห็นว่าถูกต้องเชื่อถือได้ของคนตั้งแต่สมัยภายหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน จนถึงประมาณ ๙๕๐ ปี ที่ไม่ขัดแย้งต่อหลักการในพระพุทธศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน
๓. คัมภีร์ฎีกา เกิดขึ้นจากการรวบรวมความเข้าใจที่เห็นว่าถูกต้องเช่นกัน เพื่อขยายความอรรถกถาบางส่วนที่เห็นว่ายังกล่าวไว้ใม่ชัดเจนเพียงพอ แล้วอธิบายเพิ่มเติมยิ่งขึ้นอีก เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ ๙๕๐ ปี-๑๕๐๐ ปี
๔. คัมภีร์อนุฎีกา ก็เช่นเดียวกันกับคัมภีร์ข้างต้น เกิดขึ้นหลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ ๑๕๐๐ ปี-๒๐๐๐ ปี
หลังจากนี้ ถือเป็นคัมภีร์รุ่นหลัง นับว่าเป็น อัตตโนมติ ทั้งสิ้น

เห็นจะเป็นบัวสี่เหล่าอย่างที่ท่านเอกว่า แล้วคนเจริญในธรรมน้อยลงหรือว่ามีคนรู้จักพุทธมากขึ้น
อืม ครับ
ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง says:
คัมภีร์เยอะจัง

อัตตโนมติ หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ
อัตตโนมติ มาจาก อัตตะ แปลว่า ตน, มติ แปลว่า ความเห็น, อัตตโนมติ จึงแปลว่า เป็นความเห็นของตน หรือเป็นความคิดเห็นของผู้พูดเอง
ขอให้ทุกๆ คนเจอหนังสือที่ถูกกับตนนะ
เอาล่ะ เข้าสู่เนื้อหาที่ต้องการถามได้แล้วจ๊ะ
นี่แค่เกริ่นนำ.. เหรอ อิ อิ ยาวจัง
…………………………………………….

คุณหนุ่ยมีคำถามหรือเปล่าคะ
NUI says:
อยากถามเกี่ยวกับการปฏิบัติน่ะค่ะ วิปัสสนากรรมฐานทำที่บ้าน ในห้องนอนได้ไหมคะ ต้องเดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิทุกครั้งหรือไม่

วิปัสสนาทำที่ไหนก็ได้ การเดินจงกรมกับการนั่งสมาธินั้นไม่แตกต่างกัน ซึ่งต่างก็คือการเจริญภาวนา ต่างกันเพียงอิริยาบถที่เปลี่ยนไปเท่านั้น คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่าการเดินจงกรมและนั่งสมาธินั้นแตกต่างกัน แต่ความจริงแล้วเหมือนกัน
แต่จิตชอบวอกแว่กค่ะ คิดไปเรื่องอื่นอยู่เรื่อย ต้องทำคู่กันหรือเปล่าคะ
คือ โดยธรรมชาติของคนเรา ไม่อาจอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งได้นานๆ จึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถไป เช่น จากนอนแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง นั่งนานแล้วเมื่อยขบก็ลุกขึ้นยืน ยืนนานแล้วก็ต้องก้าวเดินไป อย่างนี้เป็นต้น แต่การปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสตินั้น ยังคงทำต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย
น.น้ำใจดี (FM89.25Mhz) says:
ขอโอกาสแสดงความเห็นนะครับ นั่งสมาธิและเดินจงกรม เวลาฝึกจะแตกต่างกันโดยวิธีการ และหลักการครับ จุดหมายเริ่มต้นจะดูแตกต่างกัน แต่เป้าหมายสุดท้าย คืออันเดียวกัน

ใครมีข้อสนทนาอีกบ้าง
................................................

เทิด says:
อยู่กันเยอะ เอาเรื่องผีดีกว่าครับ ผมสงสัยมานาน ตัวเองไม่เชื่อว่ามีผีจริง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เชื่อ เพราะตั่งแต่เกิดมา ๓๓ ปียังไม่เคยเห็นผีเลย เคยเห็นแต่ในหนัง
ขอโอกาสแสดงความคิดเห็นครับ วิญญาณ ผี เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะมีจริงหรือไม่ ไม่ควรกังวลไปครับ ควรเร่งปฏิบัติทำคุณงามความดีให้มากดีกว่าครับ
แต่ถ้าอยากทราบจริง ควรจะปฏิบัติให้มากๆ จะรู้กันไปเองครับ

เรื่องผีน่ะ ที่ยังไม่เคยเห็น เป็นเรื่องธรรมดานะ แล้วคุณเคยเห็นดาวอังคารไหมล่ะ
คนเราส่วนใหญ่อยากเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ และหาทางพิสูจน์สิ่งต่างๆ แต่ทว่า โดยมากเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตัวเราเองนะ อย่างเช่น ดาวพลูโต เป็นต้น เราเชื่อว่ามีจริง ทั้งที่เราก็ไม่เคยเห็นกับตา แม้จะเห็นในโทรทัศน์ แต่เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเขาไม่โกหกเรา หรือเข้าใจผิดล่ะ

ผมว่าตรรกะนี้ไม่น่าจะนำมาใช้ได้ ศาสนาพุทธน่าจะมีเหตุผลมากกว่าครับ น่าจะบอกว่าต้องฝึกถึงขั้นฌานจึงจะเห็นผี แต่ถ้าพวกเราไม่อยากฝึกฌาน เราก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นผี
มีเรื่องอีกมากมายในจักรวาล ที่เราไม่รู้ โลกเป็นแค่ดาวดวงเล็กดวงหนึ่งในวงโคจรของจักรวาล
ผีมีจริงหรือไม่ อาจตอบยาก หากจะทำให้เชื่อถือสำหรับผู้ที่ไม่เคยประสบ แต่เอาเป็นว่า สำหรับในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า มี ก็แล้วกันนะ
การอธิบายนี้เพื่อให้สามารถ ตอบคำถามของผู้ที่ฝึกฌานยังไม่ได้หรือเปล่า ถ้าเช่นนั้นผมก็ยึดว่าผีมีจริงแต่ถ้าเราจะไม่มีทางเห็นเขาถ้าเราไม่มีฌาน ดังนั้น ผมไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องผี
เรื่องอจินไตย รู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์หรอกครับ รู้จักตัวตนให้มากๆ จะดีกว่าครับ
เอาเป็นว่า ผีมีจริง ในพระไตรปิฎก ก็แล้วกันนะ คนที่ต้องการเห็นผี ตามธรรมดาก็ต้องมีจักษุทิพย์นะ ซึ่งเกิดจากการเจริญฌานสมาบัติ จนถึงฌานขั้นสูงสุด (ฌาน๔) แล้วน้อมจิตไปเพื่อให้เกิดอภิญญาขึ้น คือ ให้มีฤทธิ์เกิดขึ้น
ถ้าผีมีจริง ขอถามว่าเขาจะทำอันตรายเราไหม เผื่อผมจะได้เอาไว้บอกน้องๆ ว่า ผีมีจริงแต่เขาจะไม่ทำอันตรายเรา
ผีมีหลายประเภทนะ ที่ทำร้ายเราได้ก็มี ไม่ได้ก็มี อย่างเช่น เปรต สัตว์นรก ทำร้ายเราไม่ได้ รากษส(ผีเสื้อสมุทร) ยักษ์ อย่างนี้ ทำร้ายเราได้
พิ้งP^ i +n *K He is a Hero says:
พิ้งเชื่อเรื่องวิญญาณและเคยเห็นด้วย และเป็นคนไวกะเรื่องพวกนี้ค่ะ ไปนอนโรงพยาบาลก็เจอ ไปนอนโรงแรมก็เจอ ย้ายห้องแทบไม่ทันค่ะ

PaNopอาสารับบริจาคของเล่นมือ 2 จ้า says:
อิอิ ขวัญเอ๋ย ขวัญมา อิอิ

ตามที่ท่านพระปิกล่าว รากษส(ผีเสื้อสมุทร) ยักษ์ อย่างนี้ ทำร้ายเราได้ อยากให้ท่านช่วยขยายความครับ
บางครั้ง เทวดาเนื่องจากยังมีกิเลส มีความโกรธอยู่ บางครั้งเทวดาเกิดความไม่พอใจ เนื่องจากเห็นมนุษย์เราทำไม่ถูกต้อง ก็อาจกระทำการต่างๆ ให้มีอันต้องเป็นไปได้ด้วยอำนาจแห่งตน
แต่หากว่ามนุษย์ทำความดีกับเขา เช่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา แผ่เมตตาให้เขา เทวดาท่านก็อำนวยอวยพร แถมบางทีถึงกับมาอารักขา ให้ปราศจากความเหตุเภทภัยได้

อืม งั้นนมัสการพระอาจารย์ อธิบายเกี่ยวกับวิญญาณในศาสนาพุทธ ดีไหมครับ คิดว่าบางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจ
จะได้หายกลัวค่ะ พิ้งกลัวมาก
วิญญาณ แปลว่า การรับรู้ มีอยู่ ๖ ทางจ๊ะ คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
แล้ววิญญาณ ที่พวกเราเข้าใจกันละครับ เช่นตายแล้วก็จะเหลือแต่วิญญาณ ไปเกิดเป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้
คนตายหรือสัตว์ตายนั้นเหมือนกันนะ คือ ตายแล้วก็เกิดทันที แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็สุดแล้วแต่ แต่ถ้ามีเฉพาะวิญญาณอย่างเดียวไม่มีรูปธรรมเข้าประกอบร่วมด้วยนั้นจะอยู่ไม่ได้เลย เว้นแต่อรูปพรหมเท่านั้น จึงจะมีแต่นามธรรมล้วนๆ ได้
เช่นว่า พอคนเราตายปุ๊บ บุคคลนั้นๆ ก็ต้องเกิดทันที ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม อาจเกิดเป็น เด็กในครรภ์ของมารดาคนต่อไป เกิดเป็นลูกสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ หรือแม้แต่ไปเกิดในนรกเป็นสัตว์นรกก็ได้ และอย่างที่เราๆ พบเจอกันที่เรียกว่า “ผี” นั้น ก็หมายถึงว่า เขานั้นไปเกิดแล้ว แต่กลับไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นยักษ์ เป็นปีศาจ หรือเป็นผีเสื้อสมุทร นั่นเอง ซึ่งบางคนก็อาจสามารถเห็นได้นะ ถ้าเขาอยากให้เราเห็น เช่น มาเยี่ยมเยียน หรือต้องการให้ทำบุญอุทิศให้ เป็นต้น

คำถามคำถามหนึ่งครับ สมมุติว่าเราเจอผีจริงแต่เรายืนนิ่งได้ไหม
ได้จ๊ะ ปกติเขาไม่ทำร้ายเราหรอกนะ แต่เขาอาจต้องการบอกอะไรเราบางอย่าง เช่น ขอให้เราอุทิศบุญไปให้ เป็นต้น
ถ้าเรายืนนิ่งแล้วดูจิตเราไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะหายไปไหม แสดงว่าถ้าสมมุติ น้องๆ ถามว่าเจอผีทำอย่างไร ก็บอกว่าแผ่เมตตาเท่านั้น ไม่ต้องวิ่งหนีไม่ต้องตกใจ
เขาจะหายไปเองเมื่อเขาไป หรือไม่ต้องการให้เราเห็น การแผ่เมตตาให้เป็นวิธีที่ดีที่สุด
แต่จะแผ่ได้เต็มที่แค่ไหน ถ้าเขาทำร้ายเราอยู่ ต้องใช้ความเมตตามากๆ เลย มากๆ
ปกติเขาไม่ทำร้ายเราหรอกนะ เว้นแต่เราไปทำร้ายเขาก่อน
ถ้าเช่นนั้น อะไรคือหนทางที่ทำให้เราทำร้ายเขาได้ละครับ ซึ่งความจริงเราคงไม่อยากทำหรอก แต่ตามที่ผมเข้าใจบางครั้งก็ต้องใช้พระเดชบ้าง
ที่เขามาทำร้ายเอง สร้างกรรมใหม่ มีไม๊เจ้าคะ อย่างคนเราล่ะ ที่ทำกรรมต่อกัน ต้องมีเวรต่อกันเท่านั้นเหรอ หรือว่าเป็นการสร้างกรรมใหม่ได้ด้วย

ผีก็ไม่ต่างจากคนหรอกนะ ต้องการเมตตาจากเราเช่นเดียวกัน เพราะต่างก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ต่างก็พยายามที่จะแสวงหาที่พึ่ง และความปลอดภัย
การที่ผีหรือเทวดาจะมาปรากฏให้ใครเห็น ผมเห็นว่า น่าจะเป็นเพราะกรรมที่มีความเกี่ยวพันธ์กันใช่ไหมครับ เพราะแม้แต่เราเป็นคนด้วยกัน ก็ยังไม่อยากตอแยกับใคร ยกเว้นว่ามีเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องผูกพัน หรือบางทีก็เกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมา ซึ่งผมว่า อาการหมั่นไส้คนๆ หนึ่งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ก็แสดงว่าเขาเป็นคู่กรรมของเราเช่นกัน ใช่ไหมครับ
จ๊ะ ปกติจะต้องมีเวรต่อกันมาก่อน จึงจะได้มาพบกันหรือถึงขั้นเบียดเบียนกัน แต่โดยมากถ้าเขามาให้เราเห็น ก็เพราะเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรบางอย่าง หรือไม่ หากเราต้องการเห็นเขาก็ต้องเจริญฌานสมาบัติจนเกิดทิพยจักษุขึ้น
สรุปคือ เราจะเจอผีก็ต่อเมื่อเขาต้องการให้เราเห็นหรือเราไปทำเวรกรรมกับเขาไว้ และ เราเจอแล้วเราก็ไม่ต้องตกใจหรือวิ่งหนี เพียงแต่แผ่เมตตาและขออโหสิกรรมเขาเท่านั้นก็คงจะเพียงพอ ร่วมทั้งหมั่นทำบุญทำกุศล กรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายใช่ไหมครับ
ใช่จ๊ะ
ยังงั้นเราก็รีบไปใส่บาตรหรือถวายสังฆทานให้เค้าๆ ก็จะไม่มารบกวนเราอีกใช่มั๊ยคะ กรณีที่เราเห็นหรือได้กลิ่น หรือฝันน่ะค่ะท่าน
มีอีกเรื่องครับ เราควรจะดูหนังผีไหม ตามความเข้าใจผม คือ เราไม่ควรดูเพราะว่ามันจะเป็นสัญญาที่ติดเข้าไปในหัวสมองเรา ทำให้จิตเราหวั่นไหวได้ ถ้าหากไปเจอเหตุการณ์ที่คล้ายกับในหนัง ซึ่งอาจจะทำให้เราขาดสติ
หนังผีหนังตื่นเต้น ทำขึ้นมา และชอบดูกัน เพราะเพื่อเสพสารหลั่ง อะดรีนาลีน
เราไม่ควรดูหนังผีเลย ตลอดชั่วชีวิต เพราะมันจะเป็นการสั่งสมสัญญาความทรงจำที่ผิดพลาด(สัญญาวิปลาส) ให้เราเกิดความกลัวขึ้นโดยที่ไม่จำเป็น
ไม่ดูแน่นอนค่ะ
เข้าใจแล้วครับ เนื่องจากหนังผีเป็นแนวทางที่ทำให้คนหวาดกลัว โดยสร้างขึ้นจากคนพาล
ไม่ควรสะสมวิปลาส
ผมว่าทำให้ใจคนเราหยาบด้วยนะครับ เพราะว่ามีการฆ่า การทำร้ายกันอ่ะครับ
หากเรามีศีล 5 ครบ ไม่ด่างพร้อย ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องผีหรอกครับ ควรกังวลเรื่องจิตใจตัวเองจะดีกว่า
ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ อาตมาขอลาไว้เท่านี้ก่อนนะ ขอฝากพุทธภาษิตไว้ว่า
"สุขา ยาว ชรา สีลํ" ศีลนำความสุขมาให้ตราบเท่าชรา
ขอให้ทุกๆ คนหลับสนิท และมีความเบิกบานในจิตใจ
ขอนมัสการท่านเอกชัยด้วยนะครับที่กรุณาเข้าร่วมวงสนทนา

นมัสการครับ
ขอนมัสการครับ พระอาจารย์
ค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ และกราบลาพระอาจารย์ค่ะ
ครับ นมัสการ กราบลาครับพระอาจารย์ ขอบพระคุณมากครับ (ได้ความรู้ใหม่ด้วยคืนนี้ อิอิ)
ขอบพระคุณพระอาจารย์มากเจ้าค่ะ ห้าทุ่มแล้วล่ะ ให้ท่านพักผ่อน
ขอบพระคุณค่ะ กราบลาค่ะ ขอให้เพื่อนทุกคนนอนหลับสนิท ไม่ฝันค่ะ
กราบลาเช่นกันครับ และลาทุกท่านครับ ราตรีสวัสดิ์
ลากันหมดแล้วหรือคะ ป้านพก็ขอกราบมนัสการลาเช่นกันเจ้าค่ะ
....................................................




Create Date : 23 ตุลาคม 2549
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 21:21:39 น. 3 comments
Counter : 832 Pageviews.

 

แต่เราขอทำหน้าอย่างงี้ก่อนค่ะ


โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 23 ตุลาคม 2549 เวลา:0:39:15 น.  

 
ตัวตนมีจริงหรือ ?



โดย: ดิว IP: 222.123.48.196 วันที่: 23 ตุลาคม 2549 เวลา:20:24:11 น.  

 
พอดีไปอ่านหนังสือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาสนะครับ ตรงหน้า 47 นะครับ พูดถึงการออกผนวช
ใจความว่า


ราชกุมาร! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้เกิดความรู้สึกขึ้นภายในใจว่า "ชื่อว่าความสุขแล้ว ใคร ๆ จะบรรลุได้โดยง่ายเป็นไม่มี, ความสุขเป็นสิ่งที่ใคร ๆ บรรลุได้โดยยาก," ดังนี้. ราชกุมาร! ครั้นสมัยอื่นอีก เรานั้นยังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยเยาว์อันเจริญในปฐมวัย, เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่, เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว....


จากข้อความ ผมเข้าใจว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านทรงออกผนวช โดยที่พ่อแม่รับรู้ เพียงแต่ไม่ปรารถนา ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ ซึ่งความรู้ความเข้าใจของเราส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านออกผนวชโดยหนีออกมาจากวัง และมาปลงเกสา ที่ข้างแม่น้ำ โดยออกมาพร้อมม้า และคนรับใช้ หนึ่งคน ถ้าจำไม่ผิด ที่ผ่านมาเขาสอนกันอย่างนี้อ่ะครับ ดังนั้นแล้วที่ถูกต้องเป็นยังไงครับ


โดย: วัฒน์ IP: 58.9.126.149 วันที่: 26 ตุลาคม 2549 เวลา:15:29:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กลุ่มต้นธรรม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อันเวลาอันนับไม่ได้ที่เราหมักหมมมานานแสนนานแล้วนั้นถ้าเราไม่เริ่มรู้เราก็ไม่เริ่มตัด ถ้าไม่ตัดก็ไม่เห็นปลาย และเวลาอันนับไม่ได้นั้นก็เป็นปลายที่ยังอยู่
web site hit counter
We keep fighting fires because we keep adding fuel.
We truly putout fires only when we remove their fuel.

ถึงโลกกว้างไกล ใครๆ รู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
มองโลกภายนอก มองออกไป
มองโลกภายใน คือใจเรา

Friends' blogs
[Add กลุ่มต้นธรรม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.