εїз ต้นธรรม εїз เติบโตงดงามด้วยคุณธรรม
แหงนหน้ามองขึ้นใปจากโคนต้น เห็นรูปทรงแผ่ระย้ากิ่งสาขา จากร่มเงาแต่ละใบที่ได้มา เกิดจากว่าผู้มีใจไฝ่ในบุญ
Group Blog
 
All blogs
 
วิธีแก้ไขความอกหัก 490826

เทิด says:
แต่ที่อยากจะทราบวันนี้เพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ก็คือ วิธีแก้ไขความอกหัก เพราะว่าเราเองก็อายุมากแล้ว มีน้องๆมาปรึกษาประจำ ไม่รุ้จะตอบอย่างไร
พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร says:
ความจริง ตามหลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของกรรมนะ คนเราจะอยู่ร่วมกันได้นั้น มีปัจจัย ๒ ประการ(๑)
๑ บุพเพสันนิวาส การได้เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน
๒ การเกื้อกูลกันในปัจจุบันภพ หากแม้นบุคคลไม่เคยมีบุพเพสันนิวาสกันมาเลย หรือไม่เคยทำบุญร่วมกันมาเลย ก็จะไม่พบกัน หรือไม่พอใจกัน
อย่างเราเจอคนมากมายตามป้ายรถเมล์ แต่เราไม่ได้ใส่ใจ หรือไม่มีโอกาสได้รู้จักเขา นั่นเพราะว่าไม่มีบุพเพสันนิวาส แต่ถ้าหากเราเคยทำบุญมาร่วมกันกับเขา เพราะเคยผูกจิตไว้ที่เขา เราจะเกิดมาเจอเขาอีก

กำลังไปได้ดี น่าสนใจเก็บไว้แนะนำน้องๆ และตัวเอง
A good friend who points out mistakes and imperfections and rebukes evil says:
นัดกันมาเหรอ

PaNop อาสารับบริจาคของเล่นมือ 2 จ้า says:
ก็เป็น บุพเพสันนิวาส หรือคะ

ทีนี้ คนเรานะ อยู่ที่ว่า ใครผูกใจไว้กับใคร เช่น เราผูกใจไว้กับเขา แต่ถ้าเขาไม่ผูกใจไว้กับเรา เราอาจเกิดมาเจอเขา มองเขา ชอบเขา เหมือนเราชอบดารา แต่ดารานั้นไม่รู้เลยก็ได้
อย่างนี้เป็นเสน่หาหรือเปล่าเจ้าคะ
อย่างนี้ บางทีเราก็เสียใจนะ เพราะรักเขาแต่เขาไม่รู้ จนต้องร้องเพลง "รักเธอ แต่เธอไม่รู้" อย่างนี้ จึงอยู่ที่ว่า เราจะยอมผูกเขาไว้ในใจเรา เพื่อตามติดเขาเรื่อยไปหรือไม่ แต่สำหรับผู้ที่เรารักเขานั้น ถ้าเขาไม่ผูกใจไว้กับเรา เขาก็จะไม่ชอบเรา
แสดงว่า เราผูกใจไว้เพียบเลย ถ้าเราเป็นคนที่เจ้าชู้
ตรงนี้ล่ะ สำคัญ ข้อที่ ๒ การอุปถ้มภ์กันในภพนี้จะเริ่มมามีบทบาทล่ะ
ถ้าเราผูกพันธ์เขาไว้ในใจเรา เราเจอเขาแล้ว แต่เขาไม่รู้ ก็เลยเป็นหน้าที่ของเรา ถ้าเราต้องการเขา ก็ต้องจีบล่ะ คราวนี้ การเริ่มต้นแห่งสัมพันธภาพ จะเกิดได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและบุญของเรา

ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง says:
วันหลวงพี่เทศน์ดูทางโลกจัง

อย่างนี้ราคะหรือเปล่าเจ้าคะ
ราคะแน่
ก็ต้องหยั่งเชิงดูก่อน ว่าจะจีบอย่างไรหรือเจ้าคะ
ตอนนี้ ถ้าเรามีบุญกุศลที่สร้างไว้ในเรื่องนี้ เราก็จะมีโอกาสสมดังปรารถนา
บุญ ทำไมต้องเป็นบุญล่ะ บุญคือการละไม่ใช่เหรอ
บุญกุศลจะช่วยส่งให้เราเกิดความสมหวัง เพราะจะให้สุขเวทนาจ๊ะ
บุญคือ การทำจิตใจให้บริสุทธ์ครับ ทำบุญเมื่อไร ก็จิตใจบริสุทธ์ครับ
การที่เราตั้งจิตไว้อย่างไร เราก็จะได้อย่างนั้น ด้วยอำนาจแห่งบุญ
อืมม มีบุญที่จะได้รับสุขเวทนา บางที อาจะเป็นทุกขเวทนาภายหลังก็ได้
แบบมีบุญเยอะ ก็สมหวังเยอะหรือค่ะ
ก็ต้องทำบุญมา ทัดเทียมกัน ก็จะได้ มีใจที่บริสุทธิ์ และรักแท้ ใช่หรือไม่คะ
แต่ทว่า ไม่แน่เสมอไปนะ ถ้าเรามีบุญไม่มากพอที่จะคู่กับเขา ก็จะไม่ได้คู่กัน เช่น เขามีคุณธรรมสูงเกินไป เป็นต้น เราไม่ทันเขา ก็จะพลัดพรากกัน เรียกว่า ไม่สมกัน
แต่ เราจะจีบเขาเหรอ ถ้าเป็นเมตตา เมื่อเราเริ่มจีบ แสดงว่าตัญหาขวนขวายเขามาให้เรา
ไม่แน่เสมอไปนะ บางทีเราเห็นว่า เขาไม่มีความสุข เราอาจกรุณาเขาก็ได้
ก็ต้องเรียกว่าทำดีด้วย มีกรุณาต่อกัน
อย่ารักใครเลยดีกว่า ง่ายดี
ซึ่งในครั้งที่แล้วได้แสดงแล้วว่า การอยู่ร่วมกันตลอดรอดฝั่งนั้น อาศัยคุณธรรมที่ต้องเสมอกัน ๔ ประการ ใครจำได้บ้าง
ทมะ จาคะ สัจจะและ?
๑ ศรัทธาเสมอกัน
๒ ศีลเสมอกัน
๓ จาคะเสมอกัน และ
๔ ปัญญาเสมอกัน
ตอนนี้ ลักษณะที่เรียกกันว่า อกหักน่ะ มันก็มีสัก ๒ หรือ ๓ แบบได้กระมัง (เดานะ)

ยังไม่ทันตอบเลย เฉลยละ
๑ เราชอบเขาฝ่ายเดียว แบบเขาไม่รู้เลย (แบบเราชอบดารา)
๒ เราชอบเขาแล้วและตามจีบเขา แต่ไม่ติด (อันนี้ พวก poppy love อะไรทำนองนี้) และ
๓ เป็นแฟนกันแล้วเลิกลากันไป แล้วก็... ไม่รู้แล้ว นึกออกแค่นี้

เอ๊ะ ที่รู้นี่หมายฟามว่า
อ้อ says: นมัสการ พระคุณเจ้าครับ
อยากจะเรียนถามว่า พอดีผมไปชอบคนที่เขามีแฟนแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ก็เลยบอกให้เขาทราบก่อนที่เขาจะเดินทางไปต่างที่ ก็เลยถือได้ว่า ผมอกหักครับ อย่างงี้ผมควรทำอย่างไรดี
อกหัก เพราะคุณเทิดวางจิตไว้ไม่ถูกต้อง
เมื่อมีประสบการณ์ ก่อนรักใคร ก็ต้องดูให้ดีๆก่อน อย่าให้ถลำไปมากจนทุกข์
แต่ผมก็ดีใจที่ได้บอกไป เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นบ่วงติดใจผมไปตลอดเวลา
บ่วงว่าไม่ได้บอกเหรอคะ
เรื่องจึงมาลงว่า จะมีวิธีแก้ทุกข์อย่างไรจากการอกหัก
อ่ะ ปรุงแต่งไปเอง
อย่างสมัยพุทธกาลนะ มีมานพคนหนึ่ง ไม่มีคนรัก แล้วก็ไม่มีทุกข์อะไร แต่พอมีคนบอกว่า ที่นั่นมีหญิงสาวสวย จะขอมาให้ เท่านั้นเอง ก็เกิดความรักขึ้นมาจับ ใจ เพียงได้ยินคำร่ำลือ
ต่อมา หญิงคนนั้น เกิดจู่ๆ ก็ตายไปอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยโรคลมบางอย่าง หนุ่มน้อยนั้นก็กินไม่ได้ไม่หลับเลย คิดถึงแต่นางทั้งที่ไม่เคยรู้จักกัน
ที่เกิดความทุกข์ขึ้นเช่นนี้นั้น เป็นเพราะว่า จิตคิดปรุงแต่งไปตามอำนาจแห่งความยึดถือครอบครองว่า นั่นของเรา นั่นของเรา นั่นเอง พอเสียไป ก็เลยรู้สึกว่า เสียของรักของตน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันเลย เพียงแต่มีคนบอกว่า จะขอมาให้เท่านั้น ก็ทึกทักเอาแล้วว่า "ของกู ของกู" ของกูแน่แล้วคราวนี้ ก็เลยต้องทุกข์ ถึงขั้นเกือบฆ่าตัวตายตามเลยนะ จะบอกให้(๒)

มานพที่น่าสงสาร
ดูสิดู เป็นอย่างไรบ้าง อำนาจของเสน่หานี่ ร้ายจริงๆ ไม่เคยเจอ ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพูดด้วย ตัวตนก็ไม่เคยเห็น เพียงแต่มีคนพูด ให้คิดปรุงแต่งไปฝ่ายเดียว
อย่างนี้ก็มีด้วย!

แย่จัง
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตำหนิโทษของกามคุณอารมณ์ และเสน่หา ราคะ ว่าเป็นสิ่งที่ควรบรรเทาเสีย ไม่ควรปล่อยให้ลุกลากไปด้วยการปรุงแต่งมากมาย
เยอะแยะค่ะ คิดฝ่ายเดียว ส่วนใหญ่คนเราก็คิดเองฝ่ายเดียวทั้งนั้น
เจ้าค่ะ ถ้ามองง่ายๆ ก็คือรู้ให้ทันก่อนทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นคาถาแก่หนุ่มน้อยนั้นว่า
"ความโศกย่อมเกิดขึ้นเพราะกาม
(เพราะสิ่งอันเป็นที่รักและความรักในกาม)
ภัยทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นแต่กาม
ความโศกย่อมไม่มีแต่บุคคลผู้พ้นวิดเศษแล้วจากกาม
ภัยจักมีแต่ที่ไหน"

คำว่ารักในที่นี้คือเสน่หา
มีสำหรับ เด็กน้อย ตาดำ บ้างไหมค่ะ
หนุ่มน้อยนั้นได้พบพระพุทธเจ้า ก็ยังโชคดีไปนะ ได้บรรลุโสดาปัตติผลในที่สุดแห่งเทศนา
เขาเห็นทุกข์
isiwat says: ใครอ่ะเห็นทุกข์
ความจริงแล้ว ในโลกของเรานั้น ชีวิตของคนเรามีบุพเพสันนิวาสกับบุคคลทั้งหลายมากมายนับไม่ถ้วน แต่ทว่า เราจะพบเจอบุคคลเหล่านั้น ในเวลาที่แตกต่างกันไป
บางครั้ง เราพบเจอคนๆ หนึ่ง เรารู้สึกพอใจมาก แต่เรามีแฟนแล้วเป็นต้น ก็เลยไม่สมหวัง อย่างนี้ก็มีมากมายนะในสังคมปัจจุบัน เพราะโดยมาก คนเราจะชอบคนที่เข้ามาสู่ชีวิตเราคนแรกๆ โดยไม่พิจารณาใจของเราให้ดีเสียก่อน

ชอบก่อนรู้ว่าเป็นใครที่ควรชอบหรือเปล่า
ตอนนี้พอเจอคนที่เรารักจริงๆ ก็เลยไม่สมหวัง ซึ่งในที่นี้เกิดจากความประมาทในการดำเนินชีวิต เช่น เราไปคว้าสาวในเท็คมา ตามโต๊ะสนุ๊กบ้าง ตามสถานที่ท่องเที่ยวบ้าง เป็นต้น ในที่นี้คือเราประมาทนั่นเอง
โห บุพเพสันนิวาสแบบไม่ได้เรื่องเลย
โอ ขนาดนั้นเลยหรือค่ะ
พระผุ้มีพระภาคทรงตรัสว่า คนเราย่อมคบหากันด้วยธาตุ
น่าสนใจครับ คบหาด้วยธาตุ ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย ช่วยอธิบาย ขยายความด้วยครับท่านพระปิฯ
ภาษาทางอภิธรรมหรือเปล่าอ่ะ
ธาตุในที่นี้ หมายถึง เมื่อเราประพฤติตนประมาท เช่นไปในที่เที่ยว ในที่ไม่สมควร เราก็ได้คนที่เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน คือ ประพฤติ(ศีล)เสมอกัน คือ ชอบเที่ยวเหมือนกัน
เราเลือกคนชอบของเราเอง
แต่สมมติ ถ้าเราไปตามศูนย์สุขภาพนะ เราก็จะได้เจอคนที่มีอัธยาศัยอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นคนที่รู้จักดูแลตนเอง รู้จักดูแลสุขภาพอย่างดี และถ้าเราอยู่กับเขา เขาก็จะเอาใจใส่ดูแลเราด้วยเช่นเดียวกัน
ดีครับเป็นคำแนะนำที่ดีมากๆ เลือกถิ่นที่อยู่ที่เหมาะสมและคบแต่บัณฑิต
ไปวัดดีกว่า
หรือ ถ้าเราไปวัดนะ เราธัมมะธัมโม เราก็เจอคนธัมมะธัมโม มีนิสัยสุภาพ เหมือนๆ กับเรา
เมื่อวันก่อนไปอ่านมาว่า ไปวัดเพื่ออะไร ได้ใจความดีมากครับ
ตอนนี้ คนเรานี่ก็แปลก คือ ชอบของที่มันสะดุดตานะ แปลกๆ เด่นๆ นั่นก็หมายถึงว่า บุคคลผู้นั้น ก็ย่อมได้รับความเอาใจใส่อยู่เองเป็นพิเศษ ซึ่งใครๆ ก็สนใจคนที่น่าสนใจ
เช่น สวยมากๆ เก่งมากๆ รวยมากๆ อะไรทำนองนี้ และบุคคลเหล่านี้โดยมาก หากถูกตามใจมากๆ มีแต่คนชื่นชม ก็มักจะหลงตัวเอง และอาจมีนิสัยดูแคลนผู้อื่นตามไปด้วย ซึ่งเป็นเหตุแห่งการที่ธรรมชาติเองจะรักษาดุลยภาพของชีวิต ทำให้คนทั้งหลายนั้น จะหาที่สมบูรณ์พร้อมได้ยากมาก
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสว่า "ทุลลโภ องฺคสมฺปนฺโน" อันว่าบุคคลที่พร้อมไปเสียทุกอย่างนั้น หาได้ยากในโลก
ส่วนนี้ บางครั้งเราควรรู้เท่าทันว่า คนเรายิ่งเด่นก็ยิ่งอันตรายมาก เพราะโดยมาก มิได้ฝึกฝนตนเอง เช่น มีแต่คนชมว่าเก่ง ก็จะไม่พัฒนาตนให้ยิ่งขึ้น หรือหยิ่งทะนงตนมันเสียเลย เป็นต้น
คนยิ่งสวย ใครๆ ก็รุมรัก ก็ไม่ค่อยขวนขวายพัฒนาความสามารถของตนให้ยิ่งขึ้นไป บางครั้งก็คิดว่า 'เดี๋ยวก็มีคนมีฐานะมาเลี้ยงดู จะเรียนหนังสือไปทำไม'

อิอิ เราไม่สวย แต่ก็ไม่ค่อยชอบพัฒนา
แม้แต่คนที่ถูกชมว่าเป็นเด็กดีมากๆ ก็มักจะประมาทในการดำเนินชีวิต ไม่ค่อยระมัดระวัง โดยคิดว่า ความดีจะคุ้มครองเอง เป็นต้น จึงทำดีแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
ทำดีแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ
ตอนนี้กลับมาว่า เรื่อง อกหัก ต่อนะ
การไม่สมหวังในรักนี่นะ เป็นธรรมดาของความรักแบบเสน่หานะ เพราะเหตุว่า คนทุกคนเมื่ออาศัยเสน่หา หรือตัณหา ในการเลือกคู่ครอง ก็ย่อมจะต้องการคนที่ดีกว่าตนในบางด้าน เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ตนยังขาดอยู่
เช่น คนสวยแต่ไม่รวย เราก็มักชอบหาคนรวยๆ มาเป็นคู่ เพื่อหวังเต็มเติมชีวิตเขา

อืมมม การเติมเต็ม เป็นข้อเหตุผลที่คนหาคู่รัก
หรือ เราเก่งแต่ไม่สวย เราก็อยากได้คนหล่อๆ มาเป็นแฟน เพื่อเชิดหน้าชูตาตน หรือ เรารวยด้วย สวยด้วย แต่ไม่ค่อยฉลาด เราก็จะหาคนฉลาดๆ มาเป็นคู่ครอง
เพราะอะไร ก็เพราะว่าบางสิ่งเมื่อเราไม่มี เมื่อเห็นผู้ใดมีเข้าก็มักเกิดความประทับใจในการที่ได้มีสิ่งนั้น นั่นเอง อย่างนี้ ความจริงก็ดูเหมือนดี แต่ทว่า ฝ่ายตรงกันข้าม เขาก็คิดทำนองเดียวกันกับเรา

ผู้ชายมักหาคนสวยๆ เสมอ แต่ดูๆ ไปแล้ว เหมือนตุ๊กตาหน้ารถ
คือทั้งสองฝ่าย ต่างก็ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งมาเต็มเติม ซึ่งถ้าโชคดีลงตัวได้พอ ก็แล้วไป แต่โดยมากไม่เป็นอย่างนั้น เพราะต่างฝ่ายต่างก็อาศัยซึ่งกันและกันในการหาความสุขให้ตนเอง ฉะนั้น เมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีว่าจะไม่สามารถให้ในสิ่งที่ตนขาดได้ เขาก็อาจจะหมดความรักต่อบุคคลนั้นลงได้
คนมีปัญญาที่แท้จริง จะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมีคู่ก็ได้ ที่จะทำให้เกิดประโยชน์ที่ดีที่สุดได้
ตอนนี้ นิสัยของคนเรานะ ไม่ใช่ว่า จะนิยมมองผู้อื่นในแง่ดีสักเท่าไรหรอกนะ ฉะนั้น เมื่อเขามีส่วนที่ไม่บริบูรณ์อยู่บ้าง เมื่อเราเริ่มหมดรักเขา หรือเบื่อเขา เราก็จะเอาส่วนด้อยของเขานั้นมาเป็นข้อตำหนิ ชวนทะเลาะ หรือถึงขั้นใช้เป็นข้ออ้าง มองคนใหม่มันเสียเลย
อย่างนี้เรียกว่ารักหรือเปล่าเนี่ย
นี่เพราะอำนาจของราคะที่ต้องการให้เขามาเติมเต็มในชีวิตเราให้สมบูรณ์ ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่ผิด ไม่ถูกต้อง ที่แท้ เราควรเติมเต็มตัวเราอยู่เสมอ แล้วพยายามมอบความรักให้แก่เขา คิดช่วยเหลือเขาเสมอต่างหาก
ซึ่งถ้าต่างฝ่ายต่างสำนึกไว้ก่อนว่า เราปรารถนาประคับประคองเขา ช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกัน อย่างนี้สิ ความรักย่อมจักยั่งยืน

ถ้าไม่ใช่แฟนกัน ช่วยเหลือเขาไหมค่ะ
เรียกว่า ควรอาศัยความรักอย่างเมตตานั้น มานำทางชีวิตของเราให้ดำเนินไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต และช่วยเหลือจุนเจือกันและกัน อย่างไม่คิดให้เขามาช่วยเหลืออะไรเรา
อย่างไม่คิดให้เขามาช่วยเหลืออะไรเราแม้แต่น้อย แม้แต่การดีตอบ
ซึ่งถ้าต่างฝ่ายต่างคิดอย่างนี้ ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้ให้ มิใช่ปรารถนาเป็นผู้รับ ความรักจะยิ่งราบรื่น มั่นคง และนำมาซึ่งมาปราโมทย์ในจิตใจของแต่ละฝ่าย
เรียกว่า ต้องเริ่มต้นด้วยเมตตา มิใช่รักแบบเสน่หา อยากแต่จะเอาเขามา เพื่อมาทำให้ตัวเราเป็นสุข

โห จะเจอไหมเนี่ย (ตัณหาอีกแล้ว)
ตอนนี้ อาตมาจะได้พูดถึงสภาพการณ์ที่เป็นอยู่จริงในปัจจุบันบ้างล่ะนะ ในสังคมปัจจุบัน เราถูกสอน หรือถูกหล่อหลอมด้วยค่านิยมให้ผลักดันตนเองขึ้นสูง ไม่ว่าจะเป็นฐานะ หน้าตาในสังคม อำนาจ การศึกษา หรือแม้แต่การยอมรับว่าเป็นคนดี
นี่คือกระแสสังคมในปัจจุบัน
พอคนเรา ถูกปลูกฝังให้ดันตนขึ้นสูงและให้เร็วที่สุด ระบบความคิดที่อาศัยผู้อื่นมาช่วยเหลือจึงเกิดขึน รู้ใช่ไหม หมายถึงอะไร
พรรคพวก?
เรามักถูกสอนให้มองผู้อื่นโดยมองไปที่ผลประโยชน์ที่เขาจะให้แก่เราได้ และในระยะสั้นๆ และรวดเร็วที่สุด แม้แต่การมีคู่ครอง เราก็มักถูกสอนให้คิดอย่างนั้น
คนเราส่วนใหญ่มองว่า คู่ครองของเรา ควรเป็นผู้ที่มีเกียรติ มีหน้าตาในสังคม มีฐานะที่ดี หรือมีอำนาจ ได้รับการยอมรับในสังคม หรือแม้แต่ ขอให้เขาหล่อ หรือให้เธอสวยมากๆ เพื่อให้เราภาคภูมิใจ หรือแม้เขาจะพร่องไปเสียบางอย่าง แต่ก็ต้องมีบางอย่างล่ะ ที่เด่นจริงๆ จนคนที่อยู่รอบข้างเราพอใจ และยอมรับในส่วนนั้น ว่าสมควรแล้วที่จะครองคู่ด้วย เข้าลักษณะฝากความหวังและอนาคตไว้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่คิดพึ่งพาตนเอง
ตอนนี้ล่ะ ค่านิยมที่เลวร้าย หรือสภาพที่แท้จริงก็เริ่มปรากฏ คือ ทุกคนต่างต้องการคนที่ดีกว่า และดีกว่า และดีกว่าผู้อื่น ยิ่งขึ้นไปเสมอ ไม่รู้จักอิ่ม เช่น เรามีแฟน ก็ว่าน่ารักแล้วนะ แต่พอเราเจออีกคน อาจน่ารักกว่า เราก็ทิ้งเลยคนเก่า เพราะไม่รู้สึกพอ

ก็เพราะเงื่อนไขที่เรามีคือดีกว่า
S i e w says:
สำหรับผม ขอแค่คนที่จะไม่มาเพิ่มทุกข์ให้กับผมก็พอครับ ฮ่ะๆ

จะทุกข์หรือไม่ก็อยู่ที่เงื่อนไขที่เราเลือกด้วย
หรือ เราเจอคนที่ฐานะก็พอควรแล้ว แต่เจออีกคนที่รวยกว่า แล้วก็รวยกว่า ถ้ามีหวังว่าอาจจะได้ ก็เตรียมทิ้งเลยคนเก่า แบบนี้ไม่ดีเลย
ท่านพูดถึงใครน้อ
เพราะอะไร เพราะเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ คือ เราต้องการให้เขามาให้กับเรา ไม่ใช่เราต้องการให้กับเขา หรือจะเรียกว่า ไม่ใช่ว่าเรารักเขาที่ตัวเขา แต่เรารักในสิ่งที่เขาจะมีให้เราได้ต่างหาก
เรารักตัวเราเอง
ซึ่ง ความรักแบบ poppy love หรือความรักแบบความฝันนั้น จึงมักไม่สมหวัง เพราะว่า ต่างก็ไม่เข้าใจถึงความหมายของความรักที่แท้จริง และต่างฝ่ายต่างก็ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งมาทำให้ตนเป็นสุข และให้สิ่งที่ตนยังไม่มีหรือยังขาดอยู่ ซึ่งก็ปรารถนาว่าเขาจะต้องดีกว่าตน และมีในสิ่งที่ตนไม่มีเสมอๆ
" มองไปให้ทั่วทั้งโลกเลย จะมีบุคคลใดเล่าเป็นที่รักยิ่ง มากไปกว่าตัวเรานั้นไม่มี "
เช่น เราจน เราต้องการคนรวย ส่วนคนที่เราชอบซึ่งเขารวย เขาก็มองคนที่รวยกว่า และคนที่รวยกว่าที่ถูกมอง ก็มองแต่คนที่ยิ่งรวยกว่าตน เป็นต้น SO ดังนั้น จึงไม่มีใครสมรักเลยสักคน
และเราทุกข์อยู่ตอนนี้(อกหัก)ก็เพราะว่าเรารักตัวเราเอง เพราะคิดว่าตัวเรากำลังสูญเสียความรักไป
ทุกคนมองสูง แล้วก็มองสูง
ถูกต้องแล้วครับคนเราต้องรักตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก แต่เป็นไปเพื่อเอื้อให้ไปเกิดความสุขความสงบกับผู้อื่น
มองกันอย่างนี้จะได้เจอคนที่ชอบไหมเนี่ย
แต่ผมไม่เห็นอยากมองคนที่เหนือกว่าผมด้วยสิ่งของภายนอกเลย ขอเพียงมีคุณธรรมเหนือเรา คงไม่ทำให้เราทุกข์ และช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้
คำว่ารักตัวเอง ก็ต้องรักให้ถูก
ดีแล้วครับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ณ ปัจจุบันคือ สิ่งที่ดีที่สุด และ เราควรรู้จักเป็นคนมักน้อยและสันโดษ
แต่สำหรับสัตบุรุษ คือ คนที่ดีนั้น มองตามที่เป็นจริง ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมเสมอกันโดยธาตุ ย่อมเลือกคนที่เข้ากันได้โดยธาตุ (เช่นความดี) มิใช่มองแต่ที่สูงกว่า แล้วก็สูงกว่า
แต่เขาจะเลือกคนที่มีคุณธรรมเสมอเขาหรือเปล่าคะ
ทุกข์ใจนะครับแต่ก็ยังอยากอยู่ คือ ต้องการคนที่เหนือกว่าเราด้วยพฤติกรรม จิตใจ และความฉลาด (ปัญญา)
คนดีกับคนชั่ว มองไม่เหมือนกัน โดยความหมายว่า สัตบุรุษกับอสัตบุรุษย่อมคิดไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ธรรมของสัตบุรุษและอสัตบุรษนั้น ไกลกันแสนไกล"

ผมว่าคนเรานั้น เลือกคู่ต้องใช้หลัก สัปปุริสธรรม ครับ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักกาล รู้จักประมาณ รู้จักบริษัท รู้จักบุคตล
ถ้าจะเพื่อเติมเต็มเรา อย่างที่ท่านปิว่าไปแล้ว การเลือกแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมีเงื่อนไขที่ไม่ค่อยดี
เราลองมองดูเถิดว่าเราเป็นสัตบุรุษหรือไม่ ในการเลือกคู่ ๑ เรารักเขา เพราะเขาเป็นเขาอย่างนั้น โดยความเป็นธาตุที่เสมอกับเราใช่หรือไม่
เขาเป้นอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่เป็นอย่างที่เราต้องการ เพราะเมื่อเราไม่ต้องการ เงื่อนไขก็จะตกไป ก็คือไม่รักอีกเหมือนเดิม
๒ เรารักเขา โดยอาศัยความรักที่เรามีให้เขา ต้องการดูแลเขา ใช่หรือไม่ หรือเราต้องการให้เขามาให้ความรักเรา ดูแลเรา คุ้มครองเรา มากกว่ากัน
เจ้าค่ะ รักเขาเพราะว่าเขาตอบสนองความต้องการของเราได้ รักแบบนั้นคือราคะ คืออยากที่จะให้เขาทำให้เรามีความสุข
๓ เราปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเรา ด้วยการพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้ให้ เพิ่มพละกำลังให้แก่ตน และเต็มเปี่ยมด้วยน้ำใจ หรือเราต้องการงอมืองอเท้า ให้เขาทำให้เรา ดูแลเราอยู่นั่นเอง
ดีครับ มีอีกกี่ข้ออยากให้มีเยอะๆ จะได้เก็บไว้เป็นธรรมทาน
อย่างนี้ต้องให้คำว่า รัก คือ การให้ ไม่ใช่ ลัก คือการเอา
ถูกต้องครับบบบบบบบ ความรักคือ การให้ เป็นคำนิยามที่ดีที่สุดเหมือน พ่อแม่ให้ลูก ครูบาอาจารย์ให้ศิษย์
และ ๔ สุขของเราสามารถเกิดขึ้นได้จากการเป็นผู้ให้ หรือว่า สุขของเราเกิดขึ้นจากการเป็นผู้รับกันแน่ คิดให้ดีว่า อย่างไหนจะให้ความสุขได้มากกว่ากัน ให้แล้วเป็นสุข ยิ่งให้ยิ่งเป็นสุข หรือ ต้องรอได้รับจากเขาจึงจะเป็นสุขได้
สาธุเจ้าค่ะ ประโยคนี้ เราตั้งเงื่อนไขความสุขไว้ว่าอย่างไร
สุดท้ายล่ะนะ
๕ เรามีปัญญามองเห็นสภาพของชีวิตและสังขารตามที่เป็นจริงหรือไม่ว่า ชีวิตทุกชีวิตต่างก็เผชิญหน้าต่อปัญหาและความทุกข์รอบด้านด้วยกันทั้งนั้น

คือ มีความเข้าใจในผู้อื่นด้วย?
ฉะนั้น เราจะคิดว่า เราต้องการสุข สุข สุข อยู่นั่นเอง หรือว่าเราจะเข้มแข็ง ตั้งตนไว้โดยสุจริตธรรม เพื่อเป็นแบบอย่างของผู้ให้ เกื้อกูลบุคคลทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่เรารัก ซึ่งอาจยังมีปัญญาไม่เพียงพอที่จะเห็นโลกตามความเป็นจริง
เจ้าค่ะ
วันนี้หัวข้อพูดเรื่อง หัวข้ออกหัก แต่ก็ได้ทราบเรื่องหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธาตุ บุพเพสันนิวาส การเลือกคู่ของสัตบุรุษ
ในโลกที่ยังวุ่นวายสับสนนี้ เราควรให้แสงแห่งปัญญาที่จะนำทางชีวิต ให้ก้าวไปสู่จุดมุ่งหมาย และมีความเจริญไปพร้อมๆ กัน โดยจะประคับประคองกันไป เพื่อให้แต่ละฝ่ายได้เข้าถึงสัจธรรมของชีวิต
ที่แท้จริง ปัญญานั่นแลประเสริฐกว่าทุกสรรพสิ่ง ซึ่งอาจมองเห็นความเป็นจริงในโลกแห่งสังขารทั้งหลาย ว่าต่างก็ต้องตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ที่รุมเร้าเหมือนๆ กัน

สัจจธรรมของชีวิต นี้หมายถึง ทุกคนต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายใช่ไหมครับ และ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฏ อิทัปปัจจยตา
ยิ่งเพิ่มความเสียสละ และเต็มเปื่ยมไปด้วยเมตตาปราณีต่อโลก คือ หมู่สัตว์ทั้งหลาย ว่ายังต้องการใครบางคน ที่จะเข้ามาช่วยเหลือและชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิต ดังพระพุทธองค์ทรงเคยดำเนินมาเป็นแบบอย่าง
อย่างนี้คือความคิดของโพธิสัตว์?
การประคับประคองกันไปนี้ จึงมิใช่การหวังแต่เพียงความสุขเฉพาะหน้า บางครั้ง อาจเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเพื่อคนที่เรารัก อย่างนี้สิ เรียกว่าความรักที่แท้จริง
งั้นรักแท้ ก็ไม่ใช่จะให้ความสุขเสมอไป
ผมรู้สึกว่า บางทีตายแทนยังง่ายกว่าการให้ความเข้าใจและอดทนต่อกัน
รักแบบเมตตาก็มีความสุขได้ ถ้าเราตั้งเงื่อนไขความสุขในทางที่ถูกต้อง
แรงมานะและทิฐิมันทำให้เห็นอะไรไม่ชัดน่ะครับ
กำแพงทิฐิ
ความสุขที่สูงสุดคือ ความว่างเปล่า ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เป็นสุขและทุกข์
อย่าหวังแต่จะให้เขามาทำให้เราเป็นสุข เพราะนั่นไม่เพียงพอที่จะเดินทางร่วมกัน เพราะการเดินทางร่วมกันไปสู่ความสุข ความสดชื่นเบิกบานนั้น ยังเป็นหนทางอันยาวไกลที่ต้องก้าวเดินไปอีกนานแสนนาน กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่างก็ปรารถนาร่วมกัน คือ ความที่ไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีก และการที่จะไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีกนั้น มี ๒ ลักษณะ คือ
มีด้วยเหรอ ที่ที่จะไม่ต้องพลัดพรากจากกัน
๑ แม้จากกันไป แต่จิตใจเราก็ไม่พลัดพรากจากกัน
อ๋อ ความทรงจำ
๒ จะไม่มีรูปธรรมที่ต้องพลัดพรากจากกันอีกต่อไป เพราะต่างฝ่ายต่างก็เข้าถึงเป้าหมายปลายทางแห่งชีวิตแล้วทั้งสองฝ่าย
ตรงที่สองน่าสนใจครับ คิดว่าคงต้องตั้งเป้าหมายไว้เช่นนั้น
พากันไปให้รู้ถึงสัจธรรมของชีวิต
ไม่มีอีกแล้วซึ่งความพลัดพราก เพราะไม่มีการอุบัติปรากฏขึ้นอีก ไฉนเลยจะมีความพลัดพรากกันได้เล่า เป็นความสงบเย็นแห่งสังขารทั้งหลายตลอดกาลนาน
อย่างกับกลอนแน่ะ
เราจะไม่จากกันอีกต่อไป เราจะไม่ต้องพลัดพรากกันอีกต่อไป เราจะไม่ต้องร้องไห้เพราะการสูญเสียในสิ่งอันเป็นที่รักอีกต่อไป นั่นคือ ความสงบเย็นแห่งดวงจิตอย่างแท้จริง
แต่โดยจากตัวอย่างผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมของชีวิต นี่มีสักเท่าไหร่กันที่ไปกันเป็นคู่ และส่วนมากก็จะไปเดี่ยวดัวยตัวเองหรือเปล่า พากันดับความพลัดพราก รู้สีกว่ามันจะขัดๆกันอ่ะ
มีนะ ผู้ที่เข้าถึงฝั่งพร้อมกัน นกุลปิตา นุกลมาตา อย่างไร
เจ้าค่ะ ที่ท่านเคยเล่าให้ฟัง แต่ก็มีน้อยกว่า ผู้ที่ไปด้วยตนเอง(ฉายเดี่ยว)
พอล่ะมั๊งคืนนี้ เหมือนเข้าวิชาอบรมจริยธรรมยังไงไม่รู้
LET GOooooooo ! says:
namasikara ka and hi everyone

ตามที่ผมเข้าใจให้ใช้ ๓ อย่างประกอบ ๑ มันเป็นเช่นนั้นเอง ๒ เราบังคับใครไม่ได้ ๓ พิจารณาซากศพ
"ถึงโลกกว้างไกลใครๆ รู้ โลกภายในลึกซึ้งอยู่รู้บ้างไหม
มองโลกภายนอก มองออกไป มองโลกภายในคือใจตน"

ขอฝาก สุภาษิตจีน ไว้บทหนึ่งนะ

สมเป็นลูกคนจีน จริง หลวงพี่
จงอุทิศเพื่อชีวิตทั้งหลาย น้อมความรัก ความเมตตา
สร้างอำนาจความรู้สึกอิ่มใจ ด้วยปรารถนาบริสุทธิ์
ให้เกิดเต็มเปื่ยม และเอ่อล้นอยู่ภายในอยู่เสมอ
และน้อมให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ไม่จิรังยั่งยืน ทนสภาพอยู่ยาก
ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นต้น เป็นเราของเรา ในโลกแห่งสังขารทั้งหลาย

แต่เรา ก็ต้องมีลมหายอยู่ต่อ ในโลกที่มีตัวตน????
ที่ว่าโลกไม่มีตัวตน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดจากการปรุงแต่ง ประกอบกันขึ้นมา สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ย่อมไม่มีตัวของตนเอง
จงปลงปล่อย และแจ้งจริงในอนัตตาเป็นที่สุด
เมื่อความโปร่งว่าง ได้บังเกิดในดวงใจ
ก็สลัดความยึดถือ หมดความหมายมั่น
น้อมเห็นชีวิตต่อชีวิต ซึ่งมิช้านานก็ต้องแก่ เจ็บ ตายไป
ยิ่งเพิ่มอุทิศ สละ เกื้อกูล เพื่อชีวิตทั้งหลาย

การตั้งจิตเช่นนี้ เรียกว่าอะไรเจ้าคะ ยากที่จะทำให้มองเห็นแบบนี้ได้
มีชีวิตอยู่เพื่อการจ่ายออกสลัดออก ถอนสิ้นความเห็นแก่ตัว
มีความปราโมทย์ด้วยเมตตา ปัญญา ปราณีโลก
เกื้อกูล ดับทุกข์โศก แก่มวลชนชีพทั้งหลาย
จากชีวิตถึงชีวิตด้วยธรรมพร้อมใจกาย
เบาสบายคลายร้อน ผ่อนให้เย็น
ซาย โย นา ระ

อ่าว กลายเป็นญี่ปุ่นไปซะแระ
ต้องใช้เวลาครับ คิดว่าต้องศึกษาธรรมะไปได้ในระยะเวลาพอสมควร ก็จะกระทำได้เพราะจะรู้ว่าชีวิตไม่มีอะไรที่น่าเอาเลย มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ถ้าไม่ติดหน้าที่ก็ควรจะไปบวชดีกว่า
Phra Khun Chao Ka I thought that Metta has another side effect, it causes attachment, isn't it
metta it will make you be free from selfish เอาล่ะมั๊ง คืนนี้
รักให้เป็น แล้วจะเห็นค่าของความรัก ???
I know that but metta has side effect which is that it causes lobha after that BECAUSE it is Sukkha
vedana isn't it

ครับ ขอบพระคุณพระคุณเจ้าที่ให้ความเมตตากรุณาเราในการแสดงธรรม
ขอให้ทุกคนมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นผู้อื่นเป็นสุข
ขอบพระคุณมากครับสำหรับธรรมมะวันนี้ นมัสการลาครับ
Namasikara ka
ครับ มุทิตา
จงสร้างความสุขได้ด้วยตนเองจากภายใน และจงมอบความสุขให้แก่บุคคลอื่น อันเกิดจากความสุขที่มีอยู่ในภายใน ถ้าตนเป็นทุกข์เสียแล้ว จะมอบความสุขให้แก่บุคคลอื่นได้อย่างไรกัน
งั้นก็ต้องสร้างความสุขภายในของตนเองก่อน
สาธุ _/ \_
ค่ะ
เคยได้ยินเพลงๆ หนึ่งว่า "ถ้าเธอไม่รักตัวเอง ไม่เคยดูแลแม้ตัวเอง แล้วเธอจะรักฉันยังไง ถ้าเธอไม่รักตัวเอง ทำตัวไม่มีคุณค่าใด ก็แล้วใครจะรักเธอ"
แล้วถ้าเธอรักตัวเองมากไปล่ะ
What happens if that person loves himself or herself too much hahaha
ตลกดี
ไม่มีใครในโลกรักคนอื่นมากกว่าตัวเองหรอกค่ะ (มีไม๊เนี่ย)
ไปดีกว่า ชักจะไปกันใหญ่แล้วเรา ไม่ไหว
ราตรีสวัสดีครับทุกท่าน
อย่างนี้ทุกทีท่านปิ
บ๊าย บาย นะทุกคน see you next week 8.30 PM
นมัสการครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
ราตรีสวัสดิ์ค่ะทุกคน
sayonara ka PKC Piyaluk
หลับสบาย คลายกังวลค่ะ
๑ ขุ.ธ.๔๒/๑๐๒/๓๖ มมร.
๒ ขุ.ธ.๔๒/๑๖๙/๔๐๔ มมร.



Create Date : 10 ตุลาคม 2549
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 21:44:18 น. 1 comments
Counter : 400 Pageviews.

 
นมัสการพระคุณเจ้า กระผมเจอเหตุการที่มีผลต่อจิตใจมาก คือกระผมไปทำงานต่างจังหวัดได้ 3 วัน ก่อนกลับมากระผมก็โทรให้แฟนไปรับแต่เค้าไม่ยอมรับสาย
ผมก็ไม่ได้เอะใจ แต่หลังจากนั้นพอผมไปถึงห้องก็เจอชู้ของแฟนกระผมนอนกอดกัน เจ็บแบบสุดๆ กระผมควรทำอย่าไรคับ เหตุผลที่เค้ามาใช้อ้างคือเค้าหาว่าผมมีคนอื่น
ผมกับเค้า มีลูกด้วยกัน 2 คนแล้วคับ รบกวนชี้แนะทีคับ


โดย: By! พิโลก IP: 110.164.45.97 วันที่: 29 ธันวาคม 2553 เวลา:15:44:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กลุ่มต้นธรรม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อันเวลาอันนับไม่ได้ที่เราหมักหมมมานานแสนนานแล้วนั้นถ้าเราไม่เริ่มรู้เราก็ไม่เริ่มตัด ถ้าไม่ตัดก็ไม่เห็นปลาย และเวลาอันนับไม่ได้นั้นก็เป็นปลายที่ยังอยู่
web site hit counter
We keep fighting fires because we keep adding fuel.
We truly putout fires only when we remove their fuel.

ถึงโลกกว้างไกล ใครๆ รู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
มองโลกภายนอก มองออกไป
มองโลกภายใน คือใจเรา

Friends' blogs
[Add กลุ่มต้นธรรม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.