εїз ต้นธรรม εїз เติบโตงดงามด้วยคุณธรรม
แหงนหน้ามองขึ้นใปจากโคนต้น เห็นรูปทรงแผ่ระย้ากิ่งสาขา จากร่มเงาแต่ละใบที่ได้มา เกิดจากว่าผู้มีใจไฝ่ในบุญ
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องทำบาปโดยไม่รู้นั้นบาปยิ่งกว่าทำบาปทั้งที่รู้ / รักที่บริสุทธิ์แท้จริง 491007

Chatธรรมวันเสาร์ เรื่องทำบาปโดยไม่รู้นั้นบาปยิ่งกว่าทำบาปทั้งที่รู้ / รักที่บริสุทธิ์แท้จริง
(เมื่อวันที่ ๗ ต.ค. ๒๕๔๙)
พระเอกชัย ฐานจาโร says:
ในระหว่างนี้ขอถามที่ไม่เป็นหัวข้อส่วนรวมหน่อยครับ เจ้าภาพถวายข้าวหมาก ฉันได้หรือไม่ ถ้าเป็นเมรัยทำไมเขาจึงยกประเคนให้พระอีก

วัฒน์-รู้จัก, เชื่อ, บังคับ, พอใจ, เคารพ says:
ข้าวหมาก ถือเป็นเมรัยแล้วหรือครับ

พระปิยะลักษณ์ ปญฺญาวโร says:
ข้าวหมากนั้น ถ้าสี กลิ่น และรสเมาของสุราปรากฏ ก็ฉันไม่ได้, ซึ่งข้าวหมากนั้นจัดเข้าในสุราประเภทหนึ่ง เพราะคำว่า สุรา นั้น คือ รสเมาที่เกิดจากการหมักข้าวหรือแป้งต่างๆ นั่นเอง, ส่วนเมรัยนั้น โดยทั่วไปหมายถึง รสเมาที่เกิดจากการหมักผลไม้ เช่น ไวน์ เป็นต้น

จะคำนึงถึงผลที่ทำให้เมาด้วยไม๊เจ้าคะ เพราะยาเสพติดก็ทำให้เมาได้
การดื่มสุรานั้น เป็นการผิดศีลข้อ ๕ ซึ่งไม่สำคัญว่าผู้ดื่มจะเมาหรือไม่เมา การละเมิดศีลนั้น อยู่ที่เจตนาในการดื่มของเมานั่นเอง ซึ่งยาเสพติดก็จัดเข้าในศีลข้อ ๕ ด้วย เพราะเสพแล้วทำให้เกิดอาการมีนเมาได้
ส้ม-ฝนตกยังต้อง ฟ้าร้องยังถึง says:
กรณีทำผิดโดยไม่เจตนา ผิดเปล่าค่ะ

การทำผิดโดยไม่เจตนานั้น เป็นสำนวนพูดนะ จะรู้ได้ว่าผิดหรือไม่ ขึ้นกับว่ามีเจตนาจะทำสิ่ง(ที่ผิด)นั้นหรือไม่ (ไม่ว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้น ผิดหรือไม่ก็ตาม)
แบบนี้เจตนาทำ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด ก็ไม่ผิด ??
การมีเจตนาทำ แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด ก็ผิดนะ เพราะเป็นบาปที่ตัวการกระทำ
อ้าว.. แบบนี้คนไม่ศึกษาธรรมะ แล้วทำโดยไม่รู้ก็บาป???
คนที่ทำบาปโดยไม่รู้ว่ากำลังทำบาปนั้น เป็นบาปแก่ผู้นั้นยิ่งกว่าผู้ที่รู้ว่าบาปแล้วกระทำบาปเสียอีกนะ
ทำไมเป็นอย่างนั้นครับพระอาจารย์
ธรรมะมีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ได้บัญญัติว่าบาปหรือไม่เมื่อรู้หรือไม่รู้ สิ่งใดที่บาปอยุ่ที่จิตที่กระทำ ถ้ามีกิเลส บาปแน่ๆ
อยากรู้ว่า คนที่ทำบาปโดยมโนกรรม.. บาปมากกว่ากายกรรมไหมค่ะ
การทำบาปโดยมโนกรรม อาจเป็นบาปมากหรือน้อยกว่าทางกายหรือวาจาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเจตนา
ในคัมภีร์มิลินทปัญหาท่านกล่าวว่า การที่คนทำบาปทั้งที่รู้ว่าบาปเป็นบาปน้อยกว่าผู้ที่ทำบาปโดยที่ไม่รู้ว่าบาป ก็เพราะว่า คนที่ทำบาปทั้งที่รู้ ย่อมไม่กล้าทำบาปนั้นเต็มที่เพราะมีจิตสำนึกในผลบาปนั้นเสมอ ส่วนคนที่ทำบาปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นบาปนั้น ย่อมกระทำบาปนั้นอย่างเต็มที่โดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจเลย
ท่านเปรียบเหมือนกับเรารู้ว่า กะทะมันร้อน ถ้าจำเป็นต้องจับ เราก็จะจับอย่างระมัดระวัง หรือจับไม่เต็มมือ แต่ถ้าเราไม่รู้ว่ากะทะมันร้อน เราก็จะจับอย่างไม่ระวัง จะกำแน่นเต็มมือเลย ทำให้ปล่อยไม่ทัน จะเจ็บปวดมากในภายหลัง
อุปมาในปัจจุบัน เหมือนกับคนขับรถฝ่าไฟแดงโดยที่รู้ว่าเป็นไฟแดง ก็จะยังระมัดระวังมากกว่าคนที่ไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นไฟแดง

อือ หือ กระจ่างมากเลยครับพระอาจารย์ สุดยอด
โดยสัญชาติญาณของมนุษย์. จะรู้ว่าสิ่งใดผิดหรือถูกอยู่แล้วใช่เปล่าค่ะ ???
โดยสัญชาตญาณนั้น จะรู้ได้ว่าสิ่งใดถูกผิดในความจริงขั้นพื้นฐาน แต่มีข้อแม้อยู่ว่า ผู้นั้นต้องมีจิตที่สงบเพียงพอด้วย จึงจะไม่ถูกกิเลสที่มีในใจหลอกเอา
แต่คนที่ทำบาปบ่อย จนชิน.. ชา ไม่รู้สึกตัวว่าต้องเดือดเนื้อร้อนตัว เช่น โกหกบ่อย
คนที่ทำบาปเป็นประจำ จนจิตใจด้านชาไปแล้ว จนบางครั้งไม่รู้สึกกระดากอายนั้น สภาพจิตของบุคคลนั้นย่อมเป็นบาปอยู่เสมอโดยพื้นฐานของจิตซึ่งเป็นเช่นนั้น ฉะนั้น แม้ทำบาปมาก ก็อาจรู้สึกว่าเป็นบาปน้อย หรืออาจไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังกระทำบาปอยู่ก็ได้
อ้าว. แบบนี้ก็ได้ผลของการกระทำน้อยซิ
อย่างเช่น คนตบตีกันทุกวัน แม้วันนี้จะถูกตบตีอีก ก็อาจไม่รู้สึกเจ็บใจหรือเจ็บกายอะไรมากนัก เพราะชินชา แต่ความเป็นจริงแล้ว ใจเขาจะไม่มีความสงบเลย กายเขาก็บอบช้ำอยู่มากมาย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ก็ตาม และเวลาเขากระทำการตบตีบุคคลอื่น แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าทำเบาๆ แต่สำหรับบุคคลทั่วไป อาจรู้สึกได้ว่ารุนแรงมากก็ได้
นี่แสดงให้เห็นว่า การที่คนเราทำความชั่วจนเคยชิน กรรมนั้นย่อมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไรกรรมนั้นให้ผล เช่น บุคคลอื่นทนรับกระทบต่อไปไม่ได้ เมื่อนั้น เขาย่อมได้รับความทุกข์แสนสาหัส เช่น ถูกประทุษร้าย หรือถูกกฎหมายลงโทษ เป็นต้น

เทิด says:
มิน่าละครับ เวลาผมไปวัด พระถึงกล่าวเสมอว่า คนได้พบพุทธศาสนา ถือได้ว่าโชคดีที่สุดแล้ว
พิ้งP^ i +n *K He is a Hero says:
ท่านคะ ขออนุญาตถามแทรกนิดนึงค่ะ สามีภรรยาที่ตบตีกันแต่เดี๋ยวก็ดีกัน จะบาปมั๊ยคะ เค้าจะทุกข์มั๊ยคะ

สามี-ภรรยาตบตีกันเป็นประจำ ถึงเขาจะรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา แต่ร่างกายและจิตใจของเขาก็หยาบกร้านขึ้นทุกวันๆ เขาย่อมไม่สามารถรับรสจากความรู้สึกที่นุ่มนวลหรือความอ่อนโยนได้
เราได้ยินหรือเห็นเหตุการณ์เราต้องทำจิตของเรายังงัยคะ ข้างบ้านพึ่งย้ายมา ทะเลาะกันทุกคืนตอนเช้าก็ดีกันค่ะ
การตบตีกันนั้น แม้จะเป็นสามีภรรยากัน หรือแม้ตอนหลังจะคืนดีกัน แต่ความรู้สึกในใจที่มีต่อกันก็เสียไปแล้วนำกลับคืนไม่ได้ ความสุขที่เคยได้รับจากความรู้สึกผูกพันกันก็เกิดขึ้นได้ยากขึ้นๆ จิตใจที่หยาบกร้านที่ทวีขึ้นนั้น ย่อมทำให้แต่ละฝ่ายเป็นทุกข์อยู่ภายใน ไม่สามารถมีสุขอันประณีตอย่างแต่ก่อนได้อีก และนั่นล่ะ บาปที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน
อย่างนี้เรียก เสียความรู้สึก และชาติหน้า ถ้าพบกันอีก จะรู้สึกกันอย่างไรนะเจ้าคะ
แบบนี้พอจิตใจหยาบกร้าน การที่จะซึมซาบ ความละเอียดในธรรมะก็น้อยลงใช่เปล่า
การทำร้ายร่างกายกันนั้น เป็นบาปอยู่แล้วในตัวเอง แม้ว่าบุคคลทั้ง ๒ ฝ่ายอาจจะชินชา จนไม่อาจรู้สึกได้จากความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตน ซึ่งในชาติต่อๆ ไปนั้น ผู้ทำร้ายก็อาจถูกบุคคลอื่นทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุได้ด้วยเช่นเดียวกัน อย่างที่เรียกว่า "ถูกลูกหลง" เป็นต้น
คิดว่าคงต้องทำใจครับสำหรับบัวเหล่าที่ ๔ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ ตั้งตัวเราอยู่ในความไม่ประมาทและแนะนำเขาโดยการทำเป็นตัวอย่างให้เห็นในเรื่องของความอ่อนโยน
เราตีเขาครั้งนึง แล้วทำไมถูกผลกรรมนั้น หลายครั้งล่ะเจ้าคะ
ท่านว่า กรรมนั้นย่อมให้ผลมากให้อานิสงส์มาก ทั้งดีและร้าย
เคยได้ยินมาว่า คนที่ฆ่าตัวตาย พอเกิดมาทุกชาติก็ต้องฆ่าตัวตายอยู่ร่ำไป จริงเปล่าค่ะ
การฆ่าตัวตายนั้น เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีจิตใจไม่เข้มแข็งเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรค เมื่อถึงขั้นฆ่าตัวตาย ก็หมายถึง จิตใจไม่เข้มแข็งถึงที่สุด เพราะตามธรรมดาคนเราย่อมรักชีวิตของตนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ฉะนั้น การที่เราถึงขั้นฆ่าตัวตาย จึงหมายถึง จิตใจหมดความต้านทานต่อทุกสิ่งแล้ว
และหากการฆ่าตัวตายนั้นสำเร็จลง สภาพจิตเช่นนั้นก็ย่อมจะเป็นเหตุแห่งการอุบัติขึ้นในอัตภาพใหม่ ซึ่งมีสภาพจิตที่ไม่เข้มแข็งเช่นเดียวกัน
การที่บุคคลนั้นๆ เกิดมาโดยสภาพจิตที่ไม่เข้มแข็งเพียงพอ ไม่ทนทานต่อความเหนื่อยยาก ความลำบากกายใจ ย่อมทำให้เป็นสาเหตุให้ฆ่าตัวตายได้อีกเช่นกัน
อย่างเช่นว่า คุณเคยเห็นไหม บางคนก็ไม่สามารถอดทนต่ออะไรๆ ได้มากนัก เช่นว่า สูญเสียอะไรเล็กน้อย ก็ตีโพยตีพาย หรือร้องกรีดๆ แล้ว อย่างนี้เป็นต้น

เดี๋ยวนี้สังคมมีคนฆ่าตัวตายกันมากขึ้น
สังคมที่บีบรัดเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ประกอบร่วมด้วยก็คือ ความโลภจัดและความโกรธจัดนั่นเอง ทนไม่ได้ต่อการสูญเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น สุญเสียชื่อเสียง สูญเสียบุตร-ธิดา สุญเสียทรัพย์สิน เป็นต้น
………………………………………………….

เกี๊ยก-Kiak.. There is no phychiatrist in the world like a puppy licking says:
ความรักที่มีต่อบุตรธิดา ถือเป็นความโลภหรือครับ

ความรัก นั้นเป็นฝักฝ่ายของความโลภอย่างหนึ่งนะ อย่างเช่น บางคนมีความรักแล้ว ไม่สมรัก ฆ่าตัวตายก็เยอะไป
หรือไม่ก็ฆ่าเขาตาย แสดงว่ารักแบบผิดๆ
แบบนี้ทำยังไง.. จิตใจถึงจะเข้มแข็ง อดทน คนสมัยนี้ความอดทนน้อย (หรือเปล่าค่ะ)
รักเอาเข้าหาตัว รักเพื่อตัวเอง รักเพราะเป็นของตัว พอไม่ใช่ ไม่ได้อย่างต้องการก็เกิดโทสะ
บางคนรู้ว่าแฟนไม่รักหรือมีท่าทีจะเปลี่ยนใจ ก็เอามีดไปฆ่าแฟนตาย แล้วก็แทงตัวตายตาม เป็นต้น ซึ่งมีมากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน

ความรักที่ยกตัวอย่างมา ค่อนข้างชัดเจนครับ แต่ผมยังรู้สึกว่าความรักที่มีให้ต่อบุตรธิดา น่าจะเป็นสิ่งประเสริฐ คือพ่อกับแม่รักเรา ไม่น่าจะจัดว่าโลภ
เรื่องนี้น่าคิดนะ อย่างเช่น ความรักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรของตนนั้น สังเกตหรือไม่ว่า บิดามารดาสามารถรักได้เฉพาะบุตรของตนเท่านั้น บุตรของคนอื่นไม่เกี่ยว
ครับ ตรงนั้นผมมองว่าเป็นอีกประเด็น คือเหตุแห่งความรัก
ในด้านหนึ่งเพราะความรักที่บิดามารดามีนั้น เป็นความรักที่มีมูลฐานมาจากการรักตัวเอง และรักของของตนเอง ถ้าบุตรนั้นมิใช่บุตรของตนก็มิอาจที่จะรักได้
แต่เป็นความรักแบบเมตตานิค่ะ
โดยแท้แม้บิดามารดาจะรักบุตรของตนเพียงใด แต่ถ้ากลับกันนะ เกิดวันหนึ่งตรวจDNA พบว่า ไม่ใช่บุตรของตนแท้ ความรักที่เลี้ยงดูมานั้นก็จะจืดจางลงทันที เพราะเหตุใด ก็เพราะความยึดถือในความเป็นของของตนนั้นเอง
ความรักเช่นนี้ ถือเป็นความรักสามัญที่มีในสัตว์ทั้งหลายทั่วไป อย่างเช่นว่า ลองคิดดูว่า ถ้าหากเรารู้ว่า พ่อแม่เราไม่ใช่ผู้นี้ แต่ที่แท้เป็นอีกผู้หนึ่ง แม้แต่เราเองก็อาจหวั่นไหวไป เพราะความรู้สึกผูกพันกันของปุถุชนนั้น อาศัยความรู้สึกที่เป็นตัวตนและของของตนเป็นประการสำคัญ
แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงความรักที่ดีงามนั้น มิใช่ความรักในลักษณะเช่นนี้ แต่ทรงชี้ให้เห็นถึงความรักที่บริสุทธิ์แท้จริง ที่เรียกว่า เมตตา นั่นเอง

อย่างนี้ ความรักพ่อรักแม่ ความรักลูก ก็ไม่บริสุทธิ์สิเจ้าคะ แล้วรักที่ถือว่าบริสุทธิ์คืออะไรเจ้าคะ คือรักแบบเมตตาเหรอ เป็นอย่างไรเจ้าคะ
ความเมตตาต่างจากความรักของสามัญชนทั่วไปที่เป็นลักษณะของเสน่หานะ แต่เป็นความรักที่ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขอย่างแท้จริง โดยไม่อาศัยความเห็นแก่ตนเลย
อ้าว แบบนี้ความรักของพ่อแม่ก็ไม่ใช่ความรักแบบเมตตาซิค่ะ
ความรักของบิดามารดานั้น อาจจัดเป็นเมตตาก็ได้ในบางโอกาส แต่ไม่เสมอไปนะ
แต่พ่อแม่ก็ยอมสละตัวเองเพื่อลูก แบบนี้ก็ไม่ใช่เห็นแก่ตนซิค่ะ
อย่างเช่น บางครั้งลูกดื้อ พ่อแม่โกรธอาจตบหรือตีเราแรงๆ อย่างนี้นะ ความเมตตานั้นก็หายไปชั่วคราว กลายเป็นจิตใจที่ไม่ดี ขึ้นมาแทนความเมตตา ส่วนนี้มีความละเอียดอ่อนสักหน่อยนะ อาจต้องใช้เวลาอธิบายสักนิดหนึ่ง
ตามธรรมชาติแล้ว จิตสำนึกเราย่อมรู้ได้ถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อเรา ฉะนั้น ความรักที่เรามีต่อท่านนั้น ก็ย่อมเป็นความรักที่แสดงตอบด้วยเมตตาจิตบ้าง ด้วยเสน่หาบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไป
เช่น พ่อแม่ซื้อของให้เรา เราก็เสน่หาพ่อแม่ , เราปรารถนาให้พ่อแม่มีสุขภาพที่แข็งแรง เราก็เมตตาพ่อแม่, แต่เวลาพ่อแม่ขัดใจเรา บางครั้งเราก็อาจเกลียดชังพ่อแม่ได้ นั่นเพราะอะไร เพราะว่า ความรักนั้นยังไม่ถึงขึ้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะยังปะปนอยู่ด้วยความรู้สึกได้มาและเสียไปอยู่นั่นเอง
ต้องเข้าใจว่า ความเมตตา นั้น คือ ความรักปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขนะ โดยที่ไม่ใส่ใจต่อตัวเราว่าจะได้รับความสุขนั้นตอบแทนหรือไม่ ส่วนความรักอย่างเสน่หา นั้น คือ ความรักที่เราจะรักเขาได้ก็ต่อเมื่อเขาต้องมาทำให้เราเป็นสุขเท่านั้น
อย่างเช่นว่า ขออภัยไว้ก่อนนะ จะพูดแบบแรงๆ และตรงๆ เพื่อให้เห็นภาพนะ
อย่างเช่น สุนัขตัวเมียออกลูก มันก็มีความรัก ความหวงแหนไม่ต่างจากความรักของคนเราเหมือนกันนะ เราลองดูสิว่า ถ้าเราไปเข้าใกล้ลูกสุนัข แม่สุนัขมันก็กัดเอานะ แม่สุนัขมันก็รักเป็นเฉพาะแต่ลูกของมันเท่านั้นล่ะ ลูกสุนัขอื่น มันก็รักไม่เป็นเหมือนกัน
อย่างเราไปเข้าใกล้ลูกสุนัขนะ แม่สุนัขมันก็กัดเราเข้าให้เลย มันไม่สนใจหรอกว่า เราจะเจ็บหรือไม่ เรียกว่า มันก็รักเป็นเฉพาะลูกมัน
คุณลองดูสิว่า นี่มันเพราะอะไร เพราะลูกสุนัขเป็นลูกมันใช่ไหม ถ้าเป็นลูกไก่ ลูกเป็ด มันก็กัดเอาเลย เอามาให้ลูกมันกินเลยนะ มันก็รักลูกคนอื่นเขาไม่เป็นเหมือนกัน
ลักษณะความรักอย่างนี้นะ คุณว่ามันจะประเสริฐที่ตรงไหนล่ะ ถ้ารู้จักแต่รักลูกของตัว ปกป้องเป็นเฉพาะลูกของตัว หวงแหนเฉพาะลูกของตัว ให้ความรักเป็นเฉพาะลูกของตัว และทำได้ทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิดก็เพื่อให้ลูกของตัว

คือเป็นสัญชาติญาณที่ธรรมชาติสร้างมา ให้กับมนุษย์ และสัตว์ทั่วไป
แล้วคุณลองมองออกไปในสังคมสิ เวลาหนุ่มสาวเป็นแฟนกันนะ ถ้าแฟนของเราเจ็บ เราก็เจ็บนะ แต่ถ้าแฟนชาวบ้านเจ็บ เราจะเจ็บด้วยไหมล่ะ (เช่นตามหน้าหนังสือพิมพ์น่ะ) ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ทั้งอุบัติเหตุ ฆ่าข่มขืน ลูกคนอื่น แฟนคนอื่น เราเจ็บด้วยไหมล่ะ
นี่ล่ะ ความรักแบบเสน่หา อย่างว่า ถ้ามองให้ลึก เราจะรู้ได้ว่า มันเป็นธรรมดาสามัญนะที่ไม่ต้องอาศัยการฝึกฝนพัฒนาตนเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นกันทั่วไปในสัตว์ทั้งหลาย

แบบนี้ถ้าเราสามารถแผ่ความรัก ให้กับผู้อื่นได้ที่ไม่ใช่พ่อแม่ของตน หรือพ่อแม่เราแผ่ความรักให้กับผู้อื่นที่ไม่ใช่ลูก.. ก็ประเสริฐกว่า คือ ดีกว่า หรือค่ะ
Basic instinct

พระพุทธองค์จึงตรัสสอนถึงความรักที่ประเสริฐแท้จริงไว้ว่า ได้แก่ ความรักแบบเมตตา หรือ อัปปมัญญา นั่นล่ะ จึงจะประเสริฐ (อย่างที่ได้เคยแสดงไว้แล้วในครั้งก่อนโน้น)
ความรักที่มีตนเป็นศูนย์กลางแห่งความรักนั้น ซึ่งจะรักได้ก็ต่อเมื่อเขาเป็นคนของเราเท่านั้น จึงยังไม่ประเสริฐแท้จริง แต่ก็อยู่ในขั้นที่ดี แต่ความรักที่ประเสริฐอย่างแท้จริงนั้น คือ ความรักที่มิได้มีตนเป็นศูนย์กลางแห่งความรัก ที่จะต้องเป็นของของเรา หรือคนของเรา หรือจะต้องมีเงื่อนไขที่ทำให้เราเป็นสุข นี่สิ จึงประเสริฐกว่า
อย่างเช่น พระศาสดาโดยมากในโลก ส่วนใหญ่จะมีความรักเพื่อผู้อื่น แม้มิได้เกี่ยวข้องกับตัวท่านเลยก็ตาม นี่สิประเสริฐอย่างแท้จริง (เว้นแต่ศาสดาบางพระองค์นะ ที่รู้จักแต่จะรักเฉพาะศาสนิกของตนเท่านั้น เรียกว่า เธอต้องมาเป็นศาสนิกของฉันก่อน ฉันถึงจะรัก)
แต่ทว่า แม้พระศาสดาทั้งหลายในโลกจะทรงมีพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ก็ตาม แต่ด้วยปัญญาที่เห็นความจริงลึกซึ้งไม่เท่ากัน ก็ยังคงเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้ปฏิบัติตาม เข้าถึงความสุขที่ประณีตได้ไม่เท่ากัน

แล้วในการปฎิบัติ จะทำยังไงให้มีความรักแบบเมตตา. เข้าใจแต่ยังทำไม่ได้.. ทำไงดี
การเข้าใจต่อชีวิตและโลกอย่างถ่องแท้ จึงจะทำให้บุคคลวางท่าทีต่อความรักได้อย่างถูกต้อง และไม่ทำให้ตนต้องเป็นทุกข์เพราะความรักเลย
ความรักแบบเสน่หา เป็นความรักที่มีให้แก่ผู้ที่สามารถทำให้ตนเป็นสุขได้
ความรักแบบเมตตา เป็นความรักที่มีให้แก่ผู้อื่น ซึ่งไม่ว่าเขาจะทำให้เราเป็นสุขหรือไม่ก็ตาม ซึ่งประณีตกว่า ดีกว่า แต่ก็ยังจำกัดอยู่เฉพาะบุคคล เฉพาะกลุ่ม เช่น พ่อแม่รักลูกของตน
แต่ความรักแบบอัปปมัญญา คือความรักที่มีให้แก่ผู้อื่น โดยไม่คำนึงว่าเขาจะทำให้เราเป็นสุขได้หรือไม่ และเขาจะเกี่ยวข้องเป็นส่วนตัวกับเราหรือไม่ นี่คือความรักที่ประเสริฐสูงสุดอย่างแท้จริง เช่น ความรักของพระพุทธเจ้าที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย นั่นเอง
เอาล่ะ จบแล้วจ๊ะ
ขอให้ทุกท่านมีความรักที่พัฒนาขึ้นไปโดยลำดับนะ

สาธุ
กราบขอบพระคุณท่านปิมากเจ้าค่ะ
กราบขอบคุณครับ
จาก เสน่หา ไปสู่ เมตตา และจาก เมตตา ไปสู่ อัปปมัญญา กันทุกคน
ค่ะท่าน ปฏิบัติอยู่ค่ะ
กราบลาพระอาจารย์ครับ
ขอฝากพุทธภาษิตไว้ว่า
"โลโก ปตฺถมฺภิกา เมตตา"
เมตตาธรมเป็นสิ่งค้ำจุนโลก

แต่ทางที่ดี โดดข้ามเสน่หาไปเริ่มที่เมตตาก่อนเลยดีกว่า
………………………………………………….




Create Date : 29 ธันวาคม 2549
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 21:12:24 น. 1 comments
Counter : 496 Pageviews.

 
สาธุค่ะ


โดย: nujoy IP: 67.83.103.183 วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:5:35:37 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กลุ่มต้นธรรม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อันเวลาอันนับไม่ได้ที่เราหมักหมมมานานแสนนานแล้วนั้นถ้าเราไม่เริ่มรู้เราก็ไม่เริ่มตัด ถ้าไม่ตัดก็ไม่เห็นปลาย และเวลาอันนับไม่ได้นั้นก็เป็นปลายที่ยังอยู่
web site hit counter
We keep fighting fires because we keep adding fuel.
We truly putout fires only when we remove their fuel.

ถึงโลกกว้างไกล ใครๆ รู้
โลกภายในลึกซึ้งอยู่ รู้บ้างไหม
มองโลกภายนอก มองออกไป
มองโลกภายใน คือใจเรา

Friends' blogs
[Add กลุ่มต้นธรรม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.